วันนี้ ทุกจอคอมพิวเตอร์ ในบ้านคุณ

วิจารณ์หนัง : 300 Rise of an Empire สงครามทะเลเลือด



300 เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นประวัติศาสตร์โบราณที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2006 ผู้คนทั่วโลกพากันให้ความสนใจกับความกล้าของชาวสปาตันและวีรกรรมของกษัตริย์ลีโอไนดัส ในการนำทหารชาวสปาร์ตันเพียง300นายไปต่อสู้กับทหารนับแสนของเปอร์เซีย (เมืองสปาร์ต้าติดเทศกาลคาร์เนี่ยนจึงมีผู้อาสาไปรบเพียง300 ) ที่เขาเธอร์โมไพลีพวกเขาทั้งหมดพลีชีพอย่างห้าวหาญจนกลายเป็นตำนาน

เวลาผ่านไปเกือบ10ปี 300 กลับมาอีกครั้งในชื่อ 300 Rise of an Empire ซึ่ง แซก ชไนเดอร์ ผู้กำกับคนเดิมได้ส่งไม้ต่อให้ นีล เมอร์โร ผู้กำกับไฟแรงรับหน้าที่กำกับ แต่ยังคงมาเขียนบทรวมถึงมาช่วยดูแลงานสร้างบางส่วนให้ ซึ่งมีทีมนักแสดงทั่งเก่าและใหม่ผสมกัน

เนื้อเรื่องของ 300 Rise of an Empire ไม่ใช่ภาคต่อ แต่เป็นเหตุการณ์คู่ขนานของ 300 โดยล่าถึงที่มาที่ไปของมหาสงครามเริ่มต้นจาก ธีมิสโทเคิลส์ (เธมิสโตคลิส) ทหารชาวกรีกยิงธนูสังหาร กษัตริย์ดาเรียส บิดาของ เซอร์ซิส ราชาเทพแห่งจักรวรรคิเปอร์เซีย ทำให้ เซอร์ซิส กลับไปยกทัพหลายแสนมาบดขยี้กรีกเพื่อแก้แค้น โดยมี อาร์ทีมีเซีย สาวจอมโหดที่มีความแค้นกับทหารกรีกเช่นกันเป็นแม่ทัพใหญ่

ธีมิสโทเคิลส์ รวบรวมชาวกรีกที่ล้วนไม่ได้เป็นนักรบมาฝึกให้เป็นทหารเพื่อรับมือกับกองทัพเรือเปอร์เซีย จำนวนคนที่ต่างกันทำให้เขาต้องใช้กลยุทธการศึกทางทะเลในการต่อสู้ ซึ่งก็ทำได้ดีจนสามารถเอาชนะเปอร์เซียได้หลายครั้ง อาร์ทีมีเซีย ที่กำลังโกรธจัดจึงสั่งกองทัพเรือจำนวนมหาศาลทั้งหมดโจมตีทัพเรือเล็กๆของชาวเอเธนส์ให้สิ้นซาก ความหวังของ ธีมิสโทเคิลส์ มีเพียงขอให้ ราชินีกอร์โก ภรรยาของ ลีโอไนดัส กษัตริย์แห่งสปาตันและเมืองอื่นๆในกรีกเปลี่ยนใจยอมเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการศึกแห่งอิสรภาพครั้งนี้

ด้วยความคาดหวังอันมากมายของผู้ชมทำให้ 300 Rise of an Empire ถูกนำไปเปรียบเทียบกับภาคแรก บทดูลดความเข้มข้นลงไปมาก ที่สานต่อจากภาคเก่ามีเพียงเทคนิคภาพที่สวยงามและฉากต่อสู้ดิบเถื่อนเลือดกระจาย ส่วนความแฟนตาซีก็ลดลง หันมาอิงประวัติศาสตร์มากขึ้นแทน ใครไม่ชอบหนังแนวนี้จึงอาจจะเบื่อถึงขั้นง่วงหงาวหาวนอน

ฉากแอ็คชั่น ด้วยการที่เป็นการรบทางทะเลซะส่วนใหญ่ แน่นอนว่าความสนุกของฉากต่อสู้ย่อมลดลง ซีจีเลือดพุ่งพอหลายๆซีนเข้าคนดูบางคนอาจจะเริ่มเอียนกับมัน(บางช็อตเลือดเยอะจนดูเวอร์) อีกทั้งทหารเปอร์เซียก็ดูไม่ได้เก่งกาจเหมือนในหนัง 300 ทำให้ขาดจุดให้คนดูลุ้นหรือเอาใจช่วย (ใน300ถึงรู้ว่าตอนจบต้องตายกันหมดแต่ก็ยังเชียร์) เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน พอเดาทางได้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร

ตัวละครที่โดดเด่นที่สุดกลับกลายเป็น เอวา กรีน ในบท อาร์ทีมีเซีย แม่ทัพสาวสวยผู้ไร้ความปราณี เธอเป็นผู้หญิงที่เล่นบทร้ายได้มีสเน่ห์มากๆคนหนึ่ง แฟนหนังชาวไทยโดยเฉพาะหนุ่มๆจึงผิดหวังไปตามๆกันที่อดดูฉากเลิฟซีนของเธอกับ ซัลลิแวน ซึ่งถูกตัดทิ้งไปราวๆ2นาที ด้าน ซัลลิแวน สเตเพิลตัน ที่เล่นเป็น ธีมิสโทเคิลส์ แม่ทัพหนุ่มฝ่ายกรีก แน่นอนว่าต้องถูกนำมาเปรียบกับ เจอราร์ด บัตเลอร์ ใน 300 ภาคต้น

ส่วนตัวคิดว่าบทต่างกัน เอามาเทียบไม่ได้ ซัลลิแวน อาจมีบุคลิกที่ไม่โดดเด่น หน้าตาก็ธรรมดา แสดงอารมณ์ไม่ชัด แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทที่เขาได้รับ เหมือนการเอาทหารกรีกไปสู้กับทหารสปาร์ตัน ฝ่ายหนึ่งทำไร่ทำนาตั้งแต่เกิด อีกฝ่ายเกิดมาเพื่อเป็นนักรบ ตัวต่อตัวยังไงก็สู้ไม่ได้ ทว่าเมื่อหนังมาถึงช่วงท้ายคุณจะพบว่าการแสดงของเขาไม่ได้ด้อยกว่า เจอราร์ด เลย

บทสรุปของหนังอดโยงไปถึงเหตุการณ์ตอนสงครามโลกครั้งที่สองไม่ได้ ช่วงนั้นกองทัพนาซีของเยอรมันกำลังรุกคืบยึดครองยุโรป อังกฤษต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว เหมือนกับที่ กรีกเผชิญหน้ากับจักรวรรดิเปอร์เซียลำพัง คุณคงรู้นะว่าชาติใดที่อาจอ้างตัวได้ว่าเป็น กองทัพสปาร์ตัน อันแสนแข็งแกร่ง

คะแนน 7.5/10 

โดย นกไซเบอร์ 

ดูตัวอย่างหนังได้ที่ //movie.bugaboo.tv/watch/76599/?link=4




 

Create Date : 17 มีนาคม 2557    
Last Update : 17 มีนาคม 2557 16:38:07 น.
Counter : 1700 Pageviews.  

วิจารณ์หนัง : The LEGO Movie ตัวต่อชิ้นพิเศษ



เลโก้คือของเล่นตัวต่อที่เหมือนพี่เลี้ยงกับครูคนแรกๆของเด็กทั่วโลก ส่วนตัวตั้งแต่จำความได้ก็เล่นของเล่นชนิดนี้มาตลอด ที่บ้านมีตัวต่อเลโก้หลายชุดรวมกันเป็นกระบะ เวลาเล่นแต่ละทีต้องเทออกมา ส่วนตอนเก็บนี่แทบจะไม่มีใครอยากทำเพราะชิ้นส่วนเล็กๆมันเยอะ บางอันก็หายไปบ้าง ผ่านมานานหลายปีเจ้าตัวต่อเลโก้ก็ค่อยๆหายไปตามกาลเวลา พอรู้ตัวอีกทีผมก็พบว่าไม่มีมันเหลืออยู่ในบ้านเลยสักชิ้น

การได้ดู The LEGO Movie จึงเป็นเหมือนการได้กลับไปเจอกับเพื่อนเก่าในวัยเด็กอีกครั้ง อารมณ์เดียวกับตอนดูหนัง Toy story ภาพยนตร์เลโก้ได้ Phil Lord กับ Chris Miller มากำกับ ซึ่งวางใจได้จากผลงานชิ้นเยี่ยมที่ผ่านมาอย่าง Cloudy with a Chance of Meatballs และ 21 Jump Street

