ท่องไปในอิตาลี่ ตอน ASSISI เนินเขาแห่งศรัทธา
ท่องไปในอิตาลี่ ตอน ASSISI เนินเขาแห่งศรัทธา

ไปอิตาลี่คราวนี้ มีเรื่องให้ประทับใจมากมาย Assisi ก็เป็นที่หนึ่งที่ประทับใจมาก การที่เกิดความคิดในการไปที่นี่ ก็เพราะว่าเห็นอาจารย์ที่เรานับถือท่านหนึ่ง เดินทางไปที่นี่หลายครั้ง และบางครั้งบางคราก็พากรุ๊ปไปดูงาน .... ดังนั้นเพื่อให้หายสงสัยก็เลยคิดว่าจะจัดไปเองซะเลย เพื่อให้หายอยากรู้
จะหาดูข้อมูล Assisi ภาษาไทย ก็มีไม่มาก ..ไม่เหมือนกับฟลอเร้นซ์ โรม หรือเวนิส ด้วยไม่ใช่เมืองที่อัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวแบบนั้น ดังนั้นก็ตามระเบียบ คือดูในเว็บต่างประเทศเอาก็มีข้อมูลบ้างพอสมควร เพราะชาวคริสต์ นิกายฟรังซิสกัน ก็มักจะไปแสวงบุญกันมากมายที่นี่ เราก็ไปเช่นกัน ด้วยความเป็นคนชอบวัดวาอาราม โบสถ์วิหาร อะไรที่เป็นศาสนศิลป และความเชื่อความศรัทธา สิ่งที่มันลึกล้ำอยู่ในจิตใจ เป็นสิ่งที่สัมผัสได้แต่อธิบายไม่ได้




อีกประมาณ 2 เดือนจะเดินทางไปอิตาลี่ เราก็แพลนเรื่องที่พักและการเดินทาง จองที่พักน่ะไม่เท่าไร ก็ดูๆและเดาๆเอาจากbooking.com น่ะแหละแล้วแต่ดวงว่าที่พักมันจะหน้าตาแบบในเว็บมั้ย พริ้นแผนที่ให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ แต่พอมาถึงจองตั๋วรถไฟนี่สิ ต้องมึนงงอยู่ 2 วัน คือตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไรดี ด้วยไม่คิดว่ามันจะหลายต่อ ... เพราะไอ้การแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นรถไฟ 3 ต่อแถมรถเมล์และแถมเดิน ไม่รวมการเดินทางมาสถานีรถไฟนี่ มันไม่ใช่เล่นๆนา....ใครเคยหิ้วกระเป๋ายักษ์ขึ้นรถด่วนทรานอิตาเลีย หรือยุโรปคงรู้ เพราะรถมันสูง บันไดมันชัน(ด้วยความรู้สึกตอนแบกกระเป๋า) ทำเอาแขนเคล็ดมาหลายครั้งแล้ว .... เอาไงดีละวาทีนี้



ดูไปดูมาก็ต้องเอาเพราะความอยากไป อันเดรบอกว่า ไม่มีทางใดเลยที่จะไปถึงได้สะดวกกว่านี้ ถ้าไม่ใช้รถส่วนตัวก็ต้องแบบนี้แหละ เอาก็เอา เที่ยวรถไฟจะไป Assisi จากบ้านอันเดร Vicenza ใช้เวลา 5 ชั่วโมงกว่าๆ เราเลือกเที่ยวที่ถูกที่สุดและเร็วที่สุดคือไปถึงไม่เกิน 11 โมง ก็จะเป็นดังนี้

จาก Vicenza (Ore: 05:08) ถึง Padova (Ore: 05:33)
จาก Padova (Ore: 05:55) ถึง Firenze S. M. Novella (Ore: 07:30)
จาก Firenze S. M. Novella (Ore: 08:02) ถึง Assisi (Ore: 10:40)
เป็นการเดินทาง 3 แคว้นจาก Veneto – Tuscany – Umbria

พอถึงวันเดินทาง ก็ตื่นตี 3 กว่าๆ ออกจากบ้านตี 4 ให้อันเดรมาส่งที่สถานีรถไฟ เดินทางจากบ้านมาสถานีประมาณ 40 นาที พอมาถึงรถไฟเที่ยวเช้าสุดของวิเชนซ่าก็จอดรออยู่แล้วค่อยดีหน่อย แล้วก็นั่นละคะ ระหกระเหินกันไปตามทางเที่ยวรถไฟดังกล่าว 10โมง40 เป๊ะ เราก็มาเด๋อด๋าอยู่ที่ชานชลาสถานี Assisi แล้ว
ต่อไปคือตามหารถเมล์ขึ้นเขา มีป้ายรถเมล์ป้ายเดียว ที่ขายตั๋วก็เดินตามๆคนที่นี่ไปซื้อ มันอยู่ในร้านขายของในสถานี ซื้อตั๋วไป-กลับเลย จะได้หมดเรื่อง เสร็จก็มายืนรอ คาดว่าทุกคนต้องขึ้นเขาแน่ พอรถมาถึงก็ตามๆเค้าไปอีก ถามคนขับนิดนึงว่าไป piazza san petro มั้ย เพราะโรงแรมที่เราจะพักอยู่พิกัดนั้น ต้องเอากระเป๋าไปเก็บและเช็คอินให้เรียบร้อยก่อน แกก็บอกมาว่าผ่าน...รีบๆขึ้นมาซะที ตรูจะออกรถแล้ว





พอถึง piazza san petro ไม่มีคนลงแต่เราลงเพราะคนคงไปลงบนจตุรัสที่โบสถ์กัน จะถามว่ารู้มั้ยว่านี่คือถึงแล้ว บอกเลยว่าไม่รู้ ใช้เซ้นท์เอา เพราะมันดูเป็นวงเวียนเล็กๆคล้ายๆกับในแผนที่ของโรงแรม ก็ลงมันไว้ก่อน แล้วเดินถามเอา มีคุณตำรวจหญิงอยู่ตรงป้อมซุ้มประตู เดินเข้าไปถามว่า Hotel Berti อยู่ตรงไหน ต้องออกเสียงรอออ...เรือว่าแบรรรติชัดๆด้วยนะไม่งั้นนางจะไม่เข้าใจ เดินไปนิดเดียวก็ถึงโรงแรมเช็คอินเรียบร้อย เก็บของเข้าที่ก็ได้เวลาออกไปหาอะไรกินพอดี




โรงแรมนี้โลเคชั่นดีทีเดียว เพราะว่าเดินขึ้นเนินไปไม่นานก็ถึง Basilica of San Francesco ระหว่างทางก็มีร้านรวงน่ารักๆขายของที่ระลึกให้ดูคลายอาการปวดน่องจากการเดินขึ้นเนิน อากาศเย็นๆและสดชื่นเพราะอยู่บนเขา เป็นช่วงเวลาที่ดีมากในการเดินทางเพราะไม่ร้อนไม่หนาวและอากาศแจ่มใสมากๆ โบสถ์ซาน ฟรานเชสโก้เป็นที่แรกที่เราขึ้นมาถึง ตรงนี้เป็นจัตุรัสใหญ่เช่นเดียวกันพอเดินเข้าซุ้มประตูไปก็เจอภูมิสถาปัตย์ที่ดึงสายตาไปยังตัวบาซิลิก้า Basilica of San Francesco d'Assisi นี้เป็นโบสถ์กอธิคแรกของอิตาลี่ ลักษณะภายนอกต่างจากมิลานดูโอโม่มาก เพราะเป็นกอธิคคนละสมัยกัน แต่เราชอบมากกว่า ด้วยความสงบนิ่ง มั่นคง และบรรยากาศรอบๆที่ให้ความรู้สึกถึงศาสนสถาน แม้จะมีนักท่องเที่ยวมากมายในช่วงบ่าย แต่ความขรึม คุมโทนของบรรยากาศรอบๆก็ยังคงอยู่....ภายในมีถึงสองชั้นคือโบสถ์บนและโบสถ์ล่าง เราก็เพิ่งจะได้เห็นที่นี่แหละ ที่สำคัญมีภาพเขียนสุดงดงามของ Giotto บิดาแห่งจิตรกรรมยุคใหม่ เกี่ยวกับ ซานฟราสเชสโก้ จ๊อตโต้เป็นศิลปินคนโปรดของเราที่ฝากฝีมือไว้ที่โบสถ์เล็กๆในปาโดว่าเช่นกัน เราว่าโบสถ์เล็กนั้นเหมือนสวรรค์ด้วยดวงดาวนับร้อยแล้ว ที่นี่ Assisiยิ่งงดงามกว่า และแพรวพราวมากกว่า เป็นความรู้สึกทีไม่สามารถอธิบายได้ ต้องมาสัมผัสเอง แค่เหมือนน้ำตาจะไหล ... ฉันรักคุณจังจ๊อตโต




