ตอนที่ 1
“มิว”
เสียงเรียกชื่อมิวดังอยู่ด้านหลัง เด็กชายอายุประมาณ 16-17 ชะงักเล็กน้อยรู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงที่ร้องเรียกนั้นเป็นอย่างดี มิวค่อยๆหันหน้ามาตามเสียงเรียกนั้น เพื่อนๆในกลุ่มของมิวก็ชะงักตามพากันหยุดเดิน ในขณะที่รถตู้คันหรูกำลังติดเครื่องยนต์รออยู่ไม่ไกล ภาพที่มิวเห็นได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าหลังจากที่หันหลังกลับมา “โต้ง” เด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันคือเจ้าของเสียงเรียกนั้น ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม บริเวณด้านหน้าเวทีที่มิวเพิ่งขึ้นแสดงคอนเสิร์ตเมื่อสักครู่ ทั้งสองต่างยิ้มให้กันต่างคนต่างเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเอง

“ไงโต้ง!!”
มิวเอ่ยทักก่อนเป็นคนแรก เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกขวนเขิน
โต้งเองก็มีอาการไม่ต่างกับมิวมากนัก เด็กชายยิ้มเก้อๆมีเพียงสายตาที่จ้องนิ่งไปยังผู้ที่ถามราวกับต้องการให้อีกฝ่ายได้ค้นหาคำตอบเอง
“เพลงเพราะดีนะ” โต้งพูดจากความรู้สึกลึกๆข้างใน มันเป็นความรู้สึกแท้จริงที่ไม่ได้พูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดี และไม่ใช่แค่เพียง เพลง“ของเรา” ที่มิวเคยบอกก่อนหน้านี้

“ฟังแล้ว...โต้งว่าไง”
มิวยิ้มๆพอใจกับคำตอบเมื่อครู่ของอีกฝ่าย อดถามต่ออีกไม่ได้ แต่ท่าทีของโต้งกลับนิ่งงัน สายตาที่คอยรอบชำเรืองมองยังมิวเป็นระยะๆราวกับกำลังชั่งใจบางอย่าง
“ก็...เอ่อ...เราคงคบกับมิวเป็นแฟนไม่ได้” โต้งพูดเบาๆแต่ชัดเจนเต็มสองหูของอีกฝ่าย แม้จะหลบสายตามิว
“แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้รักมิวนะ!!”
โต้งรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าของมิวเจื่อนลง นั่นเป็นเพียงอาการเล็กน้อยจากภาพภายนอกที่โต้งเห็นได้ หากโต้งเป็นมิวในขณะนี้ คงรับรู้ถึงความเจ็บปวดราวกับเข็มแหลมที่ทิ่มแทงตรงกลางหัวใจ ไม่ต้องถึงร้อยเล่มแสนเล่มหรอก...เพียงแค่เล่มเดียวมิวก็แทบล้มทั้งยืน

“ขอบคุณนะ”
มิวปรับสีหน้าและรวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลือเงยหน้าสบตากับโต้งช้าๆ แข็งใจพูดออกไป แม้ภายในจะเจ็บเจียนตาย ร่างกายที่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆใช่ว่าจะแข็งแกร่งที่เด็กชายผู้ผ่านเรื่องราวอ้างว้างมาตลอดเวลาจะต้องมาได้ยินถ้อยคำที่ฟังดูเหินห่างจากผู้ที่เคยคิดยามอยู่ชิดใกล้ และเป็นคนเดียวที่สบายใจทุกครั้งที่ได้พูดคุยทว่าเวลานี้แม้จะได้อยู่ใกล้ชิดเพียงปลายลมหายใจแต่ห่างไกลกันราวฟ้ากับแผ่นดิน คำพูดสั้นๆแต่เจ็บปวดเหลือเกินสำหรับคนพูด ยิ่งพูดยิ่งเจ็บ ยิ่งอยู่ยิ่งเห็นก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน

“งั้นเราไปก่อนนะ เพื่อนรอ”
มิวย้ำบอกกับโต้งอีกครั้ง พยายามปรับน้ำเสียงให้ปกติ พลางหันไปมองกลุ่มเพื่อนๆที่พยักหน้าเร่งให้รีบกลับขึ้นรถตู้

“เดี๋ยวก่อน...มิว..” โต้งเรียกไว้ รีบหยิบของสิ่งหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง

“อ่ะ!!...ให้”
มิวค่อยๆเอื้อมมือไปรับของสิ่งนั้นจากมือของโต้ง
“ อะไรน่ะ!!” มิวแปลกใจ สายตาจับจ้องสิ่งของที่อยู่ในมือ
“ของขวัญวันคริสต์มาสไง” โต้งบอกยิ้มๆ ใบหน้ามีความสุขราวกับวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยให้ของขวัญกับมิว

“ขอบคุณนะ!!”
มิวพูดย้ำอีกครั้ง แม้ฟังดูออกมาจากใจ แต่ก็เป็นใจที่ร้าวรานเต็มทน
“งั้น!! เราไปก่อนนะ”
มิวหันไปทางเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้โต้งอีกครั้ง ทั้งสองคนสบตากันนิ่ง
“โชคดีนะ” มิวบอกน้ำเสียงหนักแน่นแต่ทว่าความรู้สึกที่เบาโหวง
“โชคดี”
โต้งบอกตามเบาๆ ส่วนมิวตัดสินใจหันหลังเดินกลับไปหากลุ่มของเพื่อนๆ สมาชิกวงออกัสอดแซวมิวไม่ได้ มิวยิ้มให้กับเพื่อนๆเป็นการขอโทษที่ให้รอนาน คงไม่มีเพื่อนคนไหนที่จะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองนะเวลานี้ได้ สองเท้าของมิวรีบก้าวเดินให้ถึงรถตู้เร็วๆเพื่อจะได้กลับถึงบ้าน แต่ทว่าไม่อาจตัดใจได้เร็วปานนั้น ความผูกพันบางอย่างทำให้มิวหันกลับมามองโต้งอีกครั้ง โต้งโบกมือไหวๆอยู่ด้านหลังเหมือนอย่างเดิม สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าวและเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ต่างฝ่ายต่างคิดหาเหตุผลปลอบใจตัวเอง


ที่บ้านของโต้ง เด็กน้อยเดินเข้ามาด้วยบรรยากาศเงียบเหงา แม้จะดึกมากแล้วแต่โต้งก็ยังรู้สึกเป็นห่วง “กร” ผู้เป็นพ่อ โต้งอดหยุดมองดูพ่อที่หลับลงบนตั่งไม้ตัวเดิมที่เคยนอนประจำเหมือนทุกครั้ง แสงไฟภายในบ้านเพียงไม่กี่ดวงที่เปิดสว่าง พอที่จะสาดส่องกระทบกับร่างของใครคนหนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่ในมุมมืด “สุนีย์” ผู้เป็นแม่ของโต้ง ทอดสายตามองไปที่ต้นคริสต์มาสที่ตกแต่งโคมไฟดวงเล็กๆ ส่องประกายวิบวับพาดระโยงจากด้านล่างสู่ยอดแหลมนั้น หล่อนนั่งเพียงลำพัง ไม่มีใครตอบได้ว่านานแค่ไหนที่หล่อนนั่งเพ่งมองต้นไม้พลาสติกนี้อยู่ แต่สุนีย์ไม่มีท่าทีที่จะเบื่อหรือเมื่อยล้าเลยสักนิด ราวกับต้นคริสต์มาสได้พูดคุยหรือบอกเล่าบางอย่างให้กับหล่อนได้รับรู้บางอย่าง โต้งทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆแม่ สุนีย์ละสายตาหันมามองลูกชายสีหน้ายังคงเรียบเฉย