หนังเล่าถึง เอ็มเม็ท หุ่นเลโก้แสนธรรมดาที่ทำตามกฎเกณฑ์ในคู่มือแบบเคร่งครัด ถูกเข้าใจผิดจาก ไวลด์สไตล์ เลโก้สาวนักสู้ว่าเป็นคนพิเศษตามคำทำนายของ วิทรูเวียส พ่อมดชรา ว่าเขาคืนผู้ที่จะช่วยปกป้องจักรวาลแห่งเลโก้เอาไว้ เขาต้องร่วมมือกับเหล่า มาสเตอร์บิลเดอร์ฮีโร่อย่าง แบทแมน ซูเปอร์แมน กรีนเลทเทิร์น ทีมบาสNBA นักบินอวกาศ ยูนิคอร์น อับบราฮัมลินคอร์น แกนดาร์ฟ เต่านินจา คาวบอย โจรสลัด ฯ เพื่อต่อสู้กับประธานาธิบดีผู้ชั่วร้ายกับลูกสมุนตัวแสบ

บทภาพยนตร์เต็มเปี่ยมด้วยจินตนาการได้ใจแฟนๆเลโก้ เพลงประกอบน่ารัก มุขตลกครีเอตเป็นเอกลักษณ์ ล้อเลียนหนังอื่นๆได้สนุก แต่เนื้อหาในช่วงแรกค่อนข้างเด็กและเล่าเรื่องอืดอาดไปนิด มาเดินเรื่องกระชับเน้นสาระกับข้อคิดในช่วงท้าย ซึ่งเปรียบเทียบการเล่นของเล่นแบบผู้ใหญ่กับการเล่นของเล่นแบบเด็กได้อย่างน่าสนใจ แฝงแง่คิดดีๆอย่างลึกซึ้ง ที่เด็ดที่สุดคือการผูกเนื้อเรื่องของโลกเลโก้กับโลกแห่งความจริงได้ยอดเยี่ยม ทำให้ของเล่นธรรมดาดูมีชีวิตขึ้นมา

ความเป็นสามมิติของหนังเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย แน่นอนว่าเทคนิคภาพทำให้หนังดูอลังการ ฉากน่าตื่นตาตื่นใจ ขณะเดียวกันก็ละเอียดและปราณีตมาก สต็อปโมชั่นนำเสนอออกมาได้ดี ตัวต่อเหมือนเด้งออกมาจากจอจริงๆ กระนั้น รายละเอียดที่มากเกินไปในบางฉาก(ฉากต่อสู้ ยิงกัน ไล่ล่า)ทำให้มองดูรกจอ รวมถึงทำให้ผู้ชมบางคนมึนจนปวดตาหรือเวียนหัว  หนังเรื่องนี้จึงอาจไม่เหมาะกับผู้หญิงที่โตมากับตุ๊กตาบาร์บี้หรือผู้ใหญ่ที่โตมากับของเล่นประเภทอื่น เนื่องจากแก๊กในหนังหลายซีนเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในเลโก้ คนที่อินส่วนใหญ่จึงเป็นแฟนๆของตัวต่อนี้มากกว่า

ทีมพากย์รวมดารามากฝีมือราวกับออลสตาร์ เจ๋งที่สุดต้องยกให้ มอร์แกน ฟรีแมน ในบท วิทรูเวียส นํ้าเสียงทรงพลังเข้ากับตัวละคร แต่ก็มีมุมขี้เล่นเรียกเสียงฮาได้เสมอ ซึ่งเขาใช้เสียงที่ไม่ดัดมากใกล้เคียงกับตัวจริง ผิดกับ คริส แพรทท์ ที่พากย์เป็น เอ็มเม็ท นํ้าเสียงคึกคักไฮเปอร์ มีคาแร็กเตอร์ สร้างความสนุกสนานได้ดี แม้ว่าบทพูดที่ค่อนข้างเยอะอาจทำให้ฟังดูน่ารำคาญไปบ้าง วิล อาร์เน็ทท์ กับการให้เสียง แบทแมน เป็นอีกคนที่ไม่ได้ใช้เสียงจริงๆแต่ดัดให้เป็นโทนทุ้มน่าเกรมขาม ยั่วล้อมนุษย์ค้างคาวฉบับหนังได้กวนมาก ปิดท้ายที่  เอลิซาเบ็ธ แบงก์ ในบทสาว ไวลด์สไตล์ มีเสียงที่เซ็กซี่ชวนหลงใหลเข้ากับ ไวลด์สไตล์ เช่นกัน