การเดินเล่นในเมืองก็ไม่ยากนัก แค่อาศัยความแข็งแรงของปอดเล็กน้อยและกล้ามเนื้อขา โบสถ์หลายๆโบสถ์ที่นี่มีให้เดินชม ส่วนมากเป็นโบสถ์เรียบง่าย สมถะ ไม่หรูหรา เหมือนความเชื่อของนิกายฟรานซิสกันที่เน้นความยากจน ไม่หรูหราฟุ่มเฟือย .... เดินไปเรื่อยๆตามทางขึ้นเนินลงเนิน หลงบ้าง แต่ก็มีป้ายบอกทางค่ะ บางทีหลงๆอยู่ก็เดินวนกลับมาถึง บาซิลิก้าซานฟรานเชสโก้ซะอย่างนั้นแต่เป็นด้านหลัง เอาใหม่เดินวนอีกไปอีกทางก็จะเจอโบสถ์อื่นๆหลายๆโบสถ์ได้ไม่ยาก หลงก็ซื้อเจลาโต้กิน ซื้อขนมปัง ซื้อซาลามี่กิน ก็มีความสุขดี ไม่ต้องเร่งรีบเป็นสถานที่ๆดีจริงๆ ไม่วุ่นวาย





**โบสถ์ที่สำคัญก็มี**
Santa Maria Maggiore
Cathedral of San Rufino
Basilica of Santa Chiara
Basilica of Santa Maria degli Angeli




และอีกสามสี่โบสถ์ หลายๆเนินให้เดินขึ้นลง กับอีกหลายๆจัตุรัส ที่เมื่อยก็นั่งพักดูนก ดูบรรยากาศ ดูผู้คน พอหายเมื่อยก็เดินต่อ โรงแรม ร้านรวง บ้านของผู้คนที่นี่ก็ประดับต้นไม้ ดอกไม้น่าเพลินตาเพลินใจ.... ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส พระและแม่ชีเดินกันขวักไขว่ ได้บรรยากาศดีจัง แม้นักท่องเที่ยวด้วยกันเองก็ยิ้มแย้มถามทาง-บอกทางให้กัน เป็นที่ๆเรามีความสุขมากๆ....บรรยากาศกลางคืนที่นี่ก็สวยสงบตรึงใจ การจัดแสงของโบสถ์ต่างๆก็งดงาม ความปลอดภัยก็เต็มร้อยเพราะทหารเดินตรวจตรา เปลี่ยนกะกันตลอดเวลา แต่ก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงเป็นทหาร ไม่ใช่carabinieri เหมือนทั่วๆไป อันนี้ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เอาเป็นว่าปลอดภัยละกัน ทหารหญิงก็มีตัวสูงใหญ่มาก ส่วนทหารชายไม่ต้องพูดถึง สูงใหญ่และหล่อล่ำกันทุกคน ประทับใจทหารที่นี่อีก




สองคืนสามวันที่นี่ดูเหมือนจะไม่พอสำหรับเรา สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วอาจจะ พอละ มาดูแล้วมาเห็นแล้ว แต่...คนเดินทางอย่างเรายังไม่พอในการซึมซับอากาศดีๆ บรรยากาศสงบๆ ชีวิตเบาๆเรียบง่าย ผู้คน บ้านเรือน และอีกหลากหลายจุดที่ต้องใช้เวลาในการดู ยิ่งภาพจิตรกรรมของ จ๊อตโต้ กับโบสถ์ซานฟรานเชสโก้แล้ว สี่ครั้งที่เข้าไปก็ไม่พอ และยิ่งเหมือนทำให้อยากเดินเข้าไปดูตลอดเวลา (เข้าฟรีนะคะที่นี่) นี่มันคือพลังของงานศิลปะจริงๆ สถาปัตยกรรม ประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่ ที่มีผลทางจิตใจกับผู้คน ที่ทำให้เรามีความสุข และมีได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง ตอนนี้เราเข้าใจและรู้แล้วว่าเหตุใด อาจารย์ท่านนั้นถึงเรียกที่นี่ว่า สวรรค์ และกลับมาที่นี่บ่อยครั้ง เราก็เช่นกัน ณวันนี้ กับอีกหลายๆครั้งที่เราจะมาที่นี่ ASSISI




*** ปิดท้ายด้วย Basilica of San Francesco ยามค่ำคืน งดงาม เงียบสงบ เหมือนดังใจเรายามนี้ ***



Create Date : 22 ธันวาคม 2558
Last Update : 22 ธันวาคม 2558 16:46:07 น.
Counter : 790 Pageviews.

0 comment
ท่องไปในอิตาลี่ ตอน ซาน จิมิญาโน่ ป้อมปราการแห่งทัสคานี ( San Gimignano Of Tuscany )
เมืองน่ารักแห่งแคว้นทัสคานี่ของอิตาลี่ เป็นเมืองหนึ่งในหลายร้อยเมืองที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของตึกรามบ้านช่อง และสถาปัตยกรรมแบบยุคกลาง (Medieval Town) ได้อย่างสมบูรณ์มาก เหมือนดังว่าเราหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่งอย่างนั้นเลยเชียว
ในตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้คิดว่าเมืองอะไรชื่อเรียกยากจัง San Gimignano หรือซาน จิ มิญาโน่ เราไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อนไม่เคยรู้ว่ามีเมืองนี้อยู่ใกล้ๆกับเซียน่าที่ไปเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ได้เห็นในเฟสบุค ITALY ที่มักจะมีสถานที่สวยๆมาหลอกล่อให้เราอยากไปเยือนเสมอๆ ได้เห็นภาพก่อนจะเดินทางไม่นาน...แล้วก็นึกเลยเดี๋ยวนั้นว่า ตรูจะต้องไปให้ได้

มาอ่านข้อมูลของคนที่เคยไปเมืองนี้ มีน้อยและหายากมาก จะเดินทางอยู่ไม่กี่วันแล้ว ไปหาข้อมูลเอาดาบหน้าละกัน มันคงไม่ยากอะไรนักหรอก อย่างดีก็ซื้อตั๋วรถไฟไปเหมือนเมืองอื่นๆนั่นแหละ จากนั้นก็วุ่นวายเรื่องเก็บข้าวของ จัดการเรื่องร้าน ของฝากคนที่อิตาลี่และต่างๆนาๆไม่ได้ใส่ใจอ่านข้อมูลอะไรอีก



ได้ฤกษ์วันหนีจากบ้านอันเดรมาเที่ยวฟลอเร้นซ์คนเดียว พอจับรถไฟมาได้ถึงฟลอเร้นซ์ประมาณ11โมงเช้าลากกระเป๋ามาเช็คอินโรงแรมประจำที่เคยมาพักก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร หาเพื่อนคือคริสเตียนเจ้าของโรงแรมไม่เจอ เจอคุณพ่อก็ถามคุณพ่อนี่ละ ว่าจะไปยังไงเมืองซาน จิมิญาโน่เนี่ยคะ คุณพ่อก็อธิบายว่าจะไปรถไฟหรือรถบัสก็ได้ ไปลงเซียน่าและนั่งรถบัสไปต่อ เราก็สงสัยว่าไม่มีไดเร็คเทรนหรือบัสเหรอคะ แกบอกไม่มี เวรละ นี่มันสิบเอ็ดโมงละแล้วตรูจะไปถึงกี่โมง พอบอกขอบคุณแกได้ก็รีบบึ่งมาสถานีรถไฟเลย
ถามคุณหญิงคนขายตั๋วรถไฟ เธอบอกว่าให้นั่งรถไปเซียน่าแล้วไปต่อบัส เหมือนคุณลุงที่โรงแรมเป๊ะ เราก็ไม่เอา....พยายามสู้ ไปบัสก็ได้ เผื่อมีรถบัสถึงเลยไม่อยากไปต่อเสียเวลา วิ่งไปที่สถานีรถบัสที่คุณลุงบอกว่าอยู่หลังสถานีรถไฟ หาเท่าไรๆก็หาไม่เจอ.....เจอคุณตำรวจแถวๆนั้นเลยปรี่เข้าไปถามว่าไอ้สถานีรถบัสนี่มันอยู่ตรงไหน ..... โน่น อยู่ในซอยลึกไปอีก ตรงข้ามโบสถ์เล็กๆ เราก็วิ่งไปมาเหมือนหนูเพราะมันเที่ยงกว่าละ เสียเวลามาเยอะแล้ว แต่ต้องไปให้ได้วันนี้



