"I have but one lamp by which my feet are guided, and that is the lamp of experience."
Group Blog
 
All blogs
 

เขาค้อ ภูทับเบิก

















ร้านกาแฟ Coffee Hill



อีกมุมในร้าน





บ้านพัก









ภูทับเบิก









ขากลับรถตู้ยางรั่ว ฮ่า ฮ่า




 

Create Date : 30 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 12:42:19 น.
Counter : 1334 Pageviews.  

Return to Retro @ อัมพวา ดำเนินสะดวก











ผลไม้สีสดมาก



หลานสาวตัวแสบ











ช่วงที่ไปถึงก็ไม่สายนะ 555+















ขนมครกที่ร้ากกกก






 

Create Date : 30 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 12:42:40 น.
Counter : 360 Pageviews.  

Laos

ไปเที่ยวลาวใต้มาคับ




























 

Create Date : 30 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 12:42:56 น.
Counter : 281 Pageviews.  

หัวหิน (เม.ย. 6-7, 51)



ที่พักชื่อ บ้านเป้ เป็นบ้าน 2 ชั้น มีแค่ 4 ห้อง ตอนนั้นไปพักห้องใหญ่คับ
















 

Create Date : 29 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 12:43:09 น.
Counter : 499 Pageviews.  

เที่ยวเชียงใหม่ & เชียงรายกับนักขายและการตลาด (22-25 ก.ย. 51)

กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! ทำไมเสียงมันไม่เงียบซักทีวะ ว่าแล้วก็พยายามลืมตาหาที่มาของเสียงนั้น...เสียงนาฬิกาปลุกของมือถือผมเอง ฉิบหาย! ตื่นแล้วอีกแล้วววว เมื่อได้สติอย่างนั้นก็รีบสะดุ้งเหมือนกับคนที่โดนไฟฟ้าช็อตเพื่อ กระตุ้นหัวใจอย่างไงอย่างงั้น

7.00 น. เป็นเวลาที่ตั้งแต่ว่างงานมาเกือบ 1 เดือนก็เป็นตัวเลขที่แทบไม่ได้เห็นเลยบนนาฬิกาในมือถือผม ว่าแล้วก็รีบอาบน้ำ แปรงฟัน เพื่อเตรียมตัวไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะนับจากวินาทีนี้ไปผมจะได้เดินทางท่องเที่ยวดินแดนทางภาคเหนือของประเทศไทยนั่นก็คือ เชียงใหม่และเชียงรายนั่นเอง

#1 ตะลุยเมืองกับรถไก่ย่าง
เที่ยวบิน FD 3234 ของไทยแอร์เอเชีย สายการบินที่ใช้กลยุทธ์ต้นทุนต่ำ (Cost leadership) ตามที่หลักการศ. ไมเคิล อี พอร์เตอร์ เค้าว่าไว้อย่างนั้น พร้อมออกเดินทางตอน 12.50 น. แต่ผมมาถึงสนามบินตั้งแต่ 9.30 น. ก็เพราะว่าติดรถมากับเพื่อนคนหนึ่งที่เค้าไปทำธุระที่เชียงใหม่เหมือนก้น ผมจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับรถแท็กซี่ที่ถ้านั่งจากบ้านผมไปล่ะก็น่าจะซื้อแพ็กเกจทัวร์เล็กๆ ในเชียงใหม่ได้เลยทีเดียว! ฉะนั้นหน้าด้านขอติดรถเค้าไปหน่อยคงไม่เป็นไร ฮ่า ฮ่า

พูดถึงไทยแอร์เอเชียก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึง Southwest Airlines (SWA) ผู้เริ่มทำสายการบินต้นทุนต่ำ (Low-cost Airlines) ในอเมริกา ด้วยขนาดของประเทศที่กว้างใหญ่ ทำให้เวลาจะเดินทางไปแต่ละรัฐถ้าจะไปทางบกคงใช้เวลานาน SWA พี่แก ก็เลยหันมาจับธุรกิจเครื่องบินซะเลย เพราะสะดวกกว่าเป็นไหนๆ แถมยังคิดราคาถูกอีก ใครจะไม่ใช้บริการล่ะเนี่ย แนวความคิด (Concept) นี้ก็เลยมาเป็น model ของแอร์เอเชียเช่นกัน ด้วยการเสนอบริการเท่าที่จำเป็น และต้นทุนให้ได้มากที่สุด อาทิเช่น การผลักให้กิจกรรมภายใน (Internal activity) ให้เป็นภาระของผู้โดยสารแทน (External activity) ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือเรื่องของการจอง/ซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ตนี่ล่ะ นอกจากนี้ก็ยังทำให้เวลาในการบินแต่ละรอบเร็วที่สุด ก็คือลดเวลาตอนที่ลงจอดนั่นเอง แหม่..พูดมาซะยาว ใกล้ถึงสนามบินเชียงใหม่พอดี

14.00 น. ถึงสนามบิน พร้อมกับปรี่เข้าหาห้องน้ำเป็นอย่างแรก เพราะอั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ หลังจากเสร็จกิจกรรมก็จัดแจงหาแผนที่ เพราะว่าการเที่ยวครั้งนี้ no companions at all ก็คือมาแบบลุยเดี่ยวจริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกสนุกไปอีกแบบ

การเดินทางในเชียงใหม่ Perception ของผมบอกว่ามันแพงถ้าไม่มีรถมาเอง หรือเพื่อนมาเยอะๆ ตายแน่ๆ แต่จากการพูดคุยกับพี่เพ็ญ ซึ่งเป็น Chauffer แท็กซี่สนามบินก็ทำให้ผมโล่งใจไปเยอะเพราะดูท่าทางพี่เค้าจริงใจและก็ช่วยเหลือเต็มที่ นั่งคุยกับพี่เค้าไประหว่างทางเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ว่าที่ไหนดี (จริงๆ หลอกถามพี่เค้าเอาไว้เป็นข้อมูลไปเที่ยวเอง เพราะพี่เค้าก็เป็นทัวร์รับจ้างเหมือนกัน อิอิ)



โรงแรมที่พัก อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร แต่ก็ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งเช่นกัน เรียกได้ว่าถ้า trade-off แล้วเนี่ยไม่ถือว่าเสียหาย


ดังนั้นจากแผนเดิมที่คาดว่าจะเริ่มเที่ยวในวันรุ่งขึ้น เลยเปลี่ยนใจไปตะลอนทัวร์ที่สำคัญๆ ในเมืองก่อนดีกว่า ซึ่งก็แน่นอนดอยสุเทพและครูบาศรีวิชัยก็ผุดขึ้นมาในสมองผม แต่ก่อนจะเดินทางสิ่งที่สำคัญก็คือปากท้อง เพราะบนไทยแอร์เชียไม่มีบริการอาหาร ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนทำให้ราคาตั๋วจึงถูก ว่าแล้วผมก็เดินไปเจอร้านถูกใจข้างๆ โรงแรมนี่เอง แถ่น แทน แท๊น แม่นแล้วร้านส้มตำนั่นเอง จกข้าวเหนียวซักพักนะครับ แล้วเดี๋ยวจะพาไปเที่ยวต่อ

อิ่มท้องละ! แม้ว่าจะเคยมาเชียงใหม่แล้ว 1 หนแต่ความทรงจำในตอนนั้นมันก็แทบจะเลือนราง ก็เลยต้องอาศัยคุณป้าขายส้มตำนี่แหละ คำตอบก็คือหารถสองแถวสีแดงไปสิหนู มันก็ไอ้รถที่อยู่หน้าโรงแรมนี่หว่า- พลางนึกในใจ
500 บาทราคาที่ต่อรองไม่ได้จากคุณลุงผู้ขับ ผมก็เลยต้องขอเพิ่มระยะทางนิดนึงให้ลุงเค้าพาทัวร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยไหนๆ ก็เหมาทั้งคันแล้วนี่เนอะ ใช้เวลาไม่นานมากครับในการไปดอยสุเทพขึ้นไปแต่ระหว่างทางขึ้นไปนี่สิลุงเค้าคงเร่งเครื่องรถกระบะของแกอย่างเต็มรอทำให้ผมมึนหัวกับกลิ่นน้ำมันและควันที่ออกมา มองไปมองมาเลยเหมือน “รถไก่ย่าง” ที่วิ่งไปมีควันไปเป็นเป้าสายตาแก่ผู้สัญจรไปมาแถวนั่นยิ่งนักหลังจากสักการะแล้วก็เก็บภาพประทับใจ แต่วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมีฝนตกเลยเฉอะแฉะ พระธาตุดอยสุเทพช่วงที่ผมไปนั้นอยู่ภายใต้การบูรณะพอดีก็เลยมีบรรดาไม้ไผ่มาค้ำไว้เต็มไปหมดภาพเลยดูไม่ค่อยสวย



เจดีย์ที่นี่ส่วนใหญ่บนยอดจะเป็นทองคำแท้ รวมไปถึงพระธาตุดอยสุเทพแห่งนี้ด้วย แหม่ ราคาทองกำลังดีช่วงนี้






ขาลงก็ได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เป็นแบบทัวร์ชะโงก คือชะโงกดูอย่างเดียวแล้วก็ขอให้ลุงเค้าพาไปส่งที่ถนนนิมมานเหมินทร์เพื่อหาอะไรทานเป็นมื้อเย็นสำหรับวันแรกของคนไฮเปอร์อย่างผม (ผมไปทานที่ร้าน 94 coffee มาครับบุฟเฟ่ต์เค้กเยี่ยมมากๆ ราคา 150 บ.)



บุฟเฟต์เค้ก กินไปได้แค่ 3 ชิ้นสมองก็สั่งการว่า "คุ้มแล้ว"

#2 ๑ne fine day!
เช้าวันใหม่มาถึง ไร้เสียงนาฬิกาปลุก หวังว่าผมจะตื่นสายล่ะสิ เสียใจครับเพราะว่าพนักงานของ journeycnx เค้าโทรมาเรียกให้ไปรับรถตามเวลาที่ตกลงกันเอาไว้คือ 7.30 น. นั่นเอง บริษัทนี้จริงๆ ผมก็ไม่รู้จักหรอก ก็ได้เพื่อนๆ ที่น่ารักใน Blue Planet เค้าลงคอมเมนต์เอาไว้ก็เลยคลิกตามไปในเว็บไซต์ของที่นี่ดู ในปัจจุบันการตลาดแบบนี้ก็กำลังเป็นที่นิยม เค้าเรียกกันว่า “Buzz Marketing” Buzz ตามความหมายตรงๆ มันก็คือการกระพือ (ข่าว) นี่ล่ะครับ เพื่อนๆ ก็ลองนึกถึงเสียงปีกผึ้งเวลามันบินมาใกล้หูเราดูละกัน ร้องอ๋อกันแล้วใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้ว Buzz Mktg นี่มันก็มาในหลากหลายรูปแบบอีกเช่นกันเพื่อให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย (Target Market) ในวงกว้าง อย่างเช่น Viral Marketing, Word-of-Mouth (WOM) เป็นต้น (ความหมายเป็นอย่างไร ลองหาอ่านจาก google ดูก็ได้ครับ)



