Group Blog
 
All blogs
 

จุดหมายใช่ปลายทาง

ฉันห่างหายจากการเขียนบล๊อกไปนานสามเดือนเลยเหรอเนี่ยยยยย 5555 เรียกได้ว่าเก็บดองซะจนตัวเองตกใจ >__< ถึงจะดองเค็ม... เค็มแต่ดีนะค่ะ อิ อิ ตอนนี้ชีวิตฉันเรียกได้ว่าเริ่มเปิดหน้าใหม่ของชีวิตค่ะ เพราะว่าฉันเรียนจบแล้วววว เย้ เย้

จบมาก็หลายระดับการศึกษา ความรู้สึกก็หลากหลาย แต่ความรู้สึกนึงที่เหมือนๆ กันคือ เวลาจบจริง จะรู้สึกเฉยๆ อ่ะค่ะ ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะเป็นหรือเปล่า แต่ฉันเป็น คือตอนเรียนอยู่ ก็หลายอารมณ์อยู่แล้วใช่ป่ะค่ะ เฮฮา ปาร์ตี้ อัพยาม้าเพิ่มพลัง เอ๊ย ไม่ใช่ค่ะ เฮฮา ปาร์ตี้ ตีซี้ครู อ่านหนังสือหามรุ่ง หามค่ำ อยากได้เกรดเอ แต่สุดๆ เลยคือ อยากเรียนจบซะที แต่พอเรียนจบจริงๆ กลับรู้สึกว่า ไรกันชีิวิต ไอ้ที่อยากได้นัก ได้หนา พอได้มาก็งั้นๆ

ฉันลองเปรียบเทียบดู ก็เหมือนเวลาไปเดินห้าง เห็นเสื้อผ้าบางทีก็อยากได้ม๊ากๆ มาก ก่อนจะซื้อก็ตื่นเต้ลลล ซื้ออยู่ก็ดีใจได้ใช้ตังค์ - -" แต่พอกลับมาบ้าน ถุงเสื้อผ้าก็กองไว้ตรงนั้นแหละค่ะ แอบสารภาพว่า บางทีถุงเสื้อผ้าใหม่กองอยู่ทีเ่ดิม ที่ๆ มันเคยอยู่เป็นอาทิตย์!!!! ทำเป็นเล่นไป จริงๆ ค่ะ เพราะพอได้มาก็เฉยๆ อ่ะค่ะ ไม่ได้รู้สึกว่า เย้้ๆๆ อยากใส่แกจริงๆ เป็นที่สุด 55555

ตอนนี้อารมณ์หลังเรียนจบโทของฉันเลยเหมือนยังติดขี้เกียจอยู่เปล่าหว่าาาา แบบว่ายังไม่มีอารมณ์หางาน ซึ่งจริงๆ ควรหาซะตั้งแต่ก่อนแล้ววววว เหอะ เหอะ หนังสือก็ยังกองเป็นตั้ง ไฟล์รายงานก็ยังโชว์หราอยู่หน้าคอมพ์ ยังไม่มีกะจิตกะใจปัดกวาดใดๆ ทั้งสิ้น รู้สึกเหมือนว่าถึงจุดหมายแหละ แต่รู้สึกเสียววูบที่ไม่ีมีจุดหมายใหม่ให้เดินต่อ จริงๆ ค่ะ ปกติแล้วเวลาปิดแต่ละเทอมก็รู้สึกใจหายว่าแบบ ไม่มีการสอบให้ต้องเครียด ทั้งๆ ที่เวลาสอบ ก็โคตรจะเครียดเลย แต่พอไม่มีเรื่องเดิมๆ ให้เครียดกลับรู้สึกใจหายซะงั้น >___< เพื่อนฉันบอกว่าเป็นอารมณ์ของเด็กเรียนนะเีนี่ยยย คงจะประมาณไม่มีหลักยึดแล้วไงแก อิ อิ

ฉันเลยคิดว่าบางครั้งจุดหมายที่เราหมายมั่นว่าจะไปให้ถึงสักวันนึง พอเราขึ้นมายืน ณ จุดนั้นจริงๆ เราคงรู้สึกเฉยๆ แบบ อ่อเหรอ เนี่ยเหรอ ได้มาแหละ แต่จริงๆ แล้ว อารมณ์ระหว่างทางต่างหากที่มันหล่อหลอม ติดตา ประทับใจเรากว่าอารมณ์ของจุดหมายที่ปีนขึ้นมาถึงซะอีก เช่นอารมณ์เครียดกับเกรด อารมณ์ทำรายงานกลุ่ม อารมณ์เข้าห้องเรียนกับครูบางคนที่อย่างฮา หรือ อย่างเครียด ก็แล้วแต่ อารมณ์เหล่านั้น อยู่ในความทรงจำและให้ความรู้สึกกับเราได้มากกว่าอารมณ์ที่ว่า ฉันได้มันมาแหละ

ตอนนี้ฉันก็ทำงานพาร์ทไทม์ไปเรื่อยๆ ค่ะ แต่ก็กินเวลาฉันไปทุกอาทิตย์นะ ส่วนงานประจำ ฉันจะสลัดความขี้เกียจและหาโดยไว ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ งานตอนนี้หายากจะตาย ใครได้งานต้องเรียกได้ว่าพกโชคมาด้วยเหรอ พกโชคมาด้วยเหรอเนี่ยยย เพราะเก่งอย่างเดียวไม่เฮงก็อยู่ประเทศนี้ไม่ได้นะคะ ต้องเฮงจริงๆ เพราะมีคนเก่งกว่าเราตั้งเยอะ เดินเบียดไหล่เราตามถนนเนี่ย แล้วเราเพิ่งจบมา จะเอาอะไรไปแทงข้างหลังเค้า เอ๊ย จะเอาอะไรไปสู้กับเค้าจริงมั๊ยค่ะ ว่าแล้วฉันไปเดินหาโชคก่อนดีกว่า เผื่อจะโชคดีกับเค้าบ้างงง




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2553 15:45:33 น.
Counter : 700 Pageviews.  

