ตอนที่ 26
(ต่อจากตอนที่แล้ว)

ตอนนี้เสียงเพลงคาราโอเกะของแขกในงานเริ่มเบาบางลง เสียงเอะอะดังมาจากทางหน้าบ้านทุกคนหันไปมองอย่างแปลกใจ รวมถึงโต้งด้วย เมื่อทุกคนเห็นกลุ่มเพื่อนๆของมิวถือสัมภาระอุปกรณ์ดนตรีมากันครบมือ ก็ดีใจมิวลุกไปหาโดยมีโต้งเดินตามไปติดๆเพื่อช่วยถือของ
“ไหนว่าติดงานไง?” มิวถามเอ็กส์ยิ้มๆด้วยอาการที่เก็บความดีใจไม่ไหวที่เห็นน้ำใจของเพื่อนๆในวงออกัส
“เพื่อนย่อมสำคัญกว่าอย่างอื่น” เอ็กส์ตอบยิ้มๆทำน้ำเสียงจริงจัง
“ขอบใจนะ” มิวและโต้งพูดขึ้นพร้อมๆกัน เอ็กส์ยิ้มให้กับโต้ง แล้วกวาดสายตาหยุดลงที่มิวอีกครั้ง
““ถึงเราจะไม่เข้าใจกันในบางครั้ง แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะเว้ย!!ทำไมถึงชอบคิดว่าไม่มีใครสนใจว่ะ งานแต่งของเพื่อนทั้งคนไม่มาไม่ได้แล้ว?” เอ็กส์โน้มตัวกระซิบเบาๆที่ข้างๆหูของมิว ในประโยคสุดท้าย

“บ้า!!” มิวหัวเราะชอบใจ เอ็กส์มองตามิวสายตาบ่งบอกถึงความรู้สึกดีๆให้กัน ก่อนจะหันหลังไปหยิบกระเป๋าดนตรีเดินเข้าไปในงาน มิวแอบยิ้มคนเดียวเมื่อหันไปเห็นเพื่อนๆที่ขึ้นบนเวทีจัดแจงตั้งสายกีต้าร์และเตรียมตัวเล่นดนตรีให้กับแขกในงาน เป็นการกลับมาที่นี่อีกครั้งของวงออกัส โต้งบีบหัวไหล่มิวเบาๆให้กลับไปนั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม

***************
มิวถูกเรียกให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีกับวงออกัสที่บรรเลงเล่นดนตรีขับกล่อมแขกในงานอย่างดีเยี่ยม ด้านของสุนีย์ เธอเดินเข้าไปในบ้านด้วยหัวใจที่เต้นระรัว น้ำตาปริ่มๆรอบขอบดางตานั้นร้อนผ่าวภายใน เธอฝืนยิ้มให้กับพลอยเล็กน้อยก่อนที่จะขอตัว ส่วนกรยิ้มให้กับพลอยเล็กน้อยเช่นกัน
“ขอบใจนะที่มา นั่งกับโต้งก็ได้นะ รายนั้นคงรออยู่” กรหันไปทางโต้งที่มองมาทางนี้เหมือนกัน พลอยยิ้มให้ แม้จะไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ แต่ทว่าสายตาที่มองผู้ใหญ่ตรงหน้ามันมีความรู้สึกมากมายที่อยากเอ่ยออกมา พลอยกำลังจะพูดแต่แล้วกรก็เดินกลับไปสังสรรค์ที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พลอยหันไปหาโต้งช้าๆ แล้วตัดสินใจเดินไปทางเดียวกับที่สุนีย์เดินไปเมื่อสักครู่ โต้งยิ้มให้กับตัวเองคนเดียว ความรู้สึกอบอุ่นกลับคืนสู่ชีวิตของเขาอีกครั้ง กรปลายสายตามองดูพลอยที่เดินเข้าไปในบ้าน แม้จะไม่สนใจนักแต่สายตาก็บ่งบอกถึงความรู้สึกบางอย่างไม่ได้ สีหน้านั้นดูระรื่นด้วยความสุขใจ ด้านมิวก็ยังคงร้องเพลงโดยสายตามองมาที่โต้งเป็นระยะๆ


**************
“คุณคะ หนูช่วยถือค่ะ?”
พลอยแย่งจานอาหารว่างจากมือสุนีย์แล้วเดินออกมาพร้อมๆกัน สุนีย์เงยหน้าสบตา แล้วยิ้มอย่างมีความสุข แม้จะยอมรับว่าเป็นการหลอกตัวเองก็ตาม
“หนูชื่ออะไรล่ะ? แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ!!”
สุนีย์หยุดเดิน ตัดสินใจถามแม้จะรู้สึกหวั่นไหวภายในใจก็ตาม พลอยชะงักให้กลับมา ยิ้มให้กับคำถามนั้น

**************

จานอาหารถูกวางลงที่โต๊ะเล็กๆใกล้กับประตูทางเดิน สุนีย์ขยับตัวให้กับพลอยได้นั่งไกล้ๆบนตั่งไม้ที่กรเคยนอนประจำช่วงที่รักษาตัว
พลอยอดเสียมารยาทไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองดูกรอบภาพต่างๆที่ติดบนพนังบ้าน เป็นภาพครอบครัวของโต้งที่บางภาพถ่ายพร้อมหน้าพร้อมตากันพ่อแม่ลูก แต่ส่วนมากจะเป็นภาพของโต้งเสียมากกว่าตั้งแต่วันรับปริญญาจนปัจจุบัน มองสลับกันไปมาระหว่างภาพกับผู้หญิงที่นั่งข้างๆเริ่มเข้าใจบางอย่าง

“หนูชื่อพลอยค่ะ อยู่ที่เชียงใหม่ ตอนนี้ทำงานที่กรุงเทพฯดูแลศิลปิน”
“รู้จักโต้งนานหรือยัง?”
“นานแล้วค่ะ เอ่อ…รู้จักกันพร้อมๆกับมิว”
“ครอบครัวหนูอยู่เชียงใหม่หรือ?” คำถามนี้สุนีย์แสยะยิ้มในลำคอ จนพลอยรู้สึกได้ว่าเป็นประเด็นที่สุนีย์ต้องการจะทราบ เธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“เอาเถอะ!! ฉันขอโทษที่เสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวของหนูมากไป ออกไปข้างนอกกันดีกว่า?” สุนีย์ตัดบทขึ้นมาดื้อๆ เหมือนพลอยจะโล่งใจแต่ก็อดติดใจบางอย่างไม่ได้ สีหน้าสลดลงเล็กน้อย
“มีใครเคยบอกไหม?ว่าหน้าตาของหนูเหมือนกับคนหนึ่งที่เข้ามาในครอบครัวของฉัน?” สุนีย์ถามขึ้นขณะเดินออกมาจากบ้าน จานอาหารในมือของพลอยแทบล่วงหล่นพื้น


“ใครคะ!!”
“เขาชื่อแตง เป็นพี่สาวของโต้ง อายุก็พอๆกับหนูนั่นแหละ แต่วันหนึ่งเขาก็เลือกเดินในเส้นทางที่เขาตัดสินใจ ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 18 ปีเลย”
“แล้วตอนนี้…”
“เขาไม่ได้ไปไหนหรอก เขาอยู่ในหัวอกของคนที่เป็นพ่อและแม่นี่แหละ”
จู่ๆน้ำตาของสุนีย์ก็ไหลเอ่อขึ้นมา แม้จะพยายามกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้แล้ว

“หนูขอโทษนะค่ะที่ถาม เอ่อ…จะรังเกียจไหม?ถ้าหนูจะของเป็นลูกสาวของคุณอีกสักคน?” พลอยจับมือของสุนีย์ขึ้นมากุมไว้ข้างหนึ่ง หากไม่ติดที่ต้องถือจานอาหาร หล่อนคงสวมกอดและปลอบใจผู้หญิงคราวแม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างแน่นอน

“ทำไมหนูถึงอยากเป็นลูกฉันหล่ะ!!”

“ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่บ้านหลังนี้ หนูรู้สึกอบอุ่น หลังจากที่ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนี้มานาน ตลอดเวลาหนูคิดเพียงว่าถ้าหนูมีเงินเยอะๆ กลับไปบ้าน พ่อแม่คงภูมิใจในตัวหนู แม้จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่หนูก็ภูมิใจที่หาเงินเลี้ยงตัวเองได้ หนูไม่อยากเป็นภาระของพ่อกับแม่ เคยคิดนะค่ะว่าวันหนึ่งถ้าหนูซมซานกลับไป ทางบ้านคงสมน้ำหน้าคิดว่าหนูไปไม่รอด หนูคิดไปเอง วันหนึ่งหนูก็รู้แล้วว่าเงินไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของหนูเลย ความอบอุ่นในครอบครัวต่างหากที่หนูต้องการ”

“พ่อแม่หนูล่ะ!!”
“หนูไม่มีพ่อแม่ หนูอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมที่เชียงใหม่ แต่ญาติพี่น้องทางนั้นก็ว่าหนูเกาะครอบครัวของเขา เป็นภาระให้กับพวกเขาทั้งที่หนูเองก็ช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่าง จนในที่สุดหนูก็ตัดสินใจกลับออกมา…”
“กลับมา…กลับมาที่ไหน?” น้ำเสียงสุนีย์ดูเหมือนมีความหวังบางอย่างจนไม่สามารถปกปิดความรู้สึกนั้นได้


“หนูกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯอีกครั้ง โดยไม่หันกลับไปบ้านนั้นอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่หนูกลับไปคือไปเผาศพพ่อแม่บุญธรรม พร้อมกับนำเงินช่วยค่างานทั้งหมดเอง อย่างน้อยๆหนูก็ตอบแทนเขาครั้งสุดท้ายได้เท่านี้ คงจะดีไม่น้อยหากหนูจะตอบแทนบุญคุณของพ่อกับแม่ที่แท้จริงเสียที”
พลอยพูดทิ้งท้ายประโยค สุนีย์ยังคงนิ่งไม่ไหวติงใดๆ ไม่ต่างจากพลอยเช่นกันที่คราวนี้เป็นฝ่ายเงียบไป เหมือนพยายามไม่ให้น้ำตาไหล และความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นคืนกลับมาอีก สุนีย์หันไปมอง เห็นเด็กสาวกำลังเสียใจ
“ขอโทษนะพ่อแม่บุญธรรมของหนูเป็นอะไรถึงตาย?” สุนีย์ถามถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วของอีกฝ่ายเหมือนกำลังค้นหาความจริงบางอย่าง แต่ก็ดูเหมือนจะไร้หนทางไปเสียทุกที

“อุบัติเหตุน่ะ!!” พลอยตอบ เพราะอยากให้สุนีย์เข้าใจความรู้สึกของเธอ และจะมีสักกี่คนที่จะร่วมรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเธอได้ละเอียดลึกซึ้งเพียงนี้
“อุบัติเหตุอะไรก็ไม่รู้ หนูเองก็ไม่อยากรู้หรอก รู้แต่ว่า พ่อแม่บุญธรรมที่ตายไปนั้น เขาไม่เคยรับรู้ว่าหนูพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้พวกเค้ามีความสุข แต่เมื่อวันที่เขาจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆหนูไม่มีโอกาสจะทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย ได้แต่โทษตัวเองที่เห็นแก่ตัว หนีเข้ากรุงเทพมาหางานทำ มาใช้ชีวิตคนเดียว หนูไม่มีโอกาสจะขอโทษ หรือว่าจะทำให้พวกเขารู้ว่าหนูรักพวกเขาขนาดไหน หนูถึงอยากมีพ่อ แม่เหมือนอย่างโต้งอีกครั้ง เพื่อทดแทนความรู้สึกของหนูที่ขาดหายไป ”


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มแต่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว หันหน้ามองสบตาสุนีย์เล็กน้อย สุนีย์ยกมือเช็ดน้ำตาให้กับพลอยอย่างผูกพัน ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของกร และโต้ง
“ชีวิตครอบครัวคุณดูอบอุ่นดีมากนะ โต้งเป็นลูกที่ดีของคุณ ไม่เกเรและติดยา หนูนับถือคุณจริงๆที่อบรมลูกชายจนได้ดี” พลอยบอก สุนีย์แปลกใจ โชคดีตรงไหน?.ในเมื่อทุกวันนี้หล่อนรู้ดีกว่าภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกชายเธอนั้นมีความทุกข์ในใจซ่อนอยู่ หากเธอจะซ้ำเติมลูกด้วยการกรีดกันไม่ให้คบกับมิวอีกก็ดูจะโหดร้ายต่อความรู้สึกของลูกเกินไป มันคงเป็นทางเลือกและทางออกที่ดีที่สุดสำหรับหัวอกของคนที่เป็นแม่จะพึงกระทำให้กับลูกชายคนหนึ่งได้

“หนู…ฉันถามจริงๆนะถ้าเธอนับถือฉันเป็นแม่คนหนึ่ง บอกฉันมาตามตรง นี่เรื่องจริง หรือว่าแต่งขึ้นเพื่อให้ฉันสบายใจ หึ!!”
สุนีย์หันมาถามสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงด้วยรอยยิ้มเจือจาง แม้จะดูเหือดแห้งไปบ้างก็ตาม พลอยยิ้มบางๆตอบรับเช่นกัน สุนีย์หันหน้ากลับเข้าไปในงานเช็ดหน้า เช็ดตาตัวเองกับฝ่ามือ ถอดหายใจยาว

เกือบห้าทุ่มแล้วที่บรรยากาศในงานเลี้ยงบ้านกรและสุนีย์ยังคงมีดนตรีขับกล่อมเบาๆ อาหารออกหมดจากครัวตั้งแต่สามทุ่มกว่า มีเพียงโต้งกับมิวที่ช่วยกันคอยดูแลตักน้ำแข็งให้ตามโต๊ะต่างๆโดยเฉพาะกลุ่มของอาหมอยังคงดื่มติดลมอยู่นั้น ส่วนอธิการบดีและอาจารย์อื่นๆทยอยกลับกันหมดแล้ว สุนีย์เดินเข้ามาที่โต๊ะของพลอยอีกครั้งเพื่อขอบคุณเด็กๆที่มีน้ำใจมาเล่นดนตรีให้

