ตอนที่ 16
มิวตัดสินใจไม่พาโต้งเข้าบ้าน เพราะไม่อยากให้ป๊าสงสัยพฤติกรรมของตัวเองและโต้ง อีกอย่างความสัมพันธ์ของเขากับป๊านั้นก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนครอบครัวอื่นๆนัก

“เราเห็นโรงแรมหนึ่งอยู่ใกล้ๆสถานีขนส่งนะ เดี๋ยวเราไปพักที่นี่กัน” มิวพาโต้งเดินไปตามถนนที่มีรถสองแถววิ่งสวนผ่านไปมา พรางสอบถามถึงโรงแรมที่ใกล้ที่สุดจากแม่ค้าขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดร้านใหญ่โตถึงสองคูหาของตึกแถวนั้น แม่ค้าใจดีชี้นิ้วไปยังปลายตึกแถวอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากจุดที่ยืนสักเท่าไหร่ มิวยิ้มอย่างดีใจ เพราะใกล้กับจุดนัดพบกับหญิง

“ทำไมไม่ให้ผมไปด้วย หรือว่ากลัวผมไปวุ่นวาย”

โต้งวางกระเป๋าลงกับเตียง หลังจากที่เช็คอินเรียบร้อย มิวรีบส่ายหน้าทันที กลัวโต้งจะเข้าใจผิด ยังไม่ทันตั้งตัวดี มิวก้ถูกโต้งดึงแขนจนล้มลงไปที่เตียงนั้นด้วยกัน ชายหนุ่มกอดรัดไว้แน่นในอ้อมแขน มิวรีบดันแขนไว้กับหน้าอกที่แข็งแกร่งนั้น แม้จะมีความเขินอยู่บ้างก็ตาม

“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยโต้ง อย่าทำแบบนี้”
“ทำไมล่ะมิว รู้มั้ยว่านานแค่ไหนที่ผมรอวันนี้”
โต้งทำตาละห้อยน่าสงสาร จนมิวต้องค้อนให้ในความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย
“รู้สิ!!รู้ว่ารอไม่ไหวจนต้องไปจีบสาวๆคั้นเวลา” มิวหมายถึงโดนัท ผู้หญิงที่ตัวเองเห็นในงานคอนเสิร์ตที่ผ่านมา โต้งหัวเราะชอบอกชอบใจที่อีกฝ่ายแสดงความหึงหวง
“นั่นโดนัท เพื่อนเก่าสมัยเรียนแล้ว”
“ทำไมเราไม่เคยรู้”
“ก็เอ่อ!!...” โต้งอึกอักหาคำตอบไม่ได้ จะบอกอย่างไรดีว่าผู้หญิงคนนี้แหละที่ตามจีบเขามาตลอดเวลาแม้แต่วันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่
“แล้วทิ้งเขาไว้ที่ไหนล่ะ?” มิวถามตรงๆ จนอีกฝ่ายคลายอ้อมกอดนั้นออก อยากพูดความจริงนั้นเหลือเกิน แต่กลัวอีกฝ่ายจะคิดน้อยใจ
“ผมกับโดนัทเป็นได้แค่เพื่อนกัน”

“เหมือนที่เราเคยเป็นเพื่อนกับโต้งใช่ไหม?” มิวพูดน้ำเสียงเหมือนมีความน้อยใจจากเหตุการณ์ในอดีต โต้งสบตาคู่นั้น เข้าใจถึงความรู้สึกอีกฝ่ายและรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิด
“มิว มันไม่เหมือนกันนะ” โต้งจับปลายคางของมิวเชิดขึ้น พยายามส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายได้ค้นหาความรู้สึกจริงใจจากสายตาคู่นั้น ก่อนที่จะทิ้งร่างลงกับที่นอน เสียงโทรศัพท์ของมิวดังขึ้น ทำให้ภวังค์ของมิวกลับคืนมารีบยันร่างของโต้งออกพ้นตัวเอง โต้งแกล้งทำหน้าไม่พอใจรีบจูบเบาๆที่แก้มนั้นของมิวเป็นการมัดจำ จนอีกฝ่ายรีบลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์แทบไม่ทัน
“เรามาถึงระยองแล้ว เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม….นะ เรารออยู่ที่นั่น” มิวบอกชื่อที่พักก่อนวางสายไป หันมามองโต้งที่ทำสายตาละห้อย จนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

“นายนี่มันหื่นจริงๆนะ เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

มิวเดินเข้าไปหาพร้อมกับหยิกที่แก้มขาวระเรื่อทั้งสองข้างนั้น จนอีกฝ่ายร้องลั่นพร้อมกับโอบเอวของชายหนุ่มไว้ มิวเริ่มรู้ตัวว่าจะเสียเปรียบอีกฝ่ายแล้ว รีบโวยวายหาทางเลี่ยงทันที

“ยังไม่เลิกหื่นอีก …เร็วเถอะโต้ง!!ลุกขึ้นได้แล้ว เรามีอะไรจะบอกนาย…”

มิวพูดจริงจังจนโต้งทำหน้าฉงน เดาไม่ออกว่ามิวจะบอกอะไรเขา ทั้งสองคนลงมารอที่ล็อบบี้ไม่นาน ร่างของหญิงก็ปรากฎขึ้น มิวมองใบหน้าที่ซีดเซียวของหญิงแล้วสงสารจับใจ หญิงต้องทุกข์ใจอย่างหนักแน่ๆ เพราะดูผอมกว่าครั้งแรกที่เคยเห็น หญิงทรุดตัวลงกับโซฟารับแขกของโรงแรม พรั่งพรูเรื่องราวให้กับมิวฟังคนอีกฝ่ายหาจังหวะตั้งตัวไม่ทัน

“เดี๋ยวก่อนหญิง เรามีอะไรจะให้ดู”

มิวลุกขึ้นบอกหญิง เช่นเดียวกับที่โต้งเดินออกมาจากมุมเสานั้น หญิงอุทานอย่างตกใจและดีใจ แต่มันก็แว๊บเดียวจริงๆที่เธอรู้สึกแบบนั้น เมื่อความรู้สึกเจ็บแปล๊บลึกๆในหัวใจเหมือนเข็มเล็กๆปักลงมากึ่งกลางหัวใจของเธอ เมื่อนึกถึงวันวานเก่าๆ วันที่เธอรู้ว่าผู้ชายที่เธอหลงรัก คบหากับผู้ชายด้วยกัน และผู้ชายคนนั้นก็คือโต้งที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอในขณะนี้

“โต้ง!!”
“ใช่ เราเอง”

โต้งมองหน้าของหญิงสลับกับมิวไปมาอย่างไม่เข้าใจ ยากที่จะปะติดปะต่อเรื่องราว จนมิวต้องรีบเฉลยให้รับรู้

“โลกมันกลมจริงๆเลยนะหญิง ในที่สุดเราก็ได้กลับมาพบกันอีก” โต้งยิ้มๆแต่หญิงกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น


“โลกนี้มันโหดร้ายมากกว่า…”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”
โต้งไม่เข้าใจ แม้หญิงจะเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นแม่เลี้ยงของมิว แต่ก็ยังดีที่ได้เป็นหนึ่งในครอบครัวเดียวกัน และนั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับความเป็นเพื่อนกันสักหน่อย

“คือ ป๊าเรากำลังมีผู้หญิงอีกคนน่ะ” มิวหันไปบอกกับโต้ง ให้เข้าใจเรื่องราว
“ป๊าของมิว นี่เจ้าชู้ไม่เบาเลยนะ มิวจะเจ้าชู้เหมือนป๊าหรือเปล่า?” โต้งสบตากับมิว เป็นการหยอกล้อ กึ่งต้องการรู้คำตอบกลายๆ มิวยิ้มจืดๆ เพราะกลัวจะเป็นภาพที่บาดตากับผู้หญิงที่นั่งมองตรงหน้า

“หญิง !! เราจะพักที่โรงแรมนี้ คงไม่ค้างที่บ้านด้วย แต่คืนนี้เราจะไปงานแต่งงานแทนป๊าเอง”

มิวบอกอย่างจริงจัง ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น พลางนั่งลงกับโซฟาตัวเดิมพร้อมๆกับโต้งที่นั่งใกล้ๆกัน หญิงรับรู้ว่า ความรัก หากได้เป็นคู่กันแล้ว ไม่ว่าจะผู้หญิง หรือผู้ชาย ก็คงหนีกันไปไม่พ้น ดูอย่างมิว และโต้งสิ!! อีกคนพยายามหนีเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่อาจหลุดพ้นต้องกลับมาหวานใส่กันแบบนี้ ยิ่งเห็นแล้วทั้งยินดี และปวดร้าว อย่านะหญิง ทุกอย่างมันจบลงไปนานแล้ว!! หญิงเธอบอกกับตัวเองเช่นนั้น แม้จะยากที่จะตัดใจลืม

เพราะนี่คือคนที่เธอรักครั้งแรก และเธอกำลังจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ความถูกต้องที่อยู่กับปัจจุบัน เธอสบตากับมิว ไม่มีคำตอบจากปากของเธอนอกจากรอยยิ้มบางๆที่จริงใจนั้น
มิวเดินทางไปบ้านป๊ากับหญิง โดยให้โต้งคอยอยู่ที่โรงแรม คงไม่น่าเบื่อสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อสักครู่มิวเห็นด้านหน้าของโรงแรมมีแม่ค้า พ่อค้ากำลังเตรียมตั้งแผงสินค้าอยู่มากมาย ที่ตรงนั้นคงเป็นตลาดนัดย่อยๆสำหรับผู้คนที่นี่

