All Blog
อินถวาดอกที่สอง..เหงาหน่อยนะ
กลายเป็นอีกหนึ่งนักดนตรีที่ชอบไปแล้ว..สำหรับ Yiruma ได้ฟังเพลงของเขาเเล้วรู้สึกสบายใจทำให้เขียนอะไรออก..สบายใจจริง ๆนะ..บางเพลงก็เหงาเศร้าไปตามอารมณ์..

วันนี้ดอกอินถวาออกดอก..เรียกว่าดอกที่ 2แล้วค่ะ..หลังเพิ่งปลูกได้สัปดาห์เดียวหน้าร้าน




ตอนนี้เรียกได้ว่าอีกหน่อยก็เป็นป่าไปแล้วร้านหนังสือเรา..คิดอยู่เหมือนกันว่าอยากติดกระจกหน้าร้านแต่คิดไปคิดมา..มันอึดอัด..แบบนี้ก็โล่งดีไปอีกแบบ..จัดแบบสบาย ๆ ..

ช่วงนี้เป็นบ้าปลูกต้นไม้น่ะคะ..รู้สึกสนุกดีแต่..เสียไปหลายเหมือนกัน..หุๆ..

เฮ่อ..ฟังเพลงแล้วก็..เหงา ๆ เนอะ..




Yiruma~[นักเปียโนร่วมสมัยแห่งแดนอาทิตย์อุทัย]



ประวัติ ลี รูมาเกิดที่ประเทศเกาหลี 15 กุมภาพันธ์ 1978 เขาเริ่มเล่นเปียโนเมื่ออายุ 5 ปี เมื่ออายุ 11 ปี ย้ายไปที่ London ประเทศอังกฤษและเรียที่ Purcell School of Music, Londonเขาจบเมเจอร์ composition จาก Kings College of London Universityหลังจากจบเมเจอร์ composition เขาก็ยังคงศึกษาต่อที่ Kings College และได้ออกอัลบัมแรกกับ DECCA ซึ่งเป็นค่ายเพลงคลาสสิคและระหว่างั้นเขาก็ทำเพลงให้กับภาพยนตร์ และทัวร์คอนเสิร์ทในยุโรปปี 2002 YIRUMA ถูกเชิญไปแสดงในงาน 2002 MIDEM ที่เมืองCannesประเทศฟรั่งเสษ YIRUMA เป็นชาวเกาหลีคนแรกที่ถูกเชิญไปแสดงในงานดนตรียิ่งใหญ่ระดับโลกอย่างนี้ หลังจากนั้น 5 อัลบัมของเขาก็มีลิขสิทธิ์ทำใน 5 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ซิงกาโปร์ มาเลเซีย และในยุโรป YIRUMA เป็นชาวเกาหลีคนแรกที่ได้ลิขสิทธ์แผ่นเสียงมากถึง 5 ประเทศ (หลังจากนี้จะแปลมั่วแล้วนะคะ555)พี่ YIRUMA ผสมผสานกลิ่นอายธรรมชาติของยุโรปเข้ากับความสดใสแห่งเอีเชีย ด้วยพื้นฐานคลาสสิค และเทคนิคที่พี่ Yi ผสมออกมาจนลงตัวทำให้ได้ผลงานที่โด่นไม่เหมือนใครมาก่อน และยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเปี่ยมล้น ทำให้ดนตรีของเค้าสร้างกลุ่มสาวกได้มากตอนนี้YIRUMA ก็เลยวางแผนขยายกลุ่มสาวกไปที่อเมริกาเหนือ และยุโรปต่อไป




Create Date : 03 เมษายน 2553
Last Update : 20 เมษายน 2553 17:50:21 น.
Counter : 822 Pageviews.

5 comment
อุปสรรคที่แท้จริง


ช่วงนี้เป็นช่วงพักงานเขียนก่อนที่จะเริ่มใหม่ แม้ว่าจะมีโปรเจ็ค “หยกร้ายลายซามูไร” แล้วก็ตาม แต่อารมณ์มันยังไม่ค่อยนิ่ง.. มีทั้งปัญหาในงานและเรื่องส่วนตัว..มันเวิ้งๆ เหนื่อย ๆ ยังไงไม่รู้..แต่ก็สู้ได้เสมอ..มีจะมีเรื่องมาให้หงุดหงิดบ้างตามประสาวัยทอง(แหม่..เป็นก่อนวัยอันควร)..เมื่อวานนี้เจอเพื่อนเก่า..แล้วเกิดความรู้สึกบางอย่าง..คนเรามักจะมองไม่เห็นอะไรเมื่อมีความรัก..ไม่มีใครหลอกเราได้นอกจากตัวเราเอง..เพื่อนเก่าเล่าเรื่องความรักที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะจากกันมานานแล้ว..(คือไม่ได้สนิทมากเหมือนเดิม..) เราเข้าใจว่าคงอยากระบายมากกว่าก็ฟังไป..แต่มีบ้างที่อดไม่ได้ออกปากไปเหมือนกัน..บางครั้งการหลอกตัวเองก็ทำให้มีความสุข ขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างเป็นห่วง..ครั้งหนึ่งเราเคยพูดด้วยความเป็นห่วง ด้วยความจริงใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็บอกเราว่า..แกไม่รู้หรอก..เขามีดีที่แกมองไม่เห็น.. หลังจากนั้นเราก็เลิกยุ่งเรื่องชาวบ้าน..เคยอ่านนิยายที่คนเขียนเขียนว่า..นอนคุยกันย่อมคุยง่ายกว่านั่งคุย..แน่นอนเสียจริง..คงจะอย่างนั้น พูดให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อหรอก..ถ้าลองได้รักเขาแล้ว..เรามองความรักครั้งนี้ของเพื่อนว่า..เป็นการหลอกลวง..ความชัดเจนมากมายทั้งพี่สาวพ่อแม่ก็บอกว่าไม่สมควร..แต่เธอก็ยืนยันว่าเขาดี..เราก็เลยไม่พูดอะไร บทเรียนครั้งที่แล้วทำให้เราไม่อยากพูด..ประสบการณ์ทำให้คนเราไม่ทำในสิ่งที่คิดทุกอย่าง..