สรุป...น้องชายคนขายตั๋วก็บอก ยังไงพี่ก็ต้องไปต่อรถอีกสายไม่มีรถบัสถึงเมืองนี้ง่ายๆนะครับแถมส่งตารางรถบัสน่ามึนงงประกอบภาษาอิตาเลี่ยน และแถมวงๆไว้ให้ว่ามีเที่ยวบ่ายโมงจะไปมั้ย .....ค่ะ...ไปก็ไปค่ะ....ไปถึงบ่ายสาม อะไรมันจะนานขนาด ระยะทางไม่ได้ไกลเลย แล้วก็เอาตั๋วมาพร้อมนั่งดูตารางรถบนบิลบอร์ดดิจิตอลอย่างตาลาย พอถึงเวลาตารางดิจิตอลนั้นก็จะบอกหมายเลขรถพร้อมด้วยช่องเข้าจอด ตอนนี้ละก็ดูให้ดีๆ มิฉะนั้นจะหลงไปเมืองอื่นได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่มีกระเป๋ากระปี๋คอยบอกเหมือนรถทัวร์บ้านเรา
รถบัสไม่แน่น นั่งสบายพอสมควรแถมไม่หนาว ลืมบอกไปว่าวันนั้นฝนตกตอนเช้าที่มาจากฟลอเร้นซ์อุณหภูมิลดฮวบเหลือแค่ 3 องศา ทั้งหมวกทั้งเสื้อและผ้าพันคอก็ยังหนาวอยู่ .... นั่งไม่นานก็ออกนอกเมืองนั่งมองไรองุ่นไม่นาน .... อุ่นๆแถมเพลียอีกก็หลับไปหน่อยหนึ่ง ตื่นมารถบัสก็เข้ามาในเมืองแล้ว.........ใจก็ตื่นเต้นอีกละว่าตรูจะลงตรงไหนและขึ้นรถบัสคันไหน
รถเริ่มจอดเป็นจุดๆเพราะมีคนลง เราก็เดินไปถามพี่คนขับว่าจะลงได้หรือยังคะต่อรถไปซานจิ มิญาโน่ แกก็รัวภาษาอิตาเลี่ยนมาประมาณว่าป้ายหน้าเป็นป้ายสถานีรถไฟอะไรประมาณนี้ ไม่นานก็ถึงป้ายสถานีรถไฟชื่อน่ารักและน่าจดจำอย่างมาก ป๊อกจิ-บอนสิ Poggibonsi พอลงรถก็เคว้งคว้างอีกทีนี้ แล้วตรูจะขึ้นรถไปซานจิตรงไหน คนที่ลงก็แตกตัวไปกันหมดแล้ว แปลว่าเค้าไม่ได้ไปกับเรา หนาวก็หนาวข้างนอกแบบนี้ เหลือบไปเห็นป้ายจอดิจิตอลอีกละ บอกเวลารถที่จะไปแต่ไม่เห็นบอกว่ารถจอดตรงไหน คือมันเป็นที่กว้างๆ มีรถบัสจอดเป็นระยะ เอาละลองเดินดู.....เดินรอบหนึ่งไม่มีรถหมายเลขตรงกับที่ไปซานจิซักคัน กลับมามองป้ายอีก เค้าบอก area 1 อ้าวก็ตรงนี้ละแอเรีย1....รถก็ไม่เห็นมีจอดแต่ไม่เดินไปไหนละ ยืนเด่นรออยู่ตรงนั้นคนเดียวแม้จะหนาวจนมือแข็ง ยังไม่ปวดหัวเท่าไรเพราะมีหมวกแต่จมูกเย็นเจี๊ยบ รอประมาณ 10 นาทีใกล้แข็งละ รถสวรรค์คันนั้นก็มาถึง เฮ้อ พอรถมาถึงผู้คนในสถานีที่หลบอุ่นๆอยู่ก็มาขึ้นกันจนเกือบเต็มรถ เค้าคงว่าอินี่บ้ายืนอยู่ได้หนาวๆ



พอรถวิ่งไปได้ครึ่งทางก็รู้ว่าบัสนี้คนขับต้องชำนาญทางทีเดียว มันเป็นทางขึ้นเขา โค้งหักศอก และมีเหวลึกๆเขียวขจีเป็นระยะ คือเป็นแบบทางขึ้นดอยนั่นเอง อ้อ...เมืองนี้มันอยู่บนเขารถต้องวิ่งไปช้าๆระยะทางไม่ไกลถึงใช้เวลานานนัก ............. พอใกล้ถึงน้ำตาแทบไหล เมืองป้อมปราการที่เห็นอยู่ลิบๆนั่นเหมือนกับในนิยาย โอบล้อมด้วยขุนเขาที่งดงามแห่งทัสคานี ป้อมสูงมากๆจนเห็นได้ในระยะไกล.... เริ่มหลงรักเมืองนี้ซะแล้ว พอใกล้ถึงเมฆฝนมาเลยแล้วฝนก็เริ่มตก ไม่มากแต่ก็ทุลักทุเลพอสมควร อะไรมันจะผจญภัยขนาดนี้ หนาวอีกแล้วตรูต้องลงจากรถแน่ๆ เพราะถึงแล้ว เอาหมวกใส่แถมด้วยฮู้ดกันฝนทับ วิ่งฝ่าจนมาถึงประตูเมือง พอถึงฝนก็หยุดซะงั้น คนที่ขึ้นรถบัสมาด้วยกันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อากาศวันนี้ประหลาดเหลือเกิน ..............แต่ก็ดีละ จะได้ถ่ายรูปท้องฟ้าใสๆบ้าง เบื่อฝนจริง



เข้ามาในเมืองนี้ประทับใจมากๆ เค้ายังคงความสมบูรณ์ของเมืองไว้ได้ 99 % เลยนะ เมืองและร้านต่างๆที่แฝงตัวอยู่ไม่ทำให้เมืองเสียเลย น่ารักมากๆ ความสำคัญของซานจีมิญญาโนเป็นเมืองที่ยังรักษาลักษณะเมืองในยุคกลาง (Medieval)ไว้อย่างพร้อมมูลโดยเฉพาะหอคอยซึ่งจะมองเห็นได้แต่ใกล .......เมืองซานจีมิญญาโนได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990)

อธิบายไปก็อาจจะไม่เห็นภาพเท่าไร ดูรูปเอานะคะ เราเดินเที่ยวชมเมืองไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน แดดเริ่มออก อากาศเริ่มดีขึ้น ร้านค้าต่างๆน่าแวะชมก็มีหลากหลายทั้งเซรามิคสวยๆ เครื่องหนัง งานไม้ อาหารแห้งพวกเส้นพาสต้า ซาลามี่ เครื่องเทศต่างๆ ร้านเบเกอรี่ และที่สำคัญคนเดินสวนทางเราลงมาทุกคนต้องถือคือเจลาโต้นั่นเอง เง้อ ..... ทุกคนจริงๆ เค้าจะกินบ้าง รีบเดินขึ้นเนินมาโดยเร็ว เมืองจะเป็นเนินขึ้นๆลงๆแบบนี้ละคะ ไม่นานก็เจอร้านมีสองร้านใกล้ๆกัน เราก็เลือกร้านหนึ่ง ทั้งสองร้านเขียนว่าเป็นที่สุด เวิลดิ์แชมป์โลกไอศครีมอะไรประมาณนี้ คนแน่นร้านมากและเจลาโต้เหลือน้อยแล้ว เข้าไปรุมๆต่อคิวกะเค้าบ้างจนได้มา ตามรูป ก็อร่อยเข้มข้นจริงๆ จากนั้นก็เดินเที่ยวต่อ มีเวลาเดินถึงหกโมงซึ่งเราจะกลับรถเที่ยวนั้นถึงฟลอเร้นซ์ไม่ดึกเกินไป



บ้านเมืองตึกรามล้วนเป็นสีเอิร์ธโทนแนวเดียวกันไปหมด บางตึกมีรากเถาวัลย์ขึ้นแทรก ดูคลาสสิคและลึกลับไปในคราวเดียวกัน เหมือนมาเดินอยู่อีกยุคหนึ่งหรือไม่ก็ในเทพนิยายที่จินตนาการได้ถึงเจ้าหญิงบนหอคอย ป้อมและหอคอยเค้าสูงมากจริงๆ เพื่อเอาไว้เป็นปราการดูเมืองได้รอบด้าน ซอกซอยต่างๆล้วนชวนให้หลงไหล อยากอยู่เมืองนี้นานๆ มันเหมือนกับว่าหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ทำให้เราลืมความวุ่นวาย ปลดปล่อยสมองและร่างกายให้เบา ไปกับจินตนาการ