***************

การกลับมาที่บ้านป๊าคราวนี้ มิวดูสบายใจมากขึ้นกว่าครั้งแรก แม้จะมีความกังวลเรื่องที่ป๊าให้มาอยู่ระยองเป็นการถาวรก็ตาม แต่เขามั่นใจว่าจะหาโอกาสคุยกับป๊าใหม่อีกครั้ง มิวพบกับมายด์ ผู้เป็นพี่สาวของมีน น้องต่างมารดาขณะกำลังนั่งทานอาหารอยู่กับป๊า

“อ้าวมิว!!นี่เอ็งมาถึงเมื่อไหร่ มากินข้าวสิ!!” เสี่ยเชนเงยหน้ามองมิวที่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้าน
“เพิ่งมาถึงครับ ผมโทรให้…เอ่อ…น้าหญิงไปรับครับ” มิวบอกกับป๊าและหลบสายตาของหญิง ดูยังไม่ชินนักกับการที่แสดงตัวออกมารูปแบบนี้ สีหน้าของหญิงเรียบเฉยเมื่อกลับมาถึงบ้าน

สีหน้าของป๊าดูมีความสุข อาจเป็นเพราะป๊าเจอหน้าลูกๆพร้อมกันทั้งสามคน แต่ก็มีบางอย่างแว๊บเข้ามาในสมองของชายหนุ่มเมื่อต้องยิ้มเก้อให้กับมายด์ เด็กสาวผู้เข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวกลับทำเหมือนเขาไร้ตัวตน เสื้อสีชมพูอ่อนดูหวานสมวัยก็จริง แต่ก็รัดแนบเนื้อจนเน้นสัดส่วนชัดเจน มิวหันไปสบตากับหญิง และมองออกว่าหญิงเองก็คงรู้สึกแบบเดียวกันก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปด้านใน คงอยู่กับหม่าม้าในห้องหรือที่มุมใดสักแห่ง ไม่มีใครทำให้เธอสุขใจ อบอุ่นเท่ากับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว คงเป็นคนเดียวจริงๆที่เธอต้องการอยู่ด้วยมากที่สุด

“มายด์ ทำไมไม่ไหว้พี่มิวล่ะ!”

เสียงเสี่ยเชนหันไปบอกกับมายด์ เด็กสาวจึงวางช้อนอาหารลงแล้วยกมือไหว้ ไม่ได้พูดจาอะไร มิวยิ้มให้เล็กน้อย ต่างกับมีน ซึ่งเคยเห็นหน้ามิวแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่ต้องรอให้ป๊าออกคำสั่งอีกครั้ง

“ผมมาธุระกับเพื่อนที่ระยองก็เลยแวะมาหาป๊า”

มิวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดูเหมือนเป็นส่วนเกินอย่างบอกไม่ถูก ครั้งจะเดินเข้าไปด้านในก็ใช่ที่
“ธุระเยอะเหลือเกินนะ เอ็งทำการทำงานอะไร ฮึ!!” เสี่ยเชนพูดเบาๆ แต่พอให้อีกฝ่ายได้ยินขณะก้มหน้าหยิบแป้งปอเปี๊ยห่อกับผักสดต่างๆตรงหน้า เด็กๆยังคงนั่งหยอกล้อแย่งก้อนหมูย่างที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ไม่สนใจอะไร มิวไม่ตอบ แต่รู้สึกเหมือนว่าอารมณ์ของป๊าเริ่มไม่พอใจขึ้นมา จึงตัดสินใจเดินเข้าด้านในก่อนที่จะอึดอัดมากกว่านี้


มิวเดินหาหญิงอยู่ในบ้าน เพราะไม่รู้จะไปแฝงตัวอยู่ที่ไหน หญิงคงอยู่ที่ห้องส่วนตัว ชายหนุ่มจึงเดินกลับออกมานั่งหยิบหนังสืออ่านเล่นเพื่อรอเวลาให้ค่ำ ที่โซฟามุมรับแขก เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาและอดคิดถึงโต้งไม่ได้ ทำไมเขาไม่มีความรู้สึกอบอุ่นที่ได้กลับมาบ้าน ทำไมเขาไม่รู้สึกผูกพันที่ได้เห็นหน้าป๊า จู่ๆน้ำตาพาลจะไหลเมื่อนึกถึงภาพเมื่อครู่ขณะที่เสี่ยเชนยื่นแป้งปอเปี๊ยห่อผักเรียบร้อยยื่นให้กับลูกสาว มิวอดเปรียบกับตัวเองไม่ได้ ภาพวันที่อาม่าจากไป ป๊ามาหาที่กรุงเทพฯดูอาการของอาม่า แต่ป๊าก็ไม่ได้ทักทายหรือมีของติดไม้ติดมือมาฝาก อีกครั้งในความทรงจำที่ไม่อาจลืมได้ในงานสวดศพอาม่า หลังจากถ่ายภาพพร้อมหน้าพร้อมตากันในวงศาคณาญาติ ป๊าก็อดไม่ได้ที่จะเรียกหาน้องๆทั้งสองคนมาถ่ายรูปด้วย

มิวรู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อหยดน้ำตาล่วงลงหน้ากระดาษหนังสือที่เปิดค้างอยู่ เขารีบเงยหน้าขึ้นมองดูว่ามีใครเห็นหรือเปล่า? เมื่อปลอดคนมิวรีบเช็ดน้ำตาของตัวเองแล้วพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก
“อาม่า !! ไหนอาม่าเคยบอกว่าป๊ารักมิวไง?”
มิวพูดเบาๆ เมื่อเห็นกรอบรูปของอาม่าตั้งไว้บนชั้นโชว์ ชายหนุ่มลุกเดินเข้าไปหากรอบรูปนั้นภาพวัยเด็กซ้อนเข้ามาในความรู้สึกของชายหนุ่มเมื่อครั้นหลายปีที่ผ่านมา…

“ อาม่า อาม่า ฮือ… ฮือ…”
เสียงร้องไห้ของเด็กชายมิวในวัยเด็กลุกขึ้นจากพื้นปูนหน้าบ้านใกล้ประตูเหล็ก ร้องไห้สะอึกสะอื้น มือข้างหนึ่งยังคงจับที่ศีรษะตัวเอง เดินไปหาอาม่า หญิงชราเงยหน้าช้าๆละสายตาจากไหมพรมสีน้ำตาลอ่อนที่ถักอยู่ในมือมองหลานอย่างแปลกใจ เมื่อรู้ว่าหลานร้องไห้มาหาแบบนี้คงมีเรื่องให้ต้องช่วยเหมือนเดิม เธอไม่เคยเบื่อหน่ายหรือรำคาญหลานชายผู้นี้เพียงสักครั้ง ไม่ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ก็ตามจะต้องละสิ่งนั้นแล้วหันมาหาหลานทันที แม้แต่ครั้งนี้ ครั้งที่หัวใจของหญิงชราจมกับความเหงาด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา เธอถูกให้อยู่บ้านคนเดียวหลังจากที่สามีเสียชีวิตไป ส่วนลูกชายก็ไปทำงานต่างจังหวัด โชคดียังทิ้งหลานตัวน้อยไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา ด้วยวัยที่ต่างกันแต่ความรู้สึกไม่ต่างกันเลยสักนิด หญิงชราเข้าใจในความรู้สึกของหลานชายเป็นอย่างดีทุกครั้งที่เธอเอ่ยถึงผู้เป็นพ่อของเด็กน้อย

“ มิว มิวไม่อยากไปอยู่กับป๊าที่ระยองเหรอ?”
“เปล่า!! ไปทำไมล่ะ เขาไม่อยากให้มิวไปอยู่ด้วยสักหน่อย ” มิวตอบโดยไม่หันหน้ามาสบตากับอาม่า สีหน้ายังคงเรียบเฉย “เขา” ที่มิวพูด หมายถึงเสี่ยเชน นั่นเอง

“ไม่ใช่...”
อาม่าลากเสียงยาว นั่งลงใกล้ๆ พยายามจะอธิบายให้หลายชายได้เข้าใจ อดขำเบาๆไม่ได้กับความแสนงอนและน้อยใจของหลานตัวน้อย

“ เขาเห็นว่ามิวน่ะโตแล้ว จะได้อยู่ดูแลอาม่าไง”

อาม่ายิ้มๆ ดูใจเย็น และแววตานั้นเศร้ายิ่งนัก คำพูดนั้นเหมือนน้ำทิพย์ที่หล่อหลอมหัวใจหดหู่ให้มีความหวังทุกครั้งที่เด็กน้อยคิดถึงหน้าผู้ให้กำเนิด มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งของหญิงชราลูบหลังหลานชายเบาๆ เป็นการปลอบโยน ทว่าสายตาที่มองหน้าหลานนั้น กลับมีแววตาที่หม่นหมองเจือบางๆ น่าเสียดายที่มิวในช่วงเวลานั้นยังเด็กเกินกว่าจะรู้สึกได้

“ แล้วทำไม อาม่าไม่ย้ายไปอยู่ด้วยกันล่ะ” มิวยังคงตั้งคำถาม อาม่าเค้นหัวเราะในลำคอ หึ หึ
“ อาม่าไม่ไปหรอก อาม่าแก่แล้ว อาม่าไม่อยากย้ายไปไหนอีกแล้ว”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูเศร้าหมอง และหดหู่ เด็กน้อยเงยหน้าสบตากับหญิงชราครู่หนึ่งอย่างไม่เข้าใจความรู้สึกของหญิงชรานัก นอกจากฟังจากน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก



Create Date : 25 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 19:27:43 น.
Counter : 295 Pageviews.

