วันนี้ ทุกจอคอมพิวเตอร์ ในบ้านคุณ

รีวิวหนัง : ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา สงครามครั้งสุดท้าย


จาก ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช องค์ประกันหงสา ภาคแรกเมื่อปี 2550 มาถึง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา ภาคสุดท้ายในปี 2558 ใช้เวลาทั้งหมด8ปีกว่าจะเดินทางมาถึงตอนจบสำหรับภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์เชิดชูเกียรติ สมเด็จพระนเรศวร ผลงานการกำกับของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล

อาจพูดได้ว่า อวสานหงสา เป็นภาคเสริมของ ยุทธหัตถี เนื่องด้วยว่าตอนแรก ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 ถูกประกาศออกมาว่าจะเป็นภาคสุดท้าย แต่ความยาว2ชั่วโมงกว่าของหนังก็ไม่อาจสรุปเนื้อหาให้จบลงแบบสมบูรณ์ได้ เราจึงได้เห็น อวสานหงสา เข้าฉายตามเสียงเรียกร้องของแฟนภาพยนตร์ในปีถัดมา

ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 6 เป็นเรื่องราวต่อจาก ยุทธหัตถี ปี พ.ศ. 2135 หลังพ่ายศึกพระเจ้านันทบุเรงระบายพระโทสะที่สูญเสีย มังกะยอชวา รา­ชบุตรและอุปราช ทรงรับสั่งให้ประหารแม่ทัพนายกองที่กลับจากศึกยุทธหัตถี7ชั่วโครต แถมยัง สังหารพระนางสุพรรณกัลยาและพระโอรสจนสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระนเรศวรจึงนำทัพนับแสนจากอโยธย­าบุกมาตีหงสาวดีหมายแก้แค้นให้พระเชษฐภคินี โดยตีเมืองเมาะตะมะเป็นที่มั่น และได้ตัว เม้ยมะนิก ราชธิดาของพระเจ้าศิริสุธรรมราชา อดีตเจ้าเมืองเมาะตะมะ มาช่วยรวบรวมไพร่พลชาวมอญเข้าด้วยกับไทย

ด้านพระเจ้านันทบุเรงตั้งแต่เสียพระโอรสไปก็ควบคุมสติไม่ได้ หัวเมืองลูกอย่าง อังวะ แปร ยะไข่ ต่างก็ตีตัวออกห่าง ขุนนางกับแม่ทัพในวังก็ไม่เหลือคนดีมีฝีมือเลย มีเพียง เมงยาสีหตู พระเชษฐาต่างมารดาเจ้าเมืองตองอู กับ นัดจินหน่อง ลูกชายที่ยอมยกทัพมาพาตัวพระองค์หนีจากกรุงหงสาวดีไปหลบภัยอยู่ที่เมืองตองอู แม้พระนางเมงเกงสอภรรยาของเมงยาสีหตูแม่นัดจินหน่องจะไม่เห็นด้วย แต่สมเด็จพระนเรศวรก็ไม่ยอมลดละ ยกทัพตามไปเปิดสงครามไกลถึงเมืองในหุบเขาลึก

อวสานหงสา เป็นภาคที่สั้นที่สุดใน6ภาค เพราะเป็นการขยายความสานต่อเรื่องราวจาก ยุทธหัตถี เท่านั้น เนื้อหาบิดจากประวัติศาสตร์เล็กน้อย เน้นดราม่ามากกว่าแอ็คชั่น แต่ตัวหนังเองไม่ได้มีโครงหลักเป็นชิ้นเป็นอัน มีการนำฟุตเทจเก่ากลับมาใช้ปะปนกับฟุตเทจถ่ายใหม่ ที่ชัดเจนคือฉากที่มีตัวละคร พระยาศรีไสยณรงค์ หรือ พระศรีถมอรัตน์ คู่หูของ ออกพระชัยบุรี แสดงโดย พ.ท. คมกริช อินทรสุวรรณ โผล่ออกมาหลายฉาก ซึ่งตัวจริงท่านเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี2554 บากฉากจึงดูโดดๆไม่ปะติดปะต่อ กระตุก ขาดความลื่นไหล รวมถึงแต่ละซีนมีแสงสว่างไม่เท่ากัน ส่วนเทคนิคภาพพิเศษยังไม่เนียน ฉากกับตัวละครดูลอยๆแบบเห็นได้ชัดเจนพอสมควร ข้อดีเป็นระบบเสียงที่แน่น ปืนกระหึ่ม กลองดังระรัว