The LEGO Movie ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่โตจนเกือบจะเลิกเล่นเลโก้แล้ว ตัวต่อเรือโจรสลัดสวยงามตามแบบคู่มือฝีมือของผมถูกเอาไปเก็บไว้โชว์ในตู้อย่างสวยงาม ต่อมาไม่กี่วันมีเด็กเล็กแถวบ้านเอาลงมาเล่นจนเรือโจรสลัดแหลกเป็นชิ้นๆ ครั้งนั้นผมโมโหน้องคนนั้นมาก คล้ายกับว่าผลงานชิ้นสำคัญของเราถูกทำลายลงไป แต่เมื่อหนังจบลง ครั้งนี้ผมรู้สึกโมโหตัวเองในอดีต ที่ลืมไปว่า ของเล่นมีไว้เพื่ออะไร

คะแนน 7.5/10 

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/76600/?link=4




 

Create Date : 12 มีนาคม 2557    
Last Update : 17 มีนาคม 2557 16:38:41 น.
Counter : 1265 Pageviews.  

วิจารณ์หนัง : Delivery Man การเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์



ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า สิ่งที่ทำให้ชายคนหนึ่งกลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ คือการที่เขามีลูก แต่ถ้าใครสักคนรู้ตัวว่าเขาเป็นพ่อของลูกถึง 533 คนหละ เรื่องราวจะยุ่งวุ่นวายขนาดไหน Delivery Man คือภาพยนตร์ที่นำประเด็นการบริจาคสเปิร์มมาเสียดสีได้อย่างสนุกสนาน ดัดแปลงจากหนังฝั่งเศสเรื่อง Starbuck แต่ยังได้ เคน สก๊อตต์ ผู้กำกับคนเดิมมาสานต่อความฮา

ตัวหนังเล่าถึงชีวิตของ เดวิด วอซเนียค (วินซ์ วอห์น) ชายหนุ่มไม่เอาไหนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยเขาทำงานเป็นคนขับรถส่งเนื้อในธุรกิจของครอบครัวอเมริกันเชื้อสายโปแลนด์ ชีวิตยุ่งเหยิงที่ไปทำแฟนสาวท้อง ติดหนี้ก้อนโต และ ทำงานผิดพลาดบ่อยๆ แถมต้องมาเจอวิกฤติหนักขึ้นไปอีกเมื่อวันหนึ่งทนายความของบริษัทที่เขาเคยเอาสเปิร์มไปขายในนามแฝง Starbuck บอกว่า ผลผลิตของเขาถูกมอบให้ลูกค้าหญิงเกือบทุกรายจนทำให้เขาเป็นผู้ให้กำเนิดเด็กถึง 553 คน และ 142คนเรียกร้องว่าอยากพบตัวเขา

เดวิด ตั้งให้เพื่อนสนิทของเขาเป็นทนายสู้คดีฟ้องร้องค่าเสียหายและขอสิทธิ์ปกปิดตัวเองตามกฏหมาย ซึ่งคดีดังกล่าวโด่งดังเป็นที่สนใจจากสื่อมวลชนและคนในสังคมเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน เดวิด ได้แอบเอาข้อมูลของลูกๆที่อยากเจอเขามาดู พร้อมกับตระเวนไปซุ่มดูความเป็นไปของพวกเขา ซึ่งทุกครั้งเขาก็อดที่จะเข้าไปให้การดูแลช่วยเหลือเด็กที่เกิดจากสเปิร์มของเขาไม่ได้ เดวิด ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆโดยบอกกับเพื่อนทนายที่ห้ามเขาว่า เขาคือผู้พิทักษ์ของเด็กๆเหล่านั้น

พล็อตของหนังน่าสนใจอยู่แล้ว เมื่อถูกพัฒนาให้มีความตลกปนซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงทำให้หนังดูสนุก บทปูพื้นตัวละคร เดวิด ได้ดี แม้ว่าช่วงแรกภาพลักษณ์เขาอาจจะดูแย่ รวมถึงมีชีวิตที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่ทั้งหมดนี้ช่วยส่งผลดีต่อภาพยนตร์ในช่วงท้าย ว่าสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดที่ตอนแรกเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ ล้วนมีที่มาที่ไป ทำให้มันเป็นหนังครอบครัวที่อบอุ่นหัวใจมากๆ