ได้เข้าไปเล่นในสำนักงานเก่าก็เข้าไปช่วยแก้คอมฯให้เขานิดหน่อยซึ่งทำไม่ได้ต้องใช้เวลาหน่อยเหมือนกันแต่ก็ไม่มีเวลา..ทำให้ได้แค่นั้นแหละ..ฟังเรื่องบ่น ๆของน้องที่รู้จักแล้วก็คิดว่า..ชีวิตทำไมต้องมีข้อจำกัดขนาดนั้นก็ไม่รู้..ปล่อย ๆชีวิตให้สบายๆเสียบ้างไม่ได้เลยหรือ?..แต่ก็นั่นแหละ..คนเรามักจะทำอะไรจนกลายเป็นความเคยชิน..เคยชินโดยไม่รู้ตัว..พลอยทำให้คนรอบข้างอึดอัดไปด้วย..บางครั้งก็ต้องมีคนบอกและหัดสังเกตบ้างเหมือนกัน

วันนี้ได้ฟังเพลงนี้ ใครซักคน ของพองพอง ชอบจังเลย..อิๆ ปล่อยตัวสบาย ๆ บ้าง..วันนี้ไปดูลายมือมาด้วย..เหมือนเดิม..หมอแกก็คงจะบอกว่าชีวิตแกไม่มีอะไรตื่นเต้นเลย..ฮ่าๆ ..คือ เคยไปดูเมื่อปีก่อนเขาก็แม่นนะ..ปีนี้เลยดูอีก..ก็ดีนะ..เพื่อนที่ไปด้วยเขาดูเรื่องงานแล้วมันก็บ่นเรื่องงานก็เลยไปเล่นที่สำนักงานด้วย..เจอปัญหาอย่างที่เพื่อนบอกก็เลยหัวเราะ..ตัวปัญหาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นปัญหา..ฮ่าๆ..คิดภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเพื่อนลาออก..เจ้านายจะทำหน้าไง?..เพราะเหลือมันคนสุดท้ายแล้ว.. เราก็ออกมาก่อนเพื่อนเลยนี่นา..เราลาออกโดยบอกว่าจะไปทำร้าน.. เจ้านายมองหน้าคิดว่าเขาจะ...กันเหรอ.. แถวนั้นมีกลุ่มเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน..?..ตอนนั้นคิดนะว่า..ทำเพราะใจรักไม่ได้เหรอ..ทำเพราะอยากทำ..แล้วสุดท้ายมันก็จะกลับมาเอง..อะไรก็ตามที่เราทำด้วยใจ..ซักวัน..มันจกลับมาตอบแทนเราเอง..ไม่มากก็น้อย..

หมอดูบอกว่า..ก็เฉย ๆไว้แม้ไม่มีใครเข้าใจเราซักวันจะมีคนเข้าใจเอง..มีแต่คนบอกว่าจะทำไปได้ซักเท่าไหร่..มีแต่คนเหน็บแนม..ชะเอ้ยยย..ไม่ซีเรียสซักนิด..หุๆ..เพราะไม่ได้ขอเงินมันมาทำร้านเสียหน่อย..ก็เรื่อย ๆนะ..เราชอบแบบนี้แหละ..ใครจะว่าอะไรก็ช่าง..เราทำของเราไปเรื่อย ๆ

เฮ่อ..ชีวิตคนเรามันจะทุกข์จะสุขมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับใจของเราเอง..จริงไหมคะ..วันนี้ไม่มีรายได้ก็ไม่ซีเรียสเลย..เพราะพรุ่งนี้ก็เริ่มใหม่ได้..คนเรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอ..แค่ไม่ท้อก็พอ..คุณวิน(วิน เลียววาริณ) บอกว่า อุปสรรคที่แท้จริงของคนเราไม่ใช่ร่างกายพิการแต่เป็นใจไม่สู้ต่างหากละ..คำๆนี้ติดไว้ข้างฝาเลยละ..นี่แหละสิ่งที่ต้องเตือนใจตัวเองเสมอ..แม้ว่าวันนี้จะขายของได้ไม่ถึงสิบบาทแต่พรุ่งนี้ก็ยังมี..วันนี้อาจจะไม่มีสำนักพิมพ์ไหนรับเรื่องของเราแต่ต้องมีซักวันที่ซักที่ชอบเรื่องที่เราเขียน..

ขอบคุณในสิ่งที่ทำให้ก้าวเดินได้แต่ละวัน กำลังใจจากพี่และแม่..เพื่อนรัก..ขอบคุณจริง ๆ นะ

ปล.การดูดวงเป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดจงใช้วิจารณฯในการคิด..ไตร่ตรอง..





Create Date : 29 มีนาคม 2553
Last Update : 1 เมษายน 2553 9:27:10 น.
Counter : 569 Pageviews.

8 comment
ความรักที่คงอยู่มันทำให้เราเจ็บปวด

ความรักที่คงอยู่มันทำให้เราเจ็บปวด
2007-12-10 17:14:34



 



 





พอดีได้ดูเอ็มวีเพลงหนึ่งแล้วเกิดคิดถึงเรื่องที่เคยเขียนไว้..เลยเอามารวมมิตร..เอาตอนนั้นตอนนี้มาผสมกัน..เลยอาจจะอ่านไม่เข้าใจแต่ก็คงพอจะรู้..ตอนจบ..อ่ะนะ..มันเป็นสองเรื่องนะ..เพลงรักในฝันกับหอมหัวใจใส่ครีม..

 



 


ชื่อเรื่อง ..เพลงรักในฝัน


 

 

“ เธอถามว่า..ฉันมีความฝันอะไรในชีวิต..ฉันตอบเธอไม่ได้..เพราะความฝันของฉันคือเธอ..ในเมื่อไม่มีเธอแล้วฉันก็ไม่มีความฝันอะไร..ฉันอยู่บนโลกนี้ได้ก็เพราะเธอ..หัวใจของฉันเต้นได้ก็เพราะเธอ..”

 



 



 

 

 

 : PART 1:  บทนำ  ความรู้สึกกับความหลัง


 

 

ปรัชญานั่งเล่นเปียโนอยู่ในห้องดนตรีเงียบ ๆ อย่างที่เขามักจะทำเสมอ... แม้ว่าตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยเต็มทีแล้วก็ตาม  บางทีหากมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตโดยที่เราไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้เลย...เพราะฉะนั้นในวันนี้เราจะต้องทำให้คนที่เรารักมีความสุข..ทำเพื่อเขาทุกอย่าง...แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม..ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับณภัทรแม้จะเป็นเพียงพี่สาวกับน้องชาย  ซึ่งเขารู้ตัวมาโดยตลอดว่าเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น..เขาก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้นเอง...เขารักผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่วันที่เธอวิ่งเข้าไปไล่เตะเด็กตัวโตกว่าที่เข้ามาทำร้ายน้องชายของเธอ...เธอได้แผลที่แขนแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีร่องรอยอยู่..เด็กชายอายุ 12 กับเด็กหญิงอายุ 13 จะมีอะไรไปสู้กับเด็กที่ตัวโตกว่าได้แต่เธอก็สู้ทุกอย่าง..จริง ๆ แล้วเขาตั้งใจจะให้เงินพวกนั้นไปอยู่แล้วจะได้ไม่มี เรื่องตามนิสัยของเขา...แต่สำหรับณภัทร..มันคือเรื่องใหญ่เพราะเธอถูกเอาเปรียบ..ตอนนั้นอาจจะเป็นแค่ความประทับใจโดยที่มันดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ณภัทรประสบอุบัติเหตุวันนั้นเขารู้แล้วว่า  เขารักเธอ..รักมากว่าตัวเขาเอง...เขารู้เพราะทนไม่ได้ที่เห็นเธอร้องไห้เพราะไม่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองรักได้อีกต่อไป..ทนไม่ได้ที่เห็นเธอเจ็บปวด..ทนไม่ได้ที่เห็นเธอมีบาดแผลบนร่างกายไม่ว่าที่แห่งใดก็ตาม...แต่ทุกอย่างมันไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจต้องการเสมอไป..เพราะสุดท้าย...เธอก็คือพี่สาว...ที่เขารัก...และต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป..