น่าเสียดายอีกอย่างคือการที่แต่ละภาคมีตัวละครมาก ทำให้ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นหนังที่ใช้ตัวละครค่อนข้างเปลืองและไม่คุ้มค่า บ่อยครั้งในแต่ละภาคเราจะเห็นตัวละครหลายตัวที่โผล่มาเหมือนจะมีความสำคัญแต่กลับหายสาบสูญไปไม่มีการต่อยอด โดยในภาคนี้เป็น เมงยาสีหตู(แสดงโดย นิรุตติ์ ศิริจรรยา) กับ เม้ยมะนิก(แสดงโดย ปันปัน เต็มฟ้า) เป็นตัวละครใหม่ที่น่าสนใจ น่าจะมีบทบาทมากกว่านี้ ในทางกลับกันเราดันได้เห็นนักแสดงดาวร้ายรุ่นเก๋าหลายคนในกองทัพยะไข่โผล่อออกมาปล้นสเบียงอโยธยา ซึ่งต่อมากลับพบว่าเป็นฉากที่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆเลย

มาที่เรื่องของการแสดง เป็นอีกภาคที่ต้องยกธงให้ฝ่ายพม่ารามัญชนะฝ่ายไทย จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ ถ่ายทอดอารมณ์ของพระเจ้านันทบุเรงออกมาได้ดีจนคนดูสงสาร ครอบครัวตองอูก็เด่นโดยเฉพาะ รัชนี ศิระเลิศ ที่เล่นเป็น พระนางเมงเกงสอ สีหน้าของเธอสร้างความจดจำได้ดี ฝ่ายไทยนอกจากนักแสดงนำที่น่าพูดถึงก็มี ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง ในบทออกพระชัยบุรี บุคลิกตาบอดหนึ่งข้างและถอดเสื้อตลอดเวลาทำให้เขาโดดออกมาจากนักแสดงคนอื่นๆ อีกคนที่ขาดไม่ได้คือ สรพงษ์ ชาตรี ในบท พระมหาเถรคันฉ่อง เขาช่วยลดดีกรีความร้อนแรงของหนังและปรับภาพความดุดันของ พระนเรศ ลงได้มาก ส่วนตัวชอบความสมจริงที่ แอฟ ทักษอร อุ้มท้องรับบท มณีจันทร์ ซึ่งในเรื่องก็ตั้งครรภ์เช่นกัน

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา ลดทอนความเป็นประวัติศาสตร์ลง เพิ่มความเป็นภาพยนตร์มากขึ้น ตอนจบมีการสอดแทรกเรื่องธรรมมะพร้อมกับเชิดชูภาพชาตินักรบของ พระนเรศวร ที่ก็ทำออกมาได้ซาบซึ้งในระดับหนึ่ง เพียงแต่มันมีความยืดเยื้อเกินไปในบางช่วง และห้วนเกินในบางตอน จึงไปไม่ถึงคำว่าประทับใจ ทว่าอย่างไรเสียถึง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 6 จะไม่ได้มีฉากจบที่สมบูรณ์ แต่ ภาพยนตร์ชุดตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว

คะแนน 6.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/171504/?link=4




 

Create Date : 09 เมษายน 2558    
Last Update : 9 เมษายน 2558 11:59:03 น.
Counter : 5363 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Fast and Furious 7 รถครอบครัว