ชอบการที่หนังกล่าวถึงเรื่องที่ซีเรียสอย่างเด็กที่เกิดจากสเปิร์มบริจาคว่าพวกเขาควรมีสิทธิ์รับรู้ว่าชายคนที่ให้กำเนิดเขาคือใครหรือไม่ ในมุมมองที่ไม่ได้ดราม่าจัดหรือหมองเศร้า แต่เป็นไปแบบ ฟีลกู้ด มีความหวัง เรียกนํ้าตาคนเซนซิทีฟได้ไม่น้อย ส่วนเพลงประกอบก็ไพเราะใช้ได้ แต่เนื่องจากหนังไม่ได้เปลี่ยนแปลงบทจากต้นฉบับมากจึงอาจทำให้คนที่เคยดู Starbuck ผิดหวัง ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าหากมีบทของตัวละครที่เป็นแม่ๆซึ่งรับบริจาคสเปิร์มจากคนแปลกด้วยจะทำให้เนื้อหาเข้มข้น น่าเชื่อถือขึ้น

การแสดง วินซ์ วอห์น ได้โชว์ฝีมือเต็มที่ บทหนุ่มสุดเห้ยขี้แพ้ถูกถ่ายทอดออกมาได้สมจริง มุขตลกก็โดนหลายดอก เขาอาจไม่ใช่พ่อที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็เป็นพ่อที่หาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆเช่นกัน กระนั้นคนที่ขโมยซีนไปเต็มๆคือ คริส แพรตต์ ที่เล่นเป็นเพื่อนซี้ของ เดวิด พ่อผู้ขาดความมั่นใจกับลูกๆจอมแสบทั้งสี่ เป็นครอบครัวที่น่ารักและสร้างเสียงหัวเราะได้แทบจะทุกฉากที่พวกเขาปรากฏตัว โคบี้ สมัลเดอร์ส สวยมากสเน่ห์จนคนดูอดเสียดายไม่ได้ว่าไหงตำรวจสาวจอมเข้มถึงมาชอบตาอ้วนไม่เอาไหนอย่าง เดวิด สำหรับรุ่นลูกที่โดดเด่นมี คนที่เล่นเป็น นักแสดง กับ สาวที่เคยติดยา

มีผู้ชายหลายคนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองไปตลอดกาลหลังจากได้รู้ว่าตัวเองได้เป็นพ่อคน มันเหมือนกับว่าพระเจ้าได้มอบหมายความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ให้แก่ชีวิตคุณ ขอให้รู้ไว้เถอะว่า เด็กๆที่กำลังจะเกิดมาไม่ใช่ทั้ง โอกาส หรือ ภาระ ทว่าพวกเขาเป็น ของขวัญ ที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ 

คะแนน 8/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนังได้ที่ //movie.bugaboo.tv/watch/93127/?link=4




 

Create Date : 10 มีนาคม 2557    
Last Update : 10 มีนาคม 2557 17:04:43 น.
Counter : 1127 Pageviews.  

วิจารณ์หนัง : The Monkey King 3D พญาลิงบุกสวรรค์



เชื่อว่าคนไทยหลายคนเติบโตมาพร้อมกับเรื่องราวของไซอิ๋ว คณะแสวงบุญที่นำทีมโดย พระถังซัมจั๋ง และลูกศิษย์อย่าง หงอคง ตือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง แน่นอนว่าตัวละครที่โดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบของเด็กผู้ชายต้องเป็น ซุนหงอคง พญาลิงตัวแสบที่เก่งกาจที่สุดในสามโลก

The Monkey King 3D คือภาพยนตร์ที่จับคาแรคเตอร์ หงอคง มาปัดฝุ่นขายใหม่ ให้คนเจนเอ็กซ์เจนวายได้รำลึกความหลังกัน พร้อมกับทำความรู้จักกับคนเจนแซด ในการนำเสนอผ่านกราฟฟิกCGสามมิติสุดอลังการ ด้วยทีมงานของฮอลลีวู้ดชุดเดียวกับที่ทำ Avatar ใช้ทุนสร้างไปเบาะๆ 2,000ล้านบาท

