มีความสุขกันทุกวัน

ประวัติส่วนตัวของคุณวุธ ไกด์ชาวเขมรในช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจ


เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่ของชายผู้หนึ่งที่เคยใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย ครอบครัวอบอุ่นอยู่ในกรุงพนมเปญ....แต่แล้ววันหนึ่งชะตาชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นชะตากรรมที่คนเขมรทั้งหมดได้ประสบพบเจอในช่วงที่เขมรแดงเรืองอำนาจ.

คุณวุธมาจากครอบครัวที่ถือว่าฐานะดี บิดาเป็นนายทหารระดับนายพัน มารดา่เป็นอาจารย์ ครอบครัวของคุณวุธมีกัน 7 พี่น้อง

คุณวุธเริ่มเราเรื่องราวย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่เขมรตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ซึ่งชาวเขมรเองไม่ชอบชาวฝรั่งเศสนัก เนื่องจากเข้ามากอบโกยเอาทรัพยากรและสมบัติไปมากมาย แต่ไม่ได้ช่วยเหลือค้ำจุนเขมรเท่าที่ควร

เมื่อประเทศได้เอกราขกลับคืนมา ก็อยู่กันอย่างสงบได้ประมาณ 10 ปี จากนั้นก็เข้าสู่สงครามอินโดจีน เริ่มมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ในช่วงนี้เขมรแดงเริ่มทำการขยายอำนาจอย่างเงียบๆ เวลาทหารเขมรแดงไปที่ไหน ชาวบ้านจะชอบใจเพราะไม่เคยข่มเหงรังแกชาวบ้าน จะเอาผักผลไม้ในสวนไปกิน ก็ผูกเงินจ่ายไว้ เรียกได้ว่าซื้อใจชาวบ้านได้มากๆ ในขณะที่ทหารของฝ่ายรัฐบาลนั้น เวลาไปไหน ชาวบ้านเดือนร้อนกันถ้วนหน้า กินผักผลไม้ หมูเป็ดไก่ซะราบ ไม่เคยจ่ายเงินใดๆ ให้ ทำให้ช่วงนั้นคนเขมรส่วนใหญ่ไม่ชอบทหารรัฐบาลมากนัก จนมาถึงวันหนึ่งที่ทหารเขมรแดงเริ่มเรืองอำนาจ ค่อยๆ ตียึดเอาดินแดนไว้โดยตีจากด้านนอกมุ่งเข้าสู่พนมเปญ จนบุกเข้าสู่เมืองพนมเปญได้

ซึ่ววันนั้นคุณวุธเ้ล่าว่า ชาวเมืองออกมาต้อนรับกองทหารของเขมรแดงอย่างดีอกดีใจ และคิดว่าต่อจากนี้คงไม่มีสงครามอีกแล้ว

แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น ในขณะนั้นคนชนบทรอบนอกมองว่าคนในเมืองพนมเปญเป็นพวกศักดินา ร่ำรวยแต่ไม่ทำงาน ทำให้เกิดความไม่ชอบใจอยู่บ้าง

เมื่อเขมรแดงยึดประเทศได้แล้ว ซึ่งตอนนั้นคุณวุธมีอายุได้ 13 ปี ทางเขมรแดงก็เริ่มปฏิบัติการที่คุณวุธบอกว่า มันเริ่มหลอกประชาชน และเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายของคนเขมรทุกคน

เริ่มแรก รัฐบาลเขมรแดงสั่งอพยพชาวพนมเปญออกนอกเมือง ให้แยกออกไปสี่ทิศ จากนั้นเขมรแดงให้ทุกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปรายงานตัว ซึ่งคุณวุธบอกว่า มารดาของเขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะว่าใครที่ไปรายงานตัวไม่มีใครได้กลับมาเลยสักคนเดียว แม่จึงสั่งให้ลูกๆ ทุกคนมารวมกัน แล้วบอกว่า ต่อจากนี้ถ้าใครถามว่่าพ่อแม่เป็นใคร ให้บอกว่าพ่อแม่แยกทางกัน ลูกๆ อยู่กับแม่และแม่มีอาชีพขายของในตลาด ห้ามบอกเด็ดขาดว่าเป็นลูกของนายทหาร ซึ่ง ณ ตอนนั้นบิดาเองก็ได้ออกไปสู้รบกับกองทัพเขมรและไมไ่ด้กลับมาอีกเลย ทำให้ทั้งครอบครัวมีแม่เป็นที่พึ่งเท่านั้น

หลังจากนั้นรัฐบาลเขมรแดงก็ประกาศให้เงินธนบัตรไม่มีค่า ไม่สามารถนำมาชำระเงินได้ตามกฎหมายอีกต่อไป ตอนนั้นเงินปลิวว่อนตัวเมืองพนมเปญ