ถ้าถามว่าได้ดูหนังตระกูล Fast and Furious เมื่อไหร่ก็ต้องย้อนไปไกลกว่า15ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยังไม่สามารถทำใบขับขี่ได้ด้วยซํ้า หนังเรื่องนี้เปิดตัวด้วยชื่อ The Fast And The Furious และใครจะไปคิดหละว่าทศวรรษต่อมามันจะเดินทางมาถึงภาค7แล้ว หนังเรื่องนี้เป็นมากว่าหนัง มันให้คำนิยามใหม่ว่ารถเป็นมากกว่าพาหนะ ขณะเดียวกันก็สร้างวัฒนธรรมการต่างๆขึ้นมามากมายทั้ง การขับรถแข่ง การแต่งรถ การแต่งตัวแนวสตีท และการฟังเพลงแนวฮิปฮอปอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์

Fast and Furious 7 เป็นภาพยนตร์ที่คนทั่วโลกตั้งตารอคอย เพราะมันมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับหนัง เจมส์ วาน ผู้กำกับเชื้อสายเอเชียได้เป็นผู้กำกับ จา พนม แอ็คชั่นสตาร์ชาวไทยได้ร่วมแสดง และ พอล วอล์คเกอร์ นักแสดงหลักเสียชีวิต โดยเฉพาะคนไทยที่มีคดีความฟ้องร้องให้ต้องลุ้นกันจนนาทีสุดท้ายว่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้พร้อมกับทั่วโลกหรือไม่

บทหนัง Fast 7 ค่อนข้างครบรสมีทั้ง แอ็คชั่น คอเมอดี้ และดราม่า กระนั้นการจากไปของ พอล ทำให้พาร์ทดราม่าดร็อปลง ผู้กำกับคงแก้ไขโดยการนำฉากแอ็คชั่นมาใส่แทน สัดส่วนมันเลยดูไม่สมดุลกับตัวหนังที่มีความยาว2ชั่วโมงกว่า ผู้ชมบางส่วนที่ไม่ใช่คอหนังบู๊อาจรู้สึกว่าฉากทำลายล้างเยอะไปหน่อย จุดนี้เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า บทคงจะถูกแก้เป็นร้อยรอบ จะไปโทษ เจมส์ วาน ทั้งหมดคงไม่ได้ แต่ฝีมือการระเบิดตึกเผารถพังพินาศของแกนี่ทำให้เราอดเอาไปเปรียบกับ ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับจอมล้างผลาญไม่ได้

สำหรับความโอเวอร์ของหนัง ต้องบอกว่ายิ่งกว่าภาคที่แล้ว เจมส์ วาน ซึ่งมาจากสายหนังเหนือจริง(หนังผี)เป็นทุนเดิมจัดหนักความมันส์โดยไม่สนหลักฟิสิกส์หรือแรงโน้มถ้วงใดๆ มุมกล้องมีความหลากหลาย การตัดต่อทำได้ยอดเยี่ยม เทคนิคภาพพิเศษสวยงามเนียนตา พล็อตไม่ฉีกมาก พอคาดเดาได้ Fast and Furious 7 กลายเป็นหนังแอ็คชั่นแก๊งสเตอร์เต็มตัว เพียงแต่นำรถมาเป็นพร็อพประกอบ มีภารกิจให้ทีมทำเป็นด่านๆ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Mission: Impossible - Ghost Protocol และ Transformers 4 ที่คล้ายคลึงกันในแง่ของหนังแอ็คชั่นไล่ล่าในโลเคชั่นต่างแดน

ส่วนตัวชอบการเปรียบบทบาทชีวิตกับรถที่เราขับ จุดนี้ลึกซึ้งพอสมควร ซึ่งหากเทียบเป็นรถ Fast 7 ก็เปลี่ยนตัวเองจากรถซิ่งมาเป็นรถบ้านหรือรถครอบครัวได้ดีระดับหนึ่ง หนังไม่ได้เน้นเรื่องความเร็วเหมือนชื่ออีกต่อไป ตอกยํ้าแนวคิดคนสำคัญกว่ารถ สิ่งที่สร้างสีสันคือทีมตัวร้ายที่มีความโหดเหี้ยมไร้ปราณีนำโดย เจสัน สเตทแธม กับบท เดคการ์ด ชอว์ มือสังหารเงา พี่ชายของ โอเวน ชอว์ ที่คราวนี้มาเป็นคู่ชกที่สมนํ้าสมเนื้อกับ วิน ดีเซล รวมถึง จา พนม ที่แสดงเป็น เกียรติ สมุนมือขวาของ ดิจิมอน ฮอนซู ถือว่าได้เล่นหลายซีนทีเดียว แต่ละครั้งที่ออกก็โดดเด่นพอสมควร ได้โชว์ลีลาเยอะเพราะประกบกับ พอล หากจำ โจ ทัสลิม นักแสดงอินโดนีเซียที่เคยเล่น Fast and Furious 6 กันได้ ผมว่า จา ได้รับโอกาสมากกว่า เสียดายที่บทพูดอันน้อยนิดทำให้เขาเกือบกลายเป็นหุ่นยนต์สังหารไปซะ