วกกลับเข้ามาที่เรื่องรถที่ผมจองไว้คือ Honda Jazz (AT) ตื่นเต้นมากๆ เพราะเป็นการท่องเที่ยวแบบขับรถเองเป็นครั้งแรกในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย มีแค่เพียงแผนที่และปากที่จะใช้สอบถามเท่านั้นที่จะพาให้ผมไปถึงที่หมายได้อย่างถูกต้อง Tom Hopkins ผู้เขียนหนังสือ “How to master the art of selling” ได้กล่าวไว้ว่า Primary tool ของนักขายก็คือสิ่งที่เปิดอยู่บนหน้าที่เรียกว่าปากนั่นเองครับ และวันนี้ผมคงจะได้ฝึกฝนมันในด้านอื่นนอกจากการขาย ก็คือการถามเส้นทาง และต่อราคาของนั่นเอง!

ตามโปรแกรมที่ผมวาดเอาไว้ก็คือไปบ้านถวาย แล้วต่อด้วยดอยอินทนนท์ เวียงกุมกาม และปิดท้ายด้วยไนท์ซาฟารี ตามลำดับ จากการถามเส้นทางจากพนักงานของ journeycnx เค้าก็อธิบายมาได้ละเอียดดีครับ หรือว่าเส้นทางมันไม่ยากมากก็ไม่รู้เลยทำให้ผมทำเวลาในการไปแต่ละที่ได้เป็นอย่างดี แถมยังได้เที่ยวเพิ่มมากอีกหนึ่งที่ก็คือ น้ำตกแม่ยะ ที่แวะตอนขาลงมาจากดอยอินทนนท์นั่นเอง

ในช่วงที่เดินทางนั้นหากใครได้เคยดูเรื่อง The day after tomorrow ผมอยากจะบอกว่าตอนที่ขับขึ้นดอยไปนั้นความรู้สึกมันไม่ต่างกันเลย เพราะว่าเจอทั้งแดดออก ฝนตก หมอกลง แต่เจ้า Jazz ก็ไม่หวั่นสู้วันมามาก มีแต่ผมนี่แหละที่ใจลึกๆ สั่นไหวอยู่เหมือนกันว่าจะได้ไปเที่ยววันต่อๆ ไปอีกหรือเปล่าเนี่ย จุดแรกที่ผมแวะก็คือ พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุเจดีนภพลภูมิสิริ





อย่างที่บอกครับว่าอากาศมันไม่ค่อยดี รูปที่ถ่ายเลยดูขมุกขมัว แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ช่วงที่ไปคุณป้าแถวนั้นเค้าบอกว่าช่วงนี้เค้ากำลังเตรียมลงดอกไม้เพื่อเตรียมงานวันพ่อ สวนดอกไม้สวยๆ ที่แต่ก่อนผมเคยเห็นก็เลยเป็นดินที่ขุดมากองไว้ซะส่วนใหญ่ แต่ไม่เป็นไรเพราะความมันส์มันอยู่ที่ I am the only tourist over there! มีผมคนเดียวเดินถ่ายรูปไปมาได้อย่างสบายใจเฉิบ แม้แต่ตอนขับรถก็ยังหยุดถ่าย เพราะเค้าไม่มีกฎหมายว่า “ขับห้ามถ่าย” นี่ :)

ขับต่อไปอีกไม่กี่อึดใจ ฝนก็ยังพรำๆ ลงมาอย่างต่อเนื่อง และเบื้องหน้าผมก็เห็นแล้วครับ ลานจอดรถพร้อมกับป้ายที่ระบุไว้ว่า “สูงสุดแดนสยาม” นั่นก็แสดงว่าผมอยู่เหนือกว่าใครหลายต่อหลายคนในประเทศไทย ผมคนเดียวอยู่สูงที่สุดในประเทศไทย ณ ตอนนั้น ใช่แล้ว Here I am, Doi Innthanon! หากใครได้ชมซีรี่ย์เกาหลีที่ชื่อว่า My lovely Sam Sun คงจะนึกฉากที่ เจ๊คิม ซัม ซุน เค้าขึ้นเขามาเพื่อจะลืมทุกอย่าง แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับชื่อใหม่ (คิม ฮี จิน) หมอกและหุบเขาที่อยู่เบื้องหน้าผมในขณะนั้นก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ผมไม่ใช่คิม ซัม ซุนเท่านั้นเอง



จอดรถเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มออกสำรวจเส้นทาง เพื่อขึ้นไปสักการะพระอังคารของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ฯ ผู้ซึ่งคอยปกปักรักษาเชียงใหม่ เดินถ่ายรูปได้สักพักก็คิดได้ว่าคงจะต้องลงเพื่อไปแวะน้ำตกแม่ยะ สักหน่อยเพราะตั้งอยู่ใกล้ๆ ทางออก แต่พอขับไปถึงจริงๆ ก็รู้ว่ามันไกลมาก เหมือนกันนะเนี่ย แล้วทางก็ค่อยข้างลำบากกว่าตอนขึ้นดอยเสียอีก ระหว่างทางความประทับใจเล็กๆ ของผมก็เกิดขึ้น ทั้งวิถีชีวิตของผู้คนข้างทาง ความมีน้ำใจที่ช่วยบอกทาง รวมไปถึงสัตว์น้อยใหญ่ตามข้างทาง ทำให้อดที่จะอมยิ้มไม่ได้จริงๆ