“นี่จ๊ะ!!ค่ะตอบแทนสำหรับพวกเธอ รับไปเถอะนะ” สุนีย์ยื่นซองขาวให้กับเอ็กส์ ทุกคนมองซองในมือของสนีย์
“น้าเข้าใจความรู้สึกของพวกเธอนะ ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากผู้ใหญ่แล้วกัน เมื่อเธอมีน้ำใจให้น้า น้าก็ควรตอบแทนบ้าง อย่าคิดมากเลย พวกเธอมาครวนี้โตเป็นหนุ่มกันหมดแล้วนะ มีแฟนกันหมดแล้วสิ!!” สุนีย์แซวเด็กๆรุ่นลูกอย่างเอ็นดู เอ็กส์ยิ้มเขินๆ รับซองจากสุนีย์ทุกคนไหว้ขอบคุณ
“ดึกแล้ว มิวค้างที่นี่นะ ไม่งั้นโต้งไม่ยอมแน่ๆ” สุนีย์ให้มายิ้มๆให้กับมิว พลางสบตากับพลอย
“หนูจะค้างที่นี่ก็ได้นะจ๊ะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหนูช่วยล้างจานก่อนดีกว่า” พลอยกล่าวยิ้มๆ แล้วถือจานอาหารเข้าไปในครัว สุนีย์เดินตามเข้าไป กลุ่มเด็กๆขอตัวกลับกันเลย รวมถึงกลุ่มของอาหลอต่างลุกจากโต๊ะ บางคนถึงกับเซเลยทีเดียว


***************
ไฟประดับตามเสาและต้นไม้เริ่มดับทีละสายๆจนหมด โต้งและมิวช่วยกันยกจานอาหารและแก้วส่งให้กับพลอยในครัว จนหมด กรเดินเข้าไปในครัวเห็นพลอยและสุนีย์กำลังช่วยกันล้างจาน พลอยหันมายิ้มให้เล็กน้อย กรเองก็เช่นกันเขายิ้มตอบให้ด้วยความสุข แม้จะเป็นยิ้มที่เจือจางก็ตามที ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเขา นอกจากรอยยิ้มนั้น เพียงเท่านี้มันก็เติมเต็มความรู้สึกบางอย่างที่ขาดหายไปเนิ่นนานได้แล้ว เขาขึ้นบันไดด้วยความสบายใจ

***************

“บอกฉันอีกครั้งได้มั้ยว่าเธอเป็นใคร?” สุนีย์ถามตรงๆ กับความรู้สึกตั้งแต่แรกที่ได้เห็นหน้า เธอเชื่อว่าเด็กผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ด้วยขณะนี้คือลูกสาว หรือไม่ก็คือจูนเด็กสาวที่เคยเข้ามาในชีวิต และครั้งหนึ่งเด็กคนนั้นช่วยให้ครอบครัวของเธอสมบูรณ์ขึ้น
“ทำไมล่ะคะ หนูก็เป็นหนูไงคะ” จูนหันมาตอบม่ค่อนเต็มเสียงนั้น
“ไม่ใช่ ฉันหมายความว่าเธอมาจากไหนกันแน่ เธอคงเข้าใจความรู้สึกของฉันบ้างนะพลอย?”
สุนีย์พยายามอธิบายอย่างที่เธอต้องการจะถาม


(โปรดติดตามตอนต่อไป)




Create Date : 15 กันยายน 2551
Last Update : 15 กันยายน 2551 11:33:36 น.
Counter : 283 Pageviews.

9 comment
ตอนที่ 25
โต้งโทรมาปลุกมิวแต่เช้าตรู่ เพื่อให้เตรียมตัวไปห้องซ้อมดนตรีในช่วงสายๆ และช่วงบ่ายจะไปรับเพื่อเตรียมตัวมางานเลี้ยงคืนนี้ ความจริงไม่เรียกว่าปลุกจะเหมาะกว่า เพราะทั้งคืนมิวไม่ได้นอนเอาเสียเลย…ความรู้สึกที่สะสมมาตลอดทั้งวันของเมื่อวานทำให้ต้องเก็บเอามานอนคิด ทั้งเรื่องของตัวเองที่จะก้าวเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโต้ง จะวางตัวอย่างไร? ไหนจะเรื่องของพลอยที่อดกังวลใจแทนไม่ได้ นั่นสิ!!ทำไมต้องกังวลด้วยในเมื่อพลอยก็ไปในฐานะแขกรับเชิญคนหนึ่ง …หรือว่าชายหนุ่มอดกังกลเกินเหตุที่ใบหน้าของพลอยจะคล้ายคลึงกับพี่แตงราวกับถอดบล็อกพิมพ์เดียวกัน

ที่ห้องซ้อมน้องเพชรเดินเข้ามาขอบคุณมิวที่ยอมกลับเข้ามาร่วมวงออกัสอีกครั้ง
“นายไม่โกรธเหรอไง?ที่พี่มาแย่งตำแหน่งนักร้องนำ”
“โกรธได้ไงกันครับพี่มิว วงกอกัสสร้างพวกเรามาทุกคน ถ้าปีนี้ไม่มีพี่มิว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะรุ่งเหมือนคราวที่แล้วหรือเปล่า?” น้องเพชรบอกจากความรู้สึกข้างใน เอ็กส์เงยหน้าจากการตั้งสายเครื่องดีดตัวโปรด ยิ้มให้เล็กน้อย แต่ทว่าสายตาที่มองมายังมิวนั้นมันบ่งบอกถึงความหนักแน่นและภูมิใจกับการตัดสินใจของเพื่อนครั้งนี้
“เอาเถอะมิว แกอย่าคิดมากเลย…พวกเราทุกคนดีใจทั้งนั้นที่แกกลับมา ถ้าไม่สบายใจนัก สงเคราะห์กองทุนอาหารกลางคืนน้องๆมันสักครั้งเป็นไร?”
“ได้ๆไม่มีปัญหา แต่ว่าคืนนี้ไม่ได้นะ เพราะต้องไปงานเลี้ยงบ้านเพื่อน” มิวพูดยิ้มๆ หลบสายตาเพื่อนๆในวงเหมือนเคย แต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความรู้สึกที่มีต่อคนที่กำลังพูดถึงได้ เสียงไมค์แซวขึ้นมาบ้าง
“บ้านพี่โต้งนะสิ!! รู้น่าได้ข่าวว่าแอบไปหวานกันที่ระยองไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ๆ ถ้าคืนนี้พวกเราไม่มีนัดซะก่อน ได้ไปร่วมสังเกตการณ์ด้วยแน่ๆ” เพื่อนสมาชิกอีกคนพูดไปพลางตีกลองรับจังหวะที่ตัวเองพูดจบ ราวกับเล่นตลกคาเฟ่
“เฮ๊ย!!ใครปากดีบอกพวกแกว่ะ!!” มิวเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปทีละคน ทุกคนทำท่าทางไม่ให้มีพิรุธแม้แต่เอ็กส์ที่เกากีต้าร์ไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็ต้องร้องลั่นสุดเสียงเมื่อมิวกระโดดล็อคคอจนเอ็กส์ต้องปล่อยก๊ากออกมาชุดใหญ่ที่เพื่อนจับได้ ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนานทำตัวเหมือนกับเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง…

***************
เสี่ยเชนกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ไม่นานก็ต้องเข้าโรงงานที่มีปัญหาบานปลายสะสมมาเรื่อยๆ จะปล่อยให้คนงานดูแลทั้งหมดก็ไม่ได้ ครั้งจะให้มีนมาช่วยดูแลอีกคน ดีกว่าปล่อยให้เที่ยวเตร่ไปวันๆก็ไม่สามารถบังคับจิตใจลูกได้ เดี๋ยวก็แว๊บหายออกไปกับเพื่อนฝูงตามประสา ได้แต่ภาวนาหวังให้หญิงเปลี่ยนใจกลับมาดูแลกิจการอีกครั้ง ยิ่งคิดมากกับปัญหาภายในโรงงาน อาการของเสี่ยเชนก็กำเริบทรุดลงอีกครั้ง คราวนี้ก็ไม่พ้นพนักงานในโรงงานต้องห้ามส่งโรงพยาบาล

“เอาน่าเห็นใจเฮียแก เมียก็ไม่อยู่ ลูกๆก็เที่ยวตะลอนๆไปวันๆ ทำไมว้า…ลูกข้าถึงไม่เกิดมามีวาสนาแบบนี้บ้างทุกวันนี้มันอยากเรียนต่อ ม.4 ใจจะขาดไอ้ข้านี่สิ!!ไม่มีปัญญาจะหาเงินส่งให้มันเรียน” พนักงานร่างสูงโปร่งเดินบ่นอุบกับเพื่อนอีกคนขณะกลับเข้าไปในโรงงานหลังจากส่งเจ้านายขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

“ว่าไปแล้ว ข้าก็สงสารเด็กว่ะ!!เฮียแกตามใจมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไอ้มีนมันไม่มีแม่ เฮียแกก็ไม่อยากให้ลูกคลาดสายตาก็เลยเลี้ยงมาแบบผิดๆ ตอนนี้เลยคุมไม่อยู่ ว่าแต่เฮียรู้หรือยังว่าไอ้มีนมันเล่นยาแล้ว สงสัยจะรู้แล้วว่ะ ช่วงนี้เฮียเข้าโรงพยาบาลบ่อยเหลือเกิน คงเครียดทั้งเรื่องลูกเรื่องเมีย” ทั้งสองคนเดินคุยกันจนถึงด้านในจากนั้นก็แยกย้ายประจำตำแหน่งหน้าที่ตัวเอง มีนกลับเข้ามาบ้านในเวลาต่อมา พร้อมเพื่อนทั้งผู้หญิงผู้ชายเข้าไปในห้อง เปิดเพลงจากเครื่องเล่นเสียงดังปึงๆในห้องอย่างไม่เกรงใจใคร

***************
สุนีย์ขับรถกลับเข้ามาที่บ้านเร็วกว่ากำหนด เพื่อเตรียมดูแลจัดสถานที่และจัดเตรียมอาหาร โดยมีกรลงมือติดสายไฟกระพริบดวงเล็กๆตามกิ่งไม้ มีเพื่อนๆที่บริษัทสอง-สามคนที่กรขอแรงช่วยยกโต๊ะและจัดเวที คราวนี้กรให้หันหน้าเวทีเข้าหาตัวบ้าน โดยฉากหลังสุนีย์เป็นคนออกแบบเอง ที่โต๊ะหินอ่อนสีขาวตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกดูเก๋ไก๋และมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม พี่ๆที่บริษัทของกรต่างยกกระถ่างต้นไม้วางไว้ตามจุดต่างๆ ไม่นานรถปิกอัพคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดภายในมีเก้าอี้และแผ่นไม่ทรงกลม สุนีย์รีบเดินเข้าไปจัดแจงเตรียมให้คนงานที่มากับรถคันนั้นยกลงจัดวางเป็นโต๊ะจีนมีจำนวนเกือบห้าชุด ไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับงานเล็กๆแบบนี้
“เหนื่อยมั้ย…คุณ” กรเดินเข้าไปหา พร้อมกับยื่นผ้าเย็นส่งให้สุนีย์
“เพื่อลูกของเราทั้งคน เหนื่อยกว่านี้ก็ยอม โต้งคงดีใจมากๆที่กลับมาเห็นบรรยากาศแบบนี้” สุนีย์รับผ้าเย็นขึ้นมาลูบเบาๆที่ต้นคอและตามแขน รู้สึกผ่อนคลายไปได้เยอะ กรยิ้มน้อยๆให้กับภรรยา

“ฉันรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร?” สุนีย์เอื้อมแขนไปกุมมือของสามีไว้ แม้ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของสามี แต่รอยยิ้มและดวงตาที่หดหู่นั้น เธอย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสามีคิดอะไรข้างในจิตใจ

“ตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบัน อดีตมันผ่านไปแล้วขอให้มันผ่านพ้นไป ถึงอย่างไร?ฉันก็เชื่อว่าแตงไม่ได้ไปไหน? แตงจะกลับมา แต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้…คืออนาคตของลูกเราที่เหลืออยู่ ขอบคุณที่คุณให้โอกาสฉัน และให้โอกาสลูกถ้าไม่มีคุณฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน” สุนีย์สวมกอดเอวสามีแน่น กรยิ้มทั้งน้ำตาแล้วกอดภรรยาแน่นไม่อายต่อสายตาของน้องๆและเพื่อนร่วมงาน เขาจะอายทำไมกัน!!คนรักกันเป็นสิ่งสวยงาม พระเจ้าอยากให้ทุกคนรักกัน แม้วันนี้เขาจะไม่ได้ใกล้ชิดพระเจ้า แต่ความศรัทธาต่อพระเจ้ายังคงอยู่ในใจของคนทั้งสอง

***************
พลอยเดินเข้ามาในห้องทำงานของพี่อ็อดด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ กับเรื่องที่พี่อ็อดเรียกคุยตอนนี้ ในมือของพี่อ็อดมีแฟ้มประวัติของพลอยอยู่หลายแผ่น พี่อ็อดเปิดอ่านไปที่ละหน้าอย่างช้าๆ สลับกับเงยหน้ามาสบตากับหญิงสาว

“พลอยทำงานกับพี่มาก็นานแล้วนะ เป็นอย่างไรบ้าง?” พี่อ็อดถามขึ้นพร้อมกับวางแฟ้มลงบนต๊ะขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆ พลอยยิ้มให้เล็กน้อย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก

“ก็ดีค่ะ พี่อ็อดเปิดโอกาสให้พลอยเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ที่สำคัญให้โอกาสพลอยได้กลับมาร่วมงานด้วยอีกครั้ง”