เนื้อเรื่องกล่าวถึงช่วงเวลาก่อนการเกิดราชาวานร ปีศาจวัว (กัวฟู่เฉิง) กับสมุนพากันบุกไปสู้กับเทพทั้งหลายหมายจะยึดสวรรค์ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับ เง็กเซียนฮ่องเต้ (โจวเหวินฟะ) หลังสงคราม เจ้าแม่หนี่วา สละร่างตัวเองเพื่อซ่อมแซมสวรรค์และสร้างกำแพงป้องกันปีศาจรุกรานสวรรค์ โดยระหว่างนั้นเธอได้ปล่อยผลึกที่ข้างในมีลิงน้อยลงมาบนโลก ซึ่งพอลิงตัวนี้โตขึ้น เจ้าแม่กวนอิม (เฉิน ฮุ่ยหลิน หรือ Kelly Chen ) ได้ฝากฝังให้เป็นศิษย์ของ สุโพธิเถระ (ไห่อี้เทียน) เขาจึงตั้งชื่อลิงตัวนั้นว่า ซุนหงอคง (ดอนนี่ เยน)

หงอคง ยิ่งโตก็ยิ่งเก่ง มีความสามารถด้านการต่อสู้เป็นอย่างมาก ปีศาจวัว ที่บาดเจ็บจากสงครามได้ องค์หญิงพัดเหล็ก (เฉินเฉียวเอิน) ขอชีวิตไว้จึงแค่ถูก เง็กเซียน ขับไล่มายังดินแดนร้างพร้อมกัน แต่ปีศาจวัวยังไม่เลิกความคิดที่จะยึดบัลลังก์สวรรค์ เขาหลอกใช้ประโยชน์จาก ปีศาจจิ้งจอก (เซียซีถง) รักแรกของ หงอคง และ ใส่ไฟให้ เทพเอ้อหลาง (เหอรุ่นตง) เกลียดเง็กเซียน เพื่อก่อสงครามกับเหล่าเทพอีกครั้ง

หนังเวอร์วัง ฉาก แสง สี เสียงตระการตา สมกับคำโฆษณา สามมิติโดดเด้งดี แต่พอนานไปเมื่อรู้สึกชินก็เหมือนกลับมาดูหนังสองมิติธรรมดา ไม่เหมือน Avatar มีมีอะไรใหม่ๆให้ตื่นตาตั้งแต่ต้นจนจบ ด้านเนื้อหาต้องบอกว่าใครที่เคยรู้เรื่องราวอยู่ก่อนแล้วจะรู้สึกน่าเบื่อมาก ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย เข้าใจว่ามีการพยายามจะทำให้คล้ายกับตำนานของ เทพปกรณัมแบบกรีกโรมัน หรือ เทพนอร์ส(ชาวยุโรปเหนือ) แต่หนังปูพื้นแย่ ตัวละครขาดเสน่ห์ ซีนต่อสู้เน้นเทคนิคภาพเข้าช่วย แฟนตาซีชิ้นสำคัญมีเพียง มังกรยักษ์ กับ กองทัพม้ามังกร

สิ่งที่โดดเด่นและเป็นจุดบอดในขณะเดียวกันคือคอสตูมซึ่งจัดมาก หงอคงนี่ถูกทำให้เป็นลิงแท้ๆเกินไปจนเอาใครมาแสดงก็ได้ ไม่มีเค้า ดอนนี่ เยน เลย เทพนาจา ที่รับบทโดย เฉิงคาซิง ชุดอย่างกับสี่ยอดกุมาร ที่พอจะสง่างามมีเพียง เง็กเซียนฮ่องเต้ สุโพธิเถระ และ เทพเอ้อหลาง (เทพสามตา)  โชคดีได้ฝ่ายหญิงกู้หน้าไล่เรียงมาตั้งแต่ เจ้าแม่หนี่วา งดงามสุดๆ เจ้าแม่กวนอิม ก็สาวสวยกว่าภาคไหนๆ เฉิน ฮุ่ยหลิน น่าจะเป็นดาราอีกคนที่เข้ากับคำว่า สาวสองพันปี หายหน้าจากวงการไปนาน กลับมาครั้งนี้เสียดายบทน้อยไปหน่อย และที่หนุ่มๆหลายคนพูดถึงคือ เซียซีถง ดาราสาวในบทจิ้งจองขาว เธอน่ารักสดใสสมวัยดี