น้ำตกแม่ยะที่ผมเห็นในแว้บแรกเมื่อหน้ารถโผล่พ้นเนินชัน ก็ทำให้รู้สึกว่าดีแล้วเว้ย ที่ไม่ได้ถอยกลับไป ดีแล้วเว้ยที่เลือกที่จะขับรถมาเอง เพราะมันดูยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ เหมือนน้ำไหลมาจากยอดเขา สีขาวของน้ำตัดกับต้นไม้สีเขียวชอุ่มอันมาจากฤดูฝน ทำให้ต้องรีบหยิบกล้องมากดซักแชะ สองแชะ ก่อนที่จะเดินลุยเข้าไปตามทางอีกประมาณ 600 ม. ในขณะที่ผมกำลังจะย่างก้าวเลยผ่านสุดเขตปูนที่ทำเป็นทางไว้นั่นเอง ชาวบ้านแถวนั้นเค้าก็บอกว่าอย่าเข้าไป เพราะตอนนี้เค้ากำลังรมรังต่อขนาดใหญ่อยู่ เพราะว่านักท่องเที่ยวหลายคนโดนต่อย ในใจก็นึกเสียดายที่อดเข้าไปดูน้ำตกใกล้ๆ อีกใจนึงก็กลัวเพราะว่าถ้ามันมารุมต่อยกันทั้งรังคงจะไม่รอดแน่ๆ ก็เลยได้แค่ยืนดูและถ่ายรูปอยู่ห่างๆ T__T”





เห็ด(เมา)สด


เสร็จจากน้ำตกก็ต้องรีบบึ่งกลับไปที่เวียงกุมกามที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรมที่พัก เพื่อจะไปรับเพื่อนในตอนเย็นเพื่อไปไนท์ซาฟารีด้วยกัน

ตอนแรกผมก็นึกว่าเวียงกุมกามจะใหญ่โตอลังการ แต่ยิ่งขับเข้าไปจากถนนต้นยาง ก็เอะใจว่าทำใหม่มันมีแต่บ้านคนหว่า จนไปถึงวัดช้างค้ำก็เลยถึงบางอ้อว่า เวียงกุมกาม ก็คือที่เราขับวนไปมาอยู่นั่นเอง การจะชมนั้นหากรู้ประวัติและเส้นทางดีก็คงไม่ยาก แต่สำหรับผมที่ไม่รู้ข้อมูลเลย ก็เลยต้องว่าจ้างรถม้าที่ชื่อน้องขุนเงินให้พาผมนำเที่ยวพร้อมกับไกด์ใจดีครับ ในราคา 200 บ. แต่ผมให้เพิ่มอีก 40 บ. เป็นค่าไกด์ครับ





เจดีย์แบบพม่าที่ประกอบไปด้วยพระพุทธรูปถึง 64 องค์ (ถ้าจำไม่ผิด)


เวียงกุมกามจะประกอบไปด้วยทั้งหมด 9 วัดซึ่งแต่ละวัดก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง เนื่องจากสร้างมาด้วยศิลปะต่างแขนงกัน เนื่องมาจากพญาเม็งรายในสมัยก่อนนั้นมีพระสหายจากหลากหลายถิ่นด้วยกัน ทำให้การสร้างวัดถวายแก่พระองค์ก็แตกต่างกันไปด้วย ที่ผมจำได้ดีก็มีวัดกู่ป้าด้อม เพราะลุงไกด์บอกว่าวันที่ผมไปนั้นเป็นวันทำบุญครบ 100 วันของคุณยายด้อมที่เป็นเจ้าของที่พอดิบพอดี! ทัวร์จนครับ 9 วันใช้เวลาประมาณ 45 นาที ผมจึงเหลืออีก 15 นาทีเพื่อที่จะขับไปรับเพื่อนที่โรงแรม Holiday Inn ครับ

เอาล่ะเวลาขับรถของผมหมดแล้ว เพราะเริ่มจะล้าเลยจะต้อง Take turn ให้เพื่อนผมขับที่เหลือต่อไป ทางไปไนท์ซาฟารีก็ไม่ยากมาก ไปทางเดียวกับ Royal Flora โดยใช้เส้นทางหลักที่ไปดอยอิทนนท์นั่นแหละครับ ดังนั้นผมเลยกลายเป็น Navigator ให้เพื่อนไปโดยปริยาย

พนักงานที่นี่ตอนที่ผมโทรมาถามไว้ เค้าบอกว่าควรมาถึงประมาณ 6 โมงเย็น ซึ่งเราก็ถึงเวลาใกล้เคียงนั้น จอดรถ ซื้อตั๋ว (250 บ. ต่อคน) แล้วก็ไปทานอาหารเย็นรอ โซนแรกที่จะไปดูสัตว์ก่อนก็คือ Predator Prowl แล้วต่อด้วยระบำน้ำพุ (Music Fountain) เวลาประมาณ 20.00 น. จากนั้นดูสัตว์ต่อที่ Savanna Safari ส่วนโซนสุดท้าย Jaguar Trail นั้นจะต้องเดินเองเป็นระยะทางประมาณ 1.2 กม. ผมกับเพื่อนเดินไปได้แค่ 25 เมตร แล้วก็ต้องเดินถอยกลับมา เพราะ 1. คนน้อย 2. กลัวผี



ก่อนนอนวันนี้คงจะต้องขอแช่อ่างน้ำซะหน่อย เพราะว่าเหนื่อยมาทั้งวันพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้า! เพราะตอนที่พนักงานเอารถมาส่งให้วันนี้ ก็เผลอใจไปจองทัวร์ของ Journeycnx ในราคา 900 บ. ของวันถัดไปนั่นเองครับ จะไปที่ไหนนั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้เช้า Oyasuminasai!