ห้าโมงกว่าๆ เริ่มมืดฟ้ามัวดินมาอีกละ เฮ้อ เอาไงดีละถ้าตกหนักต้องฝ่าไปป้ายรถเมล์อีก.....นึกแล้วก็กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ซอกซอยที่ชวนให้หลงไหลก็กลับเป็นชวนให้หลง เพราะถนน บ้าน ตึกต่างๆล้วนเหมือนๆกันไปหมด พูดเลยว่าคือเขาวงกฎตึกสีอิฐนั่นเอง เอาละวา....เริ่มเดินหาทางออกโดยนึกย้อนกลับไปเหมือนแฮนเซลและเกรเทลโรยเศษขนมปัง แต่เราไม่ได้โรยอะไร ใช้ทิศทางจากร้านต่างๆที่ผ่านมา ค่อยๆย้อนกลับไปเส้นทางเดิม คราวหน้าจะเอาเข็มทิศมาด้วย ใครจะคิดว่ามาเดินป่าก็ช่าง

สุดท้ายก็มาจนเกือบถึงหน้าประตูเมืองจนได้ เริ่มหิวอีกและอยากลองขนมพื้นบ้านเซียน่า มองเห็นร้านเบเกอรี่เลยเดินเข้าไป มันมีขนมเค้กของ Siena อยู่จริงๆ มีหลายแบบด้วย มีทั้งแบบนิ่มและแข็ง เรียกว่า Panforte (Di Siena) เราเลือกแบบแข็งจะได้นั่งแทะในรถไปเรื่อยๆ เป็นรสชินนามอนหรือ อบเชย หอมมากๆ ราคาเกือบสองยูโร....ชิ้นเล็กๆสามเหลี่ยมแบบในรูปน่ะค่ะ



ซื้อเสร็จก็เดินออกมาจากประตูเมือง มานั่งรอหนาวสั่นอยู่ที่ป้ายรถบัส กว่ารถจะมาอีกเกือบยี่สิบนาที คิดว่าถ้าเรานั่งแข็งตายอยู่นี่จะมาใครมาเก็บมั้ย เพราะมันหนาวมากจนทำให้คิดแบบนั้น แก้หนาวด้วยการจ๊อกกิ้งอยู่กับที่และแทะแพนฟอร์เต้ไปพลางจนรถบัสมา อย่างไรก็ตามแม้อากาศจะแย่ขนาดนั้น การเดินทางไม่สะดวก แต่เราก็ยังคงประทับใจในการมาซานจิ มิญาโน่มาก....ด้วยความน่ารักของเมือง ร้านรวง ขนม ผู้คน รถบัสออกแล้วเพื่อกลับไปป๊อกจิ บอนสิ.....ในใจพลางคิดว่าฉันจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง.

-----------------*****************************-----------------



Create Date : 11 ธันวาคม 2558
Last Update : 11 ธันวาคม 2558 15:27:54 น.
Counter : 594 Pageviews.

0 comment
ตามรอยแดนบราวน์ ณ อินแฟรโน
 ***บันทึกการเดินทางสนุกสนานของเราเอง เก็บไว้อ่านเล่น ***

Firenze 29 / 5 / 2015  ตามรอยแดนบราวน์ ณ อินแฟรโน

                             สถานที่เดียวในโลกที่เรียกหาเราตลอดเวลา ... เพื่อนสนิทเราคงเห็นคำนี้บ่อยๆ นั่นคือจุดหมาย Dream Destination ของเราตลอดเวลา ฟิเรนเซ่ หรือฟลอเร้นซ์  เมืองที่ทั้งเมืองเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ไม่ว่าจะเดินไปไหนล้วนมีร่องรอยของประวัติศาสตร์ศิลป์  และผลงานของศิลปินหลากหลายยุคสมัย โดยเฉพาะเรเนซองค์  อบอวลอยู่ทั่วไป

                             หากจะโฟกัสที่เมืองเฉยๆก็เอาไป 100 คะแนนแล้ว แต่แถมคะแนนให้อีกที่ความน่ารักของผู้คน ชาวฟลอเรนติน่า ที่เต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรีกับนักท่องเที่ยว เพราะรายได้หลักของเค้าคือนักท่องเที่ยว แต่เราคิดว่านอกจากสาเหตุนั้นแล้ว ชาวฟลอเร้นซ์เป็นคนที่มีความสุข มองเห็นโลกสวยงาม ทั้งในเมืองและเนินเขา  บ้านเรือนแถบทัสคานี่ที่งดงาม  คงหาสถานที่ไหนในโลกนี้เหมือนที่นี่คงจะยาก

                             บรรยายมาตั้งนานยังไม่ได้เริ่มเรื่องตามรอยแดนบราวด์เลย  แต่ก็นะ แค่อยากบอกว่าที่นี่ มีอะไรให้ค้นหาได้ตลอดเวลา  สามครั้งในฟลอเร้นซ์ได้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ครั้งที่สี่เราก็ได้เรื่องตลบกลับไปตามสถานที่เหล่านั้น  อีกครั้ง  เพราะสาเหตุที่เราเป็นแฟนอีตาบราวด์  พอหนังสือเล่มใหม่ออก INFERNO เราก็รีบหามาอ่านโดยทันใด พอเริ่มอ่านเท่านั้นแหละภาพต่างๆในเมโมรี่ก็ผุดออกมาเป็นฉากๆ ด้วยเพราะบราวด์เองก็เป็นคนชอบประวัติศาสตร์ศิลปะและงานศิลปะ สถานที่ต่างๆในฟลอเร้นซ์ก็เลยยกทัพกันมาอยู่ใน INFERNO ... งั้นเอาละ ปีนี้เราจะไปฟลอเร้นซ์เพื่อตามรอยพี่ท่าน





                            เรื่มฉากแรกอินแฟร์โน  อีตาโรเบิร์ต แลงดอน ผู้ดำเนินเรื่องเกิดบาดเจ็บและความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่ฟลอเร้นซ์ได้อย่างไร แต่หอคอยสูงใหญ่กลางเมืองฟลอเร้นซ์ก็ทำให้เค้าจำได้ เพราะว่าหอสูงของ Palazzo vecchio นั้นมีแห่งเดียวในโลกคือที่นี่ ภายในปาลาซโซ่ มีห้องแห่งห้าร้อย  ห้องที่เคยเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อบรรจุคน 500 คนในการประชุมสภาก็อยู่ที่นี่และอยู่ในเรื่องนี้เช่นกัน

                              วันนี้กลาง Piazza Della Signoria เหมือนเช่นเคย เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เหมาะอย่างยิ่งที่เป็นที่หลบซ่อนจากการตามหา  เดินจากปิอัซซ่านี้ไป คือหอศิลปะ Uffici  หอศิลปะที่มีงานศิลปะมากมายและหลากหลายพอๆกับ ลูฟ ในฝรั่งเศส  เข้าไปดูแล้ววันเต็มๆก็ดูไม่หมด แต่อาจเกิดอาการเอียน งานศิลปะ ได้นะเตือนกันไว้  จากนั้นเราเดินผ่ากลางหอศิลปะไป  จะพบแม่น้ำอาร์โน  เดินเลี้ยวขวาย้อนไปหน่อยจะเจอสะพานทางด้านซ้ายที่มีคนรุมเยอะๆ นักท่องเที่ยวเป็นแสนๆคนที่มาทำสะพาน Vecchio ให้ทรุด ที่นี่เป็นที่ดีสำหรับหลบซ่อนตัวกลมกลืนไปกับนักท่องเที่ยวเช่นกัน  ที่จริงด้านบนมีทางเชื่อมที่ต่อไปถึง Palazzo Pitti ซึ่งแลงดอน ใช้หลบหนี แต่ทางนี้ปิดไว้เหมือนเป็นทางลับอะไรสักอย่าง  ว่าแต่มันไม่ลับแล้วสิ  เพราะตอนนี้คนที่อ่านอินแฟรโน ก็รู้กันหมดแล้วทุกคน







                             เดินไปจนสุดสะพานและเดินตรงไปเรื่อยๆอีกหน่อยทางด้านซ้ายมือเราจะมองเห็นทางลาดกว้างใหญ่ที่นำสายตาขึ้นไปถึงอาคารหนาหนักด้วยอิฐก้อนโตๆ ปาลาสโซ่ปิติ หรือวังปิติที่เป็นวังอันแข็งแรงมั่นคงของตระกูลเมดิชินั่นเอง ในวังนี้มีสวนขนาดใหญ่ที่เป็นสวนของตระกูลนี้เอาไว้เดินเล่นกัน แค่เบาๆ 111 เอเคอร์เท่านั้น แล้วเราก็พุ่งตรงไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าในสวนนี้ทันที คิดว่าเดินเล่นเบาๆตามรอยไป ที่ไหนได้ ต้องเดินขึ้นไปบนเนิน บันได ปีนทางลาดต่างๆกว่าจะไปถึงตัวสวนจุดบนสุด ทำเอาเหนื่อยแฮ่ก