หลงมาทางนี้หน่อยเถอะ

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ

ฉันไม่ได้เขียนบล๊อกนานมากๆ ก็ตั้งแต่เริ่มเทอมนี้หรือเปล่าไม่รู้ เหอะ เหอะ เรียกได้ว่าหยุดพักไปก่อน แต่บล๊อกนี้เขียนมาเพราะต้องการความช่วยเหลือค่ะ สำหรับทุกท่านที่หลงเข้ามา อยากรบกวนให้ช่วยทำแบบสอบถามให้หน่อย เกี่ยวกับแฟรนไชส์ไทยค่ะ

ทำยังไงฉันก็ใส่ลิ้งค์แบบสอบถามไม่ได้ในบล๊อกโดยตรง รบกวนเพื่อนๆ คลิกลิ้งค์ชื่อว่า "แบบสอบถาม" ทางด้านขวามือทีนะคะ ลิ้งค์นั้นจะพาเพื่อนๆ ไปสัมผัสกับแบบสอบถามที่ใช้เวลาไม่นานในการตอบค่ะ

ขอบคุณทุกท่านๆ ที่สละเวลาตอบแบบสอบถามเจ้าค่ะ




 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 25 เมษายน 2553 13:02:17 น.
Counter : 490 Pageviews.  

รอยยิ้มของพี่หลอ

วันนี้ฉันไม่ได้มาขายของการกุศลค่ะ แต่ฉันมาแนะนำให้ "ยิ้ม" ค่ะ จริงๆ ฉันว่าคนไทยยิ้มง่ายที่สุดในโลกเลยนะคะ อันนี้ฉันคิดว่าได้รับการปลูกฝังมาจากชื่อประเทศ คือ สยามเมืองยิ้ม แต่ถ้าจากประสบการณ์จริงและตลอดชีวิตฉันที่ผ่านมา ฉันก็ยังยืนยันอยู่ดีว่าคนไทยยิ้มง่าย แต่จะยิ้มง่ายจริงหรือ มันก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในแต่ละวัน เพราะบางทีมันอาจทำให้คุณยิ้มไม่ออก

จั่วหัวไว้ว่า "รอยยิ้มของพี่หลอ" หลายคนคงนึกว่าพี่หลอเป็นญาติของฉัน เปล่าค่ะ พี่หลอเป็นใครก็ไม่รู้อ่ะค่ะ อิ อิ บอกก็ได้ค่ะว่าเป็นชื่อที่ฉันตั้งให้น้าคนนึง น้าคนนี้เค้าไม่รู้จักฉันหรอกค่ะ เผอิญว่าฉันไปกินบัฟเฟ่ต์ B.B.Q เกาหลี แถว Garden Grove ชื่อร้านว่า "Chum Sut Gol" ร้านใหญ่ใช้ได้เลยนะคะ ขายทั้งกลางวันและกลางคืน คนเยอะมาก เนื้อก็มีให้เลือกว่าจะเอาเนื้อวัว เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ แล้วก็มีเครื่องเคียงมากมาย ตบท้ายก็มีไอติมให้ตักกินเองด้วยค่ะ แล้วพี่หลอคือใครใช่ป่ะ พี่หลอเป็นพนักงานเปลี่ยนเตาค่ะ

เวลาเราย่างเนื้อไปมากๆ มันจะมีเศษติดกะทะ แป๊บๆ พี่หลอแกก็จะมาเปลี่ยนค่ะ เรียกชื่อนี้ คุณๆ คงเดากันออก พี่หลอแกฟันหลอค่ะ พี่หลอเป็นเม็กซิกัน อายุน่าจะประมาณ 40 กว่า ท่าทางทะมัดทะแมง ฉันมันพวกช่างสังเกตุ จะไม่สังเกตุยังไงไหว ก็พี่หลอ แกเดินมา ยิ้มร่ามาเลยค่ะ ฉันก็ให้สะดุดใจ คือ ด้วยงานพี่เค้าที่มีคีบจับเปลี่ยนกะทะที่ใช้แล้ว กับกะทะใหม่ อันนี้คืองานภายนอกที่ฉันเห็นอ่ะนะคะ ส่วนงานอื่นๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าพี่หลอแกทำอะไรอีกเปล่า แต่พี่หลอแกทำงานด้วยความร่าเริง ยิ้มแย้ม คือยิ้มตลอดเวลาเลยอ่ะค่ะ ดวงตาก็แสนจะจริงใจ เปลี่ยนกะทะด้วยความกระฉับกระเฉง แถมฉีกยิ้มตลอดเวลา ฉันเห็นแล้วสุดแสนจะประทับใจ ถ้าดูกันโดยไม่รู้อะไร ต้องบอกว่า พี่หลอแกเป็นคนมีความสุขในการทำงานมากๆ ถึงแม้งานแกอาจจะดูไม่มีอะไรและต่ำต้อยถ้าเทียบกับงานนั่งโต๊ะ กดเครื่องคิดเลข ดีดลูกคิดคอมพ์พิวเตอร์ แต่ใครจะไปรู้ คนนั่งโต๊ะอาจทำงานโดยไม่เคยยิ้ม แต่พี่หลอแกยิ้มตลอดเวลาจริงๆ ฉันยืนยันได้ ฉันกินไปก็มองพี่หลอแกทำงานไป แกไปเปลี่ยนกะทะโต๊ะอื่น แกก็ยิ้มร่าตลอดเลย

พี่หลอมาเปลี่ยนกะทะโต๊ะฉันก็ 3 ครั้งแล้วค่ะ แต่ที่มีให้เปรียบเทียบก็คือ มีพนักงานอีกหนึ่งคน มาเปลี่ยนกะทะโต๊ะข้างๆ หน้าตาไม่เห็นยิ้มเหมือนพี่หลอเลย นี่แปลว่า เป็นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆ นะคะ

ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะว่าทำงานร้านอาหาร ซึ่งก็คืองานบริการ แถมบางทีคนที่มากินอาจดูถูกพนักงานว่าเป็นข้าทาสบริวาร พนักงานจะให้ยิ้มแย้มแบบพี่หลอทุกคน ฉันเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีทาง ไม่งั้นก็ต้องใส่หน้ากากกันหน่อยแหละ แต่พี่หลอถือเป็นบุคคลตัวอย่างทางด้านรอยยิ้มของฉันจริงๆ นะคะ เพราะบางทีเวลาฉันทำงานแล้วยิ้มไม่ออก (มันต้องมีกันบ้าง) ฉันก็นึกถึงพี่หลอนี่แหละค่ะว่า ยิ้มสยาม อย่าให้มันหายไป ถึงแม้เราจะเปลี่ยนชื่อเป็น ประเทศไทยแล้วก็ตาม ถ้าใครไม่เชื่อ แวะไปทานอาหารร้านนี้แล้วอย่าลืมแอบดูนะคะว่าพี่หลอยิ้มร่าเหมือนที่ฉันบอกหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ วันนี้คุณยิ้มแล้วหรือยังค่ะ




 

Create Date : 30 มกราคม 2553    
Last Update : 30 มกราคม 2553 16:16:57 น.
Counter : 841 Pageviews.  