12 comment
ตอนที่ 15
สุนีย์หยิบงานวิจัยของตัวเองขึ้นมาอ่านทบทวนอีกครั้ง หน้าตาดูเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ มักเริ่มต้นเป็นตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น แต่อาจจะปรากฎชัดเจนในช่วงวัยรุ่นตอนปลายถึงผู้ใหญ่ สันนิษฐานอาจมีสาเหตุมาจากดังนี้ ถูกทำร้ายในวัยเด็ก …โต้งไม่เข้าข่ายข้อนี้นี่นา…”สุนีย์อ่านบทความไปก็คิดตาม สายตายังคงอ่านไปเรื่อยๆอย่างสนใจเนื้อหานั้นๆ

“…บุคลิกภาพของผู้ป่วยมักเป็นเด็กเก็บกดความรู้สึก ยอมคน ขาดวุฒิภาวะและมีความรู้สึกฝังใจว่าตนไม่มีความเป็นผู้ชาย ดูจากภายนอกเป็นคนเรียบร้อย ประหม่าง่าย และดูจริงจังในชีวิตมีความเป็นอยู่ปกติ แต่มีความชื่นชอบหรือมีอารมณ์ทางเพศเมื่อใกล้ชิดเพศเดียวกัน ลักษณะที่กล่าวมานี้สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่ส่วนมากจะได้รับการปฎิเสธตั้งแต่เริ่มต้น เพราะไม่มีใครออกมายอมรับว่าตนเองเป็นกลุ่มรักร่วมเพศ การรักษาง่ายเพียงให้ความรักและอบอุ่นอย่างใกล้ชิด….แม่ทำพลาดไปตรงไหนโต้ง แม่ทำผิดตรงไหน?” สุนีย์ซุกหน้าไปกับฝ่ามือของตัวเอง
“ถึงเวลาแล้วใช่ไหม?ที่แม่จะยอมรับความจริงข้อนี้เสียที แม่หนีความจริงไม่พ้นใช่ไหม?” สุนีย์พร่ำกับตัวเองเหมือนคนเลื่อนลอย จนไม่ทันสังเกตเงาหนึ่งจากด้านหลัง ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เธอประชั้นชิด

“เป็นอะไร?”

เสียงนั้นดูอ่อนโยนและห่วงใย สองฝ่ามือวางเบาๆที่บ่าทั้งสอง บ่าที่แบกรับความทุกข์ใจมาโดยตลอด ถึงเวลาเสียทีที่เธอควรจะแบ่งเบาน้ำหนักนั้นให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง สุนียืสะดุ้งเล็กน้อยปาดน้ำตาทิ้งแม้จะปฎิเสธว่าไม่เกิดอะไรขึ้น แต่บทความตรงหน้าและคำพูดที่สุนีย์เพ้อออกมานั้น ทำให้กรพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้าง
“ลูกเราเป็นเกย์หรือ?” กรดึงบทความนั้นขึ้นมาอ่าน ลมหายใจดูแน่นและตีบตันอยู่ที่หน้าอก สุนีย์ไม่รู้ว่าขณะนี้ความรู้สึกของสามีและผู้ที่คาดหวังกับความเป็น “ลูกชาย” จากโต้งนั้นเป็นอย่างไร? แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เรื่องนี้เป็นความละเอียดอ่อนของครอบครัวที่ทุกคนต้องรับรู้เสียที สุนีย์ไม่ต้องการหาใครผิดหรือถูก และการเป็นเกย์มันเป็นความผิดหรือถูกต้อง แต่สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้คือกรต้อง “ยอมรับ” ในทางเดินของลูกชาย

“มันบ้าแน่ๆ มันวิปริตไปแล้วหรือไง? ผมสังหรณ์ใจแล้วเชียวว่าทำไมมันถึงไม่มีแฟนสักที คุณรู้เรื่องนานแค่ไหนแล้ว”

กรขว้างงานวิจัยนั้นลงพื้น สายตาหันมาเอาเรื่องกับสุนีย์ กระดาษงานวิจัยที่ปลิวว่อนกลางอากาศ เหมือนความคิดของสุนีย์ที่แตกกระจายทางความคิด ระหว่างจะปิดบังหรือบอกความจริงให้กับสามี เป็นวินาทีที่ต้องเลือกการตัดสินใจ แม้พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้นิ่งและมีสติที่สุด เหมือนกระดาศงานวิจัยที่ทิ้งตัวลงพื้นอย่างแผ่วเบาและนิ่งอยู่กับพื้นนั้น

“คุณหยุดโวยวายสักทีได้มั้ย!!ทำไมหรือ? ฉันรู้นานหรือเพิ่งรู้ มันต่างกับคุณตรงไหน?”

สุนีย์ก้มหน้ามองงานวิจัยบนพื้นนั้น ไม่สบตากับสามี ไม่อยากให้เห็นสายตาที่เจ็บปวดนั้น
“คุณเป็นแม่ประสาอะไร เลี้ยงมันยังไงให้เป็นพวกวิปริตผิดเพศแบบนี้”
“พอที หยุด!! ฉันบอกให้หยุด!!” สุนีย์ปิดหูของตัวเองไม่อยากรับฟังใดๆจากปากของสามีอีก กรเดินเข้าไปเขย่าตัวให้เงยหน้าขึ้นมาคุยกัน สุนีย์สะบัดแขนหลุดจากกรได้ก็ฟาดเข้าไปที่ใบหน้าจนกรหน้าชา อารมณ์พุ่งปรี๊ด!!ผลักสุนีย์กระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น กรรู้สึกตัวว่าทำรุนแรงไปจึงเข้าไปประคองภรรยาขึ้นมา สุนีย์ยังคงขืนตัวนั่งนิ่งอยู่กับพื้นไม่พูดอะไรนอกจากร้องไห้ออกมาให้สาแก่ใจตัวเอง


“มันกลับมาก่อน ผมจะคุยกับมันเอง”

“ไม่ต้อง ฉันรู้ว่าคุณจะพูดอะไรกับลูก ทำไมล่ะกร? ทำไมเราไม่ยอมรับความจริง ฉันไม่อยากบังคับลูกอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากเสียลูกไปอีกคน” สุนีย์ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม กรชะงักกับคำพูดของสุนีย์ ภาพความอบอุ่นในครอบครัวผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง ทั้งตัวเขาเอง ภรรยา โต้งและแตง ผู้เป็นลูกสาวที่หายตัวไป

ภาพในวันนั้นเมื่อครั้งที่ลูกๆยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เสียงเปิดประตูเหล็กดังอยู่ที่หน้าบ้าน ทุกคนหันไปตามเสียง แตงหันมาขู่น้องอีกครั้งว่าไม่รอดแน่ หลังจากที่โต้งมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนๆในโรงเรียนเพราะเข้าไปช่วยมิวที่โดนแกล้ง โต้งไม่กล้าวิ่งไปรับพ่อกับแม่ที่หน้าบ้าน ได้แต่มองเห็นสุนีย์และกรถือของกลับมาพะรุงพะรังเต็มไปหมด มิวบอกให้โต้งวิ่งไปช่วยรับของ

“ โต้ง มาเร็ว”

กรเรียกลูกชายเข้าหา หลังจากที่วางถุงต่างๆเรียบร้อยเพื่อที่จะให้ดูของบางอย่างที่ซื้อมาให้ ส่วนพี่แตงก็รื้อของถุงนั้นที ถุงนี้ทีตามประสา
“ลืมบอกไป พ่อซื้อของมาเตรียมไว้ จะไปธุระที่เชียงใหม่ จะพาพวกเราไปด้วย”
“เชียงใหม่เหรอ? เย้!! ได้ไปเชียงใหม่ด้วยล่ะแม่”
พี่แตงดีใจกระโดดโลดเต้น ที่จะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่กับครอบครัว มิวมองดูความสุขจากครอบครัวของโต้งและพี่แตงอยู่เงียบๆ
“โต้ง… นั่นใส่แว่นตาทำไมน่ะ!!”
กรถามลูกชายอย่างสงสัย โดยที่สุนีย์ไม่ทันได้สังเกตเพราะกำลังหยิบเสื้อกันหนาวลองทาบที่ตัวลูกสาว โต้งหน้าเจื่อนๆแต่ก็ยังไหวตัวทันเก็กท่าหล่อให้ผู้เป็นพ่อดู

“เอ่อ… คือ…ผมก็จะได้หล่อเหมือนพ่อไงล่ะครับ”
กรหัวเราะกับลูกชาย โดยไม่ได้เฉลียวใจอะไร สุนีย์หันมาส่งเสื้อกันหนาวให้กับลูกชายบ้าง
“เอานี่ อยากหล่อ เสื้อเรา” สุนีย์ยื่นเสื้อกันหนาวตัวหนึ่งให้ลูกชาย โต้งรับมาดู ทำหน้าไม่ชอบใจ
“สีม่วง ผมไม่ชอบเลย”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“สีเหลือง”
ทั้งกร สุนีย์ และพี่แตง ต่างบอกเสียงเดียวกัน คิดว่าโต้งอำเล่น
“สีม่วง”

โต้งยืนยันว่าเป็นสีม่วง และมีท่าทีว่าไม่ชอบเสื้อสีนี้
“เหลือง” คราวนี้สุนีย์ชักเอะใจ
“ก็ถอดแว่นแล้วก็ดูสิ”
กรบอกให้ลูกชายถอดแว่นออกก่อน จะได้รู้ว่าเสื้อกันหนาวสีอะไรกันแน่ โต้งรีบถอดออก โต้งยิ้มว่าเป็นสีเหลือง แต่ทุกคนยิ้มไม่ออกโดยเฉพาะสุนีย์
“ นั่นตาไปโดนอะไรน่ะ!!”
สุนีย์ก้มหน้ามาดูใกล้ๆ โต้งหน้าซีดเก็บความลับไม่อยู่ ส่วนพี่แตงเองก็ทำหน้าไม่ถูกเพราะกลัวโดนแม่ดุที่ไม่ดูแลน้อง
“ฟุตบอลอัดหน้าครับ” โต้งตอบอย่างเร็ว พร้อมๆกับมิวที่จะช่วยพูดให้น้านีย์และอากร พ่อแม่ของโต้งได้เข้าใจแต่…
“ โดนชกหน้าครับ”