โรเบิร์ต แลงดอนวิ่งพานางเอกเข้ามาหลบในนี้  วิ่งหลบโดรน(คอปเตอร์ติดตาม) ไปมา ขึ้นๆลงๆ เข้าไปในเขาวงกตต้นไม้ อุโมงค์ต้นโอ๊ค คงจะเหนื่อยไม่ใช่เล่น  แต่ที่นี่เป็นสวนที่ยอดเยี่ยมมากๆ ไม่แปลกใจเลยที่ตำแหน่งของประติมากรรมที่นี่ จะจัดวางอย่างลงตัวอย่างยิ่ง ก็เป็นสวนเก่าแก่ของตระกูลเมดิ ซี่แห่งฟลอเร้นซ์ ที่มีสถาปนิก Bartolomeo Ammanati , นักภูมิสถาปัตย์ Giorgio Vasari (ที่โด่งดังในเรื่อง Inferno) และ ประติมากร Bernardo Buontalenti ทั้ง 3 เทพที่รังสรรค์งานศิลปอันงดงามบนผืนผ้าใบ 45,000 ตารางเมตร นี่ขึ้นมา ใครมาถึงฟลอเร้นซ์ อย่าพลาดเช่นกัน






                                  ออกจากสวนโบโบลิ  กลับไปยังปิอัสซ่าดูโอโม่อีก เพื่อเข้าหอพิธีเจิมน้ำมนต์ Florence Baptistery ...ตอนนี้แลงดอนเข้าไปเพื่อหาหน้ากากที่ซ่อนเอาไว้  เพื่อไขปริศนาต่อไป หอพิธีนี้ข้างนอกดูเฉยๆก็จริง แม้จะเป็นแปดเหลี่ยมก็ตาม ดูนิ่งๆ แต่มีประตูสุดอลังการโดยโลเรนโซ กีแบร์ตี  Lorenzo Ghiberti  และภายในงดงามอลังการด้วยโมเสคสีทอง  กระเบื้องทองคำที่ประดับประดาบนหลังคาแปดเหลี่ยมนั่น  ต้องไปดูด้วยตา  ให้บรรยายยังไงก็ไม่เหมือนจริงๆ






                              จบวันนี้ด้วยการแวะไปเยือน Dante กวีชาวฟลอเร้นซ์ หรือชาวอิตาลี่ เพราะดันเต้เค้ารักฟลอเร้นซ์มาก และภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นชาวฟลอเร้นซ์  ดันเต้ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในเรื่อง INFERNO ค่ะถ้าใครอ่านคงนึกตามได้  เราพามาเคารพรูปปั้นดันเต้ ที่ตั้งอยู่หน้า Santa Croce มหาวิหารสำคัญในฟลอเร้นซ์ที่เราชอบ  มหาวิหารนี้เป็นวิหารฟรานซิสกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างโดยนักบุญฟรานเชสโก้ อัสสิสินั่นเอง เป็นสถาปัตยกรรมนีโอ กอธิคด้านหน้าสีขาวสะอาดตา ด้านหลังยังคงเป็นกอธิคยุคโบราณ เป็นสถานที่ฝังศพคนสำคัญๆมากมาย เช่น กาลิเลโอ กาลิเลอี, ไมเคิล แอนเจโล , ลอเร็นโซ กิเบอร์ติ ประติมากร อีกหลายคน
                               มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ และศิลปินสาขาต่างๆ  ชื่อดันเต้ก็ถูกฝังไว้ที่นี่เช่นกัน แต่น่าสงสารที่ดันเต้ ไม่มีวันได้กลับบ้านเพราะร่างจริงของเขาฝังอยู่ที่เมือง ราเวนนา Ravenna เรื่องราวของดันเต้เป็นดราม่าที่ทั้งยิ่งใหญ่และน่าสงสาร ปีหน้าเราจะไปราเวนนา เยี่ยมเขาให้ได้  วันนี้ตามรอยแดนบราวน์จบดื้อๆแบบนี้ละ ใครชอบศิลปะ ประวัติศาสตร์ผสานวิทยาศาสตร์ และสัญรูป สัญลักษณ์หามาอ่านกัน สนุกน่าติดตามมากๆ เดี๋ยวขอกลับไปอ่านรอบที่สี่อีกที เผื่อเจออะไรไปตามรอยได้อีก  แล้วจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่







Create Date : 06 ตุลาคม 2558
Last Update : 6 ตุลาคม 2558 10:51:14 น.
Counter : 1062 Pageviews.

0 comment
ท่องไปในอิตาลี่ / ตอนที่ 2 ครั้งแรกใน Milano
 มิลาโนเมืองแห่งแฟชั่นและแหล่งชอปปิ้งของหลายๆคน  เราแค่ฝันว่าจะได้ไปเดินในแกลลอเรีย วิตโตริโอ  เอมานูเอล( Galeria Vittorio Emanule)  กับ มิลานดูโอโม่ ( Duomo Di Milano)  สักครั้งไม่ได้คิดฝันจะซื้อ ปราด้า กุชชี่ แลมเบอร์กินี  ดูคาติ อย่างใดเลย ด้วยเป็นคนไม่บ้าแบรนด์ หรือมีเงินในกระเป๋ามากมายนัก  แค่ซาบซึ้งกับชิ้นงานของเหล่าดีไซเนอร์ระดับโลกเหล่านี้ก็ตื่นเต้นแล้ว  ถ้าได้กระเป๋าหลักหมื่นหลักแสนนี่มาหิ้วคงไม่กล้าเดินไปไหน  เพราะกลัวกระเป๋าจะเปื้อนคราบเหงื่อไคลเปล่าๆ  ด้วยชีวิตประจำวันนั้นขึ้นรถเมล์ ลงเรือด่วนเจ้าพระยา เป็นประจำ

                       มิลาโนไม่ได้เป็นเมืองที่สวยหรูทั้งเมือง…ก็เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆที่มีซอกมุมที่ไม่สวยงามสะอาดสะอ้านนัก ....หากไม่ได้ไปย่านแฟชั่นหรือดูโอโม่.....และรถไฟใต้ดินมิลาโนก็คล้ายๆที่นิวยอร์ค คือสร้างมานานแล้วและไม่ได้สะอาดมากมาย  รถบีทีเอสบ้านเราหรูกว่าเป็นไหนๆ  ยังไงก็ตาม  รถไฟใต้ดินมิลาโน่ก็เป็นการเดินทางไปที่ต่างๆที่สะดวกที่สุด เนื่องจากไม่มีที่จอดรถตามสถานที่สำคัญต่างๆที่เราจะไปค่ะ




    เพื่อนฟิลขับรถมาจากบ้านที่ปาเวีย เข้ามาใกล้ตัวเมืองมิลาโนที่สุดที่ๆมีที่จอดรถ  ที่มิลาโนหรือที่อิตาลีนี้ดีอย่าง คือมี car park ไว้บริการในจุดใกล้สถานีรถไฟใต้ดินมากพอสมควร   เหมาะกับเมืองใหญ่ๆระดับโลกที่ไม่ต้องการให้การจราจรในเมืองวุ่นวาย ส่วนมากคนของเค้าก็จะมาจอดรถกันแล้วขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือ แท็กซี่ ดีกว่าที่จะขับรถเข้าไปติดและหาที่จอดไม่ได้แบบบ้านเรา ..... รถไฟใต้ดินมิลาโน หรือ Metropolitana di Milano เรียกย่อๆว่า Metro สายที่เราจะขึ้นเป็นสายสีเขียว สถานี Romolo ขึ้นไปสี่สถานีเพื่อไปต่อสายสีแดงที่ Cadorna และสายสีแดงไปสามสถานีจะถึงสถานี Duomo ที่ตั้งสถานที่สำคัญหลายๆที่ๆเราจะไปวันนี้   ซื้อตั๋วรถไฟราคา 1 ยูโร เป็นตั๋วที่ไม่จำกัดระยะทางแต่จำกัดเวลา 45 นาที ซื้อได้ที่ร้านค้าในสถานีรถไฟทีขายของสัพเพเหระ   แค่บอกคนขายว่า un biglietto สำหรับตั๋ว1 ใบและ due biglietti สำหรับตั๋ว 2 ใบ.