ทำได้ แม้ไม่มีตังค์

วันนี้ฉันจะขอแนะนำวิธีทำความดีหรือทำบุญ โดยไม่ต้องใช้สตางค์ค่ะ จริงๆ มีหลายวิธีมากๆ แต่วิธีนี้ฉันเพิ่งทำเป็นครั้งแรกที่อเมริกา แต่เป็นครั้งที่สองของการทำค่ะ วิธีที่ว่าก็คือการบริจาคเลือดค่ะ

บางคนทำบ่อยเป็นประจำ ฉันก็ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ ส่วนใครจะอนุโมทนาบุญกับฉัน ก็เชิญนะคะ สาธุค่ะ

ปีที่แล้วที่ฉันกลับไทย ฉันไปบริจาคเลือดที่สภากาชาติไทย บ้านฉันอยู่ใกล้สภากาชาติไทยนะคะ แต่ไม่เคยไปบริจาคเลือดเลย ให้ตายเหอะ ยอมรับค่ะว่าตอนเป็นวัยรุ่น กลัวค่ะ กลัวเข็มฉีดยา เหมือนหลอนตัวเองเข้าไว้ว่ากลัวเข็มฉีดยาเหอะ เพระภาพที่จำได้คือ ตอนเด็กๆ เวลาเค้าให้เข้าแถวฉีดยาวัคซีน อีนี่เดินลัดเลาะ จนเป็นคนสุดท้ายทุกที แล้วจริงๆ ก็ไม่ได้กลัวเข็มอะไรกับเค้าหรอกค่ะ กระแดะไปงั้น ที่บอกว่าไม่ได้กลัว เพราะว่าตอนโตขึ้นมา เวลาที่บริษัทเค้ามีให้ตรวจสุขภาพหรืออะไร ฉันก็นั่งมองพยาบาลเอาเข็มมาเจาะนิ้วฉันหน้าตาเฉย ถ้ากลัวจริงๆ ฉันคงจะร้องไห้ หรือ ไม่กล้ามองไปแล้ว ฉันเลยคิดว่าฉันกระแดะ หลอนจิตวิญญาณมาแต่เด็ก เหมือนจริงๆ ไม่ได้กลัวอะไรมาก แต่สั่งใจไปแล้วว่า กลัว มันก็เลยกลัวตามประสาใจสั่งมา

ทีนี้แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ เกิดจากการที่ฉันอ่านนิตยสารเล่มนึง จำไม่ได้ชัดว่าชื่ออะไร แหม จะให้เครดิตซักหน่อย คือ ไม่แพรวก็ซีเคร็ตอ่ะค่ะ เอานะ เค้าเครือเดียวกัน นิตยสารเล่มนั้นลงบทความเกี่ยวกับการบริจาคเลือด อ่านแล้วประทับจิต ติดใจมากๆ ฉันตั้งปณิธานเลยว่าฉันต้องบริจาคเลือดให้ได้ แล้วพอดีฉันมีโอกาสกลับไทย ฉันก็เลยลองค่ะ ไปมันคนเดียวเลย จำไว้นะคะ คือ ไม่ต้องจำก็ได้ อ่านผ่านๆ แต่นึกได้เมื่อไหร่ก็จะดีค่ะ คือ ถ้าคุณตั้งใจทำความดีด้วยตัวเอง คุณจะรู้สึกได้ถึงความตั้งใจ ความมั่นใจ และความเข้มแข็งของตัวคุณเองค่ะ เพราะคนส่วนใหญ่เวลาจะไปทำบุญ มักจะชวนเพื่อนพ้อง พี่น้อง และคุณแฟน ไปด้วย แต่ถ้าเค้าเหล่านั้นไม่สามารถไปได้ คุณก็อาจจะอดไปด้วย ยกเว้นคุณจะแบบ ไปเองก็ได้ฟ่ะ นั่นแหละค่ะ คุณถึงจะได้ไป แต่ส่วนใหญ่มักจะลงเอยที่ว่า อืม งั้นไว้คราวหน้าค่อยไปด้วยกัน วันนี้ไม่ไปหล่ะกัน

สรุปว่าฉันลุยเดี่ยวค่ะ ไปคนเดียว หลังจากกรอกเอกสารต่างๆ นาๆ เสร็จ โดนเจาะนิ้วดูว่า พร้อมจะให้เลือดได้มั๊ย ก็ได้เบอร์ค่ะ ตอนรอเรียกเบอร์ กลับปอดแหกซะนี่ คือ ใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทนไม่ไหวแล้วเว้ย จะเดินหนีก็ใช่ที่ แม่ไม่เคยสอน เหอะ เหอะ เลยโทรหาเพื่อนค่ะ เพื่อนคนนี้เคยบริจาคเลือดมาแล้ว และเป็นคนบอกให้ฉันทานอาหารมาก่อนจะบริจาค และไม่ควรกินอาหารมันๆ นะคะ เพราะสีเลือดพลาสม่าจะเปลี่ยนค่ะ โชคดีเป็นของฉันที่เพื่อนฉันไม่ปอดแหกตาม กลับบอกมาเสียงเรียบๆว่า ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ฟังแล้วฉันก็ใจเต้นเป็นปกติตามเดิม ดีใจจัง เพื่อนฉันแอบแถมท้ายนิดนึงว่า แต่พยาบาลมือหนักนะ อิ อิ อันนี้ฉันไม่กลัวเท่าไหร่ ฉันมาคิดทีหลังว่า ถ้าเพื่อนฉันบอกว่า เฮ้ย อยู่ที่บริจาคเลือดเหรอ โห รู้ป่ะ โคตรน่ากลัวเลย แล้วเวลาพยาบาลจิ้มนะ โห สุดยอดดดด หนาวเยือกๆๆ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงเผ่น เพราะงั้นถ้าคุณไปคนเดียวและกลัว ขอแนะนำค่ะว่า ให้โทรหาเพื่อนที่เค้าเคยไปบริจาคเลือดและเค้าจะสามารถทำให้คุณสงบลงได้ด้วยคำพูดสบายๆ แบบพี่เบิร์ดค่ะ

