Group Blog
 
All blogs
 
เด็กไทยขี้อาย..ขอบ่น

บล๊อกนี้ฉันขอบ่นนิดนึงเกี่ยวกับการกล้าแสดงออก ฉันเรียนหนังสือที่เมืองไทยมา 20 ปีพอดิบพอดี คุ้นเคยกับการเรียน การสอนแบบไทย พูดง่ายๆ ว่า ระบบท่องจำ ครูเป็นคนถ่ายทอด นักเรียนเป็นคนรับ จับยัดๆ ฟังดูแล้วเหมือนฉันไม่ค่อยจะรักระบบการสอนแบบนี้เท่าไหร่ ก็ไม่นะ ฉันเพียงแค่ชินกับระบบ และวัฒนธรรมการเรียนแบบเด็กไทยที่เกิดยุคเดียวกับฉันเท่านั้นเอง เราไม่ค่อยรู้ความต่างว่า ดี ไม่ดี ยังไง จนได้มาเจอที่ทำให้เราเปรียบเทียบได้ ตอนฉันเรียนมหาลัยที่เมืองไทย ยังมีเลย ครูมาปิ้งแผ่นใสให้นักเรียนดู ปิ้งๆ ย่างๆ กลับแผ่นใสไปมา เกรียมได้ที่ แล้วก็หมดคาบพอดี แถมบางที ครูยังคัดลอกโน้ตจากในมือครู ให้นักเรียนลอกตามอีกต่างหาก

จนฉันมาเรียนต่อที่อเมริกา ฉันงงมาก ที่ตอนเรียนอยู่ นักเรียนสามารถเอาอะไรเข้ามากินก็ได้ กินไป เรียนไปก็ได้ โอ แม่เจ้า เกิดมาไม่เคยเห็น แถมนึกจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็ไปเลย ไม่ต้องขออนุญาติครู ฉันเจอตอนแรกๆ ฉันงงมากๆ แล้วก็แปลกใจ นักเรียนคุยเล่นกับครู ประหนึ่งเป็นเพื่อนกัน เถียงกันหน้าดำหน้าแดงก็มี ที่เมืองไทยยุคฉันเป็นนักเรียนไม่ค่อยมีนะ ครูเป็นฝ่ายถูกเสมอ

แล้วฉันบ่นเรื่องอะไรเฉพาะเจาะจงหนะเหรอ ก็คืองี้ เรื่องเรียนนี่ไม่ต้องพูดถึง ฉันได้เอเก็บใส่กระเป๋าเยอะแยะ อันนี้ไม่ค่อยจะห่วงเท่าไหร่ แต่ฉันไม่ชอบเลยจริงๆ วิชาที่นักเรียนต้อง participate in class แถมเป็นแบบ mandatory อีกต่างหาก คือ ถ้าไม่พูด เอ็งก็ไม่ได้คะแนน เป็นไง จะพูดมั๊ย

เล่าย้อนไปก่อนหน้า ฉันเคยเรียนคลาส management ที่ครูใจดีมากๆ คาบแรกที่ฉันไปเรียน ฉันแทบใส่เกียร์ถอยหลัง จริงๆ มีเด็กไทยหลายคนถอยมาแล้ว ไปเรียนด้วยกันนี่แหละ น้องแกดร๊อปแบบออกไปตอนครูปล่อยเบรคเลยทีเดียว เก้าอี้จัดวางในลักษณะ อัศวินโต๊ะรี ให้พูดคุยกันได้ ซึ่งต่างจากห้องเรียนทั่วไป นักเรียนในห้องก็ไม่เยอะ ไม่เลย 20 คน ทุกคนต้องมีกระดาษตั้งชื่อตัวเอง อยู่ข้างหน้า ต้องเอามาด้วยทุกคาบ ทุกคนต้องคิดเกมมาให้เพื่อนๆ เล่น และครูจะมีเกมให้เล่น เกมส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับ การจัดการและบริหาร ซึ่งฉันชอบมากๆ