ลงจากรถไฟและเดินขึ้นทางเดินที่จะไปปิอัซซ่าดูโอโม่ หรือจตุรัสดูโอโม่  โผล่ขึ้นมาตกใจ ไม่คิดว่าคนมันจะมากขนาดนี้   ตอนนั้นเพิ่งสิบโมงเช้า หรือเรามาสายไป ควรจะมาสักตีห้า แต่ฟิลบอกว่า งานเข้าแล้ว (นี่เราแปลเอาเอง อิอิ ) วันนี้มันวันแข่งบอล เอซีมิลานนี่หว่า  และเป็นวันนัดชุมนุมอะไรซักอย่างซึ่งเป็นเทศกาลของแฟนบอลทีมเอซี มิลานที่จะมารวมตัวกัน เราบอก ไม่เป็นไร ก็สนุกดี เจอคนเยอะๆ แต่ละคนสวมเสื้อเชียร์และส่งเสียงเชียร์ภาษาอิตาเลียนซึ่งเรายังไม่โปรขนาดนั้น  ฟิลแปลให้ฟังว่า  เขาตะโกนต่อว่าและเย้ยหยันทีมฝ่ายตรงข้าม ดูท่าทางดุดันไม่น้อย

                       มิลานดูโอโม่อยู่ข้างหน้าเราแล้ว  สีขาวสวยงามเสียดฟ้า เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมกอธิค ( Gothic)อย่างชัดเจน คือเป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะยอดแหลมสลักเสลาลวดลายพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า   อีกทั้งตัววิหารก็ยิ่งใหญ่เหลือเกิน แทบจะมองในคราวเดียวไม่ทั่วหากอยู่ในระยะใกล้   แม้ว่าดูโอโม่แห่งนี้ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่โรม  แต่เป็นมหาวิหารแบบกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยเชียว  ดีใจจังไม่หวั่นแม้ว่าจะคนเยอะ.....คนรอบข้างไม่ได้เป็นอุปสรรคแม้แต่น้อยเพราะมัวตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของมหาวิหาร  เกือบลืมฟิลไปเลย  โถ่ ก็ไม่คิดว่าของจริงนั้นเป็นหินอ่อนที่สลักเสลาเกือบทั้งหลัง  ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ แม้ว่าจะใช้เวลาสร้างนานสี่ร้อยกว่าปีก็ตาม  ภายในมหาวิหารกลับเรียบง่าย แต่ดูโอ่อ่า ประดับประดาด้วยกระจกสีสไตล์กอธิค เราคิดว่าเหมาะสมกันดีเนื่องจากภายนอกเยอะแล้ว ภายในจะมาเยอะอะไรกันอีกละคะ





 ถ่ายรูปด้านในด้านนอกจนพอใจแม้จะขลุกขลักเนื่องจากฝูงชนแห่กันมาเยอะมากขึ้น 
เสร็จเดินไปดูพระบรมรูปทรงม้าพระเจ้าวิกเตอร์ เอมานูเอลที่ 2 เสียหน่อยก่อนจะโพสท่าถ่ายรูปกับอาคารชื่อเดียวกับท่าน กัลลอเรีย วิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 แหล่งชอปปิ้งที่หรูหราของคนมีเงิน
จะว่าหรูที่สุดในอิตาลีคงไม่ผิด  เราไม่มีเงินและไม่ซื้อแต่เราก็เดินเข้าไปชมได้ ความสวยงามของตัวอาคารก็คุ้มแล้วค่ะที่ได้มาชม  เป็นโครงเหล็กและกระจกอย่างละเอียดด้วยโครงสร้างที่งดงาม  พื้นก็ปูด้วยหินอ่อนและแกรนิต แถมผนังอาคารยังประดับด้วยลายปูนปั้นและโมเสก สวยงามน่าชม ... เอ้าไหนๆก็มาแล้ว ปราด้า กุชชี่ แอลวี มาเล้ยมาให้ชมซะดีๆ  ฮ่าๆๆก็สวยงามปลาบปลื้มกันไป  แต่ชักหิวๆซะแล้วสิ หันไปเห็นเจลาเตเรีย ( Gelateria) หรือร้านไอศรีม ของอิตาเลียน (เจลาโต้) แล้วรีบชวนฟิลเข้าไปทันที ฟิลก็ใจดีอีกตามเคย ตามใจเพื่อนทุกอย่าง ไม่ปริปากบ่นใดๆแถมช่วยถ่ายรูปมากมาย ...เจลาโต้ (Gelato) ที่กินที่นั่นรสคาราเมลกับโยเกิต  เปรี้ยวและหวานตัดกันลงตัว 1 conolo = 3 ยูโรกว่าๆน่าจะได้ ราคาในเมืองมิลาโนเราว่าไม่แพงเท่าไหร่

เดินไปเรื่อยๆตามเวียเอมานูเอล ( via = ถนนเล็กๆ) เวีย เดลลา สปีกา และอีกหลายๆเวียบริเวณนั้นตลอดทางมีร้านค้าแบรนด์ดังของอิตาลีและแบรนด์อื่นๆ ครบถ้วนเช่น Armani , Valentino, Fendi , Moschino, ภาษาอิตาเลียนอ่าน มอสคิโน่  , Ferragamo  โอยบรรยายไม่ครบ คนชอบช้อบคงจ่ายกระหน่ำ ส่วนอย่างเราชอบดู ก็เพลิดเพลินเจริญใจมากมาย  เจอรถ Ferrari และ Lamborghini หลายคันจอดอยู่หน้าร้านหรูๆเหล่านั้น  แอบถ่ายรูปมาอย่างครบถ้วน






พอบ่ายแก่ๆฟิลก็โทรคุยกับลูก้า ว่าจะนัดเจอกันตรงไหนดี 
ลูก้าเป็นแฟนน้องนิดสาวไทยเพื่อนในมายสเปสเช่นกันลูก้านี่เองเป็นเพื่อนคนแรกในมายสเปสซึ่งก็ติดตามมาถึงเฟสบุ๊คด้วย   เขาก็อยู่ปาเวียเหมือนกัน ดังนั้นเห็นทีจะกลับออกจากมิลาโนซะที ก่อนที่จะหลงอยู่ในวงเวียนของหรูจนต้องตัดใจซื้อจนได้  สามคนนัดกันจะไปกินพิซซ่าเป็นดินเนอร์เพราะว่าฟิลรู้จักร้านอร่อย (ที่สุด) ในย่านนั้น ...ขากลับจากดูโอโม่ก็เหมือนเดิม คือลงรถไฟใต้ดินย้อนกลับมาที่ที่ฟิลจอดรถไว้  ขากลับรถไฟแน่นมากเพราะคนที่มาชุมนุม จึงต้องรอถึงสองสามเที่ยวกว่าจะได้ขึ้นแต่เราว่าสนุกดี เพราะไม่ได้ไปไกลหลายสถานีมาก  ไม่ต้องเบียดกันนานเท่าไรนัก  ..... เรากลับเข้าตัวเมืองปาเวีย ที่ๆเป็นแหล่งชอบปิ้งที่มีร้านค้าเล็กๆมากมายที่เรามาเดินเมื่อวาน ... ต่างหิวและเหนื่อยแวะร้านเจลาเตเรียกันอีกที  คราวนี้ฟิลชิมรสมะม่วง  เราชิมแมคาเดเมีย  ซึ่งเขาใส่แมคาเดเมียกันอย่างจริงจังถึงรสชาด...มิน่า อิตาเลียนเจลาโต้ ถึงขึ้นชื่อมากมายนัก  แต่ฟิลบ่นว่า มะม่วงนี่ถ้าจะมาจากบราซิล ไม่อร่อยหวานหอมเหมือนมะม่วงอกร่องบ้านเรา  ว่าเข้านั่นฟิลนี่   รู้ดีนักทีเดียว







พอกินเจลาโต้กันแล้วก็เดินต่อ เดินลัดเลาะไปตามซอกซอยเล็กๆ  ซึ่งนอกจากมีร้านค้าแล้วยังมีอาคารเก่าแก่และโบสถ์เล็กๆอะไรอีกหลายโบสถ์ที่จำชื่อไม่ได้ แต่เราก็แวะกันเข้าไปดูเพราะเราเน้นเที่ยวดูสถาปัตยกรรม งานศิลป โบสถ์วิหาร  นั่งสงบเงียบตามแบบคนด้านในเป็นอารมณ์นึงที่พักผ่อนจากความวุ่นวายในมิลาโน่