ทั้งสองคนประสานเสียงกัน ตอบเหตุการณ์เดียวกันแต่คนละเรื่อง
“ตกลงไปโดนอะไรกันแน่”
สุนีย์ถามอีกครั้ง เด็กทั้งสองอึกอักแต่ก็ต่างคนต่างตอบ
“ฟุตบอลอัดหน้าครับ”
สุนีย์ไม่อยากจะเชื่อนัก ถอนหายใจ และเหนื่อยใจกับลูกชายที่ไปมีเรื่องทุกที
“ ฟุตบอลแน่นะ” สุนีย์ถามย้ำแม้แววตาไม่เชื่อก็ตาม จ้องมองดูเบ้าตาที่เขี้ยวช้ำขนาดนั้น

“แน่ครับ ฟุตบอลจริงๆครับ”
“ชะ ชะ ใช่ครับ ฟุตบอลครับ” คราวนี้มิวตอบบ้าง ยิ้มแหยๆทำหน้าไม่ถูกไหลลื่นไปตามสถานการณ์ของอีกฝ่าย
“งั้น เอาอีกข้างมั๊ย?”

กรแซวลูกชาย เด็กทั้งสองหัวเราะขบขัน สุนีย์มองลูกชายที่ลื่นไหลไปเรื่อย
และภาพนั้นก็ลางเลือนหายไป กรยิ้มอย่างขมขื่น เสียงสุนีย์สะอื้นร่ำไห้อยู่ด้านหลัง


“ไม่ว่าโต้งจะเป็นเพศไหน เดินทางผิดหรือถูก แต่โต้งก็ยังเป็นโต้งลูกของเราใช่ไหม?”

สุนีย์เงยหน้าบอกกับกร พร้อมกับจ้องมองแววตาคู่นั้นของสามีเหมือนต้องการให้ยืนยันคำตอบ เพื่อให้ครอบครัวได้มีความสุขกลับคืนมาเหมือนเดิม กรเดินกลับมาดึงภรรยาลุกขึ้นมากอดไว้แน่น

“ฉันขอเถอะนะ อย่าบังคับให้โต้งต้องหนีเราไปอีกคนเลย ฉันขอล่ะ …ชีวิตที่เหลือหลังจากที่เสียแตงไปแล้ว ฉันก็มีแค่คุณกับโต้งเท่านั้น อย่าต้องให้ฉันเสียโต้งไปเพราะคุณเลยนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจได้”

“นีย์”

กรก้มลงมองน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของภรรยา กลืนน้ำลายตัวเองลงคออย่างยากเย็น นั่นหมายถึงการตัดสินใจยอมรับทางเลือกใหม่ของลูกชาย
“ฉันจะลืมเรื่องทั้งหมดในวันนี้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แม้เราจะรู้เรื่องของโต้งก็ตาม ” สุนีย์กุมมือของสามีขึ้นมาจูบเบาๆ เหมือนเพิ่มกำลังใจให้กับตัวเอง กรกอดกระชับภรรยาแน่นบ่งบอกถึงคำสัญญา



Create Date : 25 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 19:23:51 น.
Counter : 300 Pageviews.

1 comment
ตอนที่ 14
ด้านเอ็กส์เห็นมิวขึ้นรถแท๊กซี่ไปก็โทรฯตาม รู้ว่าเอ็กส์กลับไประยองกระทันหันก็ไม่สบายใจ แม้จะเป็นห่วงแต่ก็แสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้ โต้งเข้าใจความรู้สึกนั้นขอโทรศัพท์คุยกับมิว เอ็กส์ยื่นโทรศัพท์ให้คุยกับมิว ทันทีที่ได้ยินเสียง มิวถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก

“โต้ง!!”
“ใช่ เราเอง มิวให้เราไประยองด้วยคนได้ไหม?”
ไม่เพียงแค่โต้งเท่านั้นที่ลุ้นคำตอบจากมิว แม้แต่เอ็กส์ที่อยู่ใกล้ๆก็รู้สึกฝืดคอจนกลืนน้ำลายไม่ลง รอฟังคำตอบนั้น ด้านผู้ที่จะให้คำตอบรู้สึกสับสนแต่เมื่อคิดถึงคำพูดของสุนีย์ขึ้นมา
“โต้งทุกข์ใจมาก ที่ผ่านมามิวหลบหน้าเขาโดยตลอด โต้งโกรธน้ามากหาว่าน้าตีกรอบเขามากเกิน มิวรู้ไหม?ตลอดเวลาน้ารู้เพียงว่าน้าเป็นแม่ น้าต้องให้สิ่งที่ดีๆกับลูก แต่น้าไม่เคยเข้าใจความต้องการของลูกเลยว่าเขาต้องการสิ่งที่แม่หยิบยื่นหรือเปล่า? โต้งพยายามห่างจากน้าทุกทีๆ ด้วยการสอบเรียนต่อที่เชียงใหม่ และเขาก็มุมานะทำสำเร็จ เลือกคณะที่พ่อเขาอยากให้เรียน ทำคะแนนดีๆตามที่น้าคาดหวัง แต่พอเรียนจบโต้งมาบอกกับน้า ว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่น้าจะให้เขาทำตามใจตัวเอง”

“โต้งขออะไรกับน้านีย์ครับ”
“โต้งขอคบกับมิว”

ชายหนุ่มถือโทรศัพท์นิ่งจนรถแท๊กซี่เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าสถานีขนส่งเอกมัย มิวจ่ายค่าโดยสารแล้วเดินไปขึ้นรถ โต้งลุ้นคำตอบอยู่นานแม้จะเร่งให้คนขับแท๊กซี่คันของตัวเองเร่งเครื่องยนต์ตามไปติดๆก็ตาม

“ถ้านายมาทัน เราก็ไม่ขัดข้อง”
“จริงนะมิว เราจะรีบไปให้ทันก่อนรถจะออก”

โต้งวางสายไปแล้ว หันมายิ้มให้กับเอ็กส์แทบจะกระโดดกอดอีกฝ่าย เอ็กส์ฝืนยิ้มให้ พอจะรู้คำตอบนั้นๆจากอาการดีใจของโต้ง

***************

ที่สถานีขนส่งเอกมัย มิวซื้อตั๋วโดยสารเตรียมขึ้นรถ มองเวลาเหลือเพียงไม่กี่นาที พนักงานขับรถติดเครื่องพร้อมกับเปิดแอร์รอผู้โดยสาร มิวมองออกไปนอกหน้าตาเหมือนกำลังหาใครสักคน แต่ก็ตัดใจเมื่อรถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากซองนั้น
มิวถึงกลับถอนหายใจออกมา ก็ดีเหมือนกันที่โต้งมาไม่ทัน อย่างน้อยๆการไประยองครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจอปัญหาอะไร และจะได้กลับมาอีกหรือเปล่า?

“ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ” เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ๆ มิวเงยหน้าขึ้นมองทางเจ้าของเสียงนั้นพร้อมกับยกกระเปาเป้ของตัวเองขึ้นจากเบาะ ทันทีที่เห็นหน้าเจ้าของเสียงนั้น มิวก็ฉีกยิ้มกว้างจนเก็บอาการไม่ไหว เช่นเดียวกับอีกฝ่ายรีบทรุดตัวนั่งลงข้างๆ
“มิว!!ผมคิดถึงคุณมากรู้มั้ย?” โต้งจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้กับมือตัวเอง มิวมองแล้วตกใจแกมเก้อเขิน
“คิดถึงแล้วทำไมต้องหนีไปไกลถึงเชียงใหม่ คิดถึงแล้วทำไมไม่ส่งข่าวหา” มิวน้ำเสียงจริงจัง แม้รอยยิ้มนั้นจะจางลงไปจากใบหน้า หลงเหลือก็เพียงความรู้สึกที่ปิดไม่มิดในดวงตา
“ผมพยายามที่จะเดินในทิศทางที่ถูกต้องทางสังคม ผมพยายามหนีไปจากที่ที่เคยอยู่ แต่หัวใจของผมไม่เคยหนีจากคุณไปได้เลย”
“โต้ง!!”

“มิว!! มิวให้โอกาสผมอีกสักครั้งได้มั้ย?”

โต้งวิงวอนด้วยสายตาและสองมือที่กุมมือชายหนุ่มไว้ มิวดึงมือกลับแทบไม่ทันเมื่อพนักงานเก็บค่าโดยสารเดินมาเรียกเก็บจากโต้ง โต้งยื่นค่าโดยสารไปให้ แล้วหันกลับมาคุยกับมิวอีกครั้งเพื่อขอคำตอบ
“ลองคิดดูใหม่สิโต้ง เราไม่เคยปิดกั้นโอกาสกับโต้งเลยสักครั้งเดียว แต่ที่เราเงียบหายไปนั่นเพราะเรารับปากน้านีย์ไว้” มิวพูดพร้อมๆกับก้อนน้ำตาเอ่อไหลออกมา เมื่อนึกถึงความรู้สึกในคราวนั้น ภาพความทรงจำค่อยๆผุดขึ้นมา มันยากเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะลืมเลือน

**************
ที่ห้องบันทึกเสียง บริษัทของพี่อ็อดทุกคนนั่งไม่ติด เมื่อไร้วี่แววของนักร้องนำ พี่อ็อดอยู่ห้องข้างๆกำลังบอกผู้บริหารท่านหนึ่งให้ใจเย็นๆเพื่อนๆในวงออกัสทำหน้าเซ็ง
“ผมโทรไปแล้วแต่เค้าไม่รับสาย…” ปิงปองบอกกับทุกคน
“นี่ใครมีปัญหาอะไรกับเค้าหรือเปล่า?” เสียงพลอยดังขึ้นมาจนทุกคนมองหน้ากันส่ายหน้าไปมา

“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่ พี่พลอยช่วยตามให้หน่อยอีกแรงได้ไหมครับ?”