“ใครบอกว่าอีกครั้ง…พลอยเพิ่งทำงานกับพี่เป็นครั้งแรกและก็ทำได้ดีกว่าคนเก่าด้วย” พี่อ็อดพูดจริงจัง จนอีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูกแต่ก็ยังยิ้มใจดีสู้เสือ
“ที่พี่เรียกเรามาคุยครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ แค่อยากจะเตือนสติเธออีกสักครั้งว่าความสุขมันอยู่ไม่ไกลจากตัวเรานักหรอก ลองเปิดโอกาสให้กับตัวเองบ้าง พี่รู้ว่าทุกวันนี้พลอยเองก็ไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่นักหรอกนะ มันฟ้องออกมาทางสายตาทุกครั้งที่เธอคุยกับไอ้เจ้าโต้งนั่น…”
“พี่อ็อดกำลังพูดเรื่องอะไรค่ะ?” พลอยสีหน้าตกใจผสมกับซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้พยายามทำเสียงให้เป็นปกติก็ตาม

“พลอยคิดว่าพี่โง่หรือ? พี่สืบประวัติของเราหมดแล้ว และที่พี่รับเรากลับเข้ามาทำงานอีกครั้งเนี่ย!!เธอคิดว่ามันเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจกันล่ะ? แต่ก็เอาเถอะ!!ไม่ว่าเธอจะเป็น “พลอย” หรือจะเป็น “จูน” สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความมุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะด้วยตัวเอง ขยัน และอดทนทำงาน แต่จุดหมายของเธอคือการมีเงินเยอะแยะมากมายมันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิตหรอกนะ ลองกลับไปคิดทบทวนดูดีๆ พี่เตือนเราในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง”


***************

เลิกงานแล้ว พลอยรีบกลับที่พักทันที เพราะต้องรีบมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านของโต้ง!!หญิงสาวอดใจเต้นรัวไม่ได้ แปลกจังจู่ๆมันก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมนะ!! ยิ่งพอคิดว่าจะได้พบเจอหน้าพ่อและแม่ของโต้งอีกครั้ง เธอกลับรู้สึกบอกไม่ถูก ตอนนี้เหมือนมันไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆจนต้องทรุดตัวลงกับพื้นข้างๆที่นอน หญิงสาวมองเหม่อไปที่ลิ้นชักเล็กๆตั้งอยู่ข้างๆเตียงนอน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบสมุดบัญชีเงินฝากออกมา ตัวเลขเงินฝากที่มียอดเข้าในแต่ละเดือนแม้จะไม่มากแต่ก็มีผ่านบัญชีสม่ำเสมอทุกๆเดือนเกือบสิบปีที่เธอทำงานสะสมเงินมา แต่ละงานที่เธอต้องใช้หยาดเหงื่อเข้าแลกเป็นตัวเลขในบัญชีสอนให้เธอแกร่ง และรู้ค่าของชีวิต จากหลักร้อยที่เปิดบัญชีในวันแรก เพิ่มเป็นหลักพัน และหลักหมื่นตามลำดับ บัดนี้ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไร้ญาติขาดมิตรอย่างเธอใครจะคิดว่ามีเงินเก็บในบัญชีเข้าสู่หลักแสน

“....ไม่ว่าเธอจะเป็น “พลอย” หรือจะเป็น “จูน” สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความมุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะด้วยตัวเอง ขยัน และอดทนทำงาน แต่จุดหมายของเธอคือการมีเงินเยอะแยะมากมายมันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิตหรอกนะ…”
เสียงพี่อ็อดยังคงแว่วดังก้องอยู่ในโสตประสาทข้างใน ภายในห้องพักของพลอย ไม่มีของตกแต่งมากมายเหมือนห้องของผู้หญิงทั่วๆไป แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่โต๊ะลิ้นชักข้างเตียงนอนคือไม้กางเขนเซรามิกน่ารักๆสีขาว ตรงกลางของไม้กางเขนมีการ์ตูนและเด็กผู้หญิงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ห้อยอยู่ มันคือสิ่งเดียวที่มีค่าสำหรับเธอ


“ใช่ค่ะพี่อ็อด เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พลอยต้องการอีกแล้ว เงินซื้อความสุขบางอย่างไม่ได้ โดยเฉพาะความสุขที่ขาดหายไป…”

เธอกอดตุ๊กตาเซรามิคน้อยๆนั้นไว้แน่นอย่างหวงแหนมากมาย ราวกับว่ามันเป็นตัวแทนของใครสักคน ภาพเก่าๆที่เลือนลางมองไม่ชัดเจนนั้นผุดขึ้นมาในความคิดของหญิงสาว วันนั้นเธอกลับมาที่บ้านของเธอ บ้านที่ปิดตายสนิทและเงียบเหงา นอกจากกุญแจจะล็อกประตูเหล็กไว้แน่นหนาแล้วก็มีเพียงตุ๊กตาแขวนเซลามิกสีขาวลูกเด็กน้อยผู้หญิงนี้เท่านั้นที่ห้อยอยู่หน้าบ้าน…จู่ๆน้ำตาของเธอก็ไหลอาบสองแก้ม บางครั้งความเข้มแข็งของเธอก็ไม่ต่างจากกำแพงทิฐิที่เธอสร้างมันขึ้นมาเอง จนมองไม่เห็นความจริงบางอย่างและคงไม่สายเกินไปที่เธอจะทุบกำแพงนั้นลงด้วยใจอันโหยหาความรักที่พยายามวิ่งหนีมาโดยตลอดอีกสักครั้ง


พลอยเช็ดน้ำตาให้ตัวเองเบาๆหันกลับมามองสมุดบัญชีที่วางไว้บนโต๊ะลิ้นชักนั้นเหมือนตัดสินใจทิ้งความคิดบางอย่างไว้เพียงเท่านี้ หันไปมองตุ๊กตาเซลามิกในมืออีกครั้งด้วยความรู้สึกเหงา และหวังลึกๆว่าสักวันคงได้เจอกับความสุขเหมือนอย่างครอบครัวอื่นบ้าง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับก้าวออกจากที่พักด้วยกางเกงยีนต์สีฟ้าเข้มตัดกับรองเท้าส้นสูงปลายแหลมเฟี้ยวสีดำเลื่อมคู่นั้น ดูทะมัดทะแมง และเสริมด้วยผ้าแพรลายสีฟ้าที่พาดคอหลวมๆดูมีลูกเล่นขึ้นมาบ้าง เข้ากับเสื้อเชิ๊ตสีขาวแขนจั๊มตุ๊กตาเป็นอย่างดี ดูไม่เป็นทางการ แต่ก็ไม่ถึงกับดูเป็นวัยรุ่นเกินไปนัก

***************
ที่งานเลี้ยงค่ำคืนนี้ ท่วงทำนองดนตรีเบาๆแว่วออกมาจากเครื่องเล่นที่กรนำมาเปิด ขับกล่อมแขกผู้ใหญ่ของกรและสุนีย์ ไม่ว่าจะเป็นพี่หมอ พี่ชายของกร หรืออธิการบดีจากมหาวิทยาลัยก็ให้เกียรติมาร่วมในงานคื่นนี้ด้วย สุนีย์ดูจะมีความสุขที่สุด รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ายามต้อนรับทักทายผู้คนในงานเลี้ยงบ่งบอกได้ชัดเจน ไม่ต่างจากกรผู้เป็นสามี

โต้งแต่งชุดหล่อเป็นพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวมีคาดแถบเขียวเล็กๆตรงแถบกระดุมลากยาวจากปกเสื้อจนสุดปลายเสื้อด้านล่าง กับกางเกงยีนต์สีซีดๆขาม้าตามสมัยนิยม เขาอดมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะไม่ได้ รอเมื่อไหร่คนสำคัญจะมาถึง ฉากบนเวทีที่ออกแบบโดยผู้เป็นแม่ ทำให้เขาหวนรำลึกความหลังบางอย่าง เป็นภาพถ่ายตะหินอ่อนตัวที่เขาเคยนั่งคลอเคลียกับมิวในคืนวันงานเลี้ยงรับพี่แตงคืนนั้น…พร้อมกับข้อความสั้นๆแต่ตีความได้ยาวไกล… “ค่ำคืนแห่งนิรันดร์”

หรือว่าแม่กำลังจะสื่อให้รู้ว่าเข้าใจตัวตนของเขาแล้วตั้งแต่คืนนั้น…แต่ก็ช่างเถอะ!!เพราะถึงอย่างไร วันนี้เขาก็ได้รับความรักและความเข้าใจจากผู้ที่เป็นพ่อและแม่อยู่แล้ว และที่สำคัญกว่านั้นความรักของคนทั้งสองยังเผื่อแผ่ให้กับมิวด้วยอีกคน ชายหนุ่มเผลอยิ้มให้กับตัวเองอย่างลืมตัว เมื่อมิวปรากฏตัวขึ้นในงานด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงยีนต์สีขาวล้วน ทำให้เด่นชัดมาแต่ไกล ทุกสายตาจับจ้องมองไปที่มิวจนทำตัวไม่ถูก กรตะโกนบอกให้โต้งไปพามิวมาแนะนำให้ผู้ใหญ่ได้รู้จัก


“สมาชิกใหม่ของครอบครัวเรา…จำกันได้ไหม?นี่เจ้ามิวเพื่อนเล่นของเจ้าโต้งตั้งแต่สมัยเด็กๆ เมื่อหลายปีก่อนก็มาเล่นดนตรีให้ที่บ้าน” กรหันไปบอกเพื่อนร่วมโต๊ะ ทุกคนยิ้มให้กับมิวที่กำลังยกมือไหว้ทักทายแต่ละคนที่ดต้งพาไปแนะนำ สุนีย์ยกมือรับไหว้จากมิว พลางชมว่าวันนี้แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ มิวยิ้มเขินอายและรู้สึกดีที่น้านีย์ดูจะต้อนรับการกลับมาครั้งนี้ของตนอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวไว้คุยกันจ๊ะ ทำตัวตามสบายเลยนะ คืนนี้รุ่นราวคราวเดียวกันกับมิวกับโต้งไม่ค่อยมี งั้นก็ไปนั่งด้วยกันที่โต๊ะตัวนั้นแล้วกัน เออมิว …โต้งแม่ฝากดูพวกเครื่องดื่มและน้ำแข็งตามโต๊ะป้าๆ น้าๆด้วยนะ” สุนีย์หันมากำชับให้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จนมิวรู้สึกผ่อนคลายความกังวลลงไปได้เยอะทีเดียว แม้ค่ำคืนนี้จะมีแอลกอฮอล์ไว้ให้บริการ แต่ที่โต๊ะของกร เขาเลือกที่จะดื่มน้ำผลไม้แทน สลับกับน้ำดื่มธรรมดา


“เจ้าโต้งมันห้ามเด็ดขาดเลยว่าไม่ให้พ่อมันดื่มเหล้าอีก” กรบอกกับเพื่อนๆร่วมวงอย่างภาคภูมิใจ และดูเหมือนเขาจะให้สิทธิ์ในตัวลูกชายเต็มที่ในการร่วมแสดงความคิดเห็นต่างๆ สุนีย์ทำหน้าเหวอเมื่อถูกเรียกชื่อจากเพื่อนอาจารย์ด้วยกันเชิญให้ขึ้นบนเวทีเพื่อร้องเพลงเป็นเกียรติแก่แขกในงาน สุนีย์ตั้งตัวไม่ติดแต่ก็เดินก้าวขึ้นบนเวทีตามคำเรียกร้อง ทุกคนปรบมือต้อนรับเจ้าของงานเลี้ยงค่ำคืนนี้

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือต้อนรับนักร้องที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ นีย์ต้องออกตัวก่อนนะค่ะว่าร้องเพลงไม่เอาไหนเลยจริงๆ คงต้องขอสามีขึ้นมาช่วยร้องด้วยแล้วล่ะค่ะ!!” สุนีย์หันไปที่โต๊ะของกร ที่ทำหน้าเหวอไม่ต่างจากตัวเองเมื่อครู่ พี่หมอดันตัวกรให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ท่ามกลางเพื่อนๆต่างปรบมือให้อย่างถูกใจ และสนุกสนานไปด้วย กรขึ้นไปบนเวทีอย่างเก้ๆกังๆ ไม่นานท่วงทำนองดนตรีจากแผ่นคาราโอเกะก็ดังขึ้น


เป็นเพลงคู่อมตะที่แขกทุกท่านต่างช่วยกันขับร้องไปด้วย…หลังจากที่ท่อนสุดท้ายจบลงทั้งคู่โค้งให้กับเสียงปรบมือและเชิญคนต่อไปขึ้นมาร้องคาราโอเกะเป็นกิจกรรมระหว่างพูดคุยกัน ภาพที่สุนีย์และกรเห็นจากบนเวทีนั้นทั้งสองแทบเข่าอ่อนล้มลงด้วยกันทั้งคู่ มันคือภาพของแตงที่หายสาปสูญไปนาน และไม่ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหนเธอและเขาไม่มีวันลืมได้ ดีที่ทั้งคู่กุมมือกันไว้ต่างช่วยกันพยุงแขนกันลงจากเวที ไม่ว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแตง ลูกสาวเธอหรือไม่ก็ตาม แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาหาและทั้งสามคนก็สบตากันนิ่งอยู่นาน….ต่างคนต่างมีน้ำตา…

(โปรดติดตามตอนที่ 25)



Create Date : 06 กันยายน 2551
Last Update : 7 กันยายน 2551 15:06:48 น.
Counter : 295 Pageviews.