เสียงพากย์ใครที่ชื่นชอบทีมพันธมิตรเป็นทุนเดิมคงสนุกไปกับมุขตลกสดใหม่ทันสถานการณ์ล้อเลียนสังคมและการเมืองไทย แต่หากไม่ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญพอดูกับการพากย์นอกบทตลอดเวลา ด้านการแสดง ดอนนี่ เยน ดูล้นๆไปกับบท หงอคง จอมมุทะลุ ผิดกับ โจวเหวินฟะ ที่ดูนิ่งน่าเคารพในการเล่นเป็นเง็กเซียนฮ่องแต่ฉบับใจดี กัวฟู่เฉิง ซึ่งแสดงเป็น ปีศาจวัว ถ่ายทอดอารมณ์น้อย นิ่งเกินไป ดูไม่น่าเกลียดน่ากลัวหรือโหดเหี้ยมเท่าที่ควร คนที่ทำได้ดีที่สุดกลับเป็น เหอรุ่นตง ในบท เทพสามตา คู่ปรับที่ขับเขี่ยวกับหงอคงตลอดเรื่อง เป็นตัวละครที่มีร้ายมีดี เดาทางไม่ได้ เชื่อว่าสาวๆหลายคนจะชอบเขา

ช่วงท้ายหนังจบแบบปลายเปิดปูทางสู่ภาคต่อไป ก็ได้แต่หวังว่าทีมนักแสดงชุมเดิมจะยังกลับมารับเล่นกันครบ ไม่เช่นนั้น เนื้อเรื่องที่กร่อยอยู่แล้วอาจจะแย่ลงอีกด้วยการเปลี่ยนทีมนักแสดงใหม่ ซึ่งเป็นจุดน่าสนใจไม่กี่อย่างของภาพยนตร์รื้อฟื้นตำนานพญาวานรเรื่องนี้

คะแนน 6.5/10

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/102283/?link=4




 

Create Date : 05 มีนาคม 2557    
Last Update : 5 มีนาคม 2557 17:05:45 น.
Counter : 2350 Pageviews.  

วิจารณ์หนัง : Saving Mr. Banks ชายในจินตนาการบนโลกแห่งความจริง



การนำเรื่องราวจากหนังสือมาสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นเรื่องยากเสมอ จัดเป็นของแสลงอย่างหนึ่งในวงการหนังก็ว่าได้ ยิ่งหนังสือได้รับความนิยมเท่าไหร่ ความคาดหวังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากทำได้ดีส่วนมากแค่เสมอตัว แต่หากทำออกมาแย่ไม่ถูกใจคอนักอ่าน แน่นอนว่าทีมผู้สร้างคงโดนสวดยันลูกบวช

Mary Poppins พี่เลี้ยงเด็กถือร่มที่มากับมนต์วิเศษมากมาย คือโปรเจกต์ในฝันของ วอลท์ ดิสนีย์ ผู้สร้างดิสนีย์แลนด์ดินแดนในฝันของเด็กๆทั่วโลก เขาให้สัญญากับลูกๆว่าจะทำให้ แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ กระโดดจากหน้ากระดาษมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม แต่ติดตรงที่ พี.แอล. เทรเวอร์ส นักเขียนเจ้าของบทประพันธ์หวงแหนตัวละครและนิยายของเธอมากๆ

Saving Mr. Banks เล่าถึงขั้นตอนอันยากลำบากของ วอลท์ ดิสนีย์ กับทีมงานในการโน้มน้าวให้ พี.แอล. เทรเวอร์ส ป้าแก่ขาวีนขี้บ่น อนุญาตให้ แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ หลังจากผ่านไปกว่า20ปีเธอปฏิเสธมาตลอด กระทั่งปัญหาด้านการเงินบีบให้  เทรเวอร์ส ยอมเดินทางจากอังกฤษมาสหรัฐฯเพื่อควบคุมไม่ให้ผลงานชิ้นสำคัญของเธอถูกคนอื่นเอาไปเปลี่ยนแปลงตามใจชอบ ตลอดเวลาที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯภาพความหลังในอดีตซึ่งเป็นที่มาของ นิยาย แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ ก็หวนคืนกลับมาเป็นระยะ 