หลังจากนั้นก็ออกมานั่งรอนอกโบสถ์เนื่องจากใกล้ถึงเวลานัดกับลูก้า.......
ฝนเหมือนจะลงเป็นฝอยๆ อากาศเริ่มเย็น ดีที่เราติดหมวกมากันแดดตั้งแต่เช้าและเอาผ้าพันคอยัดมาในกระเป๋า    อากาศในช่วงเปลี่ยนฤดูนี้เราต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา  เดี๋ยวป่วยไปง่ายๆจะอดเที่ยว ...รอสักพักอยู่ดีๆลูก้าก็ขับรถมาจอดตรงหน้าบันไดโบสถ์ที่เรานั่งอยู่ 
ฟิลบอก เฮ้ เข้ามาได้ไง ถนนนี้เค้าห้ามรถเข้านะ ประมาณว่าเป็นถนนคนเดินอะไรทำนองนั้น  มันมีกล้องอยู่นะ  เดี๋ยวโดนปรับหรอก แล้วเราสองคนก็รีบกระโดดขึ้นเพื่อให้ลูก้าขับออกไปจากบริเวณนั้นก่อน  ลูก้านี่ก็ขำดี   จนฟิลสงสัยว่าเป็นคนปาเวียจริงหรือนั่น เอาน่าคนเราก็มีเรื่องไม่รู้เหมือนกันล่ะ  ...จอดรถได้แถวๆที่ฟิลจอดแล้วก็เดินไปร้านพิซซ่ากัน ประมาณ 500 เมตรจากที่จอด ก็พบกับร้านพิซซ่า จะพูดว่าภัตตาคาร หรือ Ristorante ก็ได้ ไม่ใช่แค่ร้าน Pizzeria ธรรมดาๆ เพราะร้านใหญ่มาก มีสองชั้น เราได้ที่นั่งชั้นล่าง พอเอาเมนูมาอ่านได้ก็ต้องทึ่งเพราะเค้าเป็นร้านพิซซ่าจริงๆที่เกือบทุกเมนูเป็นพิซซ่าหน้าต่างๆหลากหลายน่าจะห้าสิบกว่าเมนูพิซซ่า  ตั้งแต่ราคา 6-7 ยูโร ถึง 10 กว่ายูโร ซึ่งนับว่าไม่แพงเพราะว่าพิซซ่าถาดใหญ่มาก  เราสั่งกันคนละถาด เอาขนาดกลาง ซึ่งขนาดกลางของเค้าก็ตัดได้ 6 ชิ้นใหญ่ๆแล้ว



เราสั่งพิซซ่าหน้าสไปซี่ซาลามี  อันซาลามีนี้คือของโปรด แต่ไม่เคยชิม Spicyซาลามีก็ลองสั่งมาดูว่าจะอร่อยเผ็ดแค่ไหน   สไปซี่ซาลามีที่ร้านนี้ใช้เป็นแบบชิ้นเล็กๆ  เผ็ดใช้ได้ กินคู่กับชีสแล้วอร่อยที่เดียว ไม่เลี่ยน....ของฟิลเป็นหน้ามาการิตต้า  ส่วนของลูก้าว่าเป็นดับเบิ้ลชีสสสสส   กอร์กอนซอล่ากับมอสซาเรลล่าชีส  กินกันหมดเกลี้ยง .... อิ่มแล้วก็เดินย่อย  เดินไปตามเวีย( Via)เล็กๆดูของไปคุยกันไป  ถ่ายรูปกันไป  หนุ่มอิตาเลียนนี่ก็แปลกดี เข้ากับคนง่ายทั้งๆที่เจอกันไม่นาน  แถมอัธยาศัยดี  ใครว่าหนุ่มอิตาเลียนเจ้าชู้ เราว่าเค้าเป็นคนใจดีต่างหาก ไม่มีทำท่าเจ้าชู้น่าเกลียดใส่เราเลย  ยิ่งเราเป็นเพื่อนกันเค้ายิ่งใจดีและสุภาพกับเรา  น่ารักทีเดียว…โอยวันนั้นเดินจนเหนื่อย เพลีย เดินกันจนสามทุ่ม  แถมขากลับยังแอบหลับในรถขณะที่ฟิลเม้าซี่ระหว่างทาง  ขอโทษนะจ๊ะเพื่อน .....แอบนึกขึ้นได้ว่าตายละวาป่านนี้กรุงเทพกี่โมงกี่ยาม คงหลับกันแล้ว  ความคิดว่าจะโทรกลับบ้านและติดต่อคนที่เมืองไทยสูญสิ้นอีกแล้ว  หายหัวไปอย่างนี้มีหวังโดนด่าจากหลายๆคน เอาละตั้งใจว่าตอนเช้าจะอัปรูปขึ้นเฟสบุ๊ค แล้วเขียนไปบอกแล้วกันนะ



Create Date : 27 สิงหาคม 2558
Last Update : 27 สิงหาคม 2558 20:46:53 น.
Counter : 605 Pageviews.

0 comment
ท่องไปในอิตาลี่ / ตอนที่ 1 ครั้งแรกใน Milano
                   จะเริ่มเขียนจากครั้งแรกเลยที่ได้ไปเยี่ยมเยือนประเทศนี้ 4 ปีมาแล้ว และยังไปต่อไปให้หมดที่เที่ยวกันไปข้างหนึ่ง :D

วันเดินทาง 12 / May / 2011 Giovedi = Thursday

               จะไม่พูดถึงสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเรา คนที่เคยเดินทางจะรู้อยู่แล้วว่า ของมีคมและของเหลวต่างๆขึ้นเครื่องไม่ได้  ก็ตรวจกันตามระเบียบ  เราไปเที่ยวบินที่ต้องไปต่อที่สนามบินเมือง อาบูดาบี สาธารณรัฐ อาหรับเอมิเรท เครื่องที่ไปจากกรุงเทพก็มีแขก ไทย  ฝรั่ง ปนกันไป แต่แขกไม่เหม็นแฮะ ใช้ได้ ...เราไปคนเดียวเพื่อนให้ระวังแขกลวนลามแต่ไม่มี เพราะคนเช็คอินเค้าจับให้เรานั่งกับผู้หญิงคนนึง เป็นฝรั่ง มาคนเดียวเหมือนกัน  ก็เลยปลอดภัย แต่ที่จริงก็ไม่เห็นมีใครมองอย่างน่ากลัว คิดอีกนัยนึง ไม่ใช่สเป็กแขก ไม่สวยพอ


จากอาบูดาบีมามิลาน ... อ้าว..ลืมบอกไปว่าเครื่องที่เรามาอิตาลี มันมาลงมิลาน ที่จริงอยากไปโรมมาก แต่ ไม่มีไฟล์ท... ทริปนี้เลยคิดว่าตารางการท่องเที่ยวจะเป็นอิตาลีตอนเหนือ  คือเหนือโรมขึ้นมา.  มิลาน ฟลอเร้น เวนิส ปาโดว่า และ วิเชนซ่า คือจุดหมายหลักๆ และต่อจากนี้ไปเพื่อการคุ้นเคยกับสถานที่ต่างๆในชื่อภาษาอิตาเลียน เราจะเรียกชื่อเมืองเป็นภาษาอิตาเลียน  สำคัญที่เดียวในการสื่อสารให้คนอิตาเลียนเข้าใจถึงตำแหน่งแห่งที่ที่เราจะส่งภาษาถามทางต่างๆ ได้ถูกต้องตรงเผง

มิลาน  (  Milan )  =  มิลาโน ( Milano ) แคว้น Lombardia Italia
ฟลอเร้นซ์  ( Florence ) = ฟิเรนเซ่  ( Firenze) แคว้น Toscana Italia
เวนิส ( Venice ) = เวเนเซีย ( Venezia ) แคว้น Veneto Italia
ปาดัว ( Padua ) =  ปาโดว่า ( Padova )  แคว้น Veneto Italia
วิเชนซ่า ( Vicenza ) = วิเชนซ่ะ (  Vicenza ) แคว้น Veneto Italia

จากอาบูดาบีมามิลานก็กินเวลาประมาณ หกชั่วโมง ...หลังจากนั่งขดแข็ง นอนไม่หลับตั้งแต่ตีหนึ่งจากอาบูดาบีกัปตันของเครื่องก็ประกาศว่า ผมจะเอาเครื่องลงแล้วนะ รัดเข็มขัดด้วย ......ที่สนามบิน Melpensa อากาศเย็นสบายอุณหภูมิ 20 กว่า องศา เวลาตอนนี้ที่อิตาลีเกือบๆเจ็ดโมงเช้า ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2011....เครื่องบินต่ำจนมองเห็นบ้านเรือนเป็นหลังเล็กๆแล้ว  เราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โอ้เรามาถึงแล้วรึเนี่ย ....นับจากนี้ไปอีกสิบหกวันเราต้องอยู่ที่นี่  จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย ภาษาอิตาเลียนที่ฝึกมา ดูเหมือนจะลืมเลือนไปหมด  ด้วยความปลาบปลื้มและดีใจ จุดหมายปลายทางของเราอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง ..........