 



 



 

: PART 2 :  คนในฝัน


 

 

ชายหนุ่มหันไปมองนอกกระจกของร้านเห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งรอแม่ที่ไปซื้อของในมุมอาหารสดอย่างหงอยเหงา  เขารู้ว่านั่นเป็นภาพสะท้อนของเขาในวัยเด็กหลังจากพ่อเสียชีวิตลงเขากับแม่ก็เหมือนลูกโป่งที่ลอยเคว้งคว้าง  เขาเป็นเด็กชายที่มีสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กพ่อเป็นคนดูแลเขาทุกอย่าง  ซึ่งเมื่อพ่อจากไปเขาจึงต้องดูแลตัวเองอย่างดีให้พ่อรู้ว่าเขาดูแลตัวเองได้และต้องแกร่งอย่างที่พ่อทำให้เขาเห็น

 


“เออ..ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนยังไงเหรอ..” ณภัทรทำสีหน้าอยากรู้แต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจ

 


“น่า..ฉันไม่เล่าให้ใครฟังหรอก  เราเป็นพี่น้องกันนะ  ไม่มีความลับกันหรอก นะ..นะ..” เสียงออดอ้อนนั้นทำให้เขาลืมที่จะโกรธเธอเสียด้วยซ้ำ ..ก็เธอไงละณภัทร..

 


“ฉันก็แค่ยกตัวอย่าง..ผู้หญิงคนนั้นไม่มีจริงหรอก..เธออยู่แค่ในฝันของฉันเท่านั้นเอง”  ณภัทรถอนหายใจยาวทำหน้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

 


“ในฝัน..งั้นก็ต้องมีสเป็คน่ะสิ..บอกหน่อยดินะ..นะ..” ปรัชญารู้ดีว่าเธอต้องมาไม้นี้คนอย่างณภัทรไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เสมอ

 


“ ก็...เป็นคนสวย..น่ารัก..ไม่ค่อยแต่งตัว..เป็นคนทำงานเก่ง..ที่สำคัญนะเธอสามารถปกป้องฉันได้”

 


“หา!!!!..” ณภัทรอุทานออกมาด้วยความงวยงงสงสัย..อะไรกันเนี่ย..เธอฟังผิดหรือเปล่า..ผู้หญิงที่ปกป้องผู้ชายได้..คิดอะไรอยู่เนี่ย..นายปรัชญา..มีคนอย่างนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ...

 


“อย่างนี้ไม่ต้องแต่งงานกับนักมวยหญิงหรือไงเล่า..ไม่มีหรอกสเป็คที่นายบอก..อย่ามาอำเลยดีกว่า..ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเคยร่วมงานกับนายมาก่อนแล้วก็ต้องสวย..สง่า..รวย..อย่างนี้ต่างหาก..นายน่ะถ้าชอบผู้หญิงห่าม ๆ ซ๊กม๊กก็คงไม่ใช่ดูสิ..แม้แต่แก้วน้ำนายยังเช็ดก่อนดื่มเลย..เสื้อก็ต้องรีด  ถ้าซักก็ต้องซักมือ..อย่างเนี๊ย..มีที่ไหนอีก..” ปรัชญาหัวเราะก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ตรงหน้า..ก็เขาบอกไปแล้ว..เธอไม่เชื่อเองนะ..ช่วยไม่ได้...

 




 

PART : 3  การเริ่มต้นและจุดจบ


 

 

เธอไม่ได้รู้สึกกับแซ็คมากไปกว่าเพื่อนเลย..เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม..ทำไมถึงไม่รักใครซักที..แม้จะมีคนผ่านเข้ามาแต่ก็ไม่ได้ชอบใครมากเป็นพิเศษ..ความรักเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ..ยากที่จะเข้าใจจริง ๆ ..หญิงสาวได้โอกาสปรับปรุงเปลี่ยนแปลงห้องส่วนตัวของเธอเองในช่วงสาย  นอกจากคอมพิวเตอร์กับมุมหนังสือแล้วก็ไม่มีอะไร  หนังสือนั้นก็ไม่ได้มีมากมายเหมือนห้องของปรัชญาในห้องนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นห้องสมุดย่อม  ๆ ได้เลยทีเดียว  ก็เพราะเขาเป็นคนชอบอ่านเลยทำให้มีหนังสือเยอะ   มีหลายเล่มที่น้องชายสุดที่รักของเธอหามาให้อ่านเนื่องจากคิดว่ามันจะประเทืองปัญญาพี่สาวอย่างเธอได้มากขึ้นมาหน่อย  โดยที่เขาหารู้ไม่ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  เก็บของบางส่วนได้เธอก็หันไปเห็นสมุดเล่มหนึ่งอยู่ใต้เตียง  มันเป็นสมุดบันทึกสมัยที่เรียนมัธยมของเธอแล้วมันก็เลอะเทอะยิ่งกว่าเศษกระดาษเสียอีก..เธอเปิดมันออกทีละหน้าเพื่ออ่านด้วยความรู้สึกบางอย่าง  การบ้านวิชาคณิตศาสตร์ที่เธอมักจะหนีเรียนเป็นประจำแต่คนที่สอนเธอให้ผ่านมาได้กลับเป็นปรัชญา  มีส่วนหนึ่งที่เป็นลายมือของเขา...จำได้ว่าคืนนั้นเธอง่วงมากเพราะไปซ้อมว่ายน้ำมาทั้งวันเพื่อคัดเลือกตัวเข้าทีมชาติก็เลยหลับทั้ง ๆที่ต้องส่งในวันรุ่งขึ้น...บางครั้งเขาก็ทำดีจนน่าแปลกใจ..บางครั้งก็เหมือนมนุษย์น้ำแข็ง...

 


กล่องไม้เล็ก ๆ กล่องหนึ่งตั้งเด่นสง่าอยู่ในความมืดแต่มันถูกปิดล็อกด้วยกุญแจรหัสตัวเลข..ณภัทรถอนหายใจยาว... จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เธอเล่นเกมส์อะไรซักอย่างแล้วถามรหัสกับปรัชญา

 


“ วันที่ 8 พฤษภาคม” เขาบอกนิ่ม ๆ แต่เหมือนมีอะไรแฝงอยู่  นั่นไม่ใช่วันเกิดเขา..ไม่ใช่วันเกิดเธอ..ไม่ใช่วันเกิดแม่เขา...แล้วมันวันอะไร...ณภัทรกระดกตัวขึ้นไปปลดล็อคด้วยรหัสตัวเลข..ที่คิดออกแล้วมันก็ใช่อย่างที่เธอคิด...ของข้างในล้วนมีแต่เป็นรูปเก่า ๆ หลายใบ  รูปครอบครัวเก่าของปรัชญา..รูปพ่อของเขา..แหวนทองคำวงหนึ่งและรูปของ...เธอ...รูปเธอทั้งนั้นนี่นา  ทำไมเป็นรูปของเธอ...นี่เหรอ...ความจริง..นี่เหรอที่เขาไม่บอกเธอ...ความหลังในอดีตหลาย ๆ อย่าง ๆ ย้อนเข้ามาทันที...เขาเป็นคนแรกที่เข้ามาในช่วงที่เธอลำบากเสมอ...เขาคือคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ..ไดอารี่เล่มเล็กของชายหนุ่มถูกเปิดออกอ่านด้วยมือที่สั่นเทาของหญิงสาว