ปิงปองขอความช่วยเหลืออีกทาง
“ เดี๋ยวพี่ลองติดต่อเอ็กส์ก่อน เด็กคนนี้ก็อีกคนพากันเหลวใหลที่ไหนนะ” พลอยบอกก่อนยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเอ็กส์ พี่อ็อดออกจากห้องประชุม ตรงมาหากลุ่มเด็กๆ
“ตกลงมันจะมาหรือเปล่าวะ?”
“มา มาครับพี่” ปิงปองรีบบอกไว้ก่อน
“เอ็กส์นะมา แต่ตัวนักร้องนำไม่มา เพราะมีธุระด่วนที่ระยอง” พลอยเดินเข้ามาบอก ทุกคนทำหน้าเหวอ ยกเว้นพี่อ็อดที่ไม่พอใจอย่างแรง
“ด่วน ด่วน อะไรก็ด่วนนี่ขนาดยังไม่เป็นนักร้องเต็มตัว ยังเป็นเทวดาขนาดนี้ ต่อไปไม่ยกมันไว้บนหิ้งเลยรึ?”


พี่อ็อดนั่งลงกับเก้าอี้หน้าตาบูดบึ้ง สองมือประสานกันอย่างใช้ความคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพราะวันนี้ผู้บริหารต้องการฟังน้ำเสียงแต่การฟอร์มทีมของวงออกัสเพื่อตัดสินใจทำเทปออกสู่ตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปี
“ไอ้น้องเพชร ไหนลองเสียงหน่อยสิ! เป็นหนุ่มแล้วหน้ายังไม่เปลี่ยนเลยนะเอ็ง เส้นเสียงก็อย่าให้เปลี่ยนล่ะ”
พี่อ็อดพยายามสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายแต่ก็ยากเต็มที เมื่อทุกคนรู้ว่ามิวไม่สามารถมาได้ แต่วันนี้ก็มีความสำคัญต่อวงออกัสในอนาคต ทุกคนใจเสียกันหมด


****************


เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น โต้งรีบรับสาย มิวนึกขึ้นได้หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูมีหมายเลขไม่ได้รับสายเกือบสิบสาย ดูว่าเป็นเบอร์ของพี่พลอยก็รู้ว่าที่บริษัทกำลังมีปัญหา จึงตั้งใจจะโทรฯไปขอโทษแต่กลัวว่าเสียงจะแทรกในโทรศัพท์ของโต้ง
“โต้งกำลังไประยอง ไปธุระ” โต้งบอกกับอีกฝ่ายหนึ่ง มิวไม่มีเจตนาฟังแต่ก็เลี่ยงไม่ได้ จึงนั่งฟังอย่างจำใจ
“เอ่อ…โดนัทจะไปด้วยคงไม่สะดวกหรอก ตอนนี้เราจะถึงระยองแล้ว เท่านี้ก่อนนะครับแล้วเราจะติดต่อกลับไปใหม่” โต้งวางสายไปหันมายิ้มให้กับมิวที่มองค้อนให้แล้วเลี่ยงดูวิวสองข้างถนน
“หึงผมเหรอ?” โต้งใช้นิ้วชี้สะกิดที่ข้างแก้มของชายหนุ่ม จนมิวรู้สึกจั๊กกะจี้หันมาทุบไหล่โต้งดังผลั๊ก ก่อนที่โต้งจะอ่วมมากกว่านี้เสียงโทรศัพท์ของมิวก็ดังขึ้นมา มิวรับสายทันทีเมื่อเห็นชื่อของหญิงโชว์ที่หน้าจอ
“เราใกล้ถึงระยองแล้ว… รอที่สถานีขนส่งแล้วมารับหรือเปล่า? …เสียงเอะอะเกิดอะไรขึ้นที่นั่น?” มิวรู้สึกมีเสียงของป๊าดังเอะอะเข้ามาในสาย
“เสียงป๊ามิวนั่นแหละ โวยวายบ้าอะไรไม่รู้เรื่องไม่เป็นเรื่อง?” หญิงบอกมาตามสาย


“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะที่ว่าไม่เป็นเรื่องน่ะ”

มิวถามขำๆไม่ต้องการคำตอบจริงจังนัก เพียงแค่อยากให้ปลายสายอารมณ์ดี
“ก็พนักงานที่บริษัทจะแต่งงาน เฮียไม่อยากไปก็เลยบ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่นี่ไง เดี๋ยวนี้เราพูดอะไรก็ไม่เข้าหูไปหมด ไม่รู้ว่าความอดทนของเรามีน้อย หรือว่าความมักมากของเฮียมีมากกันแน่”
“หญิง!!...” มิวปรามด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อย ยิ่งทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลง ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นไฟมากขึ้น

“เอาน่า…พอเราไปถึงระยองนะ มีอะไรไปอวดด้วยรับรองเห็นแล้วต้องตะลึง!! เออ…ป๊านี่ก็แปลกจริงๆ งานมงคลของพนักงานในโรงงานแท้ๆก็น่าจะไปยินดีกับเขาหน่อย ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปแทนเอง” มิวบอกไปตามสาย อย่างน้อยๆก็มีเพื่อนเข้าร่วมงานอย่างโต้งคงไม่เก้อสักเท่าไหร่แม้จะไม่รู้จักใครในงาน แค่ขอมีการ์ดเชิญก็เพียงพอแล้ว มิวหันมายิ้มๆให้กับโต้ง อีกฝ่ายทำหน้าเหวอ?แต่แล้วมิวก็แทบถอนตัวไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายปลายสายให้เหตุผลที่เสี่ยเชนอารมณ์เสียนั่นคือเป็นการแต่งงานระหว่างพนักงานผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ที่พบรักกันขณะทำงานอยู่ที่นี่ มิววางสายไปพร้อมๆกับถอนหายใจ มองหน้าโต้งนิ่งๆอีกฝ่ายสบตาไม่รู้เรื่องอะไร

มิวเบือนหน้าออกไปที่กระจกด้านข้างอีกครั้ง หากป๊ารู้เรื่องราวระหว่างมิวและโต้งเรื่องราวคงลุกลามไปไกลเกินกว่าจะคิดไว้แน่ๆ ดูเหมือนมิวยิ่งหันหน้าไปทางไหนก็เจอปัญหาไม่ต่างจากหญิงสักเท่าไหร่?

(โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ)



Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:41:29 น.
Counter : 271 Pageviews.

5 comment
ตอนที่ 13
โต้งออกจากโรงพยาบาลพร้อมๆกับสุนีย์ ชายหนุ่มนั่งนิ่งไม่พูดจาใดๆ สุนีย์คอยสังเกตเป็นระยะๆ

“เดี๋ยวแม่ อย่าเพิ่งเปลี่ยน โต้งขอฟังเพลงนี้ก่อน”

โต้งรีบห้ามผู้เป็นแม่ เมื่อกำลังจะเปลี่ยนคลื่นขณะที่โต้งกำลังฟังเพลง “กันและกัน” ซึ่งเป็นเพลงเก่าที่นักจัดรายการเลือกมาเปิดให้กับผู้ฟังทางบ้านที่โทรศัพท์มาขอเพลงในรายการ
“โต้งรู้มั้ยว่าเพ้อหาพี่แตงตลอดเลย…” สุนีย์ชวนลูกชายคุย ขณะขับรถไปด้วย โต้งชะงักหันมาสบตากับแม่ สีหน้าลังเลบางอย่าง แล้วตัดสินใจพูดกับแม่

“แม่ว่าพี่แตงจะกลับมาหาเราหรือเปล่า?”

“พอแล้วโต้ง อย่าพูดเรื่องนี้กับแม่อีก แค่โต้งเพ้อที่โรงพยาบาลแม่ก็จะแย่อยู่แล้ว”

สุนีย์อดเสียงเข้มขึ้นมาไม่ได้ โต้งเบือนหน้ามองกระจกด้านข้าง นึกถึงใบหน้าของพลอยขึ้นมา เปรียบเทียบกับพี่แตงเงียบๆคนเดียว
อีกมุมหนึ่งของตึกเก่าๆ มิวนั่งฟังเพลงนี้อย่างเศร้าหมอง ในมือยังคงลูบตัวต่อไม้อย่างเคยชิน

“หวังว่านายคงได้ฟังเพลงนี้ เพลงที่เราโทร.ไปขอนะ”

มิวพูดทั้งน้ำตา หลังเพลงจบชายหนุ่มเดินลงบันไดลงมาชั้นล่าง แล้วหยุดยืนที่หน้ารูปภาพของอากง กับอาม่า สายตาของมิวมองสบตากับภาพของอาม่า ก่อนจะค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้นช้าๆ
“อาม่า? อาม่ารู้ใช่ไหม?ว่าตอนนี้มิวรู้สึกอย่างไร? มิวสับสนเหลือเกิน หรือว่ามิวจะไปอยู่กับป๊าที่ระยอง อาม่าว่าไง?บอกมิวสิครับ”

*************

ยังไม่ทันที่หญิงจะตั้งตัว หรือวางแผนชีวิตของตัวเองก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทร.เข้ามาโวยวายว่าแย่งสามีชาวบ้าน หญิงถึงกับหน้าชา โยนโทรศัพท์ทิ้งทันที


*************

เสี่ยเชนหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถ หลังจากที่เลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านของผู้หญิงคนใหม่ “ทิพย์” ผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงกับดีใจกระโดดโลดเต้น
“อยู่บ้านโน้นมีแต่ปัญหา วันๆสร้างแต่เรื่องราว นี่ก็ว่าทิพย์ไปข่มขู่” เสี่ยเชนนั่งลงอย่าระอา
“บ้า ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทิพย์ไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกคะ ทิพย์รู้ว่ามาที่หลังย่อมเจียมตัว ฝากบอกเขาด้วยว่าทิพย์ไม่ใช่นางร้ายในละคร เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า” ทิพย์นั่งลงข้างๆอย่างเอาอกเอาใจ สร้างความพึงพอใจให้เสี่ยเชนยิ่งนัก เขาซุกไซร้ปลายจมูกลงบนใบหน้าของหญิงสาวอย่างเสน่หา

*************
เสียงโทรศัพท์ของมิวดังขึ้นกลางดึก มิวงัวเงียรับสาย พอได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก็ตาสว่างขึ้นมาทันที
“หญิง!!เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไร?”
“หญิงจะทำอย่างไรดี? หญิงผิดอะไร?”
“ใจเย็นๆนะหญิง ทุกอย่างมีทางแก้ไข” มิวบอกออกไปแบบนั้น แม้จะยังไม่รู้เรื่องราวก็ตาม ทว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่กระซิกตามสายนั้น มิวก็พอจะเดาเรื่องราวได้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่างแน่นอน
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของหญิงแล้ว มิวเข้าใจความรู้สึกของหญิงได้ดี

“พรุ่งนี้เราจะไปหานะ”

หญิงวางสายลง แม้จะมีคราบของน้ำตา แต่ทว่ายังมีรอยยิ้มอุ่นใจอยู่บนใบหน้า ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอมีความหวังต่อสู้ปัญหาต่อไป หญิงเดินกลับเข้าไปในบ้านท่ามกลางความมืดของท้องฟ้าอย่างเดียวดาย แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของหม่าม๊าเธอที่แอบดูอยู่มุมหน้าต่างห้อง

*************
สุนีย์แต่งตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวลงมาชั้นล่าง เห็นโต้งกำลังใส่ผูกเชือกรองเท้าที่เก้าอี้เตรียมจะออกจากบ้านก็แปลกใจที่โต้งออกไปข้างนอกแต่เช้า
เสียงสุนีย์เดินมาจากด้านหลัง โต้งหันหน้ามามองผู้เป็นแม่ สุนีย์มองหน้าโต้งหมือนจะมีคำถาม แต่โต้งลุกขึ้นยิ้มๆแล้วเดินออกไป


“โต้ง โต้ง นี่ลูกจะไปไหน?” สุนีย์คว้าแขนลูกชายไว้ โต้งหันกลับมามอง
“ไปบ้านเพื่อนครับ”
“บ้านใคร”
“บ้านมิว”
“โต้ง!! ….”


สุนีย์อยากจะพูดแต่พูดไม่ออก ปล่อยมือที่จับแขนของลูกชาย
“ทำไมครับแม่ แม่มีอะไรหรือเปล่า?” โต้งชะงักหันมาถามแม่ตรงๆ
“โต้งฟังแม่นะ …”
สุนีย์เสยผมที่ปรกคลุมใบหน้าของลูกชายให้เข้าที่ น้ำเสียงเฉียบขาดแต่ดูอ่อนโยนและอบอุ่น
“แม่ให้โต้งไปบ้านมิว แม่เคารพการตัดสินใจของโต้ง แม่เชื่อว่าโต้งคิดดีแล้วขอให้ลูกเดินตามหัวใจของลูกที่ต้องการสำเร็จเถอะนะ ขอพระเจ้าคุ้มครอง”
สุนีย์ดึงร่างของลูกชายเข้ามากอด โต้งกอดผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยน ทั้งสุนีย์และโต้งต่างมองหน้ากัน แม้ไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่ต่างรับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน


โต้งออกไปหามิวแต่เช้าอย่างมีความสุข เพื่อบอกความรู้สึกของตัวเอง รวมทั้งเอ็กส์ที่กำลังเดินทางไปหามิวที่บ้านเพื่อจะไปบริษัทพร้อมๆกันตามที่พลอยนัดไว้ แต่ทั้งสองคนต้องเก้อเมื่อสวนกับมิวแบบเส้นยาแดงผ่าแปดขณะที่มิวเรียกแท๊กซี่ออกไปส่งที่สถานีขนส่ง

“อย่าบอกนะว่านายบังเอิญผ่านมาทางนี้”

โต้งพูดดักอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ในใจจะรู้สึกหึงหวงก็ตาม ทั้งสองคนเดินออกจากซอยพร้อมๆกัน

“เราตั้งใจ ทุกอย่างที่เราทำเพื่อมิวเราไม่เคยบังเอิญ”

เอ็กส์หยุดเดินจ้องหน้าโต้งแน่วแน่ จนอีกฝ่ายไม่พอใจ
“หมายความว่าไง?”
“เรานัดมิวไว้ จะเข้าบริษัทพร้อมกัน พี่อ็อดนัดไว้แปดโมงเช้า ส่วนเรื่องที่เราพูดกับนายที่โรงพยาบาลวันนั้น เราจำได้ดี นายสบายใจได้” เอ็กส์ตบบ่าโต้งเบาๆพร้อมกับรอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่สบายใจ
“ถามตรงๆ นายคิดอย่างไรกับมิว”
โต้งกัดริมฝีปากตัวเอง มันเป็นคำถามที่อยู่ในใจตลอดเวลา และไม่คิดว่าจะถามออกไปตรงๆแบบนี้ จนทำให้อีกฝ่ายอึ้งไม่น้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่เมื่อตั้งสติได้ เอ็กส์ก็ยังยิ้มให้กับอีกฝ่าย จนยากที่จะอ่านความรู้สึกได้
“คำตอบมันอยู่ที่ใจของนายแล้ว นายอยากสุขใจหรือทุกข์ใจก็เลือกเอา” เอ็กส์จิ้มนิ้วชี้ไปที่หน้าอกด้านซ้ายของชายหนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มเช่นเดิม ก่อนที่จะเดินผละไป โต้งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทวนคำตอบของเอ็กส์ไปมา
“คำตอบมันอยู่ที่ใจของนายแล้ว นายอยากสุขใจหรือทุกข์ใจก็เลือกเอา หมายความว่านายเสียสละให้กับเราเหรอ? ขอบใจมากว่ะเอ็กส์” โต้งยิ้มออกมาอย่างดีใจ รีบวิ่งตามเอ็กส์ออกไปทันที

*************
กรไม่พอใจที่โต้งไม่ค่อยอยู่บ้าน และไม่คิดจะหางานทำจริงจัง จึงปรึกษากับสุนีย์
“โต้งมันก็จบมานานแล้วนะ ถึงเวลาทำงานจริงจังเสียที” กรยกแก้วน้ำดื่ม หลังจากหันหน้าคุยกับสุนีย์ โดยทิ้งงานที่ค้างอยู่บนโต๊ะ
“ตอนนี้โต้งกำลังค้นหาตัวเองอยู่ รออีกสักพัก ถ้าลูกพร้อมเมื่อไหร่คงบอกเราเอง”
“ถึงเวลานั้น มันจะสายเกินไปหรือเปล่า? สมัยนี้มันรีรอเวลามันจะไม่ทันการน่ะสิ”


สุนีย์สบตากับกร เข้าใจความรู้สึกของสามีเป็นอย่างดี โต้งเป็นผู้ชายเมื่อจบมาก็ควรจะหางานทำ เก็บเงินสร้างอนาคต
“ตอนนี้ลูกมันโตแล้ว เราจะชี้นิ้วสั่งเขาเหมือนเด็กๆต่อไปอีกคงไม่ได้ เอาหล่ะ!!เมื่อลูกกลับมาจะลองคุยเรื่องนี้ดู” สุนีย์บีบบ่าสามีเบาๆ กรเอื้อมมือมาตบเบาๆที่หลังมือของภรรยาแล้วก้มหน้าทำงานต่อไป สุนีย์ขอตัวขึ้นไปอ่านบทความวิจัยของตัวเองด้านบน
ประตูห้องของโต้งปิดสนิทเหมือนเดิม สุนีย์อดไม่ได้ที่จะเข้าไปทำความสะอาดให้ในห้องของลูกชาย แม้บางครั้งโต้งจะพยายามทำความสะอาดห้องเองก็ตาม ขณะที่กำลังดึงผ้าปูที่นอนของลูกชายให้ตึงใหม่นั้น หนังสือเล่มหนึ่งก็ตกลงจากเตียง สุนีย์เอื้อมไปหยิบขึ้นมา หัวใจแทบหยุดเต้นอีกครั้งเมื่อพบหนังสือปลุกใจของชาวสีม่วง มือที่ถือหนังสืออยู่นั้นสั่นระริก อีกมือหนึ่งทาบลงที่หน้าอกตัวเอง พยายามเรียกสติของตัวเองให้เข้มแข็งอีกครั้ง แล้วเก็บหนังสือไว้ที่เดิม เป็นอีกครั้งที่หล่อนขดตัวกอดหมอนซุกใบหน้าร้องไห้ พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่เจ็บปวดอยู่ภายใน
แม้จะรู้และเข้าใจลูกมาโดยตลอด แต่เมื่อมาเห็นแบบนี้หัวใจที่แข็งแกร่งของคนป็นแม่ก็พาลจะแตกสลายได้เช่นกัน

***************




Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:41:16 น.
Counter : 336 Pageviews.