รับกระเป๋าเสร็จ ลากออกมาแบบเด๋อด๋า เพราะคนเดียวโดดเดี่ยวอ้างว้างพิกล โทรหาเพื่อนทันที เพื่อนที่ชื่อฟิลิปโป้ ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ตานี่เค้าเคยอยู่เมืองไทย ห้าหกปีได้ พูดไทยได้นิดหน่อย  .... โทรบอกเค้าว่าไอมาถึงแล้วนะ แล้วคงนั่งไอ้เจ้า Melpansa Express ไปสถานีรถไฟ Milano Centrale ล่ะ  Melpensa Express นั้นก็เหมือนแอร์พอร์ตลิ้งบ้านเรานั่นแหละ ซึ่งเราต้องเข้าเมืองมาก่อนเพื่อมาต่อรถ  ซึ่งหลักใหญ่ๆอยู่ที่  Milano Centrale หรือ สถานีรถไฟกลางเมืองมิลาโน  ....ยังไม่ทันออกประตูสนามบิน ฟิลิปโป้โทรกลับมาว่า เออ ผมมารับคุณนะ ...อ้าว อดนั่งรถไฟเลย แต่ก็ดีเหมือนกัน มันมึนๆหัวยังไงพิกล สงสัยว่าเมื่อคืนอดนอนแถมเครียดเรื่องไม่ได้นอนอีก ฮ่าๆๆๆ  รอประมาณ 15 นาทีฟิลิโป้มาถึงแล้ว ต่อจากนี้จะเรียกนายฟิลิโป้ว่า “ฟิล”นะคะ



        อาบน้ำแต่งตัว บ่ายนี้จะออกไปที่ Certosa Di pavia  กัน อาการดีขึ้นหลังจากได้นอนพัก ฟิลขับรถไปให้ สงสารอยู่เพราะได้นอนสามชั่วโมงเหมือนกัน แต่ฟิลก็ดีมาก  บอกว่าเค้าสบายมาก ส้มไม่ได้มาบ่อยๆ อยากพาเที่ยวมากกว่าจะเสียเวลานอน .... ขับรถไปไม่นานประมาณ10 – 15 นาที ก็เข้าเขตของ Certosa Di Pavia … ( Certosa เป็นภาษาอิตาเลียนที่มีความหมายถึงที่พักอาศัยของคณะสงฆ์ในศาสนาคริสต์ ที่เป็น “cloistered monastic” หรือชุมชนของสงฆ์ที่มีชิวิตอยู่แต่ภายในวัด  ชีวิตถูกจำกัดไว้ในวัดเป็นวิธีอย่างเป็นทางการของชีวิตคริสตจักรเพื่อหาความหมายของชีวิตที่ซ่อนอยู่ ในพระอารามเป็นสถานที่ที่พระและคริศานนิกชนสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรักของหัวใจที่มีพระเยซูคริสต์ และพบตัวตนที่แท้จริง

Certosa Di Pavia นั้นมีอานาเขตกว้างใหญ่มากซึ่งเป็นที่พักของสงฆ์ดังกล่าวหลายอาคารที่เดียว  แต่เราจะพูดถึงส่วนที่เราประทับใจในความงามของศิลปแล้วกันนะคะ  ก็จะมีซุ้ม, ทางเข้า , ตัวโบสถ์ และด้านใน ค่ะ ซุ้มหรือ The Façade (La Facciata.) นั้นสวยงามมาก เป็นสถาปัตยกรรมแบบ ลอมบาร์ด ( Lombard)ผสมผสานกันกับ Renaissance ดูรวมๆทั้งฟาสาจก็สวยงามแล้ว พอเดินเข้าไปดูรายละเอียดใกล้ๆ โอ้ อะไรมันจะซับซ้อนสวยงามขนาดนี้  ประตูทางเข้าเป็นหินอ่อนที่ประดับประดาไปด้วยรูปปั้นเล็กๆเป็นเรื่องราวฝีมือแกะสลักของ  Giovanni Antonio Amadeo ตอนเราไปถึงก็บ่ายเกือบสองโมง แสงเงาในรายละเอียดของรูปปั้นนั้นชัดเจน เห็นความลึก หนาบางของชั้นต่างๆที่แกะสลักสวยงามยิ่งนัก  หลับตาลงยังจำได้จนบัดนี้



..........ภายในทางเดินเข้าตัวโบสถ์ก็มีรูปปั้นและภาพเขียนประดับประดาเช่นเดียวกับโบสถ์ทั่วไป แต่หากเราประทับใจลวดลายดวงดาว และสัญลักษณ์ต่างๆที่เป็นเฟรสโก้บนโดมกอธิคด้านในนั้น  สวยแปลกตาดี แต่ภายในช่องกลางเค้าไม่ให้ถ่ายรูป ถ่ายมาได้ในช่วงทางเดินเข้าเท่านั้น  อ้อลืมบอกไปผู้นำทัวร์ในการเดินชมภายในคือท่านสังฆราช ท่านเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆด้วยภาษาอิตาเลียน เสียงดังฟังชัด ตอบทุกคำถามที่ถามมาได้คล่องแคล่วน่าชื่นชม...ถ้าหากวัดในเมืองไทยมีแบบนี้คงดีไม่น้อยนะคะ




          .........ถ่ายรูปกันด้านนอกพอสมควร ...พอออกมาจาก Certosa Di Pavia  ก็บ่ายสามแล้ว ฟิลบอกว่าเดี๋ยวเราไปเดินเที่ยวรอบๆเมือง ปาเวีย พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปมิลาน.... เมืองปาเวียก็ไม่พลุกพล่านมากนักแต่ก็ไม่เงียบ ที่จอดรถก็แน่นพอสมควร เราเดินดูโบสถ์เล็กโบสถ์น้อย  และร้านรวงต่างๆในตรอกซอกซอยที่ฟิลบอกว่าเป็นแหล่งชอปปิ้งของปาเวีย  ร้านน่ารักมากมายเป็นร้านเล็กๆในตึกเก่าแก่สวยงามตามสไตล์อิตาลีเขาล่ะ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยคุ้นนักเพราะเราคุ้นเคยกับการเดินห้างสรรพสินค้า   อากาศดีไม่ร้อนแม้แดดแรงเดินไปเดินมาเพลินดี  ไม่เหมือนห้างตรงที่คนชอบช้อปคงต้องเดินเข้าเดินออกร้านเยอะหน่อย  เราไม่ชอบซื้อแต่ชอบดู บางร้านเอาผ้าไหม ผ้าพันคอ จากทางเหนือบ้านเราไปขาย และยังเห็นมีเสื้อ กระโปรงชาวเขาด้วย แต่ว่าแต่ละร้านเค้าแต่งเป็นสไตล์หลากหลาย สวยน่ารักเชียว



เดินไปเรื่อยๆ จนถึงคาสเตลโล สฟอร์เซสโก “Castello Sforzesco” เป็นปราสาทใหญ่โต มีมิวเซียมด้านในหลายมิวเซียม แต่มันเย็นแล้ว ฟิลเลยบอกเราว่า ไว้ค่อยมาวันหลัง คงต้องใช้เวลาดูทั้งวัน น่าจะเป็นวันอาทิตย์ที่ 15 may เพราะวันที่ 14 คือพรุ่งนี้เราจะบุกมิลาโนกัน แถมตอนเย็น ก็อาจจะนัดดินเนอร์กับลูก้า เพื่อนอีกคนที่เป็นชาวอิตาเลียนอีกคนค่ะ

                   กลับถึงบ้านเย็นแล้วน่าจะสักห้าโมงเย็นได้ แต่แดดยังแรงอย่างกับเที่ยง ฟิลทำอาหารให้กิน เป็น Tortellini หรือเกี๊ยวตัวเล็กๆของอิตาเลียน  เป็นแบบสำเร็จรูปไส้เห็ด คือเอาไปต้มในน้ำร้อนพอเอาขึ้นมาคลุกเนยนิดหน่อย  โรยมอสซาเรลลาชีสขูดเป็นเกล็ดฝอยๆก็กินได้เลย....ที่จริง Tortellini นี้เราสามารถทำซอสราดแบบพาสต้าทั่วไปก็ได้  ไว้โอกาสหน้าเจอพ่อครัวตัวจริงที่เป็นคนสอนเราทำอาหารอิตาเลียนแล้ว จะสาธยายให้ฟัง เรื่องการทำซอสต่างๆอย่างสนุกสนาน



************** พบกับตอนหน้า ตอนที่ 2 ครั้งแรกในมิลาโนนะคะ************



Create Date : 25 สิงหาคม 2558
Last Update : 27 สิงหาคม 2558 20:30:17 น.
Counter : 489 Pageviews.

1 comment
1  2  

somm_ZA
Location :
นนทบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]