#3 journey with Journey
ตีสี่ ห้าสิบเอ็ดนาทีสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา แต่พอเห็นเวลาอย่างนั้นแล้วก็ฟุบตัวเข้าไปซุกใต้ผ้าห่มเหมือนเดิม อย่าได้หวังว่าผมจะตื่นก่อนเวลาเลย!

อีกสิบนาที เจ็ดโมงเช้าพนักงานของ Journey โทรมาบอกว่าจะมารับรถให้ก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตอนที่รถตู้ของทัวร์ในวันนี้ที่จะมารับ ทำยังไงล่ะทีนี้ก็ผมก็ตื่นตอนที่เค้าโทรมานั่นล่ะครับ รีบอาบน้ำ แปรงฟัน เตรียมของอีกเช่นเดิม แต่คราวนี้เห็นในทัวร์มี Hot Spring และไปอ. แม่สาย เลยเตรียมชุดเผื่อไปเล่นน้ำ และป้องกันความหนาวซะหน่อยดีกว่า

อีกไม่กี่นาที ไกด์สาวใจดีก็โทรมา Warning ครับว่า “อีก 5 นาทีจะมาถึงแล้วนะคะ” เท่านั้นแหละ Speed ของผมเร็วยิ่งกว่านรก ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกทัวร์คนอื่นๆ เค้าเสียเวลาน่ะสิ

7.30 น. ตามเวลานัดหมายทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี รถตู้มารับผมเป็นสุดท้าย สงสัยเพราะว่าอยู่นอกเมืองสุด ฮ่า ฮ่า ในกรุ๊ปนี้มีด้วยกันทั้งหมด 8 คน (รวมคนขับกับไกด์ที่ชื่อคุณแนนซี่) มีผมคนเดียวที่เป็นคนไทยในฐานะลูกทัวร์นะครับ เริ่มจากคุณป้าที่นั่งแถวหน้าข้างๆ ผมชื่อคุณป้าลิดี้ (Lidy) มาจากอัมสเตอร์ดัม ประเทศฮอลแลนด์ อีกสองคนแถวถัดไปเป็นชายวัยกลางคนจากอเมริกา และแถวสุดท้ายเด็กชาย หญิงมหาวิทยาลัยที่คิดว่าน่าจะเป็นแฟนกันมาจากสวิตเซอร์แลนด์ เราทั้งหมดนี้กำลังจะมุ่งหน้าไปยังน้ำพุร้อนแม่ขะจานเป็นที่แรก เกือบ 2 ชั่วโมงเราก็ไปถึงแต่..แต่..แต่.. มันไม่มีที่ให้ผมได้มีโอกาสเปลี่ยนชุดลงแช่น้ำ เหมือนเมื่อครั้งที่ไปกระบี่ มันเป็นน้ำพุจริงๆ มีรั้วเล็กล้อมรอบ แรงดันของน้ำนั้นมาจากอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคทำให้มันพุ่งขึ้นสูงได้ มีเพียงแต่ความร้อนเท่านั้นที่เป็นธรรมชาติที่น้ำพุนี้มี ณ ตอนนี้ เพราะแม้แต่น้ำเค้าก็ต้องต่อท่อให้น้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำ ผมก็เลยถ่ายรูปตรงนี้นิดหน่อยให้รู้แล้วรู้รอด จากนั้นก็ไปเดินช้อปปิ้งดีกว่า หาซื้อของฝากตามร้านค้าแถวๆ นั้น สงสัยแม่ค้าเค้านึกว่าเป็นต่างชาติเลยใส่ภาษาอังกฤษกันมันเลยครับ ทั้งผมและแม่ค้า แต่ก็ได้ของราคาถูกสมใจทั้ง bookmark และ magnet ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นจำพวกเครื่องเงินและผ้าแล้วร้านค้าส่วนใหญ่ก็ของคล้ายๆ กันราคาพอๆกัน เพียงแต่ว่าใครจะโชคดีมีลูกค้าเข้าไปดูมากกว่า หรือมีความสามารถเรียกลูกค้าได้มากกว่า ลักษณะแบบนี้ดูไปดูมาก็เหมือนตลาดแข่งขันสมบูรณ์เลยล่ะครับ ไม่มีใครเป็นเจ้าตลาดอย่างแท้จริง ใช้เวลาที่นี่เพียง 15 นาทีก็ออกเดินทางต่อไปยังเชียงแสนครับ ระหว่างทางก็ได้เห็นการทำไร่บนเขา ไกด์บอกว่าชาวบ้านเค้าจะปลูกข้าวโพดกัน แต่ในช่วงกลางเดือนมีนาคมตามเขาเหล่านี้จะมีควันโขมง เพราะเป็นช่วงที่ชาวบ้านเผาไร่ข้าวโพดหลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว



วัดพระธาตุเจดีย์หลวง หนึ่งในสถานที่สำคัญในเชียงแสน เพราะมีเจดีย์ขนาดใหญ่ พระพุทธรูปอายุกว่า 700 ปี รวมไปถึงต้นโพธิ์อายุกว่า 200 ปี ที่เป็น 1 ใน 5 ของต้นโพธิ์ที่มาจากอินเดียจริงๆ ตามภาษาอังกฤษเค้าใช้คำว่า Big Pagoda สำหรับเจดีย์หลวง แต่เพื่อนผมเค้าบอกว่าคำว่า Pagoda จริงๆ แล้วคือเจดีย์แบบจีน ฉะนั้นเจดีย์แบบบ้านเรานั้นต้องทับศัพท์เลยครับ – Chedi ถึงจะถูก