 


“วันที่ 8 พฤษภาคม  วันนี้คือวันที่ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่ง...เธออ้างตัวว่าเป็นพี่สาวทั้ง ๆ ที่อายุก็ไม่ได้มากเท่าไหร่..เธอเตะนักเลงในคราบนักเรียนเพียงเพื่อจะช่วยผม..แต่เธอกลับล้มไม่เป็นท่าแขนกระแทกกับฟุตบาทแม่บอกว่าต้องเย็บตั้งห้าเข็ม..เธอไม่ใช่พี่สาวผมแน่...เพราะพ่อผมมีลูกคนเดียว..แต่เธอเป็นเพื่อนผม..ผมชอบเธอ..เธอทำให้ผมรู้ว่า..คนเราต้องสู้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดและต้องรักศักดิ์ศรีตัวเองอย่างไร”
หญิงสาวเปิดไปเรื่อย ๆ ด้วยความสนใจ...
“ วันนี้ผมเสียใจที่สุดในชีวิตที่ปล่อยให้ภัทรไปเที่ยว..เธอประสบอุบัติเหตุตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวคุณนนท์เฝ้ารอฟังอาการของเธอทั้งคืนผมเองก็เช่นกัน...ถ้าเธอเป็นอะไรผมจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความเสียใจที่จะต้องเสียคนรักไปเป็นอย่างไร....ผมหวังว่าผมจะตายก่อนเธอเพื่อที่จะไม่ต้องเสียใจฟังดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว..แต่ผมก็ไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว....ผมรู้ว่าผมรักเธอ..รักมากกว่าตัวผมเอง...ผมเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเธอเจ็บ..ทรมานที่ไม่สามารถบอกอะไรได้..คงเพราะความเจ็บปวดที่เป็นอยู่ทำให้ผมต้องเข้าไปรักษาตัวโดยไม่สามารถบอกใครได้..แม้แต่แม่....หากเป็นไปได้ผมจะขอให้ไดอารี่เล่มนี้เป็นตัวแทนของผมถ้าผมจากโลกนี้ไปโดยยังไม่ได้บอกรักเธอ..ผมอยากบอกเธอว่ารักในทุกลมหายใจ..อยากบอกว่าหัวใจของผมเต้นอยู่ได้ก็เพราะเธอ..ณภัทร..”  น้ำอุ่นๆ ที่เอ่อล้นขอบตาหยดลงสู่ไดอารี่เล่มนั้น...ทำไมเธอไม่รู้มาก่อนเลย..เธอเปิดหน้าต่อไปด้วยมืออันสั่นเทา...ทั้งแรงสะอื้นจากความรู้สึกส่วนลึกของหัวใจ  มันรู้สึกเสียใจมากกับความจริงที่รับรู้
“ แม่...บอกผมหลังจากที่ผมกลับมาจากโรงพยาบาล...แม่รู้ว่าผมคิดยังไง..แม่ขอร้องให้ความรักของแม่ดำเนินไปด้วยดี..แม่ไม่อยากเสียใจและอ้างหว้างอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว..ผมเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามอธิบาย..ผมจะทำยังไง..แต่ก็ดี..หากผมไม่บอกหรือแสดงออกไป..มันอาจจะดีก็ได้..ผมรู้ว่าชีวิตผมคงไม่ยืนยาวอย่างที่คิด..ความรักของผมจะเป็นไออุ่นของอากาศมันจะวนอยู่รอบตัวเธอ..ตลอดไป” หญิงสาวนิ่งงันด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย...ทำไมเรื่องต้องเป็นอย่างนี้นะ

 


 

 


 




 

 

: PART 4 :  การจากลาที่ใช้หัวใจเดิมพัน

 



   ฉันได้ตัดสินใจทำสิ่งที่คิดว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต  ก็คือการแยกตัวออกมาจากครอบครัว  เพราะสาเหตุสองประการที่ หนึ่งเพื่อค้นหาตัวเอง  และสองเพื่อทำให้สถานการณ์ระหว่างฉันและผู้ชายคนหนึ่งดีขึ้น...ใครจะไปคิดว่าชีวิตของเราวันหนึ่งจะต้องมีเรื่องให้ลำบากใจ...ทุกข์ใจขนาดนี้..ยิ่งเขาทำดีกับฉันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ฉันต้องรู้สึกแย่มากขึ้นเท่านั้น..
 ในขณะนี้ฉันกำลังนั่งมองผู้ชายอีกคนซึ่งบอกรักฉันด้วยความบริสุทธิ์ใจ   เขาเป็นคนดีเกินกว่าที่ฉันจะสามารถทำร้ายเขาลงได้ด้วยคำว่ารัก....เขาดูนิ่งเงียบไปหลังจากที่ฉันบอกว่าจะไปจากที่นี่และจะไม่คบกับเขาในฐานะอื่นนอกจากเพื่อน 
“ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้..รู้อะไรไหมครับ..ที่ผ่านมาผมเป็นคนดีอย่างที่ใคร ๆ ก็มักจะพูดอย่างนั้น..แต่จริง ๆ แล้วผมเป็นคนเห็นแก่ตัว..รู้ทั้งรู้ว่าคุณไม่ได้รักผม..ผมก็ดันทุรังที่จะรัก...รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนรักของผมมันรักคุณมากมายขนาดไหนแต่ผมก็ยังทำ..”  แซ็คก้มหน้าลงอย่างที่รู้สึกเจ็บปวดที่สุด
“นายรู้...” คำอุทานที่ออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นจะเป็นเรื่องจริง..
“ผมรู้มาตลอดเวลา...ระยะเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกัน..ผมรู้มาตลอด..ผมขอโทษ..” นี่แปลว่า..ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย..เธอต่างหากที่อวดเก่ง..