ที่เมืองไทย อารมณ์จะประมาณโบเบ๊หรือสำเพ็งในความรู้สึกของฉัน เพราะเตียงเรียงกันเป็นตับ พอฉันใจสงบลงแล้ว ก็ถึงคิวค่ะ ไปถึง ไอ้ฉันก็ไม่รู้อะไร เค้าก็ถามเสียงให้วอก ขวาได้มั๊ยค่ะๆๆๆๆ ฉันก็อะไรอ่ะ ได้ก็ได้ (ว่ะ) มาถึงแล้วนี่ ขวาก็ขวา เราก็แฟนเพลงพี่หนุ่ย อำพลอยู่แล้ว วิธีการก็ไม่ได้น่ากลัวเลยค่ะ นอนเฉยๆ แล้วพี่เค้าก็จะให้ถือแท่งกระดาษ กำแล้วปล่อยๆๆ น่าจะประมาณนี้นะคะ รอจนเลือดเต็มถุง แล้วเครื่องมันจะมีดัง ตั๊กๆๆๆ พี่เค้าก็จะเดินมาเยาะเย้ยว่า เป็นไงค่ะ โอเคเปล่า เสร็จแล้วเค้าก็จะให้เราเดินผ่านไปห้องติดกัน มีโกโก้และขนมให้ทานเล่น นึกถึงตอนเด็กๆ ที่โอวัลตินชอบมาแจกตามโรงเรียนเลยค่ะ นั่งพักให้พอไม่มึน ถ้าคุณมึน แล้วคุณก็จะสุขใจที่ได้ทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น

แต่ที่นี่ แคลิฟอร์เนีย อเมริกาค่ะ เค้าไม่วางเตียงเป็นตับและไม่ต้องเดินขึ้นลงเวลากรอกเอกสาร ฉันหาข้อมูลในเน็ตอยู่นานเหมือนกัน พอดีฉันชวนเพื่อนไปบริจาคเลือดด้วยกัน เพื่อนฉันไม่เคยบริจาคเลือดมาก่อนในชีวิต เค้าดีใจมาก อารมณ์แบบอยากนอนเตียงข้างกัน มองหน้ากัน มันส์ (ว่ะ) ได้ทำความดี ฉันกล่อมเค้ามาแล้วว่า ไม่น่ากลัวเลย ขอเพียงพี่มีสุขภาพแข็งแรง พี่เค้าก็บอกว่า โห น้อง พี่อึด โอมากข้อนี้ แล้วก็ขอแค่พี่มีใจ พี่เค้าก็บอกว่า ถ้าไปด้วยกันก็โอ อิ อิ โอเคค่ะ ฉันเลยหาศูนย์ Red Cross ที่อยู่ตรงกลางระหว่างบ้านฉันและพี่เค้า ก็ได้ที่ Fullerton City ค่ะ เข้าไปเค้าจะให้กรอกชื่อเพื่อรอเรียก ระหว่างรอ คุณจะได้อ่านเอกสารก่อนการบริจาคเลือด สำคัญมากนะคะ ต้องอ่านค่ะ

หลังจากนั้นคุณจะถูกเรียกเข้าไปในห้อง อ๋อ ลืมบอกค่ะ ศูนย์เค้าจะเป็นห้องโล่งๆ คุณสามารถมองเห็นคนอื่นที่กำลังบริจาคเลือดอยู่ได้ แต่เตียงเค้าไม่ได้เรียงกันเหมือนเมืองไทยค่ะ แต่เตียงเค้าจะวางเหมือนร้านหมอฟัน คือวางเฉียงๆ สลับกันไปมาค่ะ แต่ห้องที่คุณจะถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ก่อน จะปิดมิดชิดค่ะ ก่อนอื่นเค้าก็จะสอบถามข้อมูลธรรมดาๆ ชื่อ ที่อยู่ อะไรเทือกนั้น แล้วก็เจาะนิ้วเลยค่ะ ตอนเจาะนี่ก็สะดุ้งเฮือกนึง เฮือกเล็กๆ ค่ะ อย่ากังวลไปเลย แต่ฉันว่า รวมๆ แล้ว ไอ้เฮือกนี่เจ็บกว่าตอนบริจาคเลือดอีก หลังจากตรวจธาตุเหล็ก ความดันและสุขภาพโดยรวมแล้ว เค้าก็จะให้คุณตอบคำถามในคอมพ์ค่ะ ถ้าอันไหนไม่เข้าใจให้เปิดห้อง แล้วเจ้าหน้าที่จะเข้ามาอธิบายให้คุณฟังค่ะ

ตอบเสร็จ เจ้าหน้าที่จะเข้ามาทวนคำตอบที่เราตอบไปทั้งหมดว่ามีอันไหน ประหลาดๆ หรือเปล่า กระบวนการกรอกข้อมูลและสัมภาษณ์ คุณจะถูกถามชื่อตัวเองหลายครั้งมาก จนคุณประหลาดใจว่า ถามชื่อบ่อยๆ ทำไม เช่นเจ้าหน้าที่จะถามว่าเคยบริจาคเลือดในชื่ออื่นหรือเปล่า แล้วเดี่ยวๆ ก็ถามอีกที ชื่อต้นคุณอะไรนะ อ๋อออ ชื่อคุณสะกดยังไงนะ ประมาณนั้น ทีเด็ดคือ ให้เราบอกเพศ และเชื้อชาติ เพื่อนฉันเล่าให้ฟังทีหลังว่า เค้าทนไม่ไหวเลยถามเจ้าหน้าที่ว่า ทำไมต้องถามเพศด้วยอ่ะ ก็เห็นๆ อยู่นะ เจ้าหน้าที่บอกมา ไม่ได้ ต้องตอบให้ชัดเจน เพราะพลาสม่าเค้าจะแยกชายหญิง บางคนไปแปลงเพศมา ดูไม่ออก เออ อันนี้ฉันก็เพิ่งรู้ แล้วเดี๋ยวๆ เค้าก็จะถามชื่อคุณอีกค่ะ เจ้าหน้าที่เฉลยอีกว่า เพราะว่าบางคนตอนสัมภาษณ์เป็นคนนึง แต่พอสัมภาษณ์เสร็จ เดินออกจากห้อง ไปนอนที่เตียงบริจาค เป็นอีกคนนึง ทำเป็นเล่นไป มีนะคะ พวกขายเลือดเอาเงินอ่ะค่ะ เค้าเลยถามย้ำ ถามซ้ำๆ ว่าเราชื่ออะไร นามสกุลอะไร ส่วนสูงและน้ำหนักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจหรือหงุดหงิดที่เค้าถามบ่อยๆ นะคะ