จากนั้นก็ประกาศว่า ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของกลาง ดังนั้นทุกคนต้องเอามาให้รัฐบาล ซึ่งใครๆ ก็ต้องเอาไปให้ เพื่อแลกกับอาหารเอามาประทังชีวิต

จากนั้นก็แยกครอบครัวออกจากกัน เอาคนที่มีอายุเท่ากันไปรวมกลุ่มกัน ซึ่งพี่น้่องกับแม่ก็แยกจากกันหมด แล้วก็ถูกให้ทำงาน โดยจะย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ ซึ่งในกลุ่มจะแบ่งเป็น 7 คน ต้องดำนาวันละ 10 ไร่ให้เสร็จ โดยมีอาหารที่ให้คือ ข้าวต้ม อย่างเดียวเท่านั้น โดยข้าวหนึ่งกระป๋องกินกัน 30 คน แล้วคนที่เป็นคนต้ม กับหัวหน้ากลุ่มซึ่งเป็นคนท้องถิ่นจะได้กินก่อนก็ตักเนื้อข้าวไปกิน ตอนนั้นคุณวุธเล่าว่าแต่ละคนมีสมบัต ิคือ ช้อนคนละคัน เดินไปกินข้าวต้มที่มีแต่น้ำ ได้กินข้าวไม่ถึง 10 เมล็ด ตกดึกต้องแอบออกไปหาของกิน จับแมลง นก หรืออะไรก็ได้ที่กินได้ กินเพื่อประทังชีวิต คุณวุธเล่าว่านานๆจะได้เจอแม่ซักครั้ง ถ้าเจอกันก็ไม่ได้เข้าไปหา เพราะเขาห้าม แต่แม่จะเก็บของกินไว้ให้แล้วแอบไว้ตามต้นไม้่ ซึ่งตอนนี้แม่ลูกก็จะพูดคุยกันด้วยภาษาตา โดยแม่จะมองไปที่ๆ แอบอาหารไว้ให้ แล้วลูกก็จะไปตรงนั้น บางครั้งเจอข้าวที่ขึ้นราก็ต้องกิน แม่จะคอยเก็บอาหารไว้ให้ลูกๆ เสมอ ใครเจอแม่ก่อนก็ได้ไปกิน และแม่มักจะมีเกลือมาให้ลูกๆ ได้อมกันคนละเม็ดทุกครั้งที่เจอ ซึ่งคุณวุธก็ไม่รู้ว่าแม่ไปเอาเกลือมาจากไหน ซึ่งเกลือถือว่าเป็นของหายาก มีราคาแพงมากๆ

ในช่วงเวลา 3 ปีกว่าๆ ที่เขมรมีอำนาจนั้น มีคนตายไปราว 5 ล้านคน สาเหตุที่ตายก็มีทั้งเป็นพวกรัฐบาลเก่า โดนบังคับให้ทำงาน แต่ไ่ม่มีกินจนอดอาหารตาย บางคนทำงานไปก็ล้มสิ้นใจอยู่ตรงนั้นนั่นเอง คุณวุธได้เห็นพี่ชายตายไปต่อหน้าต่อตา ได้รู้เรื่องพี่สาวที่เรียนจบปริญญา แต่ถูกบังคับให้แต่งงานกับชายที่ไม่รู้จัก เพราะรัฐบาลเขมรแดงต้องการให้มีการเพิ่มของประชากร พี่สาวคุณวุธยอมแต่งงาน แต่วันรุ่งขึ้นก็ผูกคอตาย
ได้เห็นว่าคนที่ไม่ทำตามคำสั่งจะเป็นอย่างไร โดยเล่าว่าอาของเขาได้หลุดปากไปกับคนอื่นว่าตัวเองเคยเป็นทหารของรัฐบาลเก่า ก็ถูกเอาตัวไป คุณวุธก็แอบตามไปดู เห็นอาตัวเองถูกฆ่าด้วยวิธี ตีหัวด้วยด้ามจอบ เสียงดัง โพล๊ะ!! คุณวุธเล่าว่าตอนนั้นช็อคไปเลย และหลังจากนั้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคนทุบของ เช่น ทุบมะพร้าวก็จะช็อคไปชั่วขณะและยังเป็นมาจนถึงทุกวันนี้

กว่าจะผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาได้ ครอบครัวคุณวุธก็เหลือกันไม่กี่ชีวิต ครอบครัวของอา 60 กว่าชีวิตไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียว

กองกำลังของรัฐบาลที่ถูกตีแตกก็ได้ไปขอความช่วยเหลือทหารเวียดนามมาตีและโค่นล้มเขมรแดงจนได้ ในวันที่เเขมรแดงโดนตีนั้นคุณวุธรีบไปสมัครเป็นทหารทันที เพราะความแค้น และก็ช่วยตีไล่พวกเขมรแดง ผ่านไปหลายปีคุณวุธก็คิดว่า เราจะมารบราฆ่าฟันกันเองทำไม คนที่ฆ่าก็คนเขมรเหมือนกัน ประจวบกับคุณวุธได้รับบาดเจ็บจากระเบิดของฝ่ายเขมรแดง ซึ่งโยนมากลางวงข้าว แต่โชคดีที่คุณวุธลุกไปกินน้ำอีกที่พอดี จึงรอดชีวิตมาได้ แต่ลูกน้องตายหมด ขณะเข้ารับการรักษาตัวก็เลยขอลาออกจากการเป็นทหาร และก็เริ่มไปเรียนภาษาไทย และพยายามจนสอบเป็นไกด์ได้ค่ะ

คุณวุธเล่าว่าดีใจมากที่ได้เลือกเรียนภาษาไทย เพราะได้ทำให้คุณแม่มีชีวิตรอดจากความตายมาได้ ดังจะเล่าเรื่องต่อไปนี้

คุณวุธได้เป็นไกด์พาคนไทยเที่ยวที่เขมรมาหลายปี มีคนให้นามบัตรไว้หลายท่านคุณวุธก็เก็บรักษาเป็นอย่างดี วันหนึ่งคุณแม่มีอาการคล้ายมีประจำเดือน ซึ่งขณะนั้นท่านก็มีอายุมากแล้ว แล้วก็ไม่มีประจำเดืิอนมานานแล้ว ตอนนั้นไปหาหมอที่พนมเปญก็บอกว่าโอกาสรอดน้อยมาก คุณวุธไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร จึงดูนามบัตรเก่าๆ ที่มีอยู่ และพบว่ามีท่านหนึ่งเป็นคุณหมอที่ รพ.รามาฯ ซึ่งทางคุณหมอก็ช่วยเหลือ ให้นำคุณแม่มารักษา ซึ่งจากการตรวจพบว่า คุณแม่เป็นเพียงระยะเริ่มแรก สามารถทำการรักษาให้หายได้ คุณวุธจึงพาคุณแม่เข้าไปทำการรักษา จนวันหนึ่งคุณหมอบอกว่าไม่ต้องมาแล้ว คุณวุธก็นิ่งไป หน้าเีิริ่มเสีย แล้วคุณหมอก็บอกว่า คุณแม่หายดีแล้ว ไม่ต้องพามาแล้ว พอได้ฟังดังนั้น คุณวุธก็ก้มลงกราบหมอกลางโรงพยาบาลเลย เพราะดีใจมากและซาบซึ้งในความมีเมตตาของคุณหมอ
จนถึงวันนี้คุณแม่ของคุณวุธก็แข็งแรง มีความสุขอยู่ที่เมืองเสียมเรียบนี่เอง

อีกความภูิมิใจของคุณวุธก็คือ การได้มีโอกาสเป็นหนึ่งที่ได้เข้าช่วยงานรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งเป็นที่รักยิ่งของชาวเขมร ถึงแม้ไม่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด แต่ได้ทำงานให้ท่านคุณวุธก็มีความสุขมากๆ

ณ วันนี้ ป้าปุ๊กได้กลับมาอยู่ในแผ่นดินไทย แต่ก็ยังจำเรื่องราวต่างๆ ที่คุณวุธเล่าให้ฟังได้ ถึงแม้จะไม่เต็มร้อย แต่เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากของผู้ที่ผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายมาได้นั้น ช่างทำให้คิดว่า ทำไมหนอ คนเราช่างโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ อ่านหนังสือ ดูหนัง ดูข่าวยังไม่เท่ากับความจริงที่คนในเหตุการณ์นั้นต้องเผชิญชะตากรรมอยู่

แต่ขอบอกและเตือนทุกท่านที่อาจได้ไปหรือได้เจอชาวเขมร ขอได้อย่าไปเซ้าซี้ให้เขาเล่าเรื่องเขมรแดงให้ฟังนะคะ เพราะว่าบางคนเขายังรับไม่ได้กับความสุญเสียที่เกิดขึ้น สำหรับคุณวุธนั้น ขณะที่เล่าไปก็มีบางช่วงที่หยุดเล่าแล้วก็นั่งน้ำตาซึม เงียบกันไปซักพักหนึ่ง..........

รูปของคุณวุธ ไกด์ชาวเขมรที่น่ารักและอารมณ์ดีตลอดเวลา




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2550 16:50:05 น.
Counter : 1078 Pageviews.  


dorapooka
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หลังไมค์ถึงป้าปุ๊กกดที่นี่
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add dorapooka's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.