สถานที่ถัดไปที่อยู่ไม่ไกลกันมากก็คือสามเหลี่ยมทองคำหรือ Gloden Triangle ครับ ที่มันมีชื่อเรียกอย่างนี้ก็เพราะว่า ในสมัยก่อนการแลกเปลี่ยนเพื่อซื้อฝิ่น (Opium) นั้นจะใช้ทอง โดยจุดที่แลกซื้อนี้ก็อยู่ตรงจุดที่ประเทศทั้งสามมันบรรจบกันก็คือ ไทย พม่า และลาว ครับ และตรงจุดที่เป็นสามเหลี่ยมนั้นก็เป็นจุดที่แม่น้ำทั้ง 3 สายมาบรรจบกันด้วยเช่นกัน (ผมจำได้แต่แม่น้ำโขงล่ะครับ แหะๆ)



ค่าลงเรือที่นี่เพื่อล่องแม่น้ำดูทั้งสามประเทศ และขึ้นฝั่งลาวนั้นสนนราคาอยู่ที่ 300 บาท และมีค่าเข้าชายแดนลาวอีก 20 บาทครับ ระหว่างไกด์แนนซี่ของเราก็เริ่มทำหน้าที่บรรยายจากพระพุทธรูปที่ชื่อว่าพระเจ้าตนหลวงโดยทางวัดแถวนั้นได้ทำการกู้เงินมาจากธนาคารเพื่อทำการสร้างในวโรกาสที่พระราชินีมีพระชนม์มายุครบ 72 พรรษา (ในปัจจุบัน วัดยังเป็นหนี้อยู่นะครับ)

หลังจากล่องแม่น้ำสักพัก ก็ได้เวลาขึ้นฝั่งชายแดนประเทศลาวแล้ว ขึ้นฝั่งมาก็ต้องเตรียมเสียเงินอีก 20 บ. ไว้อย่างที่บอก จากนั้นก็เริ่มเดินดูข้าวของจากร้านค้าชาวลาวที่มาตั้งเพิงขายกันครับ ผมก็ได้โปสการ์ดมาสามใบในราคา 20 บ. (คนขายแถมให้ 1 ใบ) การส่งโปสการ์ดจากที่นี่ถือว่าคลาสสิคนะครับ เพราะหลังจากที่หย่อนลงตู้ไปรษณีย์ของเค้า ถ้าส่งไปในไทยจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน แต่ถ้าประเทศอื่นๆ ก็ลองเดาดูเล่นๆ ละกันว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่! ผมก็เลยได้แต่ซื้อไปฝากเค้าอย่างเดียว



มีอยู่ซุ้มนึงที่น่าสนใจก็คือพวกยาดองมีสัตว์ต่างๆ มากมายอาทิเช่น แมงป่อง ตุ๊กแต (สองอย่างนี้อเมริกันกรุ๊ปผมเค้าลองชิมไปซะด้วย) งู โสม เป็นต้นซุ้มร้านนี้เค้ามี Product line เยอะกว่าร้านอื่นๆ เลยเป็นที่สนใจอีกทั้ง Location ในการตั้งร้านเค้านั้นก็อยู่ด้านหน้าสุดเลยครับมันก็เลย Convenience to customers อย่างเราๆ แต่ถ้าหากลองเข้าไปลึกๆ อีกหน่อยก็จะพบยาดองอีกแบบหนึ่งคือ ยาดองแบบมิกซ์ในขวดขนาดพกพา ที่ผมเจอก็เป็นงูผสมกับแมงป่องในขวดแบบหิ้วกลับบ้านได้สบายๆ



อีกมุมหนึ่งในย่านร้านค้าฝั่งลาว




เรือที่จอดอยู่ใกล้ท่าที่ Don Sao Island, Laos


ใช้เวลาที่นี่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลากลับเข้าฝั่งไทยเพื่อไปร้านอาหารที่ชื่อ Golden Iyara ที่นี่อาหารเป็นบุฟเฟ่ต์หัวละ 100 บาท (ทัวร์ออกให้) น้ำอัดลม 30 บาท (อันนี้ออกเอง) อาหารค่อนข้างเป็นแนวไทยๆ ซะส่วนใหญ่ที่เห็นแล้วสะดุดตาก็มี ข้าวพม่า ที่หน้าตาเหมือนข้าวหมกไก่ และก็ขนมครก (รู้ได้ไงเนี่ย ว่ากำลังอยากกินอยู่พอดี) ระหว่างรับประทานอาหารก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่ฝรั่งแต่ละคนที่มาเที่ยวกันนั้นก็จะมาภาคเหนือ, ภาคใต้ และไปปิดที่กรุงเทพกัน บางคนก็ไปต่อที่มาเลเซียหรือฟิลิปปินส์ เห็นแล้วก็อิจฉาเพราะลางาน หรือมาเที่ยวกันที่เป็นเดือนๆ ถ้าเป็นคนไทยมีหวังต้องลาออกก่อน...

จุดมุ่งหมายต่อไปของเราก็คือ อ. แม่สายที่เป็น “เหนือสุดแดนสยาม” ทำให้การมาเที่ยวของผมในครั้งนี้ได้สุด สุด ไปทั้งสูงสุดและเหนือสุดในคราเดียวกัน ที่แม่สายคล้ายๆ ตลาดเยาวราชแต่คึกคักน้อยกว่า จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยได้เดินหรอก เพราะสนใจข้ามไปฝั่งพม่ามากกว่า เสียค่าเข้า 30 บาทเอง ว่าแล้วก็ตะลุยเข้าไปอีก 1 ประเทศสำหรับวันนี้กันเล้ย ที่ฝั่งพม่าเข้าไปปุ๊ปก็เหมือนไปพัฒพงษ์เพราะคนเข้ามารุมตื้อให้ซื้อของ เรียกว่า Personal Selling นี้ใช้นั้นมี skill สูงมากๆ เพราะเหมือนพี่แกได้รับการเทรนมาอย่างดีกว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นเป็นใคร (ก็พวกฝรั่งไงครับ) ฉะนั้นผมกับไกด์แนนซี่ เลยเดินสบายบรื๋อ ตลาดฝั่งนี้ก็จะเป็น pirated cd, dvd กระเป๋าก๊อบเสียส่วนใหญ่ ของที่เป็นพื้นเมืองแทบจะไม่ค่อยมี หรือว่าของพื้นเมืองที่นี่จะกลายเป็นซีดีผีไปเสียแล้ว!