 


 ฉันเก็บของขึ้นรถซึ่งพ่อให้ปรัชญาขับไปส่งแล้วค่อยกลับเครื่องบินทีหลัง  นั่นก็คงเพราะท่านเป็นห่วงว่าฉันต้องเดินทางคนเดียวแต่ที่จริงแล้ว..มันน่าหนักใจกว่าการเดินทางไปคนเดียวเสียอีก...ฉันกลัวอย่างเดียวเท่านั้นเองในขณะนี้..กลัวหัวใจตัวเอง..กลัวว่าความจริงที่ฉันกำลังตามหาอยู่ในขณะนี้จะกลับกลายเป็นเรื่องที่ต้องห้าม...มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้วใช่ไหม..
“วันนี้เป็นอะไรนั่งเงียบมาตลอดทางเลย” ปรัชญาถามเมื่อเลยมาถึงครึ่งทางแล้ว  หญิงสาวหันมายิ้มจืด ๆ ให้
“ไม่มีอะไรหรอก  แค่มีเรื่องต้องคิดมากหน่อย  ฉันโตแล้วนี่นะนายอย่าห่วงเลย  ฉันไม่เป็นบ้าไปชกต่อยกับชาวบ้านเหมือนตอนเด็ก ๆ หรอก”  ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องสมัยเด็ก
“ใช่สิ  เธอมันจอมอันธพาลอยู่แล้วนี่  บางทีฉันก็อยากกลับไปเป็นเด็กไม่อยากโตเท่าไหร่ เพราะตอนเด็กฉันรู้สึกสนุกกับชีวิตไม่ต้องรู้สึก....อย่างที่เป็นอยู่”  ปรัชญานิ่งเหมือนชั่งใจกับสิ่งที่พูด  ถ้าเป็นเมื่อก่อนณภัทรอาจจะไม่รู้สึกอะไรแต่ตอนนี้เธอรู้ว่าคนที่นั่งข้าง ๆ รู้สึกอย่างไรกับเธอ  มันพลอยทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจไปด้วย
“แล้วนี่ร.ร.ที่เขารับเธอเนี่ยคิดดีแล้วใช่ไหม”
“ฉันมีความฝันนะว่าซักวันจะกลับไปหาสิ่งที่ฉันรักแม้ว่าจะเป็นได้แค่ครูเท่านั้นเอง....แต่ฉันก็คิดว่าฉันจะมีความสุขกับมันให้ได้..แล้วนายละฝันอะไรไว้บ้างหรือจะเป็นนักร้องอย่างนี้ต่อไปจนแก่ตาย” ปรัชญาเหมือนใจลอยไปกับคำถามของหญิงสาว
“ฉันไม่มีความฝันหรอก..ฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้เหมือนกัน..” ณภัทรมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกบางอย่าง  มันเหมือนมีเส้นใยบาง ๆ ดึงรัดเธอและเขาเอาไว้  แต่ความเป็นจริงก็คือความจริง ไม่มีใครสามารถทำให้มันเป็นอย่างที่ใจคิดได้เสมอไป 
 การเดินทางใช้เวลานานก็จริงแต่ในความยาวนานของเวลาก็ทำให้ณภัทรพอจะเข้าใจในตัวของปรัชญามากขึ้น  เขาพยายามที่จะทำตัวให้มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่เสมอแต่ทว่าบางครั้งเธอก็เห็นแววตาของความเศร้าอยู่ในตัวเขาเช่นกัน


 

 


 

 



 

 

หอมหัวใจใส่ครีม ตอน ทะเลหน้าหนาว..ความรักไม่ได้จากไป

 



 


ฮันจาเปิดประตูบ้านพักของปรัชญาหวังว่าจะชวนไปกินข้าวเช้าด้วยกันแต่รอนานแล้วชายหนุ่มก็ยังไม่ออกมาจนเกือบที่เธอจะหันหลังกลับอยู่แล้วประตูที่ปิดแน่นหนานั้นก็แง้มออกมาทำให้เธอหันไปอีกครั้ง   สีหน้าซีดเซียวของปรัชญาทำให้ฮันจาตกใจ ...????

 


“นายเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาส่ายหน้าแต่มีหรือเธอจะเชื่อ..

 


“ไม่เชื่อหรอก..หน้าซีดอย่างกับไก่ต้ม”

 


“แค่ยังไม่ได้นอน..” เขาบอกพร้อมกับเปิดประตูให้เธอเข้าไปในบ้าน ฮันจามองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้รกไปด้วยเศษกระดาษแล้วก็รูปถ่าย เปียโนตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง มันเหมือนโดดเดี่ยวและเงียบเหงาเหลือเกิน  ปรัชญาเมื่อเปิดประตูให้ฮันจาเข้ามาเขาก็ทิ้งตัวลงบนโซฟายาวเหมือนหมดแรง..เขาหมดแรงทั้งกายและหัวใจ..มันแทบจะไม่มีกำลังลุกขึ้นยืนเลยด้วยซ้ำ..

 


“งั้นเดี๋ยวฉันไปหาอะไรร้อน ๆ มาให้ดื่มนายจะดีขึ้น..อย่างน้อยเจ้าของร้านกาแฟก็มาเองนะเนี่ย” เธอบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้คนหน้าซีดตรงหน้า ฮันจาหายเข้าไปในครัวครู่เดียวก็ได้โกโก้ร้อนมาแก้วหนึ่ง  โชคดีที่เขาต้มน้ำไว้ซึ่งก็คงเสียบปลั๊กไว้นานแล้วเพราะน้ำเกือบจะแห้งอยู่แล้วถ้าเธอไม่เข้ามาคงได้มีเหตุไฟไหม้ขึ้นมาแน่นอน

 


“ขอโทษนะที่ทำให้ยุ่งยาก..”เขาบอกพร้อมกับจิบโกโก้ในแก้วที่รับมาจากมือเพื่อนสาว

 


“ไม่เป็นไร..เรามันก็เพื่อนกันมานานแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้สุงสิงกันเท่าไหร่..แต่ฉันก็เชื่อในมิตรภาพเสมอนะ” ปรัชญายิ้มถอนหายใจยาว

 


“ขอบใจนะ..ฉันเชื่อว่าเธอเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สมัยเรียนฉันเห็นเธอเข้ากับใครก็ได้แถมยังเป็นหัวโจกเพื่อน ๆเสียอีก..”ฮันจาหัวเราะเสียงใส

 


“นั่นมันอดีต..”

 


“แล้วนี่นายทำอะไร..รกไปหมด”เธอชี้ไปที่พื้น เขาถอนหายใจยาวก่อนจะตอบคำถาม

 


“ฉันกำลังพยายามแต่งเพลง..แต่ยังทำไม่ได้” เขาบอกฮันจามองดูแล้วท่าทางจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แววตาเศร้า ๆ ของปรัชญาทำให้เธอรู้สึกเศร้าไปด้วย..คนอะไรจะเศร้าได้ขนาดนั้น..

 


“แล้วทำไมไม่นอนหลับพักผ่อนซักพักค่อยตื่นขึ้นมาทำใหม่..บางทีมันอาจจะดีขึ้นนะ”

 


“ฉันทำไม่ได้หรอกฮันจา..พอหลับตาลงทีไร..ฉันก็จะเห็นภาพของผู้หญิงคนนั้น..”...คำว่าผู้หญิงคนนั้น..ทำให้เธอสะดุด..ทำไมปรัชญาถึงเรียกพี่สาวว่าผู้หญิงคนนั้น..?มันน่าแปลก..

 


“ฉันคิดถึงแต่เธอ..ถ้าเปลี่ยนกันได้ฉันน่าจะตายแทน..บางทีมันอาจจะเจ็บปวดน้อยกว่านี้ก็ได้..มันเจ็บมากนะฮันจา..เจ็บจนแทบอยากจะตัดหัวใจทิ้งไป..แทบไม่อยากมีลมหายใจเลยด้วยซ้ำ” ฮันจามองเพื่อนชายแล้วก็ถอนหายใจยาว..