“พี่จูนเขามาหรือเปล่า?”
โต้งถามแม่เบาๆ สุนีย์ส่ายหน้าช้าๆแต่มีรอยยิ้มบางๆด้วยความสุข หลังจากได้คำตอบบางอย่างจากต้นคริสต์มาสนั้น รอยยิ้มที่เจือปนความขมขื่นเล็กๆ
“ไม่มาหรอก เค้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ต่อไปนี้จะมีแต่เรานะลูก”
สุนีย์กอดลูกชายไว้แน่น ราวกับกลัวลูกชายหนีหายไปไหน โต้งเงยหน้ามองไปด้านหลังเห็นผู้เป็นพ่อนอนยิ้มให้ ทั้งที่ยังนอนอยู่บนที่นอนเหมือนเดิม โต้งยิ้มสบตาให้กับพ่ออย่างมีความสุขและกอดแม่แน่น เหมือนยอมรับความจริงบางอย่าง


เวลาเกือบเที่ยงคืนกว่าแล้ว บรรยากาศที่ห้องของมิวบนบ้านชั้นสอง มิวเดินไปที่โต๊ะทำการบ้านใกล้ๆกับเตียงนอน “ตัวต่อไม้” ยังวางอยู่ที่เดิมมิวค่อยๆสอดก้านจมูกที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญวันคริสต์มาสจากโต้งในปีนี้ ก้านจมูกนั้นค่อยๆสอดเข้าไปอย่างช้าๆดูว่าจะลำบากอยู่บ้างเพราะขนาดต่างกัน แต่เมื่อมิวได้ประสานก้านจมูกนั้นเสร็จเรียบร้อย มันก็ทำให้ตัวต่อไม้มีชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ขึ้น

“ก้านจมูก” มันก็ไม่ต่างอะไรกับ “ตัวแทน” ของโต้งที่จะมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของมิวให้สมบูรณ์กว่าแต่ก่อนมากนัก แต่เมื่อถึงเวลานี้ทำไมความรู้สึกของมิวเหมือนมีบางอย่างที่ขาดหายไป มิวไม่แน่ใจว่าโต้งคือส่วนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของตัวเองจริงหรือเปล่า? หรือว่าที่ผ่านมาเป็นความเข้าใจของตัวเองฝ่ายเดียวกันแน่

"ขอบคุณนะ!!"
มิวไม่ได้พูดคนเดียว แต่พูดกับตัวต่อไม้นั้น แล้วหยาดน้ำตาแห่งความรู้สึกข้างในก็ทะลักไหลอาบแก้มทั้งสองข้างโดยไม่ต้องกักเก็บอีกต่อไป รอบข้างตัวมิวมีแต่ความว่างเปล่าและอ้างว้างแม้จะมีเครื่องดนตรีที่วางอยู่ใกล้ๆตัวต่อไม้ กรอบรูปที่ใส่ภาพของอาม่าที่ถ่ายคู่กันในวันคริสต์มาสปีก่อนๆ รวมทั้งที่เคยถ่ายกับโต้งด้วยยิ่งเห็น ดูเหมือนยิ่งห่างไกล ราวกับอยู่คนละซีกโลก ทว่าโลกของมิวเวลานี้เด็กน้อยต้องฉลองคริสต์มาสด้วยความรู้สึกเหงาเพียงลำพัง...โลกแห่งความจริงช่างโหดร้ายสำหรับมิวเหลือเกิน