หนังดำเนินเรื่องแบบตัดสลับปัจจุบันและอดีต คือช่วงเวลาที่ เทรเวอร์ส นักเขียนสาวกำลังชั่งใจที่จะขายลิขสิทธิ์หนังสือของเธอให้ ดิสนีย์ ทำเป็นหนัง และ ช่วงเวลาในวัยเด็กกับพ่อของเธอที่ฝังแน่นอยู่ในเบื้องลึกความทรงจำ หนังมีมุขตลกเล็กๆรายทาง แฝงความหมายบางอย่างสื่อสารเป็นสัญลักษณ์ผ่านทางข้าวของเครื่องของตัวละคร แม้จะโดดไปโดดมาทำให้คนดูสับสนบ้างแต่ก็สามารถประติดประต่อจนสมบูรณ์ได้เมื่อถึงฉากจบ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดูหรืออ่าน แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ ก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสในการชมหนังเรื่องนี้ลดลง เนื่องจากมีการให้ข้อมูลที่สำคัญตลอด ทั้งนี้ต้องชื่นชมบทที่แข็งแรง มีมิติ 

จอห์น ลี แฮนคอกค์ ผู้กำกับพาคนดูย้อนเวลากลับไปในยุคปี 1961 รวมถึงออสเตรเลียในยุคบุกเบิก สมจริงทั้ง เครื่องแต่งกาย ฉาก และภาษา ที่โดดเด่นอีกอย่างคือเพลงประกอบเพราะๆที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ให้มีความสดใหม่ทันสมัยอย่างเพลง Let's go fly a kite 

ตัวละครหลายตัวในหนังดูมีเสน่ห์ เอ็มม่า ธอมป์สัน แสดงได้ยอดเยี่ยมที่สุด ถ่ายทอดนิสัยของ พี.แอล. เทรเวอร์ส ได้สมจริงจนเรารำคาญความเรื่องมากของเธอ ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดปมความเศร้าในใจได้ดีจนผู้ชมเห็นใจ ฟาก ทอม แฮงค์ส ที่เล่นเป็น วอลท์ ดิสนีย์ ก็ดูเหมาะสม บทอาจจะไม่หวือหวาเหมือนเรื่องก่อนๆแต่ก็มีซีนเฉือดเฉือนปะทะคารมและอารมณ์กับ เอ็มม่า พอสมควร นัยหนึ่งก็คล้ายบทพ่อแง่แม่งอนของคู่รักวัยดึก นอกจากนี้เขายังนำเสนอแง่มุมธรรมดาของชายผู้สร้างความสุขให้กับเด็กๆทั่วโลกได้อย่างน่าสนใจ ทั้งนิสัยและพฤติกรรมส่วนตัวซึ่งมีทั้งดีไม่ดีผสมกัน

กระนั้น ตัวละครที่ผมชอบที่สุดกลับเป็น คนขับรถ ที่แสดงโดย พอล จิอาแมตตี้ เขาคือทูตสันติภาพระหว่าง ทอม กับ เอ็มม่า ตัวจริง ส่วนในพล็อตรองยกความดีให้ โคลิน ฟาร์เรล กับบทพ่อขี้เมาช่างฝันของ เทรเวอร์ส ชายที่อยู่ทั้งในโลกแห่งความจริงและโลกแห่งจินตนาการของเธอ จุดนี้เองที่ช่วยขับเน้นความเป็นหนังครอบครัวขึ้นมา

Saving Mr. Banks เป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวได้อบอุ่น ซาบซึ้ง น่าประทับใจ ให้ข้อคิดในการมองโลก ปล่อยวางอดีต ช่วงท้ายมีซีนสะเทือนใจเรียกนํ้าตาเบาๆ เมื่อดูจบแล้ว คุณจะเข้าใจถึงที่มาของชื่อหนัง หากหนังสือเป็นตัวแทนของจินตนาการ ภาพยนตร์ก็คือตัวแทนของโลกความจริง หนังสือสร้างเรื่องราวเพื่อให้ผู้อ่านมีจินตนาการ ทว่าภาพยนตร์สร้างเรื่องราวเพื่อให้คนดูเชื่อ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นเลยที่จะนำสองศาสตร์นี้มาเปรียบเทียบกัน ก็เหมือนกับการที่เราไม่เอาจินตนาการมาถกเถียงกับความจริงนั่นแหละ

คะแนน 8/10 

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง Saving Mr. Banks ได้ที่ //movie.bugaboo.tv/watch/97349/?link=4




 

Create Date : 04 มีนาคม 2557    
Last Update : 5 มีนาคม 2557 9:20:42 น.
Counter : 1185 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

mninho
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




นกไซเบอร์ วิจารณ์หนัง
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mninho's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.