แต่ก่อนที่ฉันจะชอบนั้น ฉันคิดว่าฉันจะดร๊อปดีมั๊ย เรียนแบบนี้ต้องพูดแน่ๆ แล้วฉันก็ต้องตายแน่ๆ ไม่ใช่ว่าฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรือไม่ดี ฉันพูดได้ และสำเนียงดีด้วย (ขอชมตัวเองนิดสะนึง) เพียงแต่เมื่อไหร่ที่ต้องพูดในห้อง แบบที่ทุกคนหันมามองฉันเป็นตาเดียว ปอดฉันจะแหกขึ้นมากะทันหัน (แค่นั้นเอง) ณ ตอนนั้น ฉันจำได้ว่าฉันเลือกที่จะลงเรียนต่อ เพื่อที่จะดัดสันดานนิสัยเสียไม่กล้าพูดของฉัน ฉันมากล้าพูดคุยกับอาจารย์ในห้อง ต่อเมื่อผ่านไปครึ่งเทอม ตอนฉันเอ่ยถามครูครั้งแรก ครูมีสีหน้าดีใจมาก ที่อีหนูหน้ากะเหรี่ยงนี่ยอมพูดสักที แถมโปรเจ็คที่ฉันทำ ครูก็ชมและแน่นอนฉันได้เอมาครอง

แต่วิชาส่วนใหญ่ นักเรียนไม่ต้องมีส่วนร่วมเท่าไหร่ เป็นการ lecture ธรรมดา ฉันไม่มีปัญหาเลย เวลาทำงานกลุ่ม คุยกับเพื่อน หรือ แม้กระทั่งต้องมี presentation เพราะฉันเรียนปริญญาโท ทุกวิชาต้องมี presentation ทั้งนั้น แต่เทอมนี้ ฉันมีวิชาที่ฉันต้องพูด ต้อง ต้อง ต้อง พูดในห้อง ถ้าไม่พูดคุย หรือแสดงความคิดเห็น ก็จะไม่ได้คะแนน

ครูก็สุดแสนจะใจดี และคะยั้นคะยอให้นักเรียนพูด เพราะไม่ว่านักเรียนคนไหนตอบว่าอะไร คำพูดติดปากของครูคือ yeah....that's right...exactly... เห็นมั๊ย นี่ขนาดครูเอ่ยปากขนาดนี้แล้ว ฉันก็ยังไม่ยอมง้างปากตัวเอง คาบที่แล้ว มีการสนทนากันถึง article อันนึง ซึ่งเป็นหัวข้อที่ฉันทำในอีกวิชานึงพอดี ฉันแทบจะกระโดดลอยตัวแล้วบอกว่า อันนี้ฉันรู้ลึกนะ รู้ลึกจริงๆ ฉันทำ article เรื่องนี้เองกับมือเลย แล้วฉันก็บอกตัวเองว่า "พูดซิ พูด พูดเลยย ยกมือเลย ยกเลยยย เรารู้นะ อันนี้ พูดเลย" แล้วฉันก็หน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ อากาศร้อนขึ้นมากะทันหัน มือเย็นจัด หน้าร้อนผ่าว ใจเต้นแรงมากๆ แล้วฉันก็...... ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ ครูเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปแหละ เฮ้ออออออออ

หมดกัน ฉันแอบโกรธตัวเองห้าวิ ว่า ปัทโธ่เว้ย แค่นี้ก็ไม่พูด ทำไมไม่พูดหล่ะเนี่ยย พลาดโอกาสทอง เพราะทั้งห้องไม่ค่อยมีคนรู้เรื่อง article นี้ แต่ตอนนี้อุณหภูมิในร่างกายฉันกลับมาเหมือนเดิม แต่ฉันโกรธหรือด่าว่าตัวเองไม่ได้มากนัก เพราะฉันเคยอ่านหนังสือมาเค้าบอกว่า อย่าตำหนิตัวเองมากนัก เปลี่ยนเป็นให้กำลังใจตัวเองจะดีกว่า ว่า เอาน่า โอกาสหน้ายังมี ฉันทำได้ ฉันจะทำ

พอฉันไปเรียนอีกวิชานึง มีน้องคนไทยที่เรียนปริญญาตรีที่นี่ บอกฉันว่า ไม่ยากเลยพี่

ข้อหนึ่งให้อ่านหนังสือไปล่วงหน้า พออาจารย์พูดอะไรมา เรารู้แล้วเราก็จะมีกำลังใจพูดมันออกมา แต่ฉันเถียงนิดนึงว่า ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้นะ ฉันรู้ แต่ฉันไม่กล้าพูดอ่ะ น้องเลยบอกว่า "งั้นก็ช่วยไม่ได้พี่" แป่วววววว

