การจัดการการเรียนรู้แบบบ้านเรียน
ด.ช. ตะวัน โตเจริญธนาผล
เกิดวันที่ 4 เมษายน 2545 อายุ 8 ปี
บิดา อายุ 46 ปี การศึกษา ป.ตรี วิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ป. โท MIM มธ. อาชีพ การตลาด (บริษัทเอกชน)
มารดา อายุ 39 ปี การศึกษา ป.ตรี วิทยาศาสตร์ มหิดล ป. โท Sasin จุฬาฯ อาชีพ แม่บ้าน
เหตุผลที่เลือกทำ homeschool
แม้ว่าลูกจะอยู่โรงเรียนนานาชาติที่ใกล้บ้านมาตั้งแต่เล็ก มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ครูและเพื่อนโดยรวมก็ดี แต่เราก็ยังเห็นว่าในเมื่อสามารถเลือกได้และมีศักยภาพที่จะทำได้ เราก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ครอบครัวของเรา เนื่องจากลูกรู้สึกเบื่อหน่ายมากกับการไปโรงเรียน และการต้องทนนั่งนิ่งๆ เงียบๆ ฟังครูสอนในเรื่องที่ไม่น่าสนุก ไม่น่าสนใจสำหรับเขา เป็นเวลานานๆ และยังต้องเสียเวลาเรียนเนื้อหาตามหลักสูตรต่างประเทศซึ่งหลายๆอย่างไม่เกี่ยวข้องกับคนไทยและสังคมไทย แถมยังได้เล่นน้อย อาหารกลางวันไม่ถูกปาก อาหารเช้าก็ต้องทานในรถ ทานได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตอนเย็นก็เหนื่อย หิวโซ ทานอาหาร junk food ระหว่างทางกลับบ้าน ไม่ชอบทำการบ้าน ต้องเข้านอนทั้งที่ยังไม่ง่วง รีบตื่นแต่เช้าทั้งที่ยังง่วงอยู่ เพื่อเข้าสู่วงจรเดิมๆทุกวัน ทำให้ลูกตั้งตารอวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อจะได้เล่นอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ระบบโรงเรียนทั่วไป ยังมีการเปรียบเทียบ แข่งขันกันเป็นเรื่องปกติ และสร้างแรงจูงใจเด็กด้วยรางวัลและการลงโทษ ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่ก็ขัดกับแนวความคิดที่ครอบครัวเราต้องการในการเลี้ยงดูลูก ทั้งยังบั่นทอนความกระตือรือร้น และความรักในการเรียนรู้ของเด็กด้วย
การทำ homeschool จะช่วยให้ลูกมีความสุขกับชีวิตวัยเด็กมากขึ้น มีเวลา มีอิสรภาพ ได้เล่น และได้รับการสนับสนุนในการค้นหาและพัฒนาศักยภาพเฉพาะตัวอย่างเต็มที่ โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง ในบริบทที่เอื้อต่อการเรียนรู้และสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กมากกว่า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ความสนุกสนาน อันมีผลโดยตรงต่อการเรียนรู้และความรักในการเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจในระยะยาว นอกจากนี้ยังได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับพ่อแม่และครอบครัวมากขึ้น เสริมสร้างความมรัก ความอบอุ่น และซึมซับคุณค่าต่างๆที่สำคัญต่อชีวิต ที่ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะได้รับจากโรงเรียนอีกด้วย และเป็นการเตรียมตัวเด็กของเราให้พร้อมที่สุดกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความก้าวหน้า และความเสื่อมถอยอย่างรวดเร็วของโลก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในทุกๆด้าน
แนวทางการทำ homeschool
จะเริ่มทำ homeschool อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2553 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีการศึกษาถ้ายังอยู่ในโรงเรียนเดิม โดยเทียบเท่ากับขึ้น ป. 3 และในปีแรกนี้ เพื่อปรับเวลาให้ตรงกับโรงเรียนหมู่บ้านเด็กที่ลงทะเบียนไว้ จะจบ ป. 3 ในเดือน กพ. - มีค. 2554 โดยได้วางแนวทางในการจัดบ้านเรียนไว้ดังนี้
ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เรียนรู้บนพื้นฐานความชอบ ความสนใจ บุคลิกภาพ ความถนัด temperament ช่วงวัย พัฒนาการทางกาย จิตใจ อารมณ์ ความคิด และจัดให้สอดคล้องกับ life style จุดแข็ง และข้อจำกัดของครอบครัวด้วย
สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่เป็นมิตร ผ่อนคลาย (mode ปกติ vs mode ปกป้อง) สนุกสนาน น่าสนใจ ช่วยให้อยากเรียนรู้ เข้าใจง่าย จดจำได้ดี ได้นาน นำไปใช้ได้ โดยมีแม่เป็นผู้จัดการศึกษาหลักด้วยความรัก ความเข้าใจ
ใช้แนวการศึกษาแบบองค์รวม เชื่อมโยงกาย, อารมณ์, สติปัญญา, จิตวิญญาณ และพัฒนาสมองทั้งสองด้าน เน้นความสนุกสนาน ซึ่งเป็นปัจจัยทางอารมณ์ที่สำคัญต่อการเรียนรู้ ใช้การเคลื่อนไหวร่างกาย, ปัญญาปฎิบัติ, hands on experience, ดนตรี, โยคะ, สมาธิ, brain gym ฯลฯ
ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ใช้หนังสือที่ให้ความรู้ อ่านเพลิน มีภาพ สีสัน เหมาะกับวัย รวมทั้งหนังสือประเภท life book ที่ไม่ได้เป็นเพียงข้อเท็จจริง แต่มีชีวิตชีวา ปลุกเร้าความคิด สร้างแรงบันดาลใจ อ่านกันทุกวัน ทั้งอ่านให้ฟังและอ่านเอง ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ, ทำ reading log
การเรียนรู้แขนงต่างๆ ยกเว้นคณิตศาสตร์ และ ภาษา จะเรียนรู้ผ่านหน่วยการเรียนรู้ย่อยเป็นเรื่องๆ (unit study) ตามแต่ความสนใจในแต่ละช่วง ซึ่งสามารถเชี่ือมโยงองค์ความรู้ไปสู่วิชาต่างๆได้ มีความยากง่าย ความลึกของเนื้อหา ความยาว และระยะเวลาในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน ขึ้นกับความสนใจของเด็กในขณะนั้น โดยจัดสรุปสิ่งที่สำคัญที่ได้เรียนรู้ไป ในรูปแบบของ lapbook ซึ่งจะใช้เป็น portfolio การเรียนรู้ในแต่ละปีด้วย
มีการจัดตารางเวลาเรียนส่วนหนึ่ง (structured class) คือ เลข และ ภาษา (ไทยและอังกฤษ) เนื่องจากต้องใช้เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ด้านอื่นและในการดำเนินชีวิต โดยโครงสร้างตารางเวลาเรียน และกิจกรรมต่างๆ จะมีคร่าวๆ และปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นได้ ไม่แน่นเกินไป
ช่วงปีแรกจะเน้นภาษาไทยมากหน่อย เนื่องจากลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติมา ทำให้ภาษาไทยไม่่ค่อยคล่อง ส่วนภาษาอังกฤษพื้นฐานดีอยู่แล้ว จะเรียนเสริมกับครูเจ้าของภาษาเป็นการส่วนตัว เพื่อรักษาและพัฒนาระดับความรู้ภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่การพัฒนาการฟัง พูด อ่าน เขียน ทั่วไป ให้ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเสมือนยังอยู่ในโรงเรียนนานาชาติ
มีการใช้สื่อ edutainment ต่างๆ เช่น online interactive lesson, vcd, computer game, board game ฯลฯ ตามความเหมาะสม
อาจมีการเรียนเสริมจากภายนอกเฉพาะด้านที่เด็กสนใจ เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ IT ฯลฯ
เข้าค่าย, ทัศนศึกษา, outing, play date, เยี่ยมญาติ, ท่องเที่ยว เพื่อเสริมสร้างการเข้าสังคม และการเรียนรู้ ซึ่งการที่เด็กได้พบเจอผู้คนที่แตกต่าง หลากหลาย ทั้งเด็กรุ่นเดียวกันและต่างรุ่นกัน รวมทั้งผู้ใหญ่ จะช่วยพัฒนาทักษะการเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี แม้ว่าในจุดนี้จะมีคนส่วนใหญ่เป็นห่วงกันมากก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ส่งเสริมการออกกำลังกาย เช่น free play, ว่ายนำ้, ตีแบดฯ, เล่่นบาส, ขี่จักรยาน ฯลฯ
Free TextEditor
Create Date : 18 กันยายน 2553 |
Last Update : 25 ธันวาคม 2553 21:17:41 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1125 Pageviews. |
|
มีวุฒิใช่ป่าวคะ