ตกบ่ายอากาศก็ยิ่งร้อนกว่าเดิม ไอ้เสื้อกันหนาวที่เพื่อนเคยยุให้ซื้อตอนแวะ outlet ที่พัทยาเพื่อใส่ไว้ไปเที่ยวต่างประเทศสงสัยคงจะยังไม่ได้เอามาใช้ ไกด์แนนซี่ก็พกมาแต่เธอเอาไปใส่กันแสงแดดที่ถาโถมเข้ามาแทน เดินได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับเข้ามาในฝั่งไทยแล้วล่ะครับเพราะทัวร์ในวันนี้นี่เป็นแบบ one day ทำให้เวลาในแต่ละจุดมีไม่มากนัก โดยรวมผมก็ถือว่าโอเคครับ เพราะถือว่ามาเหนือสุดของไทยแล้ว เหลือก็แต่ใต้สุดของไทยที่ยังไงก็ต้องขอไปคิดดูก่อน เพราะสถานการณ์มันไม่เอื้ออำนวยจริงๆ

จุดหมายสุดท้ายของทัวร์ในวันนี้ก็คือหมู่บ้านอาข่าหรือ Akha Village ทางเข้าไปชันมากๆ เพราะเค้าเดินทางกันด้วยเท้าในขณะที่เราเข้าไปด้วยรถตู้

ในหมู่บ้านจริงๆ ก็เหมือนจะไม่ใช่หรอกครับเรียกว่าศูนย์การค้าอาข่าดีกว่า เพราะเต็มไปด้วย Kiosk หรือร้านค้าแผงลอยเต็มไปหมด ของดีของเด่นของชนเผ่านี้ก็คือหมวกที่ประกอบไปด้วยเงิน ถ้าเป็นอาข่าที่รวยๆ เค้าจะใช้เงินจริงๆ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1 หมื่นบาทเลยทีเดียว เผ่าอาข่าในไทยจริงๆ แล้วเราอาจจะพบเห็นกันบ่อยๆ ก็คือคนที่แต่งกายแบบชาวเขาแล้วเอากบไม้ที่มีเสียงมาขายเราเวลาเดินนี่ล่ะ ชาวอาข่าในไทยมีถึงประมาณ 60,000 - 70,000 คน ในขณะที่พวกคอยาวมีเพียงแค่ 600-700 คนตามคำบอกเล่าของไกด์อีกกรุ๊ปหนึ่ง ฉะนั้นถ้าจะเข้าชม Long neck village จึงต้องเสียอีก 300 บาทครับ (ไฮโซนะเนี่ย)

ผมจึงเป็น 1 ใน 3 คนของกรุ๊ปที่ไม่ได้เข้าไปเพราะเห็นว่าราคาออกจะโหดไปซักหน่อย ก็เลยได้แต่ดูศูนย์การค้าไปโดยปริยาย โดยปกติแล้วบ้านของชาวอาข่านั้นจะมีประตูผี (Spirit gate) และตุ๊กตาแกะสลักทั้งนี้ก็เอาไว้เพื่อปกปักรักษาคนในครอบครัว และเค้าก็บอกว่าประตูผีนั้นห้ามแตะต้อง แต่ผมดันลืมถามว่าเพราะอะไร เดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่นานสองนาน กลุ่มที่เข้าไปใน Long neck village ก็ออกมา (ผมนึกเสียดายในใจว่าน่าจะฝากกล้องตัวเองให้กับไกด์แนนซี่ไปถ่ายให้หน่อย – แหม่ นึกออกช้าไปนิด)



แต่ผมก็ขอดูรูปจากคุณป้าลิดี้แล้วล่ะครับ ซี่งภายในนั้นดูจะเป็นการเข้าถึงวิถีชีวิตมากกว่าด้านนอก เพราะมีทั้งการทอผ้า และการทำห่วงที่คอ ผมเลยได้รู้วิธีการทำมาจนได้ สงสัยมาตั้งนานว่าเค้าใส่กันเข้าไปได้อย่างไร อธิบายง่ายๆ ก็คือเหมือนลวดสปริง แค่ไล่ขดไปเรื่อยๆ ตามคอ ไอ้เราก็นึกว่าเค้าเอาห่วงมายัดใส่คอ ฮ่า ฮ่า

กลับมาถึงในตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 3 ทุ่มตัดสินใจบอกไกด์แนนซี่ว่าลงที่ Night Bazaar ดีกว่าเพราะยังไม่ได้เดินเลยตั้งแต่มาถึง ของส่วนใหญ่ก็เป็นที่คุ้นเคย เหมือนที่เห็นในกรุงเทพนี่ล่ะครับ ก็เลยได้แต่เดินดู แล้วก็หาข้าวเย็นกิน ก่อนจะกลับไปโรงแรม เป็นอันว่าวันนี้คุ้มและเหนื่อยสุดๆ ไปเลย