ข้อสอง เวลาคนอื่นยกมือกันเยอะๆ พี่ก็ยกตามเลยยยยย แต่ยกช้ากว่าคนอื่นนิดนึง พอครูชี้คนอื่นให้ตอบ แล้วครูหันมาชี้พี่ พี่ก็บอกว่า อ๋ออ คนนั้นพูดที่ฉันจะพูดไปแล้ว แบบนี้ถึงเราจะไม่ได้พูด แต่ครูก็จะรับรู้ได้ว่า อีกะเหรี่ยงนี่อยากมีส่วนร่วมนะ ไม่ใช่นั่งเป็นใบ้เบื้อในห้อง ไม่เอาคะแนน ออกแนวบลัฟเล็กๆ

ข้อสาม น้องเค้าบอกว่า หมดคาบแล้ว ให้ไปถามอะไรครูก็ได้ ถามง่อยๆ ถามโง่ๆ ก็ได้ ถึงเราจะไม่ตอบในห้อง แต่ครูเหมือนรู้สึกว่าเคยได้ยินเราพูด ครูอาจจะเบลอๆ ให้คะแนนเราไปเอง (เอ๊ะ ยังไง)

น้องคนนี้วิเคราะห์อีกว่าเป็นเพราะฉันมีพี่สาวทำให้เวลาจะทำอะไร พี่สาวมักเป็นคนทำให้ พูดให้ อันนี้ฉันว่ามีส่วนถูก ฉันก็เห็นด้วย งึกๆ งักๆ ไปกับน้องเค้า แต่พอฉันกลับมาบ้านมาถามพี่สาวฉัน พี่แกดันบอกว่า ตอนแจ้เรียนในห้องก็ไม่พูดเหมือนกัน อ้าว เวร

ฉันมานั่งวิเคราะห์แล้ว มันเป็นเพราะฉันอยู่ในกรอบการเรียนแบบไทยมาตั้งนาน จะให้มากล้ายกมือแบบ เฮอร์ไมโอนี ใน แฮรี่พอตเตอร์ ปุ๊บปั๊บ ใครจะไปกล้า ทั้งที่ให้ไปพรีเซ้นต์หน้าห้อง ทำได้นะ แปลกมั๊ย อิ อิ หรือเป็นเพราะฉันไม่ชอบเป็นจุดสนใจก็ไม่รู้ เพราะฉันมักเลือกนั่งหลังห้อง หรือกลางห้อง ค่อนไปแบบแอบๆ เคยมีเหมือนกันที่ฉันนั่งหน้าห้องเลย แต่น้อยมากๆ

แต่กับวิชานี้ ถ้าฉันไม่พูด ฉันก็จะไม่ได้คะแนน particitpation ถึงแม้ว่าฉันเข้าเรียนทุกคาบก็ตาม ที่เด็ดคือ ครูจำชื่อนักเรียนได้ทุกคน เพราะครูให้เราส่งรายละเอียดของตัวเองและติดรูปไปด้วย แล้วครูก็เอาไปท่องๆ พอเราตอบ ครูก็จะพูดชื่อเราขึ้นมาเลย เจ๋งมั๊ย