ตอนบริจาคเลือด เค้าจะทาไอโอดีนที่แขนซะเหลืองอ๋อยเลย ต่างจากเมืองไทย ที่ถ้าฉันจำไม่ผิด เค้าจะใช้แอลกฮอล์ แต่ที่นี่เค้าใช้ไอโอดีนและเค้าจะถามก่อนว่าเราแพ้มั๊ย แล้วตูจะรู้ได้ไงเนี่ยยยย เลยตอบว่าไม่แพ้มั๊งค่ะ เหอะ เหอะ แต่ฉันก็ไม่แพ้จริงๆ แหละ แล้วเค้าก็จะใช้เข็มที่หน้าตาเหมือนพลั่วอ่ะค่ะ แต่อันเล็กมากๆ นะคะ อย่าไปเชื่อที่ใครบอกว่าเข็มเจาะใหญ่เท่าควาย ไม่จริงค่ะ ไม่ขนาดนั้น เค้าจะเอาพลั่วเล็กๆ อันนั้นมาเจาะแล้วก็เงย แล้วก็คาไว้อย่างงั้นแหละค่ะ ที่นี่เค้าจะให้เราบีบลูกบอลค่ะ แต่เหมือนจะให้เราหมุนลูกบอลเล่นซะมากกว่า บีบเฉพาะตอนแรกที่เอาพลั่วเจาะแค่นั้นแหละค่ะ เพราะจากนั้นเลือดก็จะพุ่งกระฉูดเลยค่ะ ก่อนไปบริจาคเลือด ทานน้ำเยอะๆ นะคะ เพราะน้ำจะช่วยให้เลือดไม่เหนียวข้น ของฉัน พลั่วเจาะปั๊บ แป๊บเดียว ครึ่งถุงเลย เพราะฉันเป็นคนกินน้ำเยอะมากๆ ปกติก็กินเยอะอยู่แล้ว ยิ่งวันบริจาค ฉันแห่ดื่มน้ำซะเยอะกว่าเดิมอีก อิ อิ

เสร็จแล้วเค้าก็จะให้กินน้ำผลไม้และขนมที่จัดไว้ให้ค่ะ ที่นี่ต่างจากเมืองไทยอีกแหละค่ะ ตรงที่คุณสามารถบริจาคได้ทุก 56 วัน แต่ที่เมืองไทยคือ 90 วัน ตรงนี้ฉันถามหมอหนุ่มหน้าเด็กเพื่อนฉันแล้วบอกว่า จริงๆ ก็ 2 เดือนแหละ ที่เลือดสร้างใหม่และพร้อมใช้งาน แต่ที่เมืองไทยเค้าเอาเซฟๆ เลยให้ 90 วันค่ะ และฉันก็เพิ่งรู้ว่ามีการบริจาคหลากหลายเช่นเฉพาะเกล็ดเลือด เฉพาะพลาสม่า และอื่นๆ อีกมากมาย ที่บริจาคกันส่วนใหญ่คือ บริจาคเลือดโดยรวมที่มีส่วนประกอบเยอะแยะ ฉันกะว่าจะลองบริจาคแบบอื่นๆ ดูบ้าง บางอย่างใช้เวลานานค่ะ เพราะเค้าจะเจาะแขนเช่นข้างซ้าย เอาเลือดเราออกไป เสร็จแล้วผ่านเข้าเครื่อง แยกๆๆๆ แล้วก็เอาส่วนประกอบของเลือดที่เค้าไม่ต้องการ กลับคืนมาให้เราที่แขนขวา อะไรประมาณนั้น แต่ใช้เวลาเยอะกว่าบริจาคทั่วไป เค้าเลยให้เราดูหนังเป็นเรื่องเลยค่ะ เอาไว้ถ้าฉันลองแล้วเป็นไง จะมาเล่าให้ฟังนะคะ

แรงบันดาลใจสำหรับคนที่ยังลังเลว่าจะไปดีมั๊ย ถ้าบ้าดารานิดหน่อย ขกยกตัวอย่างพี่ดู๋ สัญญา คุณากรค่ะ ฉันเพิ่งรู้ว่าแม่พี่ดู๋เสียชีวิตเพราะไม่มีเลือดบริจาคมากพอ แม่พี่เค้าป่วยเป็นโรคไขสันหลังไม่ผลิตเกล็ดเลือด เวลาเป็นแผลเลือดจะไหลไม่หยุดค่ะ ทางโรงพยาบาลต้องการเลือดกรุ๊ปอะไรก็ได้มาปั่นแยกเอาเกล็ดเลือดเพื่อมาใส่ให้แม่พี่เค้า ตอนนั้นพ่อพี่ดู๋บอกพี่ดู๋ แล้วเช้าวันถัดมาเป็นวันกีฬาสี พี่ดู๋ก็ถามเพื่อนๆ ว่า มีใครสามารถบริจาคเลือดได้บ้าง แต่พอตอนเย็นกลับมาบ้านปรากฎว่าแม่พี่ดู๋เสียแล้วค่ะ เช้าวันถัดไปที่จะไปรับศพแม่ เพื่อนพี่ดู๋มากันเต็มโรงพยาบาลเลย เขาไม่รู้ว่าแม่พี่ดู๋เสียแล้ว เขาจะมาบริจาคเลือดกัน หยุดเรียนมายกห้องเลยนะคะ ครูประจำชั้นก็มา พี่ดู๋บอกว่า จากไม่ร้องจนร้อง เพราะคิดว่ามนุษย์ที่แสดงความปรารถนาดีต่อมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่อะไรเลย เป็นสุดยอดของความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์พึงกระทำต่อกัน ทุกวันนี้พี่ดู๋บอกว่า พี่ดู๋พยายามบริจาคเลือดบ่อยเท่าที่มีโอกาสจะทำได้เลยค่ะ