ด้านนักแสดงนำหนังพยายามเกลี่ยบทให้ทุกคนได้ออกพอๆกัน ได้เห็น วิน ดีเซล มากหน่อยเนื่องจากเขาเป็นตัวเดินเรื่องหลัก ทว่าคนดูหลายคนคงอดโฟกัสไปที่ พอล วอล์คเกอร์ ไม่ได้ นักแสดงใหม่ เคิร์ท รัสเซล เล่นได้น่าสนใจทีเดียวกับบท มิสเตอร์โนบอดี้ ซีนน้อยแต่บทสนทนาแพรวพราวทุกคำ นี่สิที่เรียกว่าเก๋าเกมส์ ฉากจบจัดว่าเป็นไฮไลต์ทีเดียว ชื่นชมผู้กำกับกับที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีหลอมรวมหนังเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงด้วยคำพูดของตัวละคร ตอนที่ ดอม โทเร็ตโต้ กับเพื่อนๆกำลังพูดถึง ไบรอัน โอคอนเนอร์ เราทุกคนกลับรู้สึกว่ามันเป็น วินดีเซล และนักแสดงคนอื่นๆที่กำลังพูดถึง พอล วอล์คเกอร์ 

Fast and Furious 7 ไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุด ไม่ใช่หนังที่เพอร์เฟ็กต์ไร้ที่ติแบบที่หลายคนคาดหวัง มันไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ที่ พอล จากไป ภายใต้ข้อจำกัด ต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่สามารถทำให้มันเป็นหนังที่ดูสนุกทีเดียว บันเทิงพอจะทำให้แฟนๆมองข้ามจุดอ่อนหรือลืมข้อเสียต่างๆได้หมด นอกจากนั้นแล้ว Fast 7 ยังเป็นหนังที่มีความหมายกับใครหลายคน มันเป็นภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่ผู้ชมจำนวนมากติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกนานเกิน10ปี มีความรู้สึกรักหนัง ผูกพันธ์กับตัวละครเสมือนเป็นคนในครอบครัว พวกเขาได้มองดูการเติบโตของตัวละคร เห็นพัฒนาการของนักแสดง จนถึงเวลาที่ตัวละครหลายตัวตายลง วันที่นักแสดงคนหนึ่งลาจากโลกนี้ไป และไม่ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ห่างไกลกี่ล้านไมล์ เราก็จะจดจำดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตลอดไป

Life moves very fast. Rip Paul Walker

คะแนน 8/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/151471/?link=4




 

Create Date : 01 เมษายน 2558    
Last Update : 28 ตุลาคม 2558 11:15:10 น.
Counter : 4607 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Paddington หมีต่างด้าว


Paddington เป็นหมีวรรณกรรมที่โด่งดังในประเทศแถบตะวันตกโดยเฉพาะในยุโรป ผลงานการเขียนของ ไมเคิล บอนด์ เมื่อปี 1985 หนังสือชื่อ A Bear Called Paddington กับหนังสือชุด Paddington Bear ทำยอดขายได้กว่า35ล้านเล่ม ถูกแปลเป็นภาษากว่า40ภาษา ส่วนฉบับภาพยนตร์เขียนบทและกำกับโดย พอล คิง