 


“พี่สาวนายคงรู้สึกไม่ดีนักหรอกถ้านายทำตัวเองให้เป็นแบบนี้”เขาส่ายหน้าก่อนจะเอนตัวลงนอนราบกับโซฟายาวนั้น ฮันจาแอบมองเห็นคราบน้ำตาที่แก้มของชายหนุ่ม..ผู้ชายร้องไห้..เธอก็เพิ่งจะเคยเห็น..มีซักกี่เรื่องนะที่จะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้ออกมาได้..จะมีกี่เรื่องก็ตามแต่ทว่ามันก็คงจะหนักหนาอยู่เช่นกัน..

 


“เธอไม่ได้เป็นแค่พี่สาวของฉันหรอก...เธอเป็นมากกว่านั้น..เธอคือหัวใจของฉัน..คือความฝัน..คือทุกอย่าง..แม้แต่ชีวิตของฉันเอง..ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเธอ..ที่ผ่านมาหัวใจของฉันเต้นได้ก็เพราะภัทร..เธอคือคนที่ทำให้ฉันสามารถยืนอยู่บนโลกนี้ได้โดยไม่เจ็บปวด..เธอคือคนที่ทำให้ฉันนึกถึงลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา..ฉันเติบโตมาพร้อมกับการที่รู้ว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งต้องตายไปแน่ ๆ แต่เธอก็ทำให้มันเปลี่ยนไป..ฉันรักภัทร..รักมากกว่าชีวิตของฉันเอง..แม้แต่ความฝันในชีวิตของฉันก็คือเธอ..” ฮันจามองเพื่อนชายที่มีน้ำใส ๆ ไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง..รักอย่างนั้นหรือ..ความรักระหว่างพี่น้อง..หรือมากกว่านั้น..?..

 


“ภัทรเป็นลูกพ่อเลี้ยงของฉัน..ไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของฉันหรอก..เรารักกัน..มันเจ็บปวดตรงที่ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นพี่น้องต่างสายเลือด..ดังนั้นจึงไม่มีใครยอมให้เรารักกัน..แม้แต่พ่อกับแม่ของพวกเราเอง..เขาไม่ยอมเสื่อมเสียชื่อเสียง..อาจจะเป็นเพราะฉันเองด้วยซ้ำไปที่ทำให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้..ถ้าฉันไม่ใช่นักร้องที่ใคร ๆ ก็รู้จัก..ฉันอาจจะรักกับภัทรได้ง่ายกว่านี้..ภัทรยอมหลีกทางกับปัญหาทุกอย่าง..ฉันไปตามหาเธอทุกที่แต่ก็ไม่เจอ..จนฉันหัวใจวาย..ไม่คิดว่าสุดท้ายมันก็จบลงแบบนั้น...ภัทรเป็นคนให้หัวใจกับฉัน..เธอฆ่าตัวตายเพื่อให้ฉันอยู่ต่อไป..แต่เธอคงไม่รู้ว่าฉันจะอยู่ต่อไปได้ยังไงถ้าไม่มีเธอ..ฉันอยู่ไม่ได้ ตลอดชีวิตของฉันหัวใจฉันเต้นได้ก็เพราะเธอ..ฟังดูเหมือนละครไหมแต่นั่นคือเรื่องจริงที่ฉันพยายามคิดว่ามันคือฝันอยู่ตลอดเวลา..”ฮันจาฟังเพื่อนเล่าเสียงเครือส่วนเธอก็น้ำตาคลอ..ไม่คิดว่าบนโลกใบนี้จะมีความรักที่เจ็บปวดอย่างนี้เกิดขึ้นมา..มันเกิดขึ้นได้อย่างไร..หัวใจที่ต้องแลกด้วยหัวใจ..ความรักที่ต้องแลกด้วยความเจ็บปวด..

 


..ไม่รู้ว่าเวลานานแค่ไหนกันที่จะทำให้ความเจ็บปวดครั้งนี้ของปรัชญาลดลงไปได้..หรือว่าเขาอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำใจ...ทำให้หัวใจเต้นได้เป็นปกติ..เพื่อตัวเอง...

 



 



 



 

 


“จริง ๆ เราเจ็บปวดกับความรักเพราะมันยังอยู่กับเราไม่ได้จากไปไหน...ความรักที่คงอยู่มันทำให้เราเจ็บปวด”






Free TextEditor



Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 20 เมษายน 2553 17:48:31 น.
Counter : 671 Pageviews.

4 comment
อะไรที่ไม่ต้องมีกรอบ
ช่วงนี้เกือบเข้าหน้าร้อนแล้ว..ทั้ง ๆที่ปีที่แล้วช่วงนี้ยังเที่ยวภาคเหนือแบบหนาวได้ใจอยู่เลย..โลกร้อนขึ้นอย่างว่ากระมัง..

เกือบสองเดือนที่ไม่ได้ดูข่าว..จากที่เคยเป็นคนข่าว..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย..แต่กลับรู้สึกดีผิดคาด...สบายใจ..มีความสุขดี..

บางทีการที่เราร้อนรนกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนเกินไปก็ทำให้เราไม่มีความสุขต้องคอยคิดโน้นนี่อยู่เรื่อย..

เคยดูหนังเรื่องหนึ่งจำไม่ได้แล้วว่าชื่อเรื่องอะไรแต่พระเอกเป็นแฮกเกอร์..(ตัวเอก)..มันบอกกับพี่พระเอกจริง ๆว่า..การดูข่าวทำให้เราตื่นเต้นแล้วก็ต้องหาสิ่งของมาสนองความต้องการของตัวเอง..เพื่อให้ดีและดีกว่า..เพิ่มความอยาก..มานั่งคิด..ใช่ของมัน..สื่อมีอิทธิพลมาก..แม้แต่คนทำสื่อเองก้ยังตกเป็นเหยื่อเลย..

มองข้ามเรื่องข่าวกัน..ช่วงนี้ร้อนได้ใจ..วันนี้ได้โอกาสฟังเพลง..อย่างที่บอกเป็นคนชอบฟังเพลงไม่ว่าเชื้อชาติใด..ไม่เจาจง..ในส่วนลึกชอบฟังเพลงบรรเลงเวลาแต่งนิยาย..สร้างอารมณ์บางอย่าง...มันคิดได้เยอะกว่าการฟังที่มีเนื้อร้อง..แต่บางครั้งก็เอาเพลงที่มีเนื้อมาช่วยเสริมให้เข้มแล้วเข้าจุด..ข้ามเรื่องนี้ก่อน..เรื่องที่ตั้งใจอยากพูดคือ..ได้ฟังเพลงของ DEPAPEPE อีกครั้งหลังจากไปทำอะไรไม่รู้แล้วกลับมาฟังอีกที..รู้สึกเหมือนกลับมายืนในที่ๆเรารักอีกครั้ง..ความสุขมันไหลมาเป็นเพลง..ลอยตามเสียง..

มาลองจินตนาการปลดปล่อยความคิดกับเพลงพวกนี้ดูบ้าง..จะรู้สึกดี..สบายใจ..เหมือนอะไรที่ไม่ต้องมีกรอบ..

อาจจะนานแล้วแต่ก็อยากเอามาฝากกันคะ




Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 20 เมษายน 2553 17:28:30 น.
Counter : 383 Pageviews.

2 comment
เปลี่ยนชื่อดีไหม?
ตอนแรกว่าปีใหม่จะเปลี่ยนชี่อดีไหม(ชื่อจริงๆไม่ใช่นามปากกา)เพราะรู้สึกว่าชีวิตมันขึ้น ๆ ลง ๆยังไงไม่รู้..ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนเผื่อมันจะดีขึ้น..แต่ว่า..ระหว่างการค้นหาข้อมูลการเปลี่ยนชื่อก็ไปเจอ..บทความนี้เข้า..

****
มงคลที่ ๕

มีบุญวาสนามาก่อน - ชื่อนั้นสำคัญอย่างไร

บุคคลจะชื่อว่าชีวกหรืออชีวก คงตายเท่ากัน
ถึงจะชื่อ ธนปาลีหรืออธนปาลี ก็เป็นทุคคตะได้เหมือนกัน
ถึงจะชื่อ ปันถกะหรือ อปันถกะ ก็หลงทางได้เหมือนกัน
ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น
ความสำเร็จเพราะชื่อมิได้มีเลย แต่ความสำเร็จมีได้เพราะการกระทำเท่านั้น

การปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่สวนกระแสโลก เพราะกระแสโลกมีลักษณะหมุนไปตามกิเลส คือ โลภะ โทสะ และโมหะ จิตใจหมกมุ่นอยู่ในเบญจกามคุณทั้งหลาย ทำให้ไม่สามารถหลุดจากวัฏจักรเหล่านี้ไปได้ ส่วนการปฏิบัติธรรมเหมือนการทานยาขม จำต้องใช้ความอดทน และยึดมั่นในมโนปณิธานที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะสร้างบารมี ฝึกฝนตนเอง ให้มีกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย การทำสมาธิเจริญภาวนาให้ใจผ่องใสอยู่เสมอ จะทำให้เรามีกำลังใจในการสวนกระแสกิเลสที่คอยบังคับธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ ของเราเอาไว้ จะทำให้เรามีชัยชนะในการสร้างบารมีไปทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน อรรถกถานามสิทธิชาดก ความว่า

"บุคคลจะชื่อว่าชีวกหรืออชีวก คงตายเท่ากัน ถึงจะชื่อ ธนปาลีหรืออธนปาลี ก็เป็นทุคคตะได้เหมือนกัน ถึงจะชื่อ ปันถกะหรืออปันถกะ ก็หลงทางได้เหมือนกัน ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น ความสำเร็จเพราะชื่อมิได้มีเลย แต่ความสำเร็จมีได้เพราะการกระทำเท่านั้น"

ปัจจุบันนี้ มีค่านิยมเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อของตัวเองใหม่ เพื่อให้รู้สึกว่าทันยุคทันสมัย มีการเปลี่ยนอักขระให้ตรงกับวันเดือนปีที่เกิดบ้าง ด้วยคิดว่าจะได้เป็นมงคล บางท่านถูกหมอดูทักว่าชื่อของตัวเองเป็นกาลกิณี จะทำให้เกิดวิบัติถึงขั้นเสียชีวิตและทรัพย์สินได้ ต้องไปเปลี่ยนชื่อใหม่ จึงจะเป็นมงคล หรือ บางคนก็เปลี่ยนชื่อเป็นภาษาต่างประเทศบ้าง ปัญหาการเปลี่ยนชื่อใหม่นี้ เคยเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลเหมือนกัน

*ในสมัยพุทธกาล สามีภรรยาคู่หนึ่งเมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็ได้พยานรักเป็นลูกชาย จึงตั้งชื่อให้ลูกว่า ปาปกะ ซึ่งแปลว่า คนบาป เพราะยังนับถือความเชื่อเก่าๆ อยู่ว่า ถ้าหากตั้งชื่อที่เป็นมงคลแก่ลูกชายคนโต ลูกอาจไม่ปลอดภัย อาจถูกอมนุษย์หรือภูตผีปีศาจมาทำร้ายถึงขั้นเสียชีวิตได้

เพราะฉะนั้น หนูน้อยปาปกะเมื่อได้ชื่ออันไม่เป็นมงคลแล้ว ก็มักจะถูกเพื่อนๆ คอยล้อเลียนเป็นประจำ ครั้นเติบโตขึ้น ก็ได้ตัดสินใจบวชถวายชีวิตในพระพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ยังตั้งฉายาให้ว่า ปาปโก เหมือนเดิม เมื่อถูกเพื่อนสหธรรมิกเรียกชื่อว่า มาเถิดอาวุโส ปาปกะ หยุดเถิด อาวุโส ปาปกะ ก็คิดว่า ผู้ที่มีชื่อว่า ปาปกะ เขากล่าวกันว่า ลามก เป็นตัวกาลกิณีเราต้องให้พระอุปัชฌาย์หาชื่อที่เป็นมงคลอย่างอื่น จึงเข้าไปปรึกษาพระอุปัชฌาย์ว่า ชื่อของผมไม่เป็นมงคลเอา เสียเลย ขอพระอุปัชฌาย์เมตตาตั้งชื่อที่เป็นสิริมงคลให้กระผมด้วยเถิด กระผมจะได้ไม่ถูกเพื่อนสหธรรมิกล้อเลียน

พระอุปัชฌาย์ก็แนะนำว่า ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น ท่านไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ก็ได้ คนจะดีหรือเลว จะโง่หรือฉลาด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อ แต่ขึ้นอยู่กับคุณธรรม ความดี อยู่ที่การกระทำของบุคคลนั้นต่างหาก ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อ แต่ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายาม เธอจงพอใจในชื่อของตนเถิด

เมื่อพระอุปัชฌาย์ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ ปาปกภิกษุก็ยังคงอ้อนวอนและยืนกรานที่จะเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ได้ ข่าวนี้จึงเกิดแพร่กระจายไปในหมู่สงฆ์ ภิกษุสงฆ์จึงนำเรื่องนี้มาสนทนากันในโรงธรรมสภา เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาถึง ตรัสถามเรื่องที่ภิกษุสงฆ์กำลังคุยค้างเอาไว้ ครั้นทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ปาปกภิกษุปรารถนา จะเปลี่ยนชื่อใหม่ แม้ในกาลก่อน เธอก็ปรารถนาจะเปลี่ยนชื่อของตัวเองใหม่เหมือนกัน" จากนั้นทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าให้ภิกษุสงฆ์ฟังว่า

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ทำหน้าที่สอนมนต์ให้กับมาณพ ๕๐๐ คน ในเมืองตักสิลา มีลูกศิษย์ คนหนึ่งของท่าน พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่า ปาปกะ เมื่อรู้เดียงสาแล้ว ไม่พอใจชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ จึงหาโอกาสที่จะเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง แต่เพื่อนๆ หรือคนรู้จักมักคุ้นก็เรียกชื่อนี้กันจนคุ้นปากเสียแล้ว พอมามอบตัวเป็นลูกศิษย์ เล่าเรียนมนต์กับท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ก็อยากได้ชื่อที่เป็นสิริมงคลบ้าง เลยเข้าไปขอให้อาจารย์ ตั้งชื่อให้ใหม่

อาจารย์เป็นคนฉลาด แทนที่จะกล่าวห้ามลูกศิษย์ไม่ให้เปลี่ยนชื่อตรงๆ ก็เกรงว่าลูกศิษย์จะไม่พอใจ จึงได้แนะนำว่า ให้ลองออกเดินทางไปแสวงหาชื่อที่คิดว่าเป็นมงคลตามชนบทสักอาทิตย์หนึ่งดูก่อน ถ้าคิดว่าชื่อไหนเป็นมงคลแล้ว ก็จดจำเอาไว้ และให้นำมาบอก อาจารย์จะทำพิธีเปลี่ยนชื่อให้ใหม่

มาณพหนุ่มดีใจมากที่จะได้ชื่อใหม่ จึงรีบกลับไปที่พัก ตระเตรียมเสบียง แล้วออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามพระนครและชนบททันที ระหว่างทาง มาณพเจอชายคนหนึ่งชื่อว่า ชีวกะ แปลว่าบุญรอด ตายลงเพราะโรคร้าย หมู่ญาติกำลังหามเขาไปที่ป่าช้าพอดี จึงถามว่า ชายผู้นี้ชื่ออะไร

หมู่ญาติตอบว่า "ชื่อว่าชีวกะ พ่อหนุ่ม" ชายหนุ่มสงสัยว่า ในเมื่อเขาชื่อชีวกะหมายถึงนายบุญรอด ทำไมเขาจึงไม่มีชีวิตรอดเหมือนชื่อตัวเองล่ะ

พวกญาติก็ตอบว่า จะชื่อว่าบุญรอดหรือไม่รอด ก็ไม่รอดพ้นจากความตายทั้งนั้น ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น ซึ่งครั้งแรกที่มาณพหนุ่มได้ฟังชื่อนี้ ก็อยากได้พอดี แต่เมื่อได้เห็นได้ฟังแล้ว รู้สึกว่าลางไม่ดีเสียแล้ว ชักไม่ค่อยเป็นมงคล จึงเดินทางไปหาชื่อใหม่ เมื่อเดินทางต่อไป พร้อมกับความคิดที่จะเปลี่ยนชื่อให้ตัวเองอย่างไรดี ในที่สุดก็สรุปว่าตนอยากรวยเป็นเศรษฐี ถ้างั้นเศรษฐีก็ต้องมีชื่อเกี่ยวกับความมั่งมี จึงจะเป็นสิริมงคล เลยตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ธนบาล

ในระหว่างทางเห็นพวกนายทุน กำลังเฆี่ยนตีนางทาสี ชื่อว่า ธนปาลี ด้วยเชือกที่ประตู เพราะว่านางไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ย มาณพหนุ่มเกิดความสงสัย ก็เลยถามว่า ในเมื่อนางชื่อธนปาลี แล้วทำไมจึงไม่มีทรัพย์ให้กับพวกท่านล่ะ พวกนายทุนตอบว่า ชื่อธนปาลีเป็นเพียงการสมมติกันขึ้นมา แต่นางยากจน แม้เพียงดอกเบี้ยจะใช้คืนก็ไม่มี จะชื่อธนปาลีหมายถึงคนมั่งมีก็ดี จะชื่อ อธนปาลี หมายถึงคนจนก็ดี ต่างก็เป็นคนเข็ญใจได้ทั้งนั้น

มาณพหนุ่มฟังแล้วเกิดได้คิด ก็เลยล้มเลิกความคิดว่าจะชื่อ ธนบาล แต่ยังไม่ลดละความตั้งใจที่จะหาชื่อที่เป็นมงคล เขาออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับขบคิดหาชื่อเป็นร้อยๆ ชื่อทีเดียว บังเอิญว่าไปพบคนแปลกหน้า ซึ่งกำลังหลงทาง พอตัวเองบอกหนทางแล้ว จึงอยากตั้งชื่อว่า ปันถกะ แปลว่า ผู้ชำนาญในเส้นทาง แต่ก่อนจากกัน ได้ไต่ถามคนหลงทางว่า ชื่ออะไร เผื่อว่ามีโอกาสพบกันครั้งต่อไป จะได้ทักทายกันได้ถูกต้อง พอทราบว่าชื่อปันถกะเท่านั้นแหละ มาณพหนุ่มก็อึ้งไปชั่วครู่ พร้อมกับสอนตัวเองว่า จะชื่อปันถกะหรืออปันถกะก็หลงทางได้เหมือนกัน จึงรู้สึกปล่อยวางในเรื่องที่จะตั้งชื่อใหม่

จากนั้นก็เดินทางกลับไปหาพระโพธิสัตว์ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ธรรมดาคนเราถึงจะชื่อว่าชีวกหรืออชีวก คงตายเท่ากัน ถึงจะชื่อ ธนปาลี หรืออธนปาลี ก็เป็นมหาทุคคตะได้เหมือนกัน ถึงจะชื่อปันถกะหรืออปันถกะก็หลงทางได้เหมือนกัน ชื่อเป็นเพียงบัญญัติสำหรับเรียกกันเท่านั้น ความสำเร็จเพราะชื่อ มิได้มีเลย ความสำเร็จมีได้เพราะการกระทำเท่านั้น พอกันทีเรื่องชื่อสำหรับกระผม กระผมขอใช้ชื่อปาปกะตามเดิมดีกว่า

เราจะเห็นว่า ชื่อเป็นเพียงสรรพนามใช้เรียกขานกันเท่านั้นเอง ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเวลาเปลี่ยนใหม่ การไม่เปลี่ยนชื่อใหม่ นอกจากจะได้ชื่อว่าไม่หลงไปตามกระแสนิยม ไม่งมงายในเรื่องฤกษ์ยาม ไม่เอาชื่อตัวเองมาทำให้ตัวสับสนแล้ว ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อพ่อแม่ที่ตั้งชื่ออันทรงเกียรติให้กับเราอีกด้วย ให้พอใจในชื่อที่เรามีอยู่

หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ยุ่งยากเสียเวลา เอาเวลาไปทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ คือ สั่งสมบุญเพิ่มเติมให้กับตัวเองเอาไว้มากๆ จะดีกว่า เพราะการจะประสบความสำเร็จ ในชีวิตหรือไม่นั้น อยู่ที่ได้เคยสั่งสมบุญเก่ามาดีหรือไม่ อีกทั้ง จะชื่ออะไรก็ตาม ถ้าเราหมั่นคิด พูด ทำแต่สิ่งที่ดีๆ ทำความดีจนคุ้น แล้วความเป็นสิริมงคลก็จะบังเกิดขึ้นกับเราเอง


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*****
...เอ่อ..ไม่เปลี่ยนดีกว่า..แม้ว่าชื่อที่ได้นี้คือ..ชื่อของพยาบาลที่ทำคลอดก็ตาม..



Create Date : 31 ธันวาคม 2552
Last Update : 31 ธันวาคม 2552 11:04:06 น.
Counter : 697 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  

ดนตรีในสายลม
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ฟังดนตรีไม่มีเสียงร้อง..บ่นเป็นตัวหนังสือมากกว่าพูด..