1 comment
ตอนที่ 12
สุนีย์มองบทความต่างๆมากมายอยู่ตรงหน้า ค่อยๆหยิบขึ้นมาอ่านช้าๆถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศ แต่ไม่มีสมาธินักเมื่อภาพของโต้งลอยซ้อนเข้ามา สุนีย์มั่นใจว่าโต้งเป็นเกย์อย่างแน่นอน แต่เพราะอะไร และเหตุใดโต้งถึงเป็นเกย์ได้ คิดแล้วสุนีย์ก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ จึงตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับพี่ชายของกร

“ส่วนมากพวกรักร่วมเพศเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่นมากกว่า เขาแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องทางสังคม” พี่ชายของกรหยิบเอกสารอย่างหนึ่งส่งให้สุนีย์

“พี่ค้นข้อมูลได้เท่านี้แหละ นีย์ลองอ่านดู อาจจะได้คำตอบ ว่าแต่ทำไมถึงสนใจเรื่องนี้”

สุนีย์ไม่กล้าสบตาสายตาอีกฝ่ายนัก ไม่เหมือนครั้งที่เคยมาปรึกษาเรื่องของกรเมื่อหลายปีก่อน
“นีย์กำลังทำวิจัย ไม่รู้จะหาข้อมูลมาจากไหนก็เลยต้องรบกวนพี่เป็นธุระให้” หลังจากนั้นก็พูดคุยกันเล็กน้อย ส่วนมากจะเป็นการถามไถ่อาการของกรมากกว่า ก่อนที่สุนีย์จะขอตัวกลับไปโรงพยาบาลเยี่ยมไข้ลูกชาย

**************

โต้งพยายามลืมตาขึ้นรู้สึกหิวน้ำ ชายหนุ่มไม่ได้กดสัญญาณเรียกพยาบาล แต่กลับค่อยๆลุกจากเตียง เดินไปดื่มน้ำเองแล้วรูดม่านเปิดออกไป ยืนสูดอากาศริมระเบียง ภาพของมิวขณะเอ็กส์ประคองขึ้นรถแว๊บเข้ามาในสมอง เสียงประตูห้องเปิดออกมาเอ็กส์รีบปิดทันทีเมื่อรู้ว่าเข้าห้องผิด ขณะที่โต้งโผล่ออกมาจากระเบียงคลาดกันเพียงเล็กน้อย โต้งเดินไปที่ประตูแล้วออกจากห้องเดินไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก
เอ็กส์เปิดประตูห้องคนไข้ของมิว เห็นมิวอาการดีขึ้นก็สบายใจ บอกว่าวันนี้คงกลับบ้านได้

“ขอบใจมากนะเอ็กส์”
“ไม่เป็นไร มรึงพักผ่อนให้มากๆเถอะ” เอ็กส์ประคองบ่าทั้งสองข้างค่อยๆผลักให้มิวนอนลงกับเตียงช้าๆ ความใกล้ชิดกันห่างเพียงแค่ลมหายใจกั้น มิวรู้สึกประหลาดๆ ไม่ต่างจากเอ็กส์เช่นกันจนต้องหัวเราะกลบเกลื่อน
“ขำอะไรว่ะ!!” มิวถาม
“มิว…มรึงจำตอนเราเรียนวิชาพละตอนนั้นได้หรือเปล่า?”
“ตอนไหน?” มิวทำหน้างง เอ็กส์จึงเฉลยด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์แกมอมยิ้มเขินๆ
“ตอนที่กรูจูบกับมรึงตอนแรกไง”
“ไอ้บ้า!! มรึงเป็นอะไรของมรึง จู่ๆก็มาพูดกับกรูแบบนี้” มิวหันหลังไปอีกทางพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้า
“กรูอยากรู้ว่าถ้ากรูจูบกับมรึงตอนนี้ มรึงจะเอาลิ้นมาแหย่ปากกรูอีกหรือเปล่า?”


คราวนี้มิวไม่ได้โกรธเอ็กส์เหมือนทุกๆครั้งแต่กลับเขินอายและขบขันไปกลับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา เอ็กส์เห็นมิวอารมณ์ดีก็เลยแกล้งจับมิวล็อคแล้วก้มหน้าลงจนแทบประชิดหน้ากัน มิวร้องก๊ากออกมาอย่างขำๆ จนเสียงดังออกไปนอกห้อง เป็นจังหวะเดียวที่โต้งเดินผ่านมาพอดี โต้งเห็นป้ายชื่อคนไข้หน้าห้องก้ตะลึงเมื่อเห็นเป็นชื่อมิวพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ จึงเปิดประตูเข้าไป อาการไข้ของมิวแทบจะหายขาดเป็นปลิดทิ้ง แต่อาการของโต้งแทบจะไข้ขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นเอ็กส์กำลังยื่นหน้าประกบจูบกับมิว ทั้งที่ความจริงแล้วทั้งคู่กำลังหยอกล้อกันเล่นนั่นเอง

“โต้ง!!”

“โต้ง เดี๋ยวก่อน ฟังเราอธิบายก่อน”

มิวตะโกนเรียกโต้ง ขณะที่อีกฝ่ายกึ่งเดิน กึ่งวิ่งไปที่ลิฟท์ชั้นล่าง เอ็กส์หน้าเศร้าลง รู้สึกสับสนกับตัวเอง มิววิ่งตามออกไปนอกห้องสวนกับสุนีย์ที่กำลังเดินไปห้องของโต้ง
“น้านีย์!!”
“มิว”
สุนีย์ทั้งแปลกใจและดีใจที่ได้เจอมิวอีกครั้ง สุนีย์มองรูปร่างของมิวอย่างชื่นชม มิวรู้สึกแปลกๆกับสายตาของสุนีย์ ความรู้สึกบางอย่างทำให้มิวรับรู้ว่าสายตาที่สำรวจนั้นมันอบอุ่นและแฝงไปด้วยความรัก ไม่ได้ดูชิงชังหรือตำหนิเขาเหมือนตอนที่สุนีย์มาหาที่บ้านเมื่อหลายปีก่อน
“มิวมาเยี่ยมโต้งเหรอ? โต้งเป็นอย่างไรบ้างคงหายดีแล้วใช่ไหม? ดีเลยน้าจะได้รับกลับบ้านพร้อมๆกัน” สุนีย์ยิ้มๆ มิวทำหน้าไม่ถูก เอ็กส์เดินตามออกมา สุนีย์มองแล้วปะติดปะต่อเรื่องราวเอง เข้าใจว่าเอ็กส์คือเพื่อนคนพิเศษของมิว สุนีย์ยังปักใจว่ามิวเป็นเกย์
“น้านีย์ครับ คือโต้งเขาเข้าใจผมผิดเรื่องเอ็กส์กับผม…เอ่อ..เราเป็นเพื่อนกันครับ”

มิวกลืนน้ำลายลงคอ พยายามเลี่ยงคำๆนี้ใช่ว่ามันจะเป็นความจริง แต่มันเป็นคำพูดหนึ่งที่มิวเคยพูดกับสุนีย์ ตอนที่สุนีย์มายุติความสัมพันธ์เรื่องเขาและโต้ง มิวตัดสินใจยืนยันคำพูดเดิมที่บอกกับสุนีย์ครั้งแรก สุนีย์โล่งอก
ที่ห้องไข้ของโต้ง สุนีย์ขอคุยกับมิวเป็นการส่วนตัว เอ็กส์เดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย

“มิว หวังว่ามิวคงเข้าใจน้าแล้วนะเมื่อวันนั้นที่น้าคุยกับมิว ไม่โกรธนะใช่ไหม?”
“ไม่ครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของน้านีย์” มิวก้มหน้านิ่ง สุนีย์เดินมาบีบบ่าทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มคราวลูกอย่างสงสารและเข้าใจความรู้สึกนั้นเช่นกัน
“น้าจำได้ดีว่าพูดอะไรกับมิววันนั้น ตอนนี้โต้งก็เรียนจบแล้ว กำลังหางานทำ เก็บเงินและก็หาใครสักคนสร้างครอบครัวที่อบอุ่นอยู่ดูแลกันไปจนแก่จนเฒ่า….” สุนีย์มองผ่านแผ่นหลังของมิวไปเบื้องหน้า ต่างจากมิวก็ตรงที่ภาพเบื้องหน้าที่มองนั้น เลือนลางไม่ชัดเจนเพราะม่านน้ำตาเอ่อล้นอาบแก้มทั้งสองข้าง ขณะฟังสุนีย์พูด
“หัวอกของคนเป็นแม่นะมิว ที่น้าเลี้ยงลูกชายมา ก็อยากให้เขาเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง”
“ผมทำตามสัญญาที่รับปากน้านีย์อย่างเคร่งครัด ไม่ผิดสัญญานี่ครับ” มิวหันมารีบออกตัวก่อน เกรงว่าสุนีย์จะเข้าใจผิด สุนีย์มองหน้ามิวเล็กน้อย ยิ้มให้อย่างอบอุ่น