เนื้อหาบนจอเงินมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยเล็กน้อย เล่าถึงเรื่องของหมีน้อยเปรูที่พูดภาษาคนได้โดยเรียนจากลุงกับป้าเขาที่เคยพบกับนักสำรวจชาวอังกฤษเมื่อนานมาแล้ว ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ หนีน้อยเสียลุงกับบ้านไป ป้าเลยส่งหมีน้อยลงเรือเดินทางไปกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษพร้อมกับป้าย โปรดดูแลหมีตัวนี้ด้วย ขอบคุณ เพื่อให้หมีน้อยมีบ้านหลังใหม่ โดยหมีน้อยมีความหวังเล็กๆว่าจะได้พบ คุณมอนโกเมอรี นักสำรวจใจดีที่เคยชักชวนลุงกับป้าของเขาให้ไปเที่ยวอังกฤษ

ลอนดอนไม่ได้น่าอยู่เหมือนที่หมีน้อยจินตนาการ เขาติดแหง็กอยู่ในสถานีแพดดิงตันกระทั่งครอบครัวบราวน์ผ่านมาพบ มิสซิสบราวน์ ชวนเขาไปพักที่บ้านชั่วคราวพร้อมตั้งชื่อให้ว่า Paddington ท่ามกลางการคัดค้านของ มิสเตอร์บราวน์ ขณะเดียวกัน ลูกสาวของมิสเตอร์มอนโกเมอรี ซึ่งมีนิสัยตรงข้ามกับพ่อ โดยเปิดพิพิธภัณฑ์บังหน้าแต่มีงานอดิเรกคือการสต๊าฟสัตว์ และเมื่อเธอได้ข่าวว่ามีหมีเปรูอยู่ในกรุงลอนดอน เธอก็ไม่รีรอที่จะออกล่าตัวมาสต๊าฟไว้ดูเล่น

บรรยากาศในหนังน่ารัก ขบขัน และอบอุ่น ผู้กำกับเล่าเรื่องสนุก ออกแนวฟีลกู้ด มุขตลกครีเอทแถมยังทันสมัยสร้างเสียงหัวเราะได้ตลอด หมีน้อยพาทัวร์กรุงลอนดอนซะทั่วจนเราอดคิดไม่ได้ว่าการท่องเที่ยวอังกฤษมีส่วนได้ส่วนเสียกับหนังหรือเปล่า นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอวัฒนธรรมอังกฤษทั้งแง่ดี แง่เสียดสี ผ่านสายตาคนต่างถิ่นกับคนในท้องถิ่น การถ่ายภาพสวยงามไม่เสียแรงที่เป็นทีมสร้างเดียวกับ แฮรี่ พอตเตอร์

บางคนอาจมองว่ามันเป็นหนังเด็ก แต่เนื้อหาบางอย่างไม่เด็กเลย ส่วนตัวชอบการแฝงประเด็นเรื่องคนนอกได้น่าสนใจ หมีแพดดิงตัน เป็นตัวแทนของคนต่างด้าวที่ต้องจากบ้านเกิดมาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่ฝนตกได้ตลอดเวลาอย่างลอนดอน รวมถึงยังเข้าอกเข้าใจอารมณ์คนที่ต้องปรับตัวกับสถานที่และสิ่งแวดล้อมใหม่ๆทั้งการ ย้ายโรงเรียน ย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน อีกด้วย แต่ที่ถ่ายทอดออกมาได้เยี่ยมที่สุดคือความรู้สึกของเด็กกำพร้าซึ่งฝันอยากเจอครอบครัวอุปถัมภ์ดีๆเข้าสักวัน

คาแร็กเตอร์ของหมี Paddington เป็นตัวละครที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องตกหลุมรัก สำหรับตัวละครอื่นๆที่เด่นๆก็มี แซลลี่ ฮอว์กินส์ ในบท มิสซิสบราวน์ กับ ฮิวจ์ บอนน์วิลล์ ในบท มิสเตอร์บราวน์ สองคนนี้เป็นตัวหลักที่สร้างสีสันให้กับหนัง นิโคล คิดแมน กับการเล่นบทตลกและตัวร้าย แม้คาแร็กเตอร์จะดูโอเวอร์ไปบ้างแต่ก็นับว่าเป็นการแสดงอันแปลกใหม่ของเธอที่คอหนังไม่ค่อยได้เห็น

ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมหมีแพดดิงตันจึงครองใจเด็กยุโรปมายาวนานหลายทศวรรษ และเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้เด็กหลายล้านคนทั่วโลกยินดีที่จะรับหมีต่างด้าวตัวนี้เข้ามาในบ้าน โดยไม่กลัวว่ามันจะแย่งพวกเขากินแยมส้มมาร์มาเลด

คะแนน Paddington 8/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/165194/?link=4




 

Create Date : 25 มีนาคม 2558    
Last Update : 26 มีนาคม 2558 11:05:35 น.
Counter : 1597 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Insurgent สงครามสลายกลุ่ม


Insurgent เป็นภาคต่อของ Divergent ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟแฟนตาซี ซึ่งภาคนี้เปลี่ยนตัวผู้กำกับจาก Neil Burger มาเป็น Robert Schwentke ส่วนนักแสดงนำยังได้ทีมเดิมกลับมาครบครันทั้ง เชลีน วู้ดลี่,ธีโอ เจมส์,เคต วินสเลต,ไมลส์ เทลเลอร์ , แอลเซล เอลกอร์ท ร่วมด้วย นาโอมิ วัตต์ ที่จะมาเสริมเป็นตัวละครตัวใหม่

สำหรับภาคนี้เนื้อหาต่อจากภาคแรก ทริซ โฟร์ และคนที่หนีรอดชีวิตจากการโจมตี กลุ่มเสียสละ (Abnegation) หนีออกมาที่ชั้นนอกของเมือง โดยพวกเขาไปขอหลบอยู่กับ กลุ่มรักสันติ (Amity) ไม่นาน เจอนีน หัวหน้ากลุ่มทรงปัญญา (Erudite) ก็ส่งทหารจาก กลุ่มผู้กล้า (Dauntless) ตามมาจับตัวพวกเขา ทริซ , โฟร์ และ เคเล็บ จึงหนีเข้าเมืองไปหาเพื่อนจากกลุ่มผู้กล้าที่ไม่ยอมรับใช้ เจอนีน และหนีไปอาศัยอยู่กับ กลุ่มผู้คุมกฎ (Candor) หรือ กลุ่มซี่อสัตย์

ระหว่างทาง ทริซ โฟร์ เคเล็บ ได้พบกับ พวกไร้กลุ่ม (Factionless) พวกเขาถูกพาตัวไปพบกับ เอเวอลีน หัวหน้ากลุ่มที่บอกว่าเธอคือแม่ของ โฟร์ แผนของเธอคือรวมกำลังทุกกลุ่มเปิดสงความล้มล้างอำนวจของ เจอนีน ลง แต่ โฟร์ ไม่ยอมร่วมมือ ด้าน เจอนีน ได้กล่องเก็บความลับของผู้ก่อตั้งเมืองไป เธอต้องการตัว Divergent มาเปิดข้อความจึงสั่งล่าตัวทุกคนที่เป็น Divergent มาเข้าห้องทดลอง ซึ่งกล่องดังกล่าวมีเพียง ทริซ คนเดียวที่สามารถเปิดมันได้

บมหนังเข้มข้นกว่าภาคแรก เล่าเรื่องได้ค่อนข้างกระชับ น่าติดตาม รายละเอียดมีเยอะพอสมควร ใครที่ไม่ได้ดูภาคแรกมาก่อนอาจตามเรื่องไม่ทัน สิ่งที่ด้อยกว่าภาคหนึ่งคือความสดใหม่และพลังทางการแสดงที่ดูดร็อปลง หนังโฟกัสที่สองตัวละครนำโดยไม่ให้เวลากับตัวละครเสริมเท่าไหร่ ตัวละครใหม่ที่โดดเด่นมีแค่ เอเวอลีน คนเดียว นอกจากนี้บางซีนก็ไม่ค่อยสมจริง อาทิ การเดินทางไปยังกลุ่มต่างๆของ ทริซ กับพวก เหมือนเป็นการพาทัวร์เมืองมากