I've got a file on you.

ภาษาในการทำสนธิสัญญา




คัดลอกจากเวปไซด์ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ around the world 03/03/49

**************************************************

ภาษาในการทำสนธิสัญญา


คอลัมน์ถามตอบรอบโลกของเราในวันนี้ เป็นคำถามจากคุณ Dek•Zen ที่เคยได้ยินมาว่าการทำสนธิสัญญาต่างๆนั้น จะใช้ภาษาฝรั่งเศสเพียงภาษาเดียวเท่านั้น เพราะเป็นภาษาที่บิดเบือนไม่ได้ ทางคุณ Dek•Zen จึงได้ขอให้เรามาช่วยคลายปัญหาข้อนี้ให้ ซึ่งเราก็พร้อมและเต็มใจตอบปัญหาทุกคนเสมอ แม้ว่ามันจะยากลำบากเพียงไหนก็ตาม

ก่อนจะรู้คำตอบเรามารู้กันก่อนดีกว่าว่า สนธิสัญญา (treaty) คืออะไร ตามอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 สนธิสัญญาเป็นคำที่มีความหมายทั่วไป (generic term) หมายความว่า สัญญาที่ทำระหว่างบุคคลระหว่างประเทศ (รัฐ รัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ) ก่อให้เกิดสิทธิและพันธกรณีระหว่างกันภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงมักจะเป็นคำที่ใช้สลับหรือแทนกันได้ในความเข้าใจของบุคคลทั่วไป

หากจะเปรียบเทียบกับสัญญาตามกฎหมายภายใน สัญญา หมายความว่า สัญญาที่ทำระหว่างบุคคลธรรมดา นิติบุคคล ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกัน แต่ที่ต่างกันคืออยู่ภายใต้บังคับกฎหมายภายในประเทศของประเทศนั้น ๆ

ในประเด็นชื่อของสนธิสัญญานั้น เนื่องจากสนธิสัญญาเป็นคำที่มีความหมายทั่วไป ดังนั้น สนธิสัญญาจึงอาจมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป อาทิ ความตกลง (agreement) ข้อตกลง (arrangement) บันทึกความเข้าใจ (memorandum of understanding) บันทึกความตกลง (memorandum of agreement) พิธีสาร (protocol) อนุสัญญา (Convention) ฯลฯ อย่างไรก็ดี ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม หากเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายก็ถือเป็นสนธิสัญญาทั้งสิ้น

การที่มีการเรียกชื่อสนธิสัญญาต่าง ๆ กัน มีเหตุผลหลายประการด้วยกัน อาทิ เป็นทางปฏิบัติของบางประเทศ หรือกลุ่มประเทศ ที่จะแบ่งกลุ่มสนธิสัญญา ตามความสำคัญ หรือเพื่อที่จะกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาขั้นตอนการทำสนธิสัญญาในลักษณะที่แตกต่างกันตามกระบวนการกฎหมายภายใน เช่น หากเรียกชื่อเป็นบันทึกความเข้าใจ ก็อาจไม่จำเป็นต้องเสนอต่อรัฐสภา แต่หากเรียกชื่อว่า สนธิสัญญา หรือ ความตกลง ต้องผ่านกระบวนการให้ความเห็นชอบของรัฐสภา เป็นต้น ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเรื่องความสะดวก หรือหลีกเลี่ยงปัญหาการอภิปรายทางการเมือง

สำหรับประเทศไทย ไม่ยึดถือแนวปฏิบัติดังกล่าวข้างต้นแต่จะพิจารณาเนื้อหาสาระ และพันธกรณีที่จะมีขึ้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในการจัดทำบันทึกการหารือในรูปแบบของบันทึกการเจรจา (Agreed Minutes) หรือบันทึกการหารือ (Record of Discussion) ปกติจะไม่ใช่สนธิสัญญา เนื่องจากยังไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีระหว่างกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนการจัดทำแถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration) โดยทั่วไปจะเป็นถ้อยแถลงทางนโยบายซึ่งอาจก่อให้เกิดข้อผูกพันทางการเมือง (Political Commitment) แต่ยังไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศจึงไม่ถือเป็นสนธิสัญญาเช่นกัน แต่เนื่องจากแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมีนัยที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (7)

สุดท้าย สำหรับเรื่องของภาษาที่ใช้ในการทำสนธิสัญญานั้น ต้องขอบอกว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คุณ Dek•Zen ได้ยินมา เนื่องจากหากเป็นการทำสนธิสัญญาแบบทวิภาคี (ระหว่าง 2 ประเทศ) ยกตัวอย่างเช่น ไทยทำกับฝรั่งเศส ก็จะมีการทำสนธิสัญญาออกมาเป็น 3 ภาษาด้วยกัน คือ ภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศสอันเป็นภาษาของประเทศผู้ทำสนธิสัญญา ส่วนอีกภาษาจะเป็นภาษากลางซึ่งมักจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่หากเป็นการทำสนธิสัญญาแบบพหุภาคี (หลายประเทศ) ก็จะมีการแปลออกไปเป็นภาษาทางการขององค์การสหประชาชาติซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 6 ภาษาคือ จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อาระบิก รัสเซีย กระนั้น แม้ว่าภาษาทั้ง 6 จะมีความเท่าเทียมกัน แต่ในแวดวงของนักกฎหมายแล้วจะนิยมภาษาฝรั่งเศสมากที่สุด เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความชัดเจนตายตัวมากที่สุดนั้นเอง

*ข้อมูลจาก กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ*





 

Create Date : 06 มีนาคม 2549   
Last Update : 6 มีนาคม 2549 12:29:04 น.   
Counter : 759 Pageviews.  

แขกมัวร์ VS แขกจาม



คัดลอกจากเวปไซด์ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ around the world 01/03/49

***************************************************


แขกมัวร์ VS แขกจาม

คุณกอล์ฟส่งอีเมลเข้ามาให้ช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับพวกแขกมัวร์ และแขกจามว่าเป็นใครมาจากไหน มีถิ่นฐานอยู่ที่ใดบนแผนที่โลก คำถามเกี่ยวกับเรื่องข้อสงสัยในต่างแดนแบบนี้ ทางถามตอบรอบโลกไม่เกี่ยงอยู่แล้วที่จะนำมาชี้แจงแถลงไขในคอลัมน์

สำหรับแขกมัวร์นั้นเป็นชาวมุสลิมที่มีถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่อดีตเรียกว่าอันดาลุส คือในบริเวณแอฟริกาตอนเหนือ และบางส่วนของสเปน และโปรตุเกสในปัจจุบัน คนที่มีเชื้อชาติมัวร์นี้จะพูดภาษาอาหรับสำเนียงฮาซานียะห์ และในปัจจุบันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศมอริเตเนีย

ในความเป็นจริงแขกมัวร์ไม่ใช่มุสลิมจากแอฟริกาที่มีผิวขาวเพียงอย่างเดียว แต่แขกมัวร์ก็ยังมีคนที่มีผิวดำด้วยเช่นกัน ซี่งมัวร์ขาวนั้นเป็นชนชาติดั้งเดิมที่มีบรรพบุรุษมาจากพวกเบอเบอร์ ส่วนพวกมัวร์ดำนั้น ในอดีตเคยเป็นทาสให้กับแขกมัวร์ขาว แต่ภายหลังได้เปลี่ยนภาษาและศาสนาตามเจ้านาย

พวกมัวร์เคยมีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ในค.ศ.ที่ 711 ตอริก อิบนุ ซิยาดนำทัพข้ามช่องแคบยิบรอลตา ไปขึ้นฝั่งทวีปยุโรป และขยายดินแดนเข้าไปถึงทวีปยุโรป ทำให้ในบริเวณทวีปยุโรปตอนใต้เคยเป็นดินแดนของจักรวรรดิมุสลิม ที่มีการบังคับใช้กฎหมายอิสลามอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

ส่วนแขกจามนั้น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตระบุไว้ว่า จามคือชื่อชนชาติหนึ่ง ปัจจุบันมีถิ่นฐานอยู่ในเขตเวียดนามตอนใต้ นอกจากนี้นักมานุษยวิทยายังรวมไปถึงบริเวณกัมพูชาด้วยเช่นกัน ขณะที่แขกจามก็หมายถึงคนมุสลิมที่มีเชื้อชาติจาม ซึ่งคนส่วนใหญ่ของชนชาติจามจะนับถือศาสนาอิสลามมากถึง 85%

ในปัจจุบันชนชาติจาม เป็นชุมชนมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ในเวียดนาม ซึ่งจะอาศัยอยู่ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ขณะที่ในกัมพูชาเองก็มีจังหวัดกัมปงจาม ซึ่งหาแปลตามความหมายแล้วก็คือหมู่บ้านของชาวจามนั่นเอง

สำหรับชนชาติจามนั้น เป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากคนในอาณาจักรจำปาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในยุคศตวรรษที่ 9 อาณาจักรจำปามีความยิ่งใหญ่มากที่สุด ซึ่งในอดีตชนชาติจามนับถือศาสนาฮินดู แต่เมื่อภายหลังได้ทำการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าอาหรับ จึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์ยังเชื่อว่าชนชาติจามน่าจะมีบรรพบุรุษมาจากแถบมาเลเซีย เนื่องจากมีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านภาษา แม้แต่ในปัจจุบัน มาเลเซียเองยังถือว่าคนเชื้อชาติจามที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศนั้น มีสิทธิ์เทียบเท่ากับพวกชาวมาเลย์ ตามนโยบายภูมิปุตรา

แม้แต่ในไทยเองก็มีชุมชนชาวจาม อาศัยอยู่เช่นกัน โดยตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณมัสยิดบ้านครัว เขตปทุมวัน กทม. ซึ่งชุมชนแขกจามนี้ มีฝีมือในด้านการทำผ้าไหม จนจิม ทอมป์สันเห็นฝีมือที่ยอดเยี่ยม จึงนำผ้าไหมจากชุมชนแห่งนี้ ไปตีตลาดจนได้รับความนิยมไปทั่วโลก




 

Create Date : 06 มีนาคม 2549   
Last Update : 6 มีนาคม 2549 12:27:09 น.   
Counter : 1268 Pageviews.  

โรมัน อับราโมวิช : จากเด็กกำพร้าสู่อภิมหาเศรษฐี




คัดลอกจากเวปไซด์ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ around the world 02/03/06

***********************************************


โรมัน อับราโมวิช : จากเด็กกำพร้าสู่อภิมหาเศรษฐี


คอลัมน์ถามตอบรอบโลกวันนี้ เราได้รับคำถามจากคุณ นู๋แพร ที่ต้องการทราบประวัติของ โรมัน อับราโมวิช เจ้าของทีมเชลซีที่กำลังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเราพร้อมที่จะช่วยตอบปัญหาให้กับทุกท่านเสมอ

โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีพ่อค้าน้ำมันชาวรัสเซียผู้นี้เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1966 ที่เมืองซะราตอฟ ตั้งแต่ยุคที่ยังเป็นสหภาพโซวียต ซึ่งในเดือนมีนาคม 2005 ทางนิตยสารฟอร์บส์ได้จัดให้เขาเป็นชาวรัสเซียผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศ และเป็นผู้ที่ร่ำรวยลำดับที่ 21 ของโลก ด้วยทรัพย์สินที่คาดกันว่าน่าจะมีอยู่ 13,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (โดยทุกคนที่ร่ำรวยกว่าเขานั้นมีอายุมากกว่าเขาทุกคน)

สิ่งที่ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักกันภายนอกประเทศรัสเซียคือ การที่เขาเข้าไปเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเชลซี แห่งอังกฤษ และการที่เขาทุ่มเทเงินให้กับองค์กรของชาวยิว ทั้งที่อยู่ในอิสราเอลและที่อื่นๆ เนื่องจากเขามีเชื้อสายชาวยิว

ในวัยเด็กอับราโมวิชต้องสูญเสียแม่เมื่ออายุได้เพียง 18 เดือน และเมื่ออายุได้เพียง 4 ปี ก็ต้องเสียพ่อไปจากอุบัติเหตุ ทำให้เขาต้องไปอยู่กับลุงที่สาธารณรัฐปกครองตนเองโคมิ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซียในปัจจุบัน ท่ามกลางชีวิตที่ยากลำบาก ในเวลาต่อมา เขาถูกเกณฑ์ให้เข้าเป็นทหาร ประจำกองกำลังภาคพื้นดิน แห่งกองทัพโซเวียต

หลังจากออกจากราชการแล้ว ในปี 1992 อับราโมวิชจึงเริ่มงานด้านการค้าเมื่อปี 1992 ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ชื่อ โบริส เบเรซอฟสกี โดยในช่วงปี 1992-1995 เขาได้ตั้งบริษัทขึ้นมาถึง 5 แห่งด้วยกัน โดยเขาจะทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางเป็นส่วนใหญ่

สาเหตุสำคัญที่ทำให้โรมัน อับราโมวิช ร่ำรวยขึ้นเป็นอย่างมากนั้น มาจากการที่เขาเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทของภาครัฐ ที่ถูกแปรรูปเป็นบริษัทเอกชน เมื่อช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ในราคาที่แสนถูก ซึ่งผู้ที่คอยช่วยเหลือเขาก็คือ อดีตประธานาธิบดี โบริส เยลต์ซิน และ โบริส เบเรซอฟสกี เพื่อนของเขานั้นเอง โดยเขาได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ซิบเนฟต์ บริษัทค้าน้ำมันรายใหญ่ และ รุสอัล บริษัทผู้ผลิตอลูมินัมอันดับ 2 ของโลก นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในอีกหลายบริษัท อย่างไรก็ตาม ในปี 2005 อับราโมวิชได้ขายหุ้นของเขาในซิบเนฟต์และรุสอัลออกไป

สำหรับเส้นทางการเมืองของอับราโมวิชนั้น ในปี 1999 เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาดูมาแห่งรัสเซีย โดยเขาเป็นส.ส.จากเขตปกครองตนเองชูคอตคาอันยากไร้ ดังนั้น เขาจึงริเริ่มโครงการช่วยเหลือประชาชนที่นี่ โดยเฉพาะเด็กๆ จากนั้นในเดือนธันวาคม 2000 เขาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการแห่งชูคอตคา ซึ่งตัวเขาได้ทุ่มเงินหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯในการพัฒนาที่นี่ให้ดีขึ้น โดยสิ่งที่เขาได้ตอบแทนก็คือ การใช้ชูคอตคาเป็นที่เลี่ยงภาษีให้กับบริษัทซิบเนฟต์ และยังเข้ามาสำรวจขุดเจาะน้ำมัน

แม้ว่าอับราโมวิชจะประกาศว่า เขาจะไม่ลงเลือกตั้งผู้ว่าการอีกครั้งหลังจากที่เขาจะหมดวาระในปี 2005 แต่เนื่องจากประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน ได้แก้กฎหมายให้ยกเลิกการเลือกตั้งผู้ว่าในระดับภูมิภาคไป ทำให้ในวันที่ 21 ตุลาคม 2005 เขาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการอีกสมัยหนึ่ง

ในด้านวงการกีฬา เสี่ยรัสเซียคนนี้ได้เข้ามาซื้อสโมสรเชลซีไปเมื่อปี 2003 จนเขากลายเป็นคนดังไปในทันที และสื่อในอังกฤษต่างล้อเลียนทีมเชลซีในยุคของเขา ด้วยการเปลี่ยนชื่อทีมมาเป็น “เชลสกี” ซึ่งฟังดูเป็นภาษารัสเซีย