“น้ารู้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา น้าทนไม่ได้หรอก ที่เห็นลูกชายของน้าจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความทุกข์”
“โต้งมีเรื่องอะไรที่ต้องทุกข์ใจครับน้านีย์”
มิวถามด้วยความเป็นห่วงมากกว่าแค่ความอยากรู้
“โต้งทุกข์ใจมาก ที่ผ่านมามิวหลบหน้าเขาโดยตลอด โต้งโกรธน้ามากหาว่าน้าตีกรอบเขามากเกิน มิวรู้ไหม?ตลอดเวลาน้ารู้เพียงว่าน้าเป็นแม่ น้าต้องให้สิ่งที่ดีๆกับลูก แต่น้าไม่เคยเข้าใจความต้องการของลูกเลยว่าเขาต้องการสิ่งที่แม่หยิบยื่นหรือเปล่า? โต้งพยายามห่างจากน้าทุกทีๆ ด้วยการสอบเรียนต่อที่เชียงใหม่ และเขาก็มุมานะทำสำเร็จ เลือกคณะที่พ่อเขาอยากให้เรียน ทำคะแนนดีๆตามที่น้าคาดหวัง แต่พอเรียนจบโต้งมาบอกกับน้า ว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่น้าจะให้เขาทำตามใจตัวเอง”

“โต้งขออะไรกับน้านีย์ครับ”
“โต้งขอคบกับมิว”
“น้านีย์”

มิวตกใจกับคำบอกเล่าของสุนีย์ ไม่ต่างจากเอ็กส์ที่ได้ยินพอดีขณะเดินมาถึงหน้าห้อง เอ็กส์กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ถุงยาและใบเสร็จล่วงลงกับพื้นหน้าห้อง ชายหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือลงไปเก็บช้าๆ และก็ช้าเกินกว่าที่โต้งจะเก็บขึ้นมาให้เสียก่อน เอ็กส์ตกใจอีกครั้งที่พบโต้ง คราวนี้เป็นการพบกันซึ่งๆหน้า
“เราขอคุยอะไรด้วยสิ” โต้งเอ่ยขึ้น เอ็กส์พยักหน้า มองโต้งอย่างไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรระหว่างเขาที่ต้องคุยกัน ภายในห้องคนไข้ สุนีย์หันมายิ้มๆให้กับมิวอีกครั้ง

“อย่าบอกนะว่ามิวไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับโต้ง ไม่ว่าวันนี้ลูกชายของน้าจะเป็นอะไร? คนเป็นแม่ก็คงต้องยอมเพื่อเห็นลูกของตัวเองมีความสุข โต้งเดินตามทิศทางที่น้าขีดไว้ให้ ต่างกันก็ตรงที่เขาเลือกที่จะเดินด้วยตัวเขาเอง และเขาก็พร้อมจะเดินไปกับมิว”

“ผม…เอ่อ…”

“หรือว่ามิวมีทางเดินของมิวแล้ว เพื่อนคนนั้นใช่มั้ย?” สุนีย์หมายถึงเอ็กส์ มิวรีบส่ายหน้าทันที แต่ที่มิวคิดคือสุนีย์คงเข้าใจผิดแล้ว เพราะตอนนี้โต้งเดินถูกทางที่สุนีย์วางไว้แต่เดิม และเลือกคนที่เดินเคียงข้าง เพื่อสร้างอนาคตที่อบอุ่นอย่างที่สุนีย์คาดหวังทุกประการ นั่นคือ “โดนัท”
ที่ชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาล โต้งถามตรงๆกับเอ็กส์เรื่องความสัมพันธ์กับมิว โต้งยอมรับกับเอ็กส์ว่าตัวเองเป็นเกย์ และชอบมิวมาตั้งแต่เรียนมัธยม
“ก็พอจะรู้ๆมาบ้าง แต่เรากับมิวก็เป็นเพื่อนกัน” เอ็กส์ตอบแบบไม่สบตากับโต้ง

“แต่ที่เราเห็น…มันไม่ใช่แค่เพื่อนเท่านั้น”

โต้งขึ้นเสียงดังลั่น เอ็กส์หันไปมองอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“นี่เหรอ?คือความรักของนายที่มีให้มิว นายกำลังดูถูกคนที่นายรัก รู้ตัวหรือเปล่า?” เอ็กส์ผลักอกโต้งจนเซ
“ถ้านายรักมิว เราก็ไม่ขัดขวาง แต่อย่ามากล่าวหามิวแบบนี้ นายคบกับมิวตั้งแต่เรียนมัธยมเราก็รู้ แต่นายเคยรู้มั้ยว่าเรากับมิวคบกันมานานแค่ไหน เรียนมาด้วยกัน กินนอนซ้อมดนตรีอยู่ด้วยกัน เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน แล้วนายล่ะ? นายไปอยู่ไหน? นายทิ้งให้มิวเหงาอยู่คนเดียวได้ไง แล้วผู้หญิงที่นายควงไปดูคอนเสิร์ตเมื่อวานก่อนล่ะ!!นายทำให้มิวเสียใจกี่ครั้ง กี่หนแล้ว นายยังกล้ามาเรียกร้องสิทธิ์จะคบกับมิวเป็นแฟนกับเราอีกงั้นเหรอ?.... โต้ง…” เอ็กส์ตบบ่าชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ แม้ตัวเองจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตาม

“…กลับไปทบทวนดูตอนนี้ยังไม่สาย มิวมันขาดความรักมานานแล้ว ขอให้โชคดีว่ะ” พูดจบเท่านั้น เอ็กส์ก็หันหลังเดินลงบันไดจากไป ปล่อยให้โต้งนั่งทรุดตัวลงกับพื้น คิดอะไรลำพังคนเดียว

***************

ที่บริษัทค่ายเทปย่านอโศก พี่อ็อดกำลังเดินเข้าห้องทำงานเห็นพลอยนั่งด้านหน้าประตู จึงสั่งงานเพื่อเตรียมความพร้อมของโปรเจคใหม่ในปลายปี
“พลอย จัดคิวเวลาว่างแล้วโทร.นัดวงออกัสประชุมกับพี่หน่อย ให้มากันครบเลยนะ”
พลอยรับงานแล้วก็ดูตารางคิวก่อนจะโทรศัพท์ไปหามิวทันที

***************

ที่ระยอง หญิง เลี้ยวรถกลับเข้ามาที่บ้าน หลังจากพาหม่าม๊าไปรับยาที่จังหวัดสระแก้ว เห็นรถเก๋งไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้าน ไม่ทันไรก็ได้คำตอบเมื่อเห็นเสี่ยเชนเดินควงผู้หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของรถคันต้องสงสัยดังกล่าว หญิงถึงกลับหน้าถอดสี เดินพาหม่าม๊าเลี่ยงเข้าประตูทางหลังบ้านทันที หลังจากพาหม่าม๊าเข้าห้องแล้ว หญิงก็ตรงดิ่งเข้าเล่นงานเสี่ยเชนทันทีเช่นกัน
“ก็แล้วทำไม เค้าก็แค่ผู้หญิงคั่นเวลาของเฮีย หญิงอย่าทำให้เป็นเรื่องนักเลย ”

“หญิงเนี๊ยนะ จะทำให้เป็นเรื่อง ถ้าเฮียไม่พามากกถึงในบ้าน หญิงจะไม่เดือดไม่แค้นถึงขนาดนี้หรอก เฮียทำกับหญิงเกินไปแล้วนะ” หญิงทุบตีเสี่ยเชนด้วยความโมโห เสี่ยเชนผลักหญิงล้มลงไปที่เตียง ส่วนตัวเองหันหลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
“จะออกไปหาผู้หญิงคนนั้นเหรอ?” หญิงถามพยายามสะกดกั้นความเสียใจไว้ข้างใน
“อย่ากำเริบให้มันมากนักนะ เฮียหมดเงินหมดทองไปเท่าไหร่แล้วที่ส่งหญิงเรียนจนจบ ถ้าหญิงคิดจะตอบแทนเฮีย ก็อย่าทำให้เฮียปวดหัวอีก”
“เฮีย!! เฮียพูดแบบนี้กับหญิงได้ไง!! เฮียจำไม่ได้เหรอ?ว่าที่หญิงตกอยู่ในสภาพแบบนี้เพราะใคร? เฮียใช่มั้ยที่ข่มขืนหญิง หลอกหญิงทุกอย่าง ได้สิ!!ถ้าหญิงมันทำปัญหาให้เฮียหนักใจนัก หญิงก็จะไป”
“ไปเลย!!แต่อย่าเอาสมบัติสักชิ้นของที่นี่ไปเชียวนะ ดูสิว่าจะไปรอดมั้ย!!” เสี่ยเชนปิดประตูห้องใส่ดังโครม หญิงสะอื้นปล่อยโฮออกมาสุดที่จะกลั้น ทรุดตัวลงกับเตียง
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หญิงเงยหน้าถามว่าใคร?

“หม่าม๊าเอง!!”

เสียงนั้นตอบออกมาจากหน้าประตู หญิงปาดน้ำตาทิ้งจนแห้งหาย แล้วเดินไปเปิดประตู
“ม๊าหิวหรือเปล่า? หญิงยังไม่ได้หุงข้าวเลย”
“อาหญิง!! ม๊ากินอะไรไม่ลงหรอกเมื่อลูกร้องไห้แบบนี้” หม่าม๊ากอดลูกสาว ปลอบใจอยู่นาน หญิงถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ปล่อยให้มันไหลอีกครั้ง สงสารหม่าม๊าจับใจ แม้อาการทางประสาทของหม่าม๊าจะยังไม่หายเป็นปกติ แต่สายใยแห่งรักก็ไม่อาจพรางตาความรู้สึกของคนเป็นแม่ได้
“เฮียเขาไล่หญิงแล้วม๊า เขามีผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาไม่ต้องการหญิงแล้วใช่ไหม?”




Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:41:03 น.
Counter : 300 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คุณหมอกมลชนก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."

บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

คำคมนี้ดูจะบ่งบอกความเป็นตัวตนของ"ออมสิน"ได้เป็นอย่างดี...


สมาชิกอยู่ในบ้านขณะนี้