#4 ก้าวหน้า...เก้าวัด

หลังจากที่ทราบผลสอบ Comprehensive exam จากเพื่อนเมื่อวานนี้ วันนี้แหละครับเป็นวันที่ผมจะต้องมาทำบุญแก้บน ทั้งหมด ๙ วัดด้วยกัน จริงๆ ก็เตรียมข้อมูลว่าจะไปวัดไหนบ้างมาก่อนหน้านี้จากเว็บของ ททท. แล้วล่ะครับ สงสัยจะเป็นลางบอกเหตุ อิอิ

วันนี้ตื่นสายกว่าทุกวัน เพราะวัดที่จะไปนั้นอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ทั้งหมด อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลกันมาก ต้องขอบคุณ ททท. จริงๆ ที่จัดทัวร์นี้ไว้ รายชื่อวัดทั้ง ๙ ก็เป็นมงคล ดังนี้

๑. วัดเชียงมั่น วัดนี้ถือเป็นวัดแรกของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ที่พญามังรายใช้เป็นหอนอนเมื่อครั้งสร้างเมืองเชียงใหม่ มีพระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของเมืองประดิษฐานอยู่ที่นี่
๒. วัดดวงดี เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองล้านนา มีลวดลายไม้แกะสลักที่สวยงาม เดิมชื่อวัดต้นหมากเหนือ
๓. วัดเจดีย์หลวง ซึ่งเป็นวัดที่มีเจดีย์ใหญ่ที่สุด มีศิลปะและสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของล้านนาโดยเฉพาะหน้าประตูวิหารมีบันไดนาคเลื้อยลงมาใช้หางกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตู ถือว่าเป็นนาคที่งามที่สุดของภาคเหนือ (สวยงามมากจริงๆ ครับ)
๔. วัดพระสิงห์ วัดสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ เพราะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ วัดนี้มีความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบล้านนาอันสูงค่ายิ่ง เช่น วิหารลายคำ จิตรกรรมฝาผนังในวิหารลายคำ หอไตร วิหารหลวง
๕. วัดหมื่นเงินกอง สร้างโดยหมื่นเงินกอง ซึ่งเป็นอำมาตย์ท่านหนึ่งในสมัยพญากือนา เป็นผู้ไปอาราธนาพระสุมนเถระที่กรุงสุโขทัยมาเผยแพร่ศาสนาในล้านนา ภายในมีวิหารและพระอุโบสถและสถาปัตยกรรมพื้นเมืองล้านนาที่มีลวดลายแกะสลักสวยงาม โดยเฉพาะพระเจดีย์ทรงปราสาท
๖. วัดดับภัย มีตำนานเล่าลือถึงการดับเภทภัยให้กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการป่วยไข้ หรือการดับเคราะห์ดวงชะตา ในวัดมีบ่อน้ำที่เรียกว่าบ่อดับภัย เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นำไปสรงน้ำพระพุทธมนต์หรือเพื่อสืบดวงชะตาได้
๗. วัดหม้อคำตวง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงด้านโหราศาสตร์ และเป็นที่ตั้งของสมาคมโหราศาสตร์ของจังหวัดครับ
๘. วัดลอยเคราะห์ มีอุโบสถ เจดีย์ และวิหารแบบพื้นเมือง มีความสวยงามตามศิลปะของชาวล้านนา โดยมีพระพุทธรูปปางถวายเนตร และพระเจ้าทันใจ
๙. วัดมงคล ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง วัดนี้เป็นศิลปะแบบพม่า-มอญ ภายในมีจิตรกรรมฝาหนังและพระเจ้าเก้าตื้อจำลอง
:::ขอบคุณข้อมูลจาก ททท.:::



การเดินผมเลือกที่จะเหมารถตุ๊กตุ๊ก ในราคาที่ต่อรองไว้ที่ 200 บ. ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเศษๆ ผมก็ทำบุญครบทุกวัดแล้วครับ ผมเลยให้พี่คนขับพาไปส่งที่เซ็นทรัลแอร์พอร์ต (จ่ายเพิ่มอีก 40 บ.) เพราะว่ายังไม่ทานกินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ไปถึงก็เลือกหาร้านที่มีปลั๊กก่อนเลย เพราะว่าจะมาอัพ blog นี่ล่ะครับ และบังเอิญว่าไอ้เจ้า laptop ผมมันดันไป detect เจอ wireless ก็เลยได้อัพรูปลง hi5 ก่อนเป็นอันดับแรก ฮ่า ฮ่า ถ้าใครไปก็ลองไปนั่งที่ Black Canyon นั่นล่ะครับ เล่นเน็ตฟรีแน่นอน

นั่งเล่นไปเรื่อยๆ ก็ใกล้ถึงเวลาเช็คอินที่แอร์พอร์ตแล้ว เลยจะต้องขอตัวไปก่อนล่ะ คิดถึงบ้านจังเลย...ไว้มีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนอีก จะมา review เรื่อยๆ แต่เดือนหน้าจะเริ่มงานใหม่แล้ว วันลายาวๆ ให้ไปเที่ยวคงยังไม่มี T__T



อาหารก่อนกลับ-สนามบินเชียงใหม่-bloggang-กระเป๋าใบใหม่-ถึงกรุงเทพแล้ว


Tips:
- ควรเตรียมเศษเหรียญ หรือแบ่งย่อยไว้เยอะๆ เพราะต้องจ่ายค่าห้องน้ำ ค่าเข้าชม และทำบุญหลายที่ (ถ้าไป)
- ลองแนะนำตัวเองว่าจะเอาประสบการณ์ที่เที่ยวไปลงในเว็บสิครับ จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ อิอิ




 

Create Date : 26 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 16:57:14 น.
Counter : 703 Pageviews.  

1  2  

mightylove
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add mightylove's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.