ในปี 2004 เศรษฐีหมีขาวรายนี้ยังให้บริษัทซิบเนฟต์เข้าไปเป็นผู้สนับสนุนให้กับทีมฟุตบอล ซีเอสเคเอ มอสโก เป็นเวลา 3 ปี ด้วยการทุ่มเงิน 58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งหลายฝ่ายวิจารณ์ว่า การที่เขาทำเช่นนี้เป็นเพราะเขาต้องการแก้คำครหาที่ว่า เขาเป็นพวกไม่รักชาติ เนื่องจากหนีไปซื้อทีมฟุตบอลชาติอื่น กระนั้น การได้เงินมาอุดหนุนครั้งนี้ทำให้ทีม ซีเอสเคเอ มอสโก กลายเป็นแชมป์ยูฟาคัพไปได้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมรัสเซียเพียงทีมเดียวที่สามารถชนะในรายการใหญ่ของยุโรปได้

ความจริงแล้ว ทางการรัสเซียได้ติดตามการกระทำผิดกฎหมายของอับราโมวิชมาโดยตลอด แต่มีข่าวลือกันว่า การที่เขาไม่เคยถูกลงโทษนั้นเป็นเพราะ เขาได้รับการปกป้องจากอดีตประธานาธิบดี โบริส เยลต์ซิน นอกจากนั้น การที่เขาขายหุ้น 72.663% ของซิบเนฟต์ให้กับบริษัทกัซพรอมของรัฐบาลรัสเซียเมื่อเดือนกันยายน 2005 นั้น แสดงให้เห็นว่า เขายังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับปูติน ไม่เหมือนกับกรณีของอภิมหาเศรษฐีอีกคนคือ มีฮาอิล โฮดอร์ฮอฟสกี เจ้าของบริษัทน้ำมันยูคอส ที่ถูกทางการสั่งจำคุก 9 ปี ข้อหาเลี่ยงภาษี โดยเชื่อกันว่า การต้องติดคุกครั้งนี้เป็นเพราะเขาไม่ยอมร่วมมือกับวลาดีมีร์ ปูติน นั้นเอง




 

Create Date : 06 มีนาคม 2549   
Last Update : 6 มีนาคม 2549 12:24:01 น.   
Counter : 767 Pageviews.  

ทำไมตัวอักษรในแป้นพิมพ์ถึงไม่เรียงเป็น A B C


คัดลอกจากเวปไซด์ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ around the world 22/02/49

**********************************************

ทำไมตัวอักษรในแป้นพิมพ์ถึงไม่เรียงเป็น A B C


คอลัมน์ถามตอบรอบโลกของเราในวันนี้เป็นการไขปัญหาให้กับคุณ Kazami Hayato ที่สงสัยว่า ทำไมตัวอักษรในแป้นพิมพ์ทั้งของเครื่องพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ ถึงไม่เรียงกันตามลำดับอักษรเช่น A B C และเมื่อมีคำถามที่น่าสนใจอย่างนี้ มีหรือที่เราจะไม่มาตอบให้หายคาใจ

สำหรับการเรียงอักษรบนแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียงที่เรียกว่า QWERTY (คิวเวอร์ตี้) ที่เรียกกันอย่างนี้เพราะเป็นการนำอักษร 6 ตัวแรก(เมื่อนับจากซ้ายมาขวา) ของแป้นพิมพ์ที่เป็นตัวอักษรแถวบนมาต่อกัน และถ้าหากจะถามว่าทำไมถึงต้องเรียงแบบนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปในอดีตกันซะหน่อย

การเรียงลำดับอักษรของแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น มีที่มาจากข้อจำกัดที่เกิดกับเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกๆ ที่ยังจัดแป้นพิมพ์แบบเรียงตามลำดับตัวอักษรคือ เมื่อคนที่พิมพ์ดีดได้คล่องและเร็วมาพิมพ์จะทำให้ก้านพิมพ์ดีดขัดกันอยู่เสมอ ต่อมา คริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรกและได้รับสิทธิบัตรในปี 1868 จึงทำการเรียงลำดับตัวอักษรเสียใหม่ด้วยการแยกตัวอักษรที่มักใช้มาผสมเป็นคำร่วมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์ เพื่อทำให้นักพิมพ์ดีดพิมพ์ได้ช้าลงกว่าเดิม จะได้ไม่เกิดปัญหาก้านพิมพ์ขัดกันอีก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกผู้คนยังคงไม่นิยมเครื่องพิมพ์ดีดของเขามากนัก ทำให้โชลส์ตัดสินใจขายสิทธิบัตรดังกล่าวให้กับทางบริษัท เรมิงตันอาร์มคอมพานี ในปี 1973 ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ทางเรมิงตันผลิตเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่าย ความนิยมในตัวเครื่องพิมพ์ดีดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ในเวลาต่อมา ปรากฏว่ามีผู้พยายามจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เป็นแบบต่างๆ ซึ่งแบบที่ได้รับความนิยมมากหน่อยก็อย่างเช่น แบบ DVORAK ซึ่งเคยมีการบอกกล่าวกันว่าการเรียงในรูปแบบนี้จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้น จนทางห้างร้านบริษัทหลายแห่งเริ่มนิยมกันอยู่พักหนึ่ง แต่ว่าในปี 1956 ทาง General Services Administration ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่หน่วยงานอื่นๆของรัฐ ได้ทำการศึกษาการจัดแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบ และก็พบว่า การจัดแบบ QWERTY นั้น ทำให้พิมพ์ได้เร็วเท่ากับหรือมากกว่าแบบ DVORAK ทำให้ความนิยมของการจัดแป้นพิมพ์แบบ DVORAK ลดลงไป

ทั้งนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ปัจจุบันเราก็ไม่ได้นิยมใช้พิมพ์ดีดแบบเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องก้านพิมพ์ขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อไป แล้วทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แป้นพิมพ์แบบเรียงตามตัวอักษรเหมือนก่อน ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้หลายคนคงพอเดากันได้ว่าเป็นเพราะ เราคุ้นเคยและเคยชินกับแบบ QWERTY จนไม่อยากจะกลับไปเสียเวลาเริ่มนับหนึ่งกับแบบเดิมเสียแล้ว


********************************************

หมายเหตุ - รูปประกอบการเรียงแบบอักษรพิมพ์ดีด




 

Create Date : 06 มีนาคม 2549   
Last Update : 6 มีนาคม 2549 12:32:13 น.   
Counter : 3583 Pageviews.  

คอนเวอร์ส : จากวันนั้นถึงวันนี้



คัดลอกจากเวปไซด์ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ around the world 06/03/49

****************************************************

คอนเวอร์ส : จากวันนั้นถึงวันนี้


คอลัมน์ถามตอบรอบโลกของเราวันนี้ เป็นคำถามจากคุณ ริก ออลสตาร์ ที่ต้องการทราบประวัติความเป็นมาของรองเท้าคอนเวอร์ส ซึ่งเป็นรองเท้าที่คุณริกนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อคุณกล้าถามเข้ามา เราก็พร้อมที่จะตอบข้อสงสัยที่มีให้หมดไป

Converse นั้นเป็นบริษัทผลิตรองเท้าที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา โดยทางบริษัทConverse Rubber Corporation ได้เริ่มเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อปี 1908 ซึ่งผู้ก่อตั้งคนแรกก็คือ มาร์ควิส เอ็ม คอนเวอร์ส โดยร้านแห่งแรกที่เมืองมัลเดน มลรัฐแมสซาชูเซตส์

สำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้ร้านแห่งนี้โด่งดังขึ้นนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1917 เมื่อมีการทำรองเท้าผ้าใบรุ่น "All-Star" ออกสู่ตลาด ในปีถัดมา ชาร์ลส์ เอช “ชัค” เทย์เลอร์ บุคคลผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบริษัทแห่งนี้จึงได้เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งตัวชัคนั้นเป็นนักบาสเก็ตบอลผู้เล็งเห็นว่า รองเท้าคอนเวอร์สนั้นจะต้องได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการนักบาสเก็ตบอล ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าร่วมทำงานเป็นเซลส์แมนและเป็นทูตคอยโปรโมตสินค้าให้กับคอนเวอร์ส โดยระหว่างเดินทางไปแข่งขันบาสเก็ตบอลทั่วทั้งสหรัฐฯ ชัคจะแนะนำรองเท้าคอนเวิร์ส์ไปด้วย ทำให้คอนเวอร์สกลายเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่นักบาสเก็ตบอลและวัยรุ่นอเมริกัน ด้วยเหตุนี้ ในปี 1923 ทางคอนเวอร์สจึงนำชื่อ Chuck Taylor's ไปปรากฏร่วมกับโลโก้ของตนที่ติดอยู่บริเวณส่วนที่หุ้มข้อเท้า ทำให้ผู้คนมักเรียกรองเท้านี้ว่า “ชัคส์” ส่วนตัวชัคเองนั้น เขาทำงานให้กับคอนเวอร์สอย่างหนักก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปี 1969

อย่างไรก็ตาม รองเท้าชัคส์นั้นมีแต่สีดำและสีขาวเป็นเวลานานหลายทศวรรษ แต่เมื่อทีมบาสเก็ตบอลต่างๆ ต้องการที่จะให้รองเท้ามีสีอื่นๆด้วย ทำให้เมื่อปี 1966 คอนเวอร์สจึงต้องผลิตรองเท้าสีอื่นๆ นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นๆในการทำรองเท้าด้วย เช่น หนัง หนังกลับ ไวนีล ป่าน แทนที่จะเป็นผ้าใบเพียงอย่างเดียว

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้น 1980 นั้น คอนเวอร์สได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ปรากฏว่ามีคู่แข่งหน้าใหม่ เช่น ไนกี้ เข้ามาช่วงชิงลูกค้าไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย ทำให้คอนเวอร์สไม่ได้เป็นรองเท้าแห่งวงการเอ็นบีเออีกต่อไป จากเหตุผลนี้บวกกับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดอีกหลายครั้งทำให้คอนเวอร์สต้องเผชิญภาวะล้มละลาย เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2001 ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนมือไป และในปีนั้นเองที่โรงงานแห่งสุดท้ายในสหรัฐฯได้ถูกปิดลงไปพร้อมกัน ซึ่งปัจจุบันรองเท้าคอนเวอร์สจะถูกผลิตจากประเทศต่างๆในทวีปเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2003 ทางคอนเวอร์สได้รับข้อเสนอของไนกี้ ในการเข้ามาเทคโอเวอร์ด้วยเงินจำนวน 305 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แม้ว่าคอนเวอร์สจะต้องเผชิญภาวะตกต่ำ แต่รองเท้าคอนเวอร์ส Chuck Taylor All-Star นั้นถือว่าเป็นรองเท้าที่ขายดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในศตวรรษที่ 21 มีรองเท้ารุ่นดังกล่าวถึง 600 ล้านคู่ที่ถูกขายออกไปทั่วโลก และแม้ว่าปัจจุบัน นักบาสเก็ตบอลจะไม่ใส่คอนเวอร์สกันอีกต่อไปแล้ว แต่คอนเวอร์สยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักดนตรี วัยรุ่นหนุ่มสาวทั่วโลกแทน

ทั้งนี้ นอกจากรุ่นชัคแล้ว รองเท้าคอนเวอร์สอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ แจ็ก เพอร์เซลล์ ซึ่งผลิตกันมาตั้งแต่ปี 1935 โดยตั้งชื่อตาม แจ็ก เพอร์เซลล์ ยอดนักแบดมินตันและนักเทนนิสที่โด่งดังมากในสมัยนั้น และแจ็กเองก็เป็นผู้ที่ช่วยออกแบบรองเท้าด้วยตัวเองอีกด้วย









 

Create Date : 06 มีนาคม 2549   
Last Update : 6 มีนาคม 2549 12:15:24 น.   
Counter : 428 Pageviews.  

1  2  

นายกลางคืน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฉันกลับมาแล้ว
[Add นายกลางคืน's blog to your web]