8 comment
ตอนที่ 24
โต้งโทรมาปลุกมิวแต่เช้าตรู่ เพื่อให้เตรียมตัวไปห้องซ้อมดนตรีในช่วงสายๆ และช่วงบ่ายจะไปรับเพื่อเตรียมตัวมางานเลี้ยงคืนนี้ ความจริงไม่เรียกว่าปลุกจะเหมาะกว่า เพราะทั้งคืนมิวไม่ได้นอนเอาเสียเลย…ความรู้สึกที่สะสมมาตลอดทั้งวันของเมื่อวานทำให้ต้องเก็บเอามานอนคิด ทั้งเรื่องของตัวเองที่จะก้าวเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโต้ง จะวางตัวอย่างไร? ไหนจะเรื่องของพลอยที่อดกังวลใจแทนไม่ได้ นั่นสิ!!ทำไมต้องกังวลด้วยในเมื่อพลอยก็ไปในฐานะแขกรับเชิญคนหนึ่ง …หรือว่าชายหนุ่มอดกังกลเกินเหตุที่ใบหน้าของพลอยจะคล้ายคลึงกับพี่แตงราวกับถอดบล็อกพิมพ์เดียวกัน

ที่ห้องซ้อมน้องเพชรเดินเข้ามาขอบคุณมิวที่ยอมกลับเข้ามาร่วมวงออกัสอีกครั้ง
“นายไม่โกรธเหรอไง?ที่พี่มาแย่งตำแหน่งนักร้องนำ”
“โกรธได้ไงกันครับพี่มิว วงกอกัสสร้างพวกเรามาทุกคน ถ้าปีนี้ไม่มีพี่มิว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะรุ่งเหมือนคราวที่แล้วหรือเปล่า?” น้องเพชรบอกจากความรู้สึกข้างใน เอ็กส์เงยหน้าจากการตั้งสายเครื่องดีดตัวโปรด ยิ้มให้เล็กน้อย แต่ทว่าสายตาที่มองมายังมิวนั้นมันบ่งบอกถึงความหนักแน่นและภูมิใจกับการตัดสินใจของเพื่อนครั้งนี้
“เอาเถอะมิว แกอย่าคิดมากเลย…พวกเราทุกคนดีใจทั้งนั้นที่แกกลับมา ถ้าไม่สบายใจนัก สงเคราะห์กองทุนอาหารกลางคืนน้องๆมันสักครั้งเป็นไร?”
“ได้ๆไม่มีปัญหา แต่ว่าคืนนี้ไม่ได้นะ เพราะต้องไปงานเลี้ยงบ้านเพื่อน” มิวพูดยิ้มๆ หลบสายตาเพื่อนๆในวงเหมือนเคย แต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความรู้สึกที่มีต่อคนที่กำลังพูดถึงได้ เสียงไมค์แซวขึ้นมาบ้าง
“บ้านพี่โต้งนะสิ!! รู้น่าได้ข่าวว่าแอบไปหวานกันที่ระยองไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ๆ ถ้าคืนนี้พวกเราไม่มีนัดซะก่อน ได้ไปร่วมสังเกตการณ์ด้วยแน่ๆ” เพื่อนสมาชิกอีกคนพูดไปพลางตีกลองรับจังหวะที่ตัวเองพูดจบ ราวกับเล่นตลกคาเฟ่
“เฮ๊ย!!ใครปากดีบอกพวกแกว่ะ!!” มิวเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปทีละคน ทุกคนทำท่าทางไม่ให้มีพิรุธแม้แต่เอ็กส์ที่เกากีต้าร์ไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็ต้องร้องลั่นสุดเสียงเมื่อมิวกระโดดล็อคคอจนเอ็กส์ต้องปล่อยก๊ากออกมาชุดใหญ่ที่เพื่อนจับได้ ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนานทำตัวเหมือนกับเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง…

***************
เสี่ยเชนกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ไม่นานก็ต้องเข้าโรงงานที่มีปัญหาบานปลายสะสมมาเรื่อยๆ จะปล่อยให้คนงานดูแลทั้งหมดก็ไม่ได้ ครั้งจะให้มีนมาช่วยดูแลอีกคน ดีกว่าปล่อยให้เที่ยวเตร่ไปวันๆก็ไม่สามารถบังคับจิตใจลูกได้ เดี๋ยวก็แว๊บหายออกไปกับเพื่อนฝูงตามประสา ได้แต่ภาวนาหวังให้หญิงเปลี่ยนใจกลับมาดูแลกิจการอีกครั้ง ยิ่งคิดมากกับปัญหาภายในโรงงาน อาการของเสี่ยเชนก็กำเริบทรุดลงอีกครั้ง คราวนี้ก็ไม่พ้นพนักงานในโรงงานต้องห้ามส่งโรงพยาบาล

“เอาน่าเห็นใจเฮียแก เมียก็ไม่อยู่ ลูกๆก็เที่ยวตะลอนๆไปวันๆ ทำไมว้า…ลูกข้าถึงไม่เกิดมามีวาสนาแบบนี้บ้างทุกวันนี้มันอยากเรียนต่อ ม.4 ใจจะขาดไอ้ข้านี่สิ!!ไม่มีปัญญาจะหาเงินส่งให้มันเรียน” พนักงานร่างสูงโปร่งเดินบ่นอุบกับเพื่อนอีกคนขณะกลับเข้าไปในโรงงานหลังจากส่งเจ้านายขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

“ว่าไปแล้ว ข้าก็สงสารเด็กว่ะ!!เฮียแกตามใจมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไอ้มีนมันไม่มีแม่ เฮียแกก็ไม่อยากให้ลูกคลาดสายตาก็เลยเลี้ยงมาแบบผิดๆ ตอนนี้เลยคุมไม่อยู่ ว่าแต่เฮียรู้หรือยังว่าไอ้มีนมันเล่นยาแล้ว สงสัยจะรู้แล้วว่ะ ช่วงนี้เฮียเข้าโรงพยาบาลบ่อยเหลือเกิน คงเครียดทั้งเรื่องลูกเรื่องเมีย” ทั้งสองคนเดินคุยกันจนถึงด้านในจากนั้นก็แยกย้ายประจำตำแหน่งหน้าที่ตัวเอง มีนกลับเข้ามาบ้านในเวลาต่อมา พร้อมเพื่อนทั้งผู้หญิงผู้ชายเข้าไปในห้อง เปิดเพลงจากเครื่องเล่นเสียงดังปึงๆในห้องอย่างไม่เกรงใจใคร

***************
สุนีย์ขับรถกลับเข้ามาที่บ้านเร็วกว่ากำหนด เพื่อเตรียมดูแลจัดสถานที่และจัดเตรียมอาหาร โดยมีกรลงมือติดสายไฟกระพริบดวงเล็กๆตามกิ่งไม้ มีเพื่อนๆที่บริษัทสอง-สามคนที่กรขอแรงช่วยยกโต๊ะและจัดเวที คราวนี้กรให้หันหน้าเวทีเข้าหาตัวบ้าน โดยฉากหลังสุนีย์เป็นคนออกแบบเอง ที่โต๊ะหินอ่อนสีขาวตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกดูเก๋ไก๋และมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม พี่ๆที่บริษัทของกรต่างยกกระถ่างต้นไม้วางไว้ตามจุดต่างๆ ไม่นานรถปิกอัพคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดภายในมีเก้าอี้และแผ่นไม่ทรงกลม สุนีย์รีบเดินเข้าไปจัดแจงเตรียมให้คนงานที่มากับรถคันนั้นยกลงจัดวางเป็นโต๊ะจีนมีจำนวนเกือบห้าชุด ไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับงานเล็กๆแบบนี้
“เหนื่อยมั้ย…คุณ” กรเดินเข้าไปหา พร้อมกับยื่นผ้าเย็นส่งให้สุนีย์
“เพื่อลูกของเราทั้งคน เหนื่อยกว่านี้ก็ยอม โต้งคงดีใจมากๆที่กลับมาเห็นบรรยากาศแบบนี้” สุนีย์รับผ้าเย็นขึ้นมาลูบเบาๆที่ต้นคอและตามแขน รู้สึกผ่อนคลายไปได้เยอะ กรยิ้มน้อยๆให้กับภรรยา

“ฉันรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร?” สุนีย์เอื้อมแขนไปกุมมือของสามีไว้ แม้ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของสามี แต่รอยยิ้มและดวงตาที่หดหู่นั้น เธอย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสามีคิดอะไรข้างในจิตใจ

“ตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบัน อดีตมันผ่านไปแล้วขอให้มันผ่านพ้นไป ถึงอย่างไร?ฉันก็เชื่อว่าแตงไม่ได้ไปไหน? แตงจะกลับมา แต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้…คืออนาคตของลูกเราที่เหลืออยู่ ขอบคุณที่คุณให้โอกาสฉัน และให้โอกาสลูกถ้าไม่มีคุณฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน” สุนีย์สวมกอดเอวสามีแน่น กรยิ้มทั้งน้ำตาแล้วกอดภรรยาแน่นไม่อายต่อสายตาของน้องๆและเพื่อนร่วมงาน เขาจะอายทำไมกัน!!คนรักกันเป็นสิ่งสวยงาม พระเจ้าอยากให้ทุกคนรักกัน แม้วันนี้เขาจะไม่ได้ใกล้ชิดพระเจ้า แต่ความศรัทธาต่อพระเจ้ายังคงอยู่ในใจของคนทั้งสอง

***************
พลอยเดินเข้ามาในห้องทำงานของพี่อ็อดด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ กับเรื่องที่พี่อ็อดเรียกคุยตอนนี้ ในมือของพี่อ็อดมีแฟ้มประวัติของพลอยอยู่หลายแผ่น พี่อ็อดเปิดอ่านไปที่ละหน้าอย่างช้าๆ สลับกับเงยหน้ามาสบตากับหญิงสาว

“พลอยทำงานกับพี่มาก็นานแล้วนะ เป็นอย่างไรบ้าง?” พี่อ็อดถามขึ้นพร้อมกับวางแฟ้มลงบนต๊ะขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆ พลอยยิ้มให้เล็กน้อย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก

“ก็ดีค่ะ พี่อ็อดเปิดโอกาสให้พลอยเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ที่สำคัญให้โอกาสพลอยได้กลับมาร่วมงานด้วยอีกครั้ง”

“ใครบอกว่าอีกครั้ง…พลอยเพิ่งทำงานกับพี่เป็นครั้งแรกและก็ทำได้ดีกว่าคนเก่าด้วย” พี่อ็อดพูดจริงจัง จนอีกฝ่ายทำหน้าไม่ถูกแต่ก็ยังยิ้มใจดีสู้เสือ
“ที่พี่เรียกเรามาคุยครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ แค่อยากจะเตือนสติเธออีกสักครั้งว่าความสุขมันอยู่ไม่ไกลจากตัวเรานักหรอก ลองเปิดโอกาสให้กับตัวเองบ้าง พี่รู้ว่าทุกวันนี้พลอยเองก็ไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่นักหรอกนะ มันฟ้องออกมาทางสายตาทุกครั้งที่เธอคุยกับไอ้เจ้าโต้งนั่น…”
“พี่อ็อดกำลังพูดเรื่องอะไรค่ะ?” พลอยสีหน้าตกใจผสมกับซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้พยายามทำเสียงให้เป็นปกติก็ตาม

“พลอยคิดว่าพี่โง่หรือ? พี่สืบประวัติของเราหมดแล้ว และที่พี่รับเรากลับเข้ามาทำงานอีกครั้งเนี่ย!!เธอคิดว่ามันเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจกันล่ะ? แต่ก็เอาเถอะ!!ไม่ว่าเธอจะเป็น “พลอย” หรือจะเป็น “จูน” สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความมุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะด้วยตัวเอง ขยัน และอดทนทำงาน แต่จุดหมายของเธอคือการมีเงินเยอะแยะมากมายมันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิตหรอกนะ ลองกลับไปคิดทบทวนดูดีๆ พี่เตือนเราในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง”


***************

เลิกงานแล้ว พลอยรีบกลับที่พักทันที เพราะต้องรีบมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านของโต้ง!!หญิงสาวอดใจเต้นรัวไม่ได้ แปลกจังจู่ๆมันก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมนะ!! ยิ่งพอคิดว่าจะได้พบเจอหน้าพ่อและแม่ของโต้งอีกครั้ง เธอกลับรู้สึกบอกไม่ถูก ตอนนี้เหมือนมันไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆจนต้องทรุดตัวลงกับพื้นข้างๆที่นอน หญิงสาวมองเหม่อไปที่ลิ้นชักเล็กๆตั้งอยู่ข้างๆเตียงนอน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบสมุดบัญชีเงินฝากออกมา ตัวเลขเงินฝากที่มียอดเข้าในแต่ละเดือนแม้จะไม่มากแต่ก็มีผ่านบัญชีสม่ำเสมอทุกๆเดือนเกือบสิบปีที่เธอทำงานสะสมเงินมา แต่ละงานที่เธอต้องใช้หยาดเหงื่อเข้าแลกเป็นตัวเลขในบัญชีสอนให้เธอแกร่ง และรู้ค่าของชีวิต จากหลักร้อยที่เปิดบัญชีในวันแรก เพิ่มเป็นหลักพัน และหลักหมื่นตามลำดับ บัดนี้ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไร้ญาติขาดมิตรอย่างเธอใครจะคิดว่ามีเงินเก็บในบัญชีเข้าสู่หลักแสน

“....ไม่ว่าเธอจะเป็น “พลอย” หรือจะเป็น “จูน” สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความมุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะด้วยตัวเอง ขยัน และอดทนทำงาน แต่จุดหมายของเธอคือการมีเงินเยอะแยะมากมายมันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิตหรอกนะ…”
เสียงพี่อ็อดยังคงแว่วดังก้องอยู่ในโสตประสาทข้างใน ภายในห้องพักของพลอย ไม่มีของตกแต่งมากมายเหมือนห้องของผู้หญิงทั่วๆไป แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่โต๊ะลิ้นชักข้างเตียงนอนคือไม้กางเขนเซรามิกน่ารักๆสีขาว ตรงกลางของไม้กางเขนมีการ์ตูนและเด็กผู้หญิงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ห้อยอยู่ มันคือสิ่งเดียวที่มีค่าสำหรับเธอ


“ใช่ค่ะพี่อ็อด เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พลอยต้องการอีกแล้ว เงินซื้อความสุขบางอย่างไม่ได้ โดยเฉพาะความสุขที่ขาดหายไป…”

เธอกอดตุ๊กตาเซรามิคน้อยๆนั้นไว้แน่นอย่างหวงแหนมากมาย ราวกับว่ามันเป็นตัวแทนของใครสักคน ภาพเก่าๆที่เลือนลางมองไม่ชัดเจนนั้นผุดขึ้นมาในความคิดของหญิงสาว วันนั้นเธอกลับมาที่บ้านของเธอ บ้านที่ปิดตายสนิทและเงียบเหงา นอกจากกุญแจจะล็อกประตูเหล็กไว้แน่นหนาแล้วก็มีเพียงตุ๊กตาแขวนเซลามิกสีขาวลูกเด็กน้อยผู้หญิงนี้เท่านั้นที่ห้อยอยู่หน้าบ้าน…จู่ๆน้ำตาของเธอก็ไหลอาบสองแก้ม บางครั้งความเข้มแข็งของเธอก็ไม่ต่างจากกำแพงทิฐิที่เธอสร้างมันขึ้นมาเอง จนมองไม่เห็นความจริงบางอย่างและคงไม่สายเกินไปที่เธอจะทุบกำแพงนั้นลงด้วยใจอันโหยหาความรักที่พยายามวิ่งหนีมาโดยตลอดอีกสักครั้ง


พลอยเช็ดน้ำตาให้ตัวเองเบาๆหันกลับมามองสมุดบัญชีที่วางไว้บนโต๊ะลิ้นชักนั้นเหมือนตัดสินใจทิ้งความคิดบางอย่างไว้เพียงเท่านี้ หันไปมองตุ๊กตาเซลามิกในมืออีกครั้งด้วยความรู้สึกเหงา และหวังลึกๆว่าสักวันคงได้เจอกับความสุขเหมือนอย่างครอบครัวอื่นบ้าง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับก้าวออกจากที่พักด้วยกางเกงยีนต์สีฟ้าเข้มตัดกับรองเท้าส้นสูงปลายแหลมเฟี้ยวสีดำเลื่อมคู่นั้น ดูทะมัดทะแมง และเสริมด้วยผ้าแพรลายสีฟ้าที่พาดคอหลวมๆดูมีลูกเล่นขึ้นมาบ้าง เข้ากับเสื้อเชิ๊ตสีขาวแขนจั๊มตุ๊กตาเป็นอย่างดี ดูไม่เป็นทางการ แต่ก็ไม่ถึงกับดูเป็นวัยรุ่นเกินไปนัก

***************
ที่งานเลี้ยงค่ำคืนนี้ ท่วงทำนองดนตรีเบาๆแว่วออกมาจากเครื่องเล่นที่กรนำมาเปิด ขับกล่อมแขกผู้ใหญ่ของกรและสุนีย์ ไม่ว่าจะเป็นพี่หมอ พี่ชายของกร หรืออธิการบดีจากมหาวิทยาลัยก็ให้เกียรติมาร่วมในงานคื่นนี้ด้วย สุนีย์ดูจะมีความสุขที่สุด รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ายามต้อนรับทักทายผู้คนในงานเลี้ยงบ่งบอกได้ชัดเจน ไม่ต่างจากกรผู้เป็นสามี

โต้งแต่งชุดหล่อเป็นพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวมีคาดแถบเขียวเล็กๆตรงแถบกระดุมลากยาวจากปกเสื้อจนสุดปลายเสื้อด้านล่าง กับกางเกงยีนต์สีซีดๆขาม้าตามสมัยนิยม เขาอดมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะไม่ได้ รอเมื่อไหร่คนสำคัญจะมาถึง ฉากบนเวทีที่ออกแบบโดยผู้เป็นแม่ ทำให้เขาหวนรำลึกความหลังบางอย่าง เป็นภาพถ่ายตะหินอ่อนตัวที่เขาเคยนั่งคลอเคลียกับมิวในคืนวันงานเลี้ยงรับพี่แตงคืนนั้น…พร้อมกับข้อความสั้นๆแต่ตีความได้ยาวไกล… “ค่ำคืนแห่งนิรันดร์”

หรือว่าแม่กำลังจะสื่อให้รู้ว่าเข้าใจตัวตนของเขาแล้วตั้งแต่คืนนั้น…แต่ก็ช่างเถอะ!!เพราะถึงอย่างไร วันนี้เขาก็ได้รับความรักและความเข้าใจจากผู้ที่เป็นพ่อและแม่อยู่แล้ว และที่สำคัญกว่านั้นความรักของคนทั้งสองยังเผื่อแผ่ให้กับมิวด้วยอีกคน ชายหนุ่มเผลอยิ้มให้กับตัวเองอย่างลืมตัว เมื่อมิวปรากฏตัวขึ้นในงานด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงยีนต์สีขาวล้วน ทำให้เด่นชัดมาแต่ไกล ทุกสายตาจับจ้องมองไปที่มิวจนทำตัวไม่ถูก กรตะโกนบอกให้โต้งไปพามิวมาแนะนำให้ผู้ใหญ่ได้รู้จัก


“สมาชิกใหม่ของครอบครัวเรา…จำกันได้ไหม?นี่เจ้ามิวเพื่อนเล่นของเจ้าโต้งตั้งแต่สมัยเด็กๆ เมื่อหลายปีก่อนก็มาเล่นดนตรีให้ที่บ้าน” กรหันไปบอกเพื่อนร่วมโต๊ะ ทุกคนยิ้มให้กับมิวที่กำลังยกมือไหว้ทักทายแต่ละคนที่ดต้งพาไปแนะนำ สุนีย์ยกมือรับไหว้จากมิว พลางชมว่าวันนี้แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ มิวยิ้มเขินอายและรู้สึกดีที่น้านีย์ดูจะต้อนรับการกลับมาครั้งนี้ของตนอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวไว้คุยกันจ๊ะ ทำตัวตามสบายเลยนะ คืนนี้รุ่นราวคราวเดียวกันกับมิวกับโต้งไม่ค่อยมี งั้นก็ไปนั่งด้วยกันที่โต๊ะตัวนั้นแล้วกัน เออมิว …โต้งแม่ฝากดูพวกเครื่องดื่มและน้ำแข็งตามโต๊ะป้าๆ น้าๆด้วยนะ” สุนีย์หันมากำชับให้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จนมิวรู้สึกผ่อนคลายความกังวลลงไปได้เยอะทีเดียว แม้ค่ำคืนนี้จะมีแอลกอฮอล์ไว้ให้บริการ แต่ที่โต๊ะของกร เขาเลือกที่จะดื่มน้ำผลไม้แทน สลับกับน้ำดื่มธรรมดา


“เจ้าโต้งมันห้ามเด็ดขาดเลยว่าไม่ให้พ่อมันดื่มเหล้าอีก” กรบอกกับเพื่อนๆร่วมวงอย่างภาคภูมิใจ และดูเหมือนเขาจะให้สิทธิ์ในตัวลูกชายเต็มที่ในการร่วมแสดงความคิดเห็นต่างๆ สุนีย์ทำหน้าเหวอเมื่อถูกเรียกชื่อจากเพื่อนอาจารย์ด้วยกันเชิญให้ขึ้นบนเวทีเพื่อร้องเพลงเป็นเกียรติแก่แขกในงาน สุนีย์ตั้งตัวไม่ติดแต่ก็เดินก้าวขึ้นบนเวทีตามคำเรียกร้อง ทุกคนปรบมือต้อนรับเจ้าของงานเลี้ยงค่ำคืนนี้

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือต้อนรับนักร้องที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ นีย์ต้องออกตัวก่อนนะค่ะว่าร้องเพลงไม่เอาไหนเลยจริงๆ คงต้องขอสามีขึ้นมาช่วยร้องด้วยแล้วล่ะค่ะ!!” สุนีย์หันไปที่โต๊ะของกร ที่ทำหน้าเหวอไม่ต่างจากตัวเองเมื่อครู่ พี่หมอดันตัวกรให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ท่ามกลางเพื่อนๆต่างปรบมือให้อย่างถูกใจ และสนุกสนานไปด้วย กรขึ้นไปบนเวทีอย่างเก้ๆกังๆ ไม่นานท่วงทำนองดนตรีจากแผ่นคาราโอเกะก็ดังขึ้น


เป็นเพลงคู่อมตะที่แขกทุกท่านต่างช่วยกันขับร้องไปด้วย…หลังจากที่ท่อนสุดท้ายจบลงทั้งคู่โค้งให้กับเสียงปรบมือและเชิญคนต่อไปขึ้นมาร้องคาราโอเกะเป็นกิจกรรมระหว่างพูดคุยกัน ภาพที่สุนีย์และกรเห็นจากบนเวทีนั้นทั้งสองแทบเข่าอ่อนล้มลงด้วยกันทั้งคู่ มันคือภาพของแตงที่หายสาปสูญไปนาน และไม่ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหนเธอและเขาไม่มีวันลืมได้ ดีที่ทั้งคู่กุมมือกันไว้ต่างช่วยกันพยุงแขนกันลงจากเวที ไม่ว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแตง ลูกสาวเธอหรือไม่ก็ตาม แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาหาและทั้งสามคนก็สบตากันนิ่งอยู่นาน….ต่างคนต่างมีน้ำตา…

(โปรดติดตามตอนที่ 25)



Create Date : 06 กันยายน 2551
Last Update : 6 กันยายน 2551 18:52:39 น.
Counter : 279 Pageviews.

1 comment
ตอนที่ 23
ที่โรงพยาบาลระยอง เสี่ยเชนนอนพักรักษาตัวที่ห้องผู้ป่วย มีสายน้ำเกลือระโยงห้อยอยู่ข้างๆตัว โดยมีปลายเข็มแหลมฝังที่หลังฝ่ามือ เปลือกตาที่หลับสนิทราวกับเจ้าของกำลังชาร์ตแบตให้กับตัวเอง…คงเหนื่อย เครียด และเพลียจากการเดินทางไกล มีนเปิดประตูเข้ามาหลังจากที่ออกไปคุยกับคุณหมอด้านนอก เด็กหนุ่มนั่งลงข้างๆผู้เป็นบิดาก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสเบาๆที่ฝ่ามือผู้ป่วย เสี่ยเชนเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา มีนยิ้มให้กับป๊าของตัวเอง…

“ร้องไห้ทำไมลูก…หมอว่าป๊าเป็นอะไร?” เสี่ยเชนขยับกายจัดท่าใหม่กึ่งนั่งกึ่งนอนที่เตียง เห็นลูกชายร้องไห้ก็รู้สึกไม่ดี มีนไม่ทันได้พูดอะไร เสียงประตูห้องก็เปิดออกมา พร้อมกับมายด์พี่สาวของมีนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนที่ก้าวตามเข้ามาติดๆ ดูท่าทางเก้ๆกังๆทำหน้าไม่ถูก แต่คนที่ควรจะทำหน้าไม่ถูกมากกว่าควรเป็นเสี่ยเชนที่ใช้ประสบการณ์ของตัวเองมองเหตุการณ์ในตอนนี้ก็เข้าใจทันทีว่าเด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับลูกสาวนั้นต้องไม่ใช่แค่เพื่อนกันอย่างแน่นอน…เด็กสมัยนี้เติบโตเร็วและใช้ชีวิตเร็วกว่ารุ่นของเขามากหลายเท่านัก

เสี่ยเชนคิดย้อนไปถึงวันเวลาเก่าๆของตัวเอง กว่าที่จะรู้จักความรักครั้งแรกก็อายุยี่สิบกว่าแล้ว แต่วันเวลาเปลี่ยนไปเดี๋ยวนี้อายุสิบสอง สิบสามปีก็มีเพื่อนต่างเพศกันแล้ว จึงต้องยอมรับว่าสื่อการนำเสนอต่างๆทางโทรทัศน์ นิตยสารล้วนมีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของเด็กๆวัยเจริญพันธุ์ เด็กทั้งสองคนยกมือไหว้ เสี่ยเชนยิ้มให้ลูกสาวและยกมือไหว้ตอบเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น

“พี่พลคะ นี่ป๊าของมายด์ค่ะ …ป๊าคะพี่พลเขาอยู่ปีหนึ่ง เขาจะมาช่วยติวหนังสือให้มายด์ คนที่มายด์เคยเล่าให้ป๊าฟังบ่อยๆไง”
เด็กสาวแนะนำให้รู้จัก เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อพล เสี่ยเชนยิ้มให้อีกครั้ง แต่อดสำรวจลักษณะทางกายภาพของอีกฝ่ายไม่ได้ รูปร่างที่ผอมสูงและทรงผมที่ยาวปะบ่านั้นดูรุงรังจนขัดหูขัดตาผู้ใหญ่อย่างเขายิ่งนัก กางเกงยีนต์ลูกฝูกที่รัดแนบขาดูอึดอัดแทน มันคงเป็นไปตามยุคสมัยและไม่แปลกเท่าไหร่หากจะพบเห็นเด็กวัยรุ่นที่เจาะจมูก เจาะหู

แต่ถ้ามันมากมายหลายรูแบบนายพลคนนี้ ก็ดูจะทำให้เขาอดมองในด้านลบต่อเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ และนึกห่วงลูกสาวขึ้นมาเสียแล้ว…เสี่ยเชนถามทันทีว่าเรียนมหาวิทยาลัยไหน?และเป็นลูกเต้าเหล่าใคร? เพราะในภาคตะวันออกนี้เสี่ยเชนก็เป็นที่รู้จักและกว้างขวางพอสมควรทั้งเพื่อนฝูงและข้าราชการที่ต้องติดต่อพูดคุยกันในเรื่องของอุตสาหกรรม อาจพอรู้จักได้บ้างไม่มากก็น้อย
“อ๋อ!!มหาวิทยาลัยเอกชน แสดงว่าฐานะก็ไม่ธรรมดานะ แล้วเรามาถึงระยองเมื่อไหร่ล่ะ?”
“ผมมาได้สองวันแล้วครับ น้องมายด์ชวนมาเที่ยวที่บ้านครับ พอดีมาแล้วไม่เจอ…เอ่อ..ป๊าครับ”
ยังไม่ทันที่นายพลจะพูดอะไรมากกว่านี้ มายด์ก็รีบชิงถามไถ่อาการของป๊าทันที ไม่ใช่เพราะความเป็นห่วงแต่ไม่อยากให้พี่พลต้องอึดอัดกับการตอบคำถามต่างๆของป๊าต่างหาก…เสี่ยเชนเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่หน้าอกอีกครั้ง…นี่หมายความว่าเด็กทั้งสองคนสนิทสนมกันเกินกว่าเพื่อนอย่างที่เขามองตั้งแต่แรกไม่ผิดเลยสักนิด มายด์อายุยังไม่รู้นิติภาวะอะไรเลย มันเร็วเกินไปไหม?กับโลกภายนอกที่ลูกสาวกำลังจะเรียนรู้นอกเหนือจากตำราเรียน…
“ป๊าพักผ่อนดีกว่านะ หมอบอกว่าหมดน้ำเกลือกระปุกนี้ก็ให้กลับบ้านได้ ป๊าจะได้หายเร็วๆ”
มีนบอกกับทุกคน แล้วบอกให้พี่สาวไปเดินเอกสารจ่ายค่ายากันด้านนอก เด็กๆพากันเดินออกจากห้องไป เสี่ยเชนกดหน้าอกตัวเองอย่างเจ็บปวดพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา มันคงเป็นเวรกรรมที่กำลังจะสนองเขาแล้วใช่ไหม?

***********
รถเก๋งคันใหม่สีขาวขับมาจอดที่หน้าบ้านของมิวในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง ขนาดของตัวรถพอเหมาะกับครอบครัวเล็กๆ ดีไซด์โฉบเฉี่ยวตอบสนองความต้องการของลูกค้าวัยทำงานได้เป็นอย่างดี รถคันนี้ออกจะเป็นรถเอนกประสงค์เสียด้วยซ้ำไป กรบอกว่าไม่อยากใช้รถเก๋งธรรมดาๆที่เปิดฝาท้ายใส่ของและนั่งได้เพียงไม่กี่คน แต่สำหรับรถคันนี้ไม่เพียงแต่กรเท่านั้นที่เลือกให้ แต่โต้งและมิวก็มีส่วนในการตัดสินใจด้วย กรและสุนีย์ถอยออกมาให้กับโต้งเพื่อใช้ไปทำงาน โต้งตัดสินใจเข้าทำงานที่บริษัทเดียวกับกร ในตำแหน่งนักออกแบบ แต่คนละส่วนงานกับกร เพื่อความสบายใจของลูกชายที่ไม่อยากให้ใครมองว่าทำงานที่นี่เพียงเพราะเส้นสาย มากกว่าความสามารถของตัวเองที่ร่ำเรียนมา

“โต้งต้องพิสูจน์ตัวเองสิลูก ประสบการณ์ต่อไปนี้ไม่เหมือนในตำราเรียนหรอกนะ ลูกต้องรู้จักอดทนและเรียนรู้ชีวิตการทำงานอีกเยอะ ขอให้ตั้งใจและทำให้เต็มที่”

สุนีย์พูดบอกกับลูกชาย เมื่อครั้งไปทำงานวันแรก โต้งนั่งคิดเพลินๆขณะรอมิวในรถ ส่วนมิวเองนั้นก็มีแนวทางของตัวเองและตัดสินใจอีกครั้งหลังจากที่มีโต้งคอยให้คำปรึกษาอยู่เคียงข้าง…วันนี้ที่เขานัดให้โต้งมารับก็เพื่อทำความฝันของตัวเองอีกครั้ง…

“แต่งตัวหล่อจัง!!”
โต้งหันมาพูดกับคนด้านข้างขณะกำลังถอยรถจากซอยแล้วขับออกสู่ถนน มิวหันมาสบตายิ้มให้เล็กน้อยและรู้สึกเขินๆ เพราะเป็นชุดที่โต้งเลือกซื้อให้ในวันหยุดที่ผ่านมาขณะเดินซื้อต้นไม้ที่จตุจักรเพื่อช่วยกันตกแต่งหน้าบ้านใหม่ เก้าอี้หินอ่อนสีขาว ที่เอ็กส์เคยมานั่งรอเขาในเย็นวันหนึ่งนั้นถูกรื้อออกแล้ว โดยมีต้นไม้พุ่มสูงระดับหน้าอกมาไว้แทน

และด้านล่างมีอ่างน้ำสำเร็จรูปที่ด้านใส่ใส่ปลาหางนกยูงแหวกว่ายอย่างสบายอุรา หยอกล้อกับสายน้ำพุที่พวยพุ่งจากตุ๊กตาหินปั้มรูปทรงเด็กผู้ชายเปลือยยืนฉี่อยู่ตรงมุมหนึ่งของอ่าง ตรงกลางมีบัวดอกสีฟ้าสลับชมพูที่ดูแปลกตาเล็กๆโผล่พ้นเหนือน้ำ หน้าบ้านของมิวจึงดูมีชีวิตชีวาคืนกลับมาอีกครั้ง แม้ครั้งนี้จะต้องใช้ธรรมชาติของต้นไม้สายน้ำเข้ามาบำบัดก็ตาม ต่างจากเมื่อหลายปีก่อนยิ่งนัก ..เมื่อก่อนแม้จะมีเก้าอี้หินอ่อนตัวเดียวแต่ครานั้น…ชีวิตของมิวก็เติบเต็มด้วยความสุขที่อาม่ามีให้
“ขอบใจ เออ..รถคันนี้ขับดีไหม?”” มิวตอบยิ้มๆไม่รู้จะพูดอะไร
“ ดีสิ ถ้าทุกครั้งมีตุ๊กตาหน้ารถชื่อมิวนั่งด้วย”
“ขอให้จริงเถอะ!!” มิวรู้สึกมั่นใจกับคำพูดนั้นของโต้ง เขามั่นใจว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เช้านี้รถไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ หรือเป็นเพราะว่าออกมาจากบ้านเช้าๆรถจึงไม่ติดนักหลังจากลงทางด่วนได้ก็เลี้ยวขวาทางต้องการไป โต้งขับตัดขึ้นสะพานข้ามคลองเล็กๆบริเวณสี่แยกเพชรบุรีอีกไม่นานก็เลี้ยวเข้าตัวลึกพอดี

*************

“สวัสดีครับพี่พลอย”
“ดีคะ หนุ่มๆ พี่อ็อดกำลังรอเลย ช่วงนี้พี่อ็อดว่างนะจ๊ะแต่ช่วงสายๆมีประชุมกับผู้บริหาร” พลอยทักทายสั้นๆและบอกทั้งสองคน หญิงสาวยิ้มให้จริงใจ และพามิวเข้าพบพี่อ็อดขณะที่ตัวเองก้ถือถาดแก้วกาแฟไปวางเสิร์ฟให้
“มิวรอสักครู่นะ พี่จะให้แม่บ้านยกน้ำมาให้จ๊ะ” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินออกไป
“พ่อกับแม่สบายดีใช่ไหมจ๊ะ?”
พลอยถามโต้ง ขณะนั่งรอมิวที่มุมรับแขกตัวเดิมเมื่อครั้งที่เคยมาขอเบอร์ของมิวในคราวก่อน แม่บ้านนำแก้วมามาวางเสิร์ฟให้กับมิวแล้ว เคาะประตูห้องเข้าไปเสิร์ฟให้มิวด้านใน
“อะ อะไรนะครับ?” โต้งพูดติดขัดทั้งที่ได้ยินคำถามนั้นชัดเจนแต่เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“พี่ถามว่าพ่อกับแม่ของโต้งสบายดีใช่ไหม? มิวเคยบอกว่าโต้งอยากมีพี่สาวไม่แน่นะพี่ขอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโต้งได้ไหม?”

พลอยยิ้มให้ พร้อมๆกับจัดปกเสื้อเชิ๊ตของโต้งให้ดูเรียบร้อยขึ้น ชายหนุ่มพิจารณาใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าชัดๆอีกครั้ง เขาไม่อยากคิดแต่ก็ต้องคิด ทุกครั้งที่เขาได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนี้ นอกจากใบหน้าที่มีความละม้ายคล้ายพี่แตงแล้ว มีบางอย่างที่เขารู้สึกผูกพันและสัมผัสมันได้ ไม่… มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดแน่ๆทุกอย่างมันจบแล้ว

“พี่จูนเค้ามาหรือเปล่า?” เสียงของโต้งในห้วงแห่งอดีตผุดขึ้นมาในค่ำคืนคริสมาสต์ปีนั้น เด็กหนุ่มถามแม่เบาๆ ภาพของผู้เป็นแม่ส่ายหน้าช้าๆยิ้มให้กับลูกชาย
“ไม่มาหรอก เค้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ต่อไปนี้จะมีแต่เรานะลูก”
นั่นคือคำพูดที่ก้องกังวานดังอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดมา…พี่จูนจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว

“สบายดีครับ แม้ไม่มีพี่จูน พี่สาวแท้ๆของผม…ครอบครัวเราก็อยู่กันได้..”

เหมือนก้อนแข็งๆจะตีขึ้นมาจุกที่ลำคอของชายหนุ่ม และดูเหมือนเป็นความรู้สึกประชดประชันกรายๆซึ่งเจ้าตัวไม่ต้องการให้สื่อออกมาแบบนั้น แต่ไม่รู้เพราะอะไรน้ำเสียงเขาถึงอดแสดงความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้…หญิงสาวมองหน้าของโต้งอย่างเข้าใจตบบ่าเบาๆเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่าง ชายหนุ่มก้มหน้านิ่ง

“ เห็นมิวว่าคืนพรุ่งนี้ที่บ้านโต้งมีงานเลี้ยง ไม่ชวนพี่ไปหน่อยเหรอ?”
พลอยพูดทำตาละห้อยน้ำเสียงดูเหมือนตัดพ้อน้อยใจ โต้งเงยหน้าสบตากับหญิงสาวแล้วยิ้มให้ พร้อมกับเชื้อเชิญ สร้างความดีใจให้กับเธอยิ่งนัก แม้จะอดตื่นเต้นไม่ได้ถ้าต้องไปจริงๆในงานเลี้ยงคืนพรุ่งนี้

***************

“ว่าไงมิว!! พี่อ็อดถามตรงๆ หลังจากยื่นข้อเสนอให้มิวเซ็นสัญญากับทางบริษัททันทีที่ตอบตกลง เพราะตอนนี้ทีมงานได้วางแผนและลงมือเขียนเพลงไปบ้างพอสมควร
“ผมเป็นห่วงความรู้สึกของเพชร กลัวเขาเสียใจ”
“เอาน่ามิว…เรากำลังทำธุรกิจกันนะ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล พี่จะคุยกับไอ้น้องเพชรเอง มันต้องเข้าใจอยู่แล้ว อีกอย่างมันก็เป็นสมาชิกวงออกัสอยู่แล้วนี่”

“พี่พูดแบบนี้ ผมเองก็สบายใจครับ งั้นผมตกลงทำอัลบั้มชุดนี้อีกครั้งครับ”
“มันต้องอย่างนี้สิว่ะมิว…แล้วห้ามเกเรอีกล่ะ” พี่อ็อดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานเอื้อมแขนตบที่ไหล่ของมิวเบาๆอย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มเองก็รู้สึกดีไม่ต่างกัน เขาพร้อมแล้วที่จะก้าวเข้าสู่วัยทำงานและจริงจังกับชีวิตเสียที

มิวเดินยิ้มออกจากห้องทำงานของพี่อ็อด ตรงดิ่งหาโต้งที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ขณะนั่งรอทันที โต้งเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์เบนความสนใจมาที่มิวทันที
“พี่อ็อดว่าไงบ้าง”
“โต้งก็รู้นี่นา…ไม่มีมิว วงออกัสก็เหมือนขาดอะไรสักอย่าง”
“หมายความว่าพี่อ็อดให้โอกาสมิวกลับมาเป็นนักร้องนำอีกครั้งใช่ไหม?”

โต้งลุกขึ้นในมือหากไม่ติดว่าถือหนังสือพิมพ์อยู่ก็คงโผเข้าสวมกอดมิวด้วยความยินดีอย่างแน่นอน แต่เพียงเท่านี้มิวเองก็ดูอาการออกว่าโต้งรู้สึกดีด้วยมากแค่ไหน ทั้งสองคนพากันเดินออกมาเพื่อกดลิฟท์ลงไปที่ลานจอดรถ ประตูลิฟท์เปิดออกมาพร้อมกับพลอยและนักร้องหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นขณะนี้ก้าวเดินออกมา พลอยชะงักเล็กน้อย แต่ก็มีสติพอที่จะหันไปพูดกับมิว
“พรุ่งนี้เจอกันในงานเลี้ยงนะ”

***************

ในห้องนอนที่บ้านของมิว หลังจากที่โต้งขับรถมาส่ง มิวจัดแจงต้มบะหมี่ใส่ถ้วยร้อนๆยกมาให้โต้ง ที่กำลังคิดอะไรเพลินๆขณะนั่งใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงไปที่ตัวต่อไม้
“คิดอะไรเหรอ?” มิวถามพลางวางถ้วยบะหมี่ลงตรงหน้าใกล้ๆกับตัวต่อไม้ให้โต้ง ทั้งสองคนมองสบตากัน มิวขยับตัวไปทางด้านหลังโน้มตัวลงโอบกอดเบาๆ แล้วกระเซ้าแหย่กระซิบใกล้ๆใบหู ให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี
“ปัญหามันก็เหมือนเสื้อผ้านะโต้ง มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้เก็บ”

ได้ผลทีเดียว โต้งหันหน้ามาอดยิ้มไม่ได้กับประโยคของมิว แต่เขาก็ไม่วายที่จะมีสีหน้าครุ่นคิดเหมือนเดิม โต้งหันหน้ากลับไปที่ชามบะหมี่ตักเส้นเหนี่ยวนุ่มนั้นเข้าปาก แม้จะไม่มีผักหรือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่อาหารในชามนี้ก็เป็นมื้อที่แสนอร่อยและวิเศษที่สุด มิวรินน้ำเย็นๆใส่แก้วยื่นให้หลังจากที่โต้งกินจนเกลี้ยงชาม ก่อนจะลุกไปที่เครื่องอิเล็คโทนขนาดไม่ใหญ่โตนัก ที่ตั้งวางอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมนั้น ชายหนุ่มบรรจงเล่นเพลง “กันและกัน” พร้อมกับร้องตามให้กับโต้งฟังอย่างไพเราะ จับใจ