เสียงเปียโนของอาม่าดังขึ้นอีกครั้ง เป็นท่วงทำนองที่อาม่าเคยเล่นให้กับมิวฟังเมื่อตอนที่มิวยังเด็ก สายตาของผู้เล่นยังคงทอดมองไปตามกรอบรูปที่วางอยู่ไม่ไกลนัก บ้างก็วางอยู่บนหลังเครื่องเล่น อย่างภาพของอากงกับอาม่าที่เล่นเปียโนเครื่องนี้ด้วยกัน สีหน้าของอาม่าช่างมีความสุขยิ่งนัก ใบหน้าที่หันมามองกล้องราวกับถ่ายทอดความรู้สึกให้กับผู้ที่ได้เห็นภาพนี้ว่า “มีความสุขเพียงใด” มิวกวาดสายตามองภาพอาม่าที่ถ่ายคู่กันในงานวันคริสต์มาสเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ถัดมาไม่ไกลกันนักเป็นประกาศนียบัตรและถ้วยรางวัลการประกวดดนตรีด้านต่างๆ ระหว่างที่ศึกษาในสถาบันและสุดท้ายสายตาของมิวก็หยุดอยู่ที่กรอบรูปวันรับปริญญา ที่ผ่านพ้นไปไม่นาน แม้จะเรียนจบแล้วหลายเดือน แต่เพิ่งเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มิวใช้เวลาส่วนใหญ่พักผ่อนและอยู่กับตัวเอง อีกไม่นานจะเริ่มเข้าสู่ช่วงชีวิตของการทำงานแล้ว

“อาม่า มิวทำได้แล้วนะ!!”
มิวยิ้มให้กับภาพถ่ายของอาม่า และบรรเลงเสียงเปียโนต่อไปอย่างมีความสุข


วันที่รับปริญญาเมื่อเดือนสิงหาคมของปีที่ผ่านมา เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างปี ที่หลายๆมหาวิทยาลัยต่างทยอยมอบใบปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาทั่วประเทศ วันนั้นนอกจากเอ็กส์ และเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยจะร่วมแสดงความยินดีกับมิวแล้ว ก็ไม่มีใครอีก มิวได้รับโทรศัพท์จากป๊าที่โทร.มาแสดงความยินดีด้วยในตอนบ่ายๆหลังพิธีการเสร็จสิ้น สำหรับมิวไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆกับเหตุการณ์ในครั้งนี้สักนิด
หลังจากนั้นมิวก็กลับมาบ้าน ด้วยความรู้สึกเหงาๆ อดคิดถึงใครบางคนไม่ได้ ภาพความทรงจำต่างๆผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ รวมถึงผู้ที่ทำให้มิวมีวันนี้ได้

“มิว มิวไม่อยากไปอยู่กับป๊าที่ระยองเหรอ?”
“ เปล่า!!ไปทำไม เค้าไม่อยากให้มิวไปอยู่ด้วยสักหน่อย” มิวตอบไปตามประสาเด็ก
“ไม่ช่าย...”
อาม่าลากเสียงยาว นั่งลงใกล้ๆหลานที่กำลังงอน หน้าบึ้งหน้าบูดเป็นจวัก เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
“เค้าเห็นว่ามิวนะโตแล้ว จะได้อยู่ดูแลอาม่าไง”
มันเป็นภาพความทรงจำที่ฝังลึกในความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ยากจะลบเลือน
“ถ้าวันนึง มิวไม่ได้อยู่ที่นี่กับอาม่า อาม่ายังจะรอมิวหรือเปล่า?”
มิวเงยหน้าดูภาพถ่ายของอาม่าบนโต๊ะ พูดกับภาพถ่ายนั้น ไม่มีอะไรมาหยุดความคิดของมิวในวันวานได้ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นอนสีเขียวอ่อนของผ้าปูที่นอนผืนโปรด แม้จะเป็นผืนใหม่ที่เปลี่ยนมาหลายครั้งแต่ทว่ามิวยังคงเลือกซื้อผ้าปูที่นอนโทนสีเขียวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มิวยังคงปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความคิด...



Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 19 กรกฎาคม 2551 17:45:47 น.
Counter : 273 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คุณหมอกมลชนก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."

บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

คำคมนี้ดูจะบ่งบอกความเป็นตัวตนของ"ออมสิน"ได้เป็นอย่างดี...


สมาชิกอยู่ในบ้านขณะนี้