หลังจากคาบที่แล้ว คาบถัดมา ฉันกับน้องคนไทยอีกคน ก็ใจกล้าหน้าด้าน แหวกม่านประเพณี เปิดคาบมา ทุกคนกำลังงุนงงว่าอาทิตย์หน้าจะมีสอบ (อีกแล้วนะ) น้องคนไทยตอบคำถามครูเบาๆ ฉันก็ยุเลย "ยกเลยๆๆ" น้องก็บ้ายุ ยกมือ แล้วครูชี้ให้ตอบ เค้าเลยได้พูดหนึ่งครั้ง จากนั้นส่งลูกต่อไม่กี่วินาทีต่อมา ฉันก็คิดว่า เฮ้ย ตาฉันบ้าง คนอื่นๆ กำลังมึนๆ ว่า ไอ้สองคนหลังห้องนี่มันมาไม้ไหน มันไม่เคยพูดอะไรเลยในห้อง วันนี้มันแปลก ฉันก็ยกมือ แล้วโอกาสทองก็มา ครูบอกให้ฉันตอบ อะฮ่า ฉันได้คะแนนเหมือนยัดลูกบาสเข้าห่วง เพื่อนฉันที่เป็น asian ด้วยกัน หันมายกนิ้วโป้งให้ แล้วเราก็ขำกันใหญ่ ฝรั่งคนอื่นๆ หันมามองแล้วทำหน้าว่า "มันขำอะไรกัน" จากนั้นฉันชิงโอกาสที่คนอื่นกำลังงงว่า เกิดอะไรขึ้น ตอบไปอีกทีนึง เบ็ดเสร็จ ฉันตอบไปสองครั้ง เฮ้อ ได้มีส่วนร่วมกับเค้าบ้าง

แต่มันไม่ได้จบแค่นั้นหรอก เพราะจากนี้ฉันต้องใจกล้า พูดให้ได้ทุกคาบ เฮ้ออออ แต่ก็มีส่วนถูกนะว่า ถ้าคนเรากล้าครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อๆ ไป ก็จะง่ายขึ้น แต่ไอ้ความกล้านี่ ไม่ค่อยจะมาแวะเวียนฉันสักเท่าไหร่เนี่ยซิค่ะ ทำให้เวลาฉันจะตอบ ฉันต้องคิดว่า ฉันเป็นคนอเมริกันนะ ตอบไปเลย เพราะฉันเห็นเพื่อนฝรั่งฉัน เฟสบุ๊คในห้อง แล้วอยู่ดีๆ ก็หันมาตอบเฉยเลย แล้วเจ๊แกก็หันไปเฟสบุ๊คต่อ อะไรกันเนี่ย ฉันดูแล้วไม่ยุติธรรมเลย ขณะที่ฉันเกร็งสุดตัว เวลาจะยกมือ เวลาจะตอบ เจ๊แกเนียนๆ เหมือน คุยเล่นไปมากับครู แต่เพราะระบบการสอนเค้าเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ใครอยากพูดอะไรก็พูด ฝรั่งส่วนใหญ่ ไม่ยกมือด้วยซ้ำ พูดออกมาเลย แต่ฉันยังไม่กล้าขนาดนั้น ขอยกมือประหนึ่งว่า ครูขา ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำได้มั๊ยค่ะ นะคะ หนูอั้นต่อไปไม่ไหวแล้วค่า


Create Date : 17 ตุลาคม 2552
Last Update : 17 ตุลาคม 2552 14:13:20 น. 5 comments
Counter : 724 Pageviews.

 
อ่านแล้วเข้าใจความกดดันเลยค่ะ

พยายามต่อไปนะคะ จขบ.เริ่มต้นได้แล้ว ครั้งต่อไปไม่น่าจะสาหัสสากรรจ์นัก อย่าไปเกร็งตัวเองเอาใจจดจ่อที่ครูคนเดียว คิดซะว่าเวลาเราตอบคือการพูดคุยปกติกับครู ไม่ใช่การแสดงออกถึงความเป็นจุดเด่นต่อเพื่อนทั้งชั้นเรียน .. อิอิ.. แนะนำไปอย่างนี้ตัวป้าโซเองก็ไม่เคยเรียนในบรรยากาศอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่อยากให้กำลังใจ สู้ๆนะคะ

ที่ญี่ปุ่นนี่ตอนไปดูการเรียนการสอนของลูกที่ร.ร. ครูก็จะถามคำถามให้เด็กยกมือขึ้นตอบเหมือนกันค่ะ เด็กที่กล้าแสดงออกก็จะยกมืออย่างเร็วขานรับว่าตอบได้ ส่วนเด็กที่ไม่กล้าแสดงออกก็จะเหนียมๆ ถึงจะรู้คำตอบก็ค่อยๆยกมือแบบกลัวๆกล้าๆ อยู่ที่ครูว่าจะสนใจเด็กทุกคนทั่วถึงเพียงไร แต่ครูก็ทำได้ดีค่ะเพราะพยายามเกลี่ยเรียกเด็กให้ตอบกันอย่างทั่วถึง ส่วนเด็กคนที่ไม่ยอมยกมือตอบเลยครูก็จะมาเดินถามเบาๆใกล้ๆในลักษณะคุยกันเหมือนเพื่อนให้เด็กกล้าตอบ เรียกว่าไม่คาดคั้นบีบบังคับจิตใจกันจนเกินไปนัก ถ้าเด็กไม่ยอมง้างปากจริงๆก็จะปล่อยไปก่อน สักวันหนึ่งเด็กก็จะชินและกล้าขึ้นเอง