อีกตัวอย่างนึงสำหรับคนที่ชอบคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ก็นี่เลยค่ะ พี่ขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ พี่เค้าเป็นฟู้ดสไตลิสท์หรือนักออกแบบตกแต่งอาหารให้ดูสวยงามค่ะ พี่เค้าเล่าว่าตอนอายุ 10 ขวบ แม่พี่เค้าแท้งและตกเลือดอย่างรุนแรง ถ้าไม่ได้รับเลือดทันเวลา ก็อาจเสียชีวิตได้ หมอที่รักษาพยายามหาเลือดกรุ๊ดเดียวกับแม่ คือ AB หมู่พิเศษ แต่ลองเจาะจากญาติพี่น้องและคนรู้จักเท่าไรก็ไม่พบค่ะ พวกพี่เค้าเกือบสิ้นหวังแล้ว แต่ลุงซึ่งเป็นเพื่อนพ่อเดินทางมาเยี่ยมญาติและได้ข่าวพอดี และบังเอิญที่ลุงมีกรุ๊ปเลือดเดียวกับแม่พี่เค้า คุณหมอจึงจัดการถ่ายเลือดให้ทันที พี่เค้าเล่าว่า ภาพที่เห็นในตอนนั้นยังติดตาและฝังลึกในใจ คือ แม่นอนในสภาพที่มีเลือดเปรอะเต็มตัว มีสายยางให้เลือดห้อยระโยงระยาง นอกจากกลัวว่าแม่กำลังจะตายตามประสาเด็กแล้ว พี่เค้าก็ได้รู้ว่าการให้เลือดสามารถช่วยชีวิตคนอื่นได้ด้วย...ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ พี่เค้าเลยบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอค่ะ

หลังจากบริจาคเลือดทุกครั้ง ฉันจะบอกให้แม่ฉันอนุโมทนาบุญกับฉันค่ะ อย่าค่ะ อย่าหวังว่าแม่ฉันจะอนุโมทนาง่ายๆ ครั้งแรกแม่ฉันเสียงแหลมมาเล้ยยย โอ๊ยยยยยยยย ไปบริจาคทำไม รู้มั๊ยบริจาคไป กว่าจะสร้างเลือดมาได้มั๊ยนะ โน่นนนนนน บลา บลา บลา ฉันปล่อยแม่ฉันพล่ามไปหลายนาที ฉันได้แต่นั่งอมยิ้มแล้วฉันก็บอกว่า ม้า พอเลย แค่บริจาคเลือดไม่ตายหรอกน่า เอ้า นี่เค้าให้เหรียญมาด้วยนะ ม้าเก็บไว้ เพราะม้าไปบริจาคเลือดไม่ได้ ให้ม้านะ พอครั้งนี้ ฉันโทรบอกแม่ฉันๆ ก็....ไปอีกแหละ...เสียงลากยาวมาเลย เพิ่งไปมาไม่ใช่เหรอ คือว่านั่นมันเดือนสิงหาปีที่แล้วนะ ม้า นี่เดือนมกราปีใหม่แล้ว ฉันรู้เลยว่าแม่ฉันยังไม่พร้อม แต่ฉันเป็นคนมีความอดทนสูงค่ะ โดยเฉพาะเรื่องดีๆ แบบนี้ ฉันจะบริจาคไปเรื่อยๆ บอกให้แม่ฉันอนุโมทนาบุญทุกครั้ง วันนึงแม่ฉันก็จะเข้าใจและอนุโมทนาบุญกับฉันด้วยความเต็มใจ อาจเป็นเพราะว่าครอบครัวและญาติพี่น้องฉันไม่เคยมีใครต้องได้รับเลือดจากใคร มันเลยดูเหมือนเรื่องไกลตัวมากๆ ที่จะต้องบริจาคเลือดให้ใคร มันเหมือนเลือดเราเอง ทำไมต้องไปให้คนอื่นประมาณนั้น แต่อย่าคิดแบบนั้นเลยนะคะ เลือดของเรานี่แหละค่ะ ถ้าเราให้คนอื่นได้และโดยเฉพาะช่วยชีวิตคนๆ นั้นได้ มันจะเป็นความสุขใจของเราผู้ให้ และความมหัศจรรย์ของผู้รับนะคะ เพราะใครบางคนจะมีชีวิตขึ้นมาได้ใหม่ เพียงเพราะคุณให้ค่ะ และคุณทำได้ แม้คุณไม่มีตังค์ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องแข็งแรงนะคะ ^^




 

Create Date : 23 มกราคม 2553    
Last Update : 24 มกราคม 2553 15:55:49 น.
Counter : 425 Pageviews.  

คำถามยอดฮิต เมื่อคุณอายุเลยเลข 3

คงจะพอเดากันออกนะคะว่าคำถามยอดฮิตที่ว่าคืออะไร ยิ่งถ้าบอกว่า โดยเฉพาะถามผู้หญิง ไม่ใช่ค่า ไม่ได้ถามว่าน้ำหนักเท่าไหร่ อันนั้นไม่ควรถามไม่ว่าผู้หญิงจะอายุเท่าไหร่นะคะ แต่จริงๆ ฉันว่าก็ไม่อะไรนักหนา กับน้ำหนักนะคะ แต่มันเหมือนเป็นกฎเกณฑ์ ประเพณีว่าห้ามถามผู้หญิง มันน่าเกลียด อิ อิ

ส่วนคำถามยอดฮิตที่ฉันเจอตั้งกะย่างสามสิบยังแจ๋ว จน สามสิบเอ็ดแจ๋วกว่า และปีนี้จะ 32 แล้วก็คือ เมื่อไหร่จะลงจากคานสักที ถามกันถี่ซะจน อยากจะควงไอ้ผู้ชายหน้าไหนก็ได้มันมาสอยฉันลงจากคานยังไงยังงั้นเลย

เพื่อนๆ ที่เจอหน้ากันบ่อยๆ ก็แซวเล่นกันขำๆ ฉันมันพวกฮาๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถามกันให้บ่อย ถามกันให้แซ่ดว่าเมื่อไหร่จะมีแฟน คือแบบว่าถ้าผู้ชายดีๆ มันหาง่ายๆ ฉันคงถอยผู้ชายดีๆ ป้ายแดงแบบนั้นมานานแล้ว ไม่รอให้มาถามหรอก แหม อ่ะนะ เล่าแล้วมีอารมณ์ บางทีฉันก็ปล่อยมุกแซวตัวเอง คนอื่นจะได้ไม่แซวฉัน เป็นว่า กัดตัวเองดีกว่าให้คนอื่นมากัด เพราะบางคนไม่ได้ฉีดยากันบ้า เดี๋ยวน้ำลายเปื้อนฉันจะพลอยบ้าไปด้วย ฮิ้วววว