โต้งทอดสายตามองที่ตัวต่อไม้และใบหน้าของคนรัก สลับกับภาพความทรงจำในช่วงวันคริสมาสต์เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้…ช่วงเวลานั้นเขาสับสนเหลือเกินระหว่างเพื่อนรัก กับการรักเพื่อน…วันนี้เขามีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เขารักและก็รักเขาด้วยเช่นกัน…จะมีผู้ชายสักกี่คู่ที่ปรารถนาความรักแบบนี้ แต่ถึงจะมีเพียงเขาและมิวเพียงคู่เดียวในโลก เขาก็ตอบตัวเองว่าเต็มใจและไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีให้กับผู้ชายที่นั่งบรรเลงเพลงรักให้เขาฟังขณะนี้ไปได้ เราจะเป็นกำลังใจและเคียงข้างกันและกันตลอดไป

“มิวเคยคิดไหมว่าพี่พลอย หน้าตาเหมือนพี่แตงรึเปล่า?” โต้งละสายตาจากตัวต่อไม้หันมาถามยิ้มๆ เมื่อมิวเล่นบรรเลงเพลงนั้นจบลงเป็นคีย์สุดท้าย ผู้ถูกถามหันมาสบตา รอยยิ้มที่มิวเห็นปรากฏบนใบหน้าของโต้งนั้นเป็นยิ้มที่ดูเศร้าลึกๆภายในจิตใจของชายหนุ่ม เขาใกล้ชิดกับโต้งมานานย่อมมองอาการนั้นออก มิวขยับตัวมาใกล้โต้งหยิบตัวต่อไม้ขึ้นมามองใกล้ๆ
“ก็เหมือนนะ เหมือนจนน่าขนลุก”
“แล้วมิวว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า?
“เป็นไปไม่ได้หรอกโต้ง เพราะโลกนี้มีคนหน้าเหมือนกันตั้งเยอะแยะ” มิวพูดตัดบท วางตัวต่อไม้ลงที่เดิมหันมาสบตากับโต้งในระยะกระชั้นชิด เขาสัมผัสได้ถึงความเศร้าภายในใจจากสายตาคู่นั้นอย่างชัดเจน

“เหมือนที่พี่จูนไม่ใช่คนๆเดียวกับพี่แตงใช่ไหม?”
“โต้งคิดว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แล้วมันต่างกันตรงไหน? วันนี้ทุกคนต่างก็อยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว พี่จูนเขาต้องการแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”
“ โต้งอยากรู้ว่าพี่พลอยจะเป็นคนเดียวกับที่คิดไว้หรือเปล่า?”

น้ำเสียงของโต้งทำให้มิวสัมผัสได้ถึงความหวัง มิวเผลอตัวจูบเบาๆที่เปลือกตาของชายหนุ่มเจ้าของนัยย์ตาเศร้าคู่นั้น เหมือนกำลังจะห้ามไม่ให้น้ำตาของอีกฝ่ายหยุดไหลออกมา แต่ทว่าก็สายเกินไป หยาดน้ำตาไหลลงมาเบาๆโต้งลืมตาขึ้นมาช้าๆเหมือนกำลังพยายามอยู่กับความจริงที่เห็นในปัจจุบันมากกว่าจะเพ้อฝันไปในอดีตหรืออนาคตมากเกินไป

“คืนพรุ่งนี้ไง พรุ่งนี้เราจะหาคำตอบกัน” มิวพูดน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็อดไหวหวั่นไม่ได้ ทั้งคู่ต่างนั่นจมกับภวังค์ของแต่ละคนอยู่นาน ในที่สุดมิวก็พูดขึ้นมา

“ แล้วเป็นไง สบายใจขึ้นมาบ้างหรือยัง?”
“มิวจำได้ไหม?ที่เคยพูดกับโต้งคืนนั้น ตอนเด็กๆ ความเหงาคือการไม่มีเพื่อนใช่เปล่า? แต่พอโตขึ้น ความเหงามัน…มันเหี้ยกว่านั้นมาก” โต้งถอนหายใจออกมาเมื่อพูดถึงประโยคหนึ่งที่มิวเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว อย่าบอกนะว่าโต้งกำลังมีความรู้สึกเหงาขึ้นมาบ้าง

“แล้วมันเหี้ยใส่โต้งยังไงล่ะ?” มิวไม่เข้าใจเพราะดูภายนอกโต้งปรารถนาเพียงความรักที่เก็บซ่อนไว้เท่านั้น และวันนี้มิวคิดว่าโต้งก็ได้รับแรงปรารถนานั้นแล้ว อะไรอีกที่เป็นความเหงาของโต้ง!!

“ไม่รู้จะบอกอย่างไรดี” โต้งส่ายหน้าไปมา ความสับสนในตัวเองเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งเป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มที่ติดตัวมาแต่เด็ก พยายามจะอธิบายแต่ก็ยากเต็มทีชายหนุ่มค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราวช้าๆออกมาทีละคำพูด

“แต่มันก็เริ่มขึ้นเมื่อตอนเด็กๆ ตลอดเวลาโต้งก็รู้สึกเหงานะที่ต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางความหวังของพ่อกับแม่ ช่วงที่มิวเงียบหายไป พูดได้คำเดียวว่าเวลานั้น จมลงสู่ก้นบึ้งของความเหงาที่สุดแล้ว โต้งอยู่คนเดียวในหอพักมหาวิทยาลัย และอยู่คนเดียวในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆต่างมีคู่กันหมด แต่ตัวโต้งเองต้องหยุดความทรงจำเก่าๆไว้กับผู้ชายคนหนึ่ง แม้วันนี้ผู้ชายคนนั้นจะอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตามที แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปในช่วงชีวิต
นั่นคือการหายไปของพี่แตง เมื่อพี่แตงไม่ได้อยู่บ้าน โต้งต้องทนเหงาเดียวดายลำพังคนเดียว และนานแค่ไหนที่ต้องเห็นแม่ร้องไห้กับการหาทางแก้ปัญหา ส่วนพ่อที่พยายามแก้ปัญหาด้วยการดื่มเหล้าตลอดเวลา…”

มิวพยายามนึกถึงเรื่องราวตอนเด็กๆและปล่อยภวังค์ตัวเองตามความรู้สึกของโต้ง เขาเข้าใจดี
“โต้งก็เลยไม่กล้าคิดว่าพี่พลอยจะเป็นคนเดียวกับพี่แตงใช่ไหม? กลัวผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก…มิวเข้าใจโต้งนะ”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า แต่กลับโอบกอดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โต้งยิ้มทั้งน้ำตาปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีเหลือเกิน กับการมีใครสักคนที่รู้ใจและเข้าใจเขาเท่ากับผู้ชายที่อยู่ในอ้อมกอดนี้ไม่ได้อีกแล้ว

ด้านมิว…เขาควรจะตื่นเต้นเรื่องที่ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโต้ง งานเลี้ยงที่อากรและน้านีย์จัดในวันพรุ่งนี้เหมือนเป็นการตอบรับสมาชิกใหม่และเปิดรับเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแล้ว รู้สึกประหม่าและไม่มั่นใจตัวเองเลย แต่ตอนนี้ตัวมิวเองรู้สึกตื่นเต้นในเรื่องของพลอยที่จะเจอกับพ่อแม่ของโต้งมากกว่า…
“พี่พลอยและโต้งกำลังคิดอะไรของเขาอยู่นะ!!” เป็นสิ่งที่มิวอดถามตัวเองไม่ได้

(โปรดติดตามต่อตอนที่ 24)



Create Date : 03 กันยายน 2551
Last Update : 3 กันยายน 2551 18:18:44 น.
Counter : 293 Pageviews.

8 comment
ตอนที่ 22
เสี่ยเชนขับรถเลี้ยวเข้ามาที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถวจังหวัดอุบลราชธานี แม้จะเป็นเพียงแค่สำนักสงฆ์ที่ดูไม่ใหญ่โตแต่ก็ดูร่มเย็น ชายวัยกลางคนเปิดประตูรถเก๋งเดินลงจากตัวรถ สำรวจบริเวณโดยรอบๆ สลับกับมองแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือ เขาได้รับแจ้งข่าวจากเพื่อนที่เป็นตำรวจอยู่พื้นที่จังหวัดนี้ ให้ช่วยติดตามหา และได้ข้อมูลว่าหญิงหลบมาบวชชีที่นี่พร้อมกับแม่ ภายใต้ศาลาหลังเล็กๆที่ปลูกสร้างเพียงหลังเดียว ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่โดยรอบ มองเห็นเมรุเผาศพที่ก่อสร้างง่ายๆเพียงโบกปูนเป็นกำแพงขึ้นมาขนานกันทั้งสองด้าน เพื่อไว้สำหรับพาดโลงศพ และกองท่อนไม้ไว้ด้านล่างระหว่างปูนทั้งสองข้าง ไม่ไกลจากเมรุมีข้อความสั้นๆที่ทำให้คนอ่านเข้าใจลึกซึ้งถึงสัจธรรมว่า “ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน”

มันก็คงจริง เป็นเรื่องที่หลายคนกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องตาย ทั้งๆที่ไม่มีใครหนีมันพ้นสักคน เสี่ยเชนยืนนิ่งอ่านข้อความนั้นอยู่หลายเที่ยว จนต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อหลวงพ่อที่อยู่กุฎิใกล้ๆเดินเข้ามาทัก เสี่ยเชนยกมือไหว้หลวงพ่อองค์นั้น
“โยนมีเรื่องทุกข์ใจอะไรรึ?” หลวงพ่อเอ่ยถาม สองมือของท่านประสานกันไว้ด้านหน้า เหมือนเป็นเครื่องเตือนว่าจะปล่อยสติให้หลุดลอย
“ผมไม่ได้ทุกข์ใจอะไรหรอกครับหลวงพ่อ เพียงแค่มาตามภรรยากลับบ้าน” เสี่ยเชนบอกไปตามตรง ละสายตาจากหลวงพ่อกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณ สีหน้าของหลวงพ่อสงบนิ่ง ครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“หากภรรยาของโยมอยู่ที่นี่ แล้วสบายใจ โยมยังอยากให้เขากลับไปด้วยไหม?”
เสี่ยเชนถึงกับอึ้งเล็กน้อย สีหน้าเครียดขึ้น สายตาคู่นั้นดูไม่สดใสเอาเสียเลย หลวงพ่อยิ้มๆ
“อาตมาก็แค่ถามเตือนสติของโยมเท่านั้น คนเรามักจะหวังในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่คิดว่าถ้าไม่สมหวังจะต้องเตรียมใจอย่างไร? บางคนรับไม่ได้ก็พาลจะใช้กำลัง บางคนก็ไม่ยอมรับความจริง ถึงขั้นวิกลจริตไปก็มี”
“หลวงพ่อ หลวงพ่อครับ ถ้าภรรยาผมไม่ยอมกลับไปด้วย ผมจะทำอย่างไรดีครับ”
เสี่ยเชนกล่าวทั้งน้ำตา คงเป็นครั้งแรกที่เขาเสียน้ำตาให้กับภรรยาของตัวเอง ภาพในอดีตย้อนขึ้นมาเป็นลำดับ เขาเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่อง และเอาแต่ใจตัวเองตลอด ทุบตีลงไม้ลงมือ ด่าทอเสียๆหายๆ แต่พอวันนี้ วันที่ไม่มีเงาของหญิงอยู่ข้างกาย เขากลับวิ่งไคว่คว้าตามหา แทบผลิกแผ่นดิน แม้เวลานั้นจะมีผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่ข้างกายก็ตาม แต่ทว่าในหัวของเขากลับคิดถึงแต่ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยายของตัวเอง



***************

สมาชิกวงออกัส กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ที่ห้องประชุมสำนักงานของพี่อ็อด ย่านอโศก ทุกคนต่างลงมติให้ “อ้วน”เป็นนักร้องนำ โดยสมาชิกคนอื่นๆทั้งปิงปอง อ๋อง เอ็ม แวน อาร์ม ไมค์ ต่อ และแม็กยังคงจับอุปกรณ์ดนตรีชิ้นที่ตัวเองถนัดเหมือนเดิม แม้แต่มือกีต้าร์ก็ยังได้เอ็กส์เช่นเดิม…เอ็กส์แอบหยิบมือถือที่มีข้อความหวานๆจากโดนัทขึ้นมาเปิดอ่านแล้วอดยิ้มคนเดียวไม่ได้…

หลังเลิกประชุมแผนการเตรียมออกอัลบั้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อนๆในกลุ่มวงออกัสต่างมารวมตัวกันที่ลานจอดรถด้านล่างของตึก
“เออพี่เอ็กส์ พี่รู้เรื่องหรือเปล่า?ทำไมพี่มิวไม่ออกเทปกับพวกเรา?” ไมค์หันมาถาม
“ไม่รู้เหี้ยมัน!!”
เอ็กส์ตอบโดยไม่ได้เงยหน้าจากกีต้าร์ที่กำลังดีดอยู่ โดยเอนพิงกับตัวรถของไมค์ ส่วนอ๋องเดินเข้ามาแซวเรื่องเอ็กส์
“ได้ข่าวว่าช่วงนี้เบาหวานขึ้นสูงเหรอว่ะ?” เอ็กส์ทำหน้าเหวอ
“อะไรของเอ็งว่ะ?”
“ก็กำลังอินเลิฟไง?” ทั้งกลุ่มหัวเราะเสียงดัง เอ็กส์ก้มหน้าเขิน แดงกร่ำ ให้ของลับไปอย่างเก้อๆ
“เฮ๊ย!!นี่พวกเอ็งไม่มีใครรู้เรื่องพี่มิวสักคนเหรอไง?” ไมค์ไม่ขำด้วย
“เราจะเป็นออกัสกันได้อย่างไร? ถ้าไม่มีพี่มิว” ทุกคนหันมามองหน้าไมค์ หยุดขำและนิ่งงัน
“มันคงมีความสุขกับซานต้าครอสแล้วมั้ง!!” ทุกคนหัวเราะขำๆ แต่เอ็กส์กับไม่รู้สึกตลกด้วย
“จริงของไอ้ไมค์ว่ะ!! ข้าจะลองคุยกับมันดูอีกครั้ง แต่ตอนนี้ไอ้น้องอ้วน เอ็งก็ยังทำหน้าที่นักร้องนำเหมือนเดิมนะเว้ย!!อย่าคิดมากไอ้น้องรัก” เอ็กส์ตบบ่าน้องอ้วนเบาๆกลัวสมาชิกรุ่นน้องจะเสียกำลังใจ