โดย: ป้าโซ วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:15:01:00 น.  

 
แวะมาทักทายค่ะ


โดย: โยเกิตมะนาว วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:15:56:17 น.  

 
ด้านได้-อายอดค่ะ ท่องเอาไว้นะคะ ใช้ได้กับทุกสถานการณ์จริงๆค่ะ สู้ๆค่ะคนไทยเราเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลกเหมือนกันนะค้า


โดย: Un-Sunny วันที่: 18 ตุลาคม 2552 เวลา:1:00:24 น.  

 


วัน นี้ ……วัน พระ ค่ะ


ธรรมสวัสดีค่ะคุณเดซี่

วันนี้ป้ากุ๊กไปร่วมบุญในงานบรรยายธรรมพิเศษ ในโครงการ >>> จิตใส …ใจสบาย
ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ซอย เพชรเกษม 54 กรุงเทพ


องค์บรรยายคือ …พระปราโมทย์ ปาโมชโช
จากสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี


บรรยายเรื่อง “ ทางพ้นทุกข์ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก “
มีญาติธรรมเข้าร่วมงานบุญล้นหลาม


กิจกรรมมีทั้ง สวดมนต์ / ทำสมาธิ / ฟังธรรม / และถามตอบปัญหา
เป็นงานบุญที่ให้ความอิ่มเอิบใจตั้งแต่เริ่มต้นจนจบรายการค่ะ
มาร่วมอนุโมทนากันนะคะ
…………………….

ขอบอกว่าป้ากุ๊กอ่านไปหัวเราะกั๊ก ….กั๊ก …..กั๊ก ไป
(คือหัวเราะแบบหนีบหนีบ หยั่งคนไทยขี้เหนียมไง)

คุณเดซี่จะพูดเก่งหรือไม่เก่งป้าหารู้ไม่
แต่ที่รู้แน่ๆคือคุณเดซี่เขียนเล่าอะไรต่อมิอะไรได้สนุกพิลึก

ป้าว่าป้าแวะมาบ้านนี้ทีไรได้รอยยิ้มกลับไปทุกครั้ง


ในความเป็นจริงคนที่สามารถเล่าได้สนุกก็น่าจะพูดได้สนุกด้วยนะ
ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า เล่าในกระดาษ มันต่างกับเล่าปากเปล่าต่อหน้าผู้คน


ถ้าคุณเดซี่กลับความคิดเสียใหม่เป็น ……
ทุกครั้งที่ฉันกำลังเล่าปากเปล่านี่คือฉันกำลังบรรเลงลงในกระดาษนะ
ประดาหน้าสลอนที่นั่งตาปริบๆอ้าปากหวออยู่ล้วนแล้วเป็นโต๊ะเก้าอี้ว่างๆทั้งนั้น
บางทีสถานการณ์ของกะเหรี่ยงดงจะดีขึ้นละมัง

ผลเป็นอย่างไรอย่าลืมเล่าสู่กันฟังเน้ออออออออออออ


มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ….มีความตั้งมั่น เป็นกลาง





โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 18 ตุลาคม 2552 เวลา:21:59:36 น.  

 


ไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับผู้อื่นก็ได้


หอบความคิดถึงมาฝากค่ะคุณเดซี่

หลานปันปันสบายดีไหมคะ

มีความสุขกับทุกๆสถานการณ์นะคะ


คมคำ : คำว่ารับผิดชอบหมายถึง …รับทั้งผิด และ ชอบ





โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:20:25:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

daisyntulip
Location :
California United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add daisyntulip's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.