บางคนถึงจะหาคู่ให้ เหมือนคอลัมน์อะไรนะคะ ลุงหนวดหาคู่หรือไงเนี่ย ในหนังสือพิมพ์ เอ ทำไมฉันรู้จัก เง้ออออ จะหาให้อย่างจริงจังจนฉันเกรงใจ ต้องปฏิเสธหนักแน่นว่าไม่เป็นไรจริงๆ พี่ คือ หนูหาเองได้ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลา เพราะเรียนหนัก ทำงานเหนื่อย แล้วใครเล่าจะมาเข้าใจคนบ้างานอย่างฉัน อันนี้ที่บ้านและเพื่อนสนิทฉันเป็นพยานได้ หรือบางคนก็หวังดีบอกว่า เนี่ย อยากจะหาแฟนให้นะ แต่ไอ้พวกเพื่อนๆ พี่มันก็เป็นแบบพี่ ไม่เหมาะกับคนอย่างฉันหรอก เพราะมันเอาหมด เหล้ายา ปลาปิ้ง ผู้หญิงทั้งหลาย อันนี้ฉันก็บอกศาลาไปเรียบร้อยว่า ขอบคุณเช่นกัน

เพื่อนฉันบางคนแอบแซวโดยที่ฉันกลับมาคิด เอ้า นี่มัน ก็แบบ นี่เธอลูกค้าโต๊ะนั้น เดินไปดูซิ น่ารักมั๊ย พอฉันเดินไปเช็ค เฮ้ย ไม่น่ารักนะ คือหน้าตาธรรมดาๆ ไม่ได้น่ารักแบบมองแล้วหัวหมุนไงค่ะ เดินกลับมาบอกเพื่อนว่า อืม หน้าตาธรรมดานะ ไม่ได้น่ารักนี่นา เพื่อนบอกเนียนๆ ว่า อืม ขนาดเค้าหน้าตาธรรมดาสุดๆ อย่างงั้น ยังมีแฟนเลย....เนอะ.....เง้อออออ นี่เพื่อนฉันเค้าว่าฉันหรือเปล่าค่ะ

เพื่อนรุ่นฉันส่วนใหญ่ก็ทยอยแต่งงานกันไป บางคนไปไว มีลูกกันแล้วด้วยนะคะ เพื่อนรักฉันคนนึง ที่คุยกันเมื่อไหร่ก็ต่อกันติด คนนี้เป็นผู้ชายปากจัด ถ้าเจอกันตามถนน คุณจะดูไม่รู้เลยว่าเค้าคือหมอหนุ่มหน้าเด็ก พ่อหมอนี่เจอฉันทีไร จะมีคำถามเด็ดว่า ลงจากคานหรือยังหล่อน ฉันหล่ะกลัวเธอตกรถไฟมากๆ เลยนะ ฉันเลยตอบไปเนียนกว่า เฮ้ย ยุคนี้รถไฟมันช้าไปนะ ไปเครื่องบินท่าจะเร็วกว่า เพื่อนฉันมันเลยบอกว่า อย่าติดกาวไว้เลย ไอ้คานหนะ เดี๋ยวซื้อมาให้ห้อยเล่นนะ นี่เค้าก็ว่าฉันเป็นพวกงูเงี้ยว หรือว่า ตุ๊กแกหรือเปล่าค่ะ พวกติดหนับ ฉันเลยบลัฟเพื่อนฉันไปว่า เนี่ย ปีหน้าแต่งเลย รุ่นนี้แล้วไม่คบนาน เจอกันใช่ ก็พยักหน้างึกงัก ไป ไป หลังพุ่มไม้ เอ๊ย ลงหอกันเลยดีกว่า อย่าตกใจหล่ะกัน ตอนฉันร่อนการ์ดไปให้ เพื่อนฉันมันไม่เหนียมแถมบอก กล้าๆ หน่อย กล้าๆ หน่อย พอบอกให้เพื่อนฉันมันหาแฟนให้ มันดันบอกหน้าตาเฉยว่า ผู้ชายดีๆ เดี๋ยวนี้หายาก เนี่ย มันก็หาอยู่ อ้าว เวรกรรม แต่เพื่อนหมอฉันเค้ามีภรรเมียแล้วค่า ไม่ต้องตกใจ

จริงๆ แล้ว คำถามส่วนใหญ่ฉันได้ยินมาจน ฉันว่านะคะ ไม่ชินชาแบบ อืม แล้วไง แล้วไง ก็จะแบบ คิดมากฟุ้งซ่านว่า แล้วทำไม ทำไม ทำไมฉันไม่มีแฟนกับเค้าซะที แต่มันจะอีกแบบค่ะว่า ยอมรับและเข้าใจ ว่า เอ้า มีปัญญาถามกันมาทุกวัน ฉันก็มีปัญญาตอบหล่ะเว้ย ว่า ยังไม่มีแฟน และฉันจะรักคานของฉันประดุจชีวิต อย่าริมาสอยฉันลง คือว่า ผู้ชายดีๆ ก็เข้ามานะคะ ฉันแอบเปิดไฟเขียวประตูหลังบ้านอ่ะค่ะ แต่คุณๆ อาจจะมองไม่เห็น

จริงๆ ฉันไม่ขออะไรมาก แต่หลังจากที่ฉันทบทวนดู ไอ้ไม่อะไรมากของฉัน เหมือนจะเป็น มากไปหรือเปล่า ของคนอื่น เช่นเอาแบบเบสิคเลยนะพี่ อันนี้แบบที่ยังไม่เข้าลิสต์ชายหนุ่มในดวงใจเลยนะพี่นะ เช่น ไม่กินเหล้า พี่คนหาแฟนบอกทันใด ไม่กินเหล้า ก็ต้องสูบบุหรี่นะ ฉันก็ต่อทันที อ๋อ ต้องไม่สูบบุหรี่ด้วยค่ะ พี่ ฉันเหม็น พี่เค้าก็บอกว่า งั้นอาจจะมีเล่นการพนัน คือ อันนั้นฉันก็รับไม่ได้ค่ะพี่ขา พี่เค้าบอกว่า งั้นก็ต้องนี่เลย ต้องเจ้าชู้ เออ แบบว่า อันนั้นก็ไม่โดนค่ะ พี่ จนพี่เค้าคงเหลืออดว่า เฮ้ย มันต้องอย่างใด อย่างนึง แต่งแล้วเค้าจะเลิกไปเองแหละ เอาๆ ไปเหอะ เง้อออออออ ฉันฟังแล้วแบบ คือว่า จะหาสามีอ่ะค่ะ พี่ขา อยากได้แบบใช้แล้วใช้เลย ไม่เอา ใช้แล้วเปลี่ยน ถอดแล้วคืนอ่ะค่ะ พี่ นี่ฉันยังไม่ได้ขึ้นลิสต์อย่างแรกว่า อย่างน้อยต้องมีศีลห้า ขืนบอกไป พี่เค้าคงสวดฉันยับว่า จะหาได้ที่ไหนหล่ะ น้อง อิ อิ