***************
เสี่ยเชนตัดสินใจหันหลังกลับขึ้นรถ ล้มเลิกความตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อหันมาแล้วสายตาได้ประสานกับหญิงที่กำลังกวาดใบไม้อยู่ที่ลานกว้างแถวนั้นพอดี หญิงปล่อยไม้กวาดหลุดมืออย่างตกใจ เตรียมจะวิ่งหนี แต่เสียงแม่ชีพี่เลี้ยงเรียกไว้เสียก่อน
“ถึงตัวจะหนีให้ไกลแค่ไหน? แม่ชีหญิงก็หนีใจตัวเองไม่พ้นหรอก”
“ค่ะ หญิงรู้ค่ะว่าไม่อาจหนีเขาพ้นไปได้ แต่…”
“เอาเถอะ แม่ชีหญิงลองทวบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกที อยู่ในโลกทางธรรมแล้วจงใช้วิถีแห่งธรรมเป็นที่ตั้ง อย่าวู่วาม”
เสี่ยเชนเดินเข้ามาใกล้ แม่ชีผู้สูงวัยกว่า ยิ้มทักให้กับเสี่ยเชนที่ยกมือไหว้มาแต่ไกล แล้วเลี่ยงเดินออกไป ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน
“เอ่อ…” เสี่ยเชนพูดไม่ถูก เหมือนอะไรจุกอยู่ที่คอ สถานะภาพของภรรยาตนตอนนี้ เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่หญิงคนเดิมแล้ว เธอขาวสะอาดเกินกว่าที่เสี่ยเชนจะดึงเธอกลับไปเหมือนเดิม
“เฮียมารับกลับบ้าน กลับไปด้วยกันเถอะนะ” เสี่ยเชนกล่าว น้ำเสียงฟังไม่คุ้นจากที่เคยได้ยิน มันดูหนักแน่น แต่นุ่มนวลจากหัวใจ จนหญิงเองยังหวั่นไหว
“กลับไปก็เหมือนเดิม” หญิงยกมือปาดน้ำตาที่ไหลปริ่มออกมา เสี่ยเชนสงสารเธอจับใจ เอื้อมมือจะปลอบขวัญ แต่หญิงเบี่ยงแขนหลบ ไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัว
“ไม่เหมือนเดิม เฮียสัญญา เฮียจะไม่ทุบตีหญิงอีก เฮียจะยอมทุกอย่าง ขอให้กลับไปกับเฮียนะ”
“ผู้หญิงคนนั้นล่ะ!!”
“เฮียเลิกแล้ว เฮียรู้แล้วว่าใครรักเฮีย ให้โอกาสเฮียอีกครั้งนะ”
น้ำเสียงที่แปลกไปนั้น ยังคงทำให้หญิงหวั่นไหวเช่นเดิม มันจะเป็นไปได้หรือ?ที่คนเราจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคน หญิงนิ่งคิดสักครู่ จริงสิ!!หล่อนเชื่อว่ามันเป็นไปได้ สำหรับการรักใครสักคน ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร?อยู่ที่ไหน? คนที่เรารักก็จะอยู่กับเราตลอดไป หล่อนเคยทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่รักมีความสุข แม้ตัวเองจะเจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม…
“เฮียกลับไปเถอะนะ!! ไม่ต้องห่วงหญิง เมื่อสบายใจแล้วหญิงจะกลับไปหาเอง ขอให้เฮียรักษาคำพูดนี้ไว้ก็พอ” หญิงหันมากล่าวยิ้มๆกับสามี แม้จะได้ฟังคำปฎิเสธจากปากของภรรยา แต่หัวใจของเสี่ยเชนก็มีความสุข และยังมีหวังว่าสักวันหญิงจะกลับไปหาตัวเอง เขายิ้มให้กับภรรยาอีกครั้งและพูดสองสามประโยคก่อนที่จะลากลับไป

ลับหลังรถเก๋งของสามีขับพ้นสายตาไปแล้ว หญิงทรุดตัวร้องไห้ใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น แม่ชีพี่เลี้ยงเดินเข้ามาช้าๆหยุดยืนสงบนิ่งตรงหน้า
“อย่าเสียใจไปเลย น้ำตาไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆได้ จงเคารพการตัดสินใจของตัวเองเถอะ อย่างน้อยๆเราก็ทำดีที่สุดแล้ว”
“ค่ะแม่ชี” หญิงเงยหน้าขึ้นสบตา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังกุฎิที่พัก เห็นหม่าม๊ากำลังเตรียมทำอาหารเพลอยู่ หล่อนรู้สึกสังเวชตัวเอง เมื่อไหร่หนอชีวิตเธอจะพ้นจากความทุกข์เสียที เมื่อไหร่หนอหม่าม๊าเธอจะหายเป็นปกติ และเมื่อไหร่หนอเธอจะมีรอยยิ้มที่มีความสุขเหมือนกับคนอื่นๆเขา…เธอโผกอดหม่าม๊าแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
ไม่มีเสียงปลอบโยนจากหม่าม๊าสักคำ นอกจากสองมือที่โอบอุ้มนั้นและลูบเบาๆที่หลัง เพียงเท่านี้ หญิงก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว


***************
โดนัทเข้าครัวลงมือปรุงอาหารเอง โดยมีแม่บ้านคอยช่วยหยิบยื่นเครื่องปรุงและบอกวิธีทำให้ ดูหญิงสาวมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดจากเมือก่อน เสื้อยืดที่เธอสวมอยู่กับบ้านเวลานี้ มองออกถึงคุณภาพและราคาที่ไม่เกินหนึ่งร้อยบาท กับกางเกงทรงตามสมัยก็เช่นกันคงไม่เกินสองร้อยบาท หากเป็นเมื่อก่อนทั้งหมดนี้คงเป็นราคารวมของต่างหูคู่เล็กๆสำหรับเธอเท่านั้น อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีไม่ใช่หรือ?
“เพราะผู้ชายคนนี้ใช่ไหมจ๊ะ? ที่ทำให้ลูกสาวแม่ลงมือเข้าครัวเอง” แม่ของหญิงเดินเข้ามาในครัว โอบกอดลูกสาวอย่างรักใคร่ หญิงสาวหันหน้ามาหาแม่เธอ ใบหน้ายิ้มระรื่น ไม่พูดอะไร ผู้เป็นแม่เช็ดเหงื่อที่ไหลลงอาบแก้มให้ลูกสาว พลางก้มหน้าไปดูอาหารในหม้อที่เดือดได้ที ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ
“แก้ว!! เดี๋ยวเธอเตรียมผลไม้พวกนี่ไปปอกเปลือกแล้วจัดใส่จานให้ดี เสิร์ฟหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว” ผู้เป็นเจ้านายหันไปบอกกับเด็กใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วัน และเป็นผู้ช่วยแม่บ้านที่อายุมากแล้วอีกแรงหนึ่ง เด็กสาวรับคำแล้วหยิบถุงผลไม้จัดแจงล้างน้ำและทำตามคำสั่งทันที
“คุณแม่ขา แล้วเอ็กส์อยู่ไหนแล้วค่ะเนี้ยะ” โดนัทเช็ดมือหลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมให้แม่บ้านยกอาหารที่ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร
“คุยกันถูกคอกับคุณพ่อของเราที่หน้าบ้านนั่นแหละ สงสัยจะถูกอกถูกใจว่าที่ลูกเขยคนนี้แล้วแน่ๆ”
“คุณแม่นี่…พูดอะไรก็ไม่รู้” หญิงสาวแก้เขินด้วยการหอมแก้มมารดาเบาๆไปหนึ่งฟอด สร้างความสุขให้กับคนรอบข้างเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่แม่บ้านที่ทำงานรับใช้มานาน ก็ไม่เคยเห็นภาพลักษณะแบบนี้ นอกจากอาการวีนของหญิงสาวเสียมากกว่า
อาหารเย็นมื้อนี้ ดูอร่อยและน่ารับประทานมากๆไม่เพียงแต่ความรู้สึกของเอ็กส์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นความคิดเห็นของครอบครัวโดนัทอีกด้วย แม้จะมีลูกสาวเพียงคนเดียวแต่คุณพ่อและคุณแม่ก็ให้อิสระกับการตัดสินใจเรื่องของความรักของลูกสาว หากลูกสาวรักใคร คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ขัดข้อง บรรยากาสในยามค่ำคืนนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของครอบครัวเธอ


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย หนุ่มสาวทั้งสองออกมาเดินเล่นรับลมที่สวนหน้าบ้านที่ตกแต่งด้วยพรรณไม้ดอกสวยงามตกแต่งเป็นพุ่ม และบริเวณเลียบทางเข้าจากรั้วบ้าน ด้านหนึ่งเป็นคลองขุดขนาดใหญ่บนเนื้อที่กว่าห้าสิบไร่ มีห่านขาวส่งเสียงร้องเรียกสมาชิกที่ยังเดินต้วมเตี้ยมริมคลองกลับสู่ที่พักอย่างมีความสุข ไม่ไกลจากที่ทั้งคู่เดินปลดปล่อยอารมณ์นัก มีศาลาไม้หลังเล็กๆพร้อมชิงช้าตั้งเด่นอยู่ ทั้งสองเดินเข้าไปนั่งที่ศาลานั้น
“พี่เอ็กส์คุยอะไรกับคุณพ่อบ้างคะ”
หญิงสาวเรียก “พี่เอ็กส์” อย่างสนิทใจเพราะเอ็กส์เกิดต้นปีแต่โดนัทเกิดปลายปีแม้จะเป็นปีพ.ศ.เดียวกันก็ตาม แต่การเรียกลักษณะแบบนี้ก็สร้างความรู้สึกใกล้ชิดให้กับทั้งสองคนไม่น้อย
“พี่คิดว่ามาสัมภาษณ์งานเสียอีก” ชายหนุ่มพูดติดตลก
“ทำไมคะ สงสัยคุณพ่อคงเสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวของพี่เอ็กส์ใช่ไหม? โดนัทขอโทษด้วยนะค่ะ”
“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อของโดนัทจะถาม ก็ท่านมีลูกสาวคนเดียวนี่นา”
“แล้วคุณพ่อถามอะไรบ้างคะ”
“ท่านก็ไม่ได้ถามอะไรหรอก เพียงแค่ให้พี่เร่งสร้างเนื้อสร้างตัว และก็ดูแลโดนัทดีๆเท่านั้นเอง” คำตอบของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวยิ้มแฉ่งด้วยความเขินอาย แต่ก็มีความสุขไม่ใช่น้อย
“พี่สัญญานะ ว่าจะดูแลโดนัทให้ดีที่สุด และจะเก็บเงินมาสู่ขอโดนัทเร็วๆ”
ชายหนุ่มเอื้อมมือกุมไว้ที่มือของหญิงสาว ขณะกำลังเผลอตัว โดนัทตกใจไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นที่ชายหนุ่มเปิดกล่องสี่เหลี่ยมกำมะหยี่สีแดงเล็กๆออกมา แหวนเงินเกลี้ยงสีขาววงเล็กๆถูกสวมที่นิ้วนางด้านซ้ายอย่างพอเหมาะพอดี เป็นแหวนที่เธออยากได้ เมื่อครั้งที่ไปเดินเล่นกับเอ็กส์คราวนั้น ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะซื้อให้
“พี่ขอจองไว้ก่อนนะครับ สร้างเนื้อสร้างตัวเมื่อไหร่จะเปลี่ยนให้ใหม่เป็นแหวนเพชร”
หญิงสาวสบตากับชายหนุ่มอย่างปลาบปลื้มใจ จู่ๆน้ำตาก็พาลจะไหลเอ่อล้นออกมา มันเป็นสัญญาใจที่มีต่อกันและขอให้เป็นรักที่นิรันดร์ตลอดไป


ที่ระยอง เสี่ยเชนกลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้าจากการขับรถทางไกล ยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าเสร็จ ก็ต้องจับหน้าอกตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ สุดจะทนไหว...เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลท่วมใบหน้า...เขาพยายามไขว่คว้ากำแพงผนังบ้านเพื่อช่วยเหลือตัวเอง โชคดีที่พนักงานในแผนกแถวๆนั้นเห็นจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยไว้ทัน...

เสี่ยเชนนอนพักผ่อนอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก หลักจากอาการดีขึ้นแล้ว คว้าโทรศัพท์กดหาหมายเลขของลูกชายคนโปรด ไม่เกินชั่วโมง เด็กวัยแรกรุ่นก็ปรากฏกายขึ้น เสี่ยเชนมองสำรวจสภาพลูกชายของตัวเองแล้วเหนื่อยใจขึ้นกว่าเดิม
"ไปไหนมามีน เปิดบ้านทิ้งไว้แบบนี้ได้ไง พ่อบอกให้ดูแลบ้านไง" เสี่ยเชนตำหนิลูกชาย และรู้สึกเจ็ที่หน้าอกขึ้นมาอีก
"พ่อเป็นอะไร? แน่นหน้าอกเหรอ?"
มีนเข้าไปประคองผู้เป็นพ่อให้นอนในท่าที่สบาย แล้วตัวเองหันไปหายามาชงให้ เสียงเรียกติดๆขัดๆดังออกมาจากห้องรับแขก ทำให้เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปจากอีกห้องที่ชงยาทันที ร่างของเสี่ยเชนฟุบลงกับพื้นด้านล่าง ลมหายใจอ่อนระทวย มีนรีบร้องเรียกให้คนงานมาช่วยอุ้มขึ้นรถไปโรงพยาบาลโดยด่วน...


(โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆนี้ครับ)



Create Date : 26 สิงหาคม 2551
Last Update : 26 สิงหาคม 2551 17:47:12 น.
Counter : 325 Pageviews.

9 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คุณหมอกมลชนก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."

บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

คำคมนี้ดูจะบ่งบอกความเป็นตัวตนของ"ออมสิน"ได้เป็นอย่างดี...


สมาชิกอยู่ในบ้านขณะนี้