จริงๆ แล้ว ฉันว่าผู้ชายดีๆ มีอยู่เยอะนะคะ เพียงแต่เราเดินกันคนละเส้นทางแค่นั้นเอง บางคนดี แต่แต่งงานแล้ว อันนี้เวลาฉันเจอคนหน้าตาเข้าทาง ฉันก็เล็งแหวนนิ้วนางซ้ายก่อนเลย พี่สาวฉันก็แอบฮา พอฉันบอกว่า แจ้ๆ เค้าไม่ใส่แหวนหล่ะ พี่ฉันบอกซ้ำ ดูดีๆ อาจถอดก็ได้ มีรอยแหวนเปล่า 555555

พี่ฉันครั้งนึงก็เคยคิดจะจับคู่ฉันให้เพื่อนเค้า แต่ฉันบอกว่า อย่าเลยแจ้ เกรงใจ ฉันก็ตอบไปอย่างงั้นแหละค่ะว่า เกรงใจ เพราะถ้าพี่ฉันถามต่อว่า เกรงใจใคร ฉันก็ไม่รู้จะตอบว่า เกรงใจใครเหมือนกัน เหอะ เหอะ ตอนหลังฉันแซวพี่ฉันเล่นๆ ว่า เอ้า ไหน ไอ้เพื่อนคนนั้นหนะ นัดมาเลยๆ พร้อมแหละ อยากได้เป็นสามีหล่ะ พี่ฉันดันบอกว่า ตอนนั้นไม่ยอมสานต่อ ไม่เอาแหละ ไม่อยากให้เป็นแฟนแหละ เอ้า ฉันเลยงง คือว่า เจ๊ สานต่อมันต้องแบบเจอกันแล้วบ้าง แล้วไม่มีการติดต่อ ต่อเนื่องกัน แต่นี่ เจ๊ ยังไม่ทันเป็นแม่สื่อ จัดแจง เจ๊ตัดบัวไม่เหลือใยเลยเรอะ ฉันก็แซวพี่ฉันเล่นไปอย่างงั้นแหละค่ะ ฉันชอบเจอเอง คบเอง คุยเอง ไม่ต้องมีใครมาแนะนำใครให้ฉันหรอก เพราะฉันว่าของอย่างงี้ อยู่ที่เคยเป็นคู่กันมาหรือเปล่า

แต่คู่ก็มีหลากหลายนะคะ คู่บุญ คู่บาป คู่เวรตะไล อยากจะเขวี่ยงตะไกรให้แกจริงๆ ประมาณนั้น จริงๆ แล้ว ฉันเฉยๆ นะคะ เพราะฉันอยู่คนเดียวได้ บางคนอาจเถียงเสียงแหวมาเลย เอ้า เจ๊ แล้วใครมันจะอยู่คนเดียวไม่ได้ฟ่ะ คือ ฉันหมายถึงบางคน มีจริงๆ นะคะ กินข้าวคนเดียวไม่ได้ เดินช้อปปิ้งคนเดียวไม่ได้ ดูหนังคนเดียวไม่ได้ ไปทำบุญคนเดียวไม่ได้ ทำอะไรๆ คนเดียวไม่ได้ แต่ฉันโชคดีนักหนา ที่ทำอะไรๆ คนเดียวได้ ยอมรับคะว่า มีเหงาบ้าง แต่ความเหงาจะจางไปไว ถ้าใจฉันไม่ได้อ่อนแอในช่วงนั้นพอดี และฉันก็โชคดีอีกแหละ ที่ชอบอ่านหนังสือ มันเป็นงานอดิเรกที่สามารถทำได้คนเดียวและมีความสุขที่ได้ทำจริงๆ อีกอย่างที่ถือเป็นการเปิดโลกกว้างคือ อินเตอร์เน็ท วันไหนที่ใจฉันมันเป็นลบซะเหลือเกิน ฉันก็จะเปิดเน็ท ฟังธรรมหลวงพ่อซะหน่อย ให้เขกกะโหลกฉันซะหลายโป๊กว่า จมอยู่กับกิเลส ความซึมเศร้า เป็นอกุศล ไม่ดีนะ ใจฉันก็จะสว่างขึ้น และรู้สึกดี

เพราะไม่ว่ายังไง เราก็มาคนเดียว และเราก็จะไปคนเดียวอยู่แล้ว พูดแบบนี้ ไม่ได้จะบอกว่า ฉันจะไม่มีแฟนนะคะ มีค่ะ ถ้ามันถึงเวลา และเค้าคนนั้นของฉันก็พร้อมที่จะรักฉันอย่างที่ฉันเป็น และถ้าผู้ชายคนนั้นผ่านลิสต์อันยาวยืดของฉันไปได้สักครึ่งนึง ที่พูดแบบนี้ เพราะฉันไม่ได้ต้องการผู้ชายที่เพอร์เฟ็กต์หรอกค่ะ แต่ข้อเสียของเค้าฉันต้องรับได้ ไม่งั้นคงกัดกันตาย เถียงกันด้วยเรื่องง่อยๆ แต่ฉันต้องการผู้ชายที่อย่างน้อยมีธรรมะในใจ มีหลักสี่อย่างที่พระพุทธองค์ประทานให้ว่าต้องเสมอกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ยืด เช่น ศีล ศรัทธา จาคะ และปัญญา

แต่ถ้าฉันจะไม่มีแฟนจนอายุอานามไปเลขแซยิด ฉันก็ไม่สะดุ้งนะคะ แต่ฉันจะต้องมานั่งตอบคำถามคนรอบข้างฉันอีกมั๊ยเนี่ย ว่าเมื่อไหร่จะลงจากคานซะที




 

Create Date : 12 มกราคม 2553    
Last Update : 12 มกราคม 2553 16:58:22 น.
Counter : 463 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

daisyntulip
Location :
California United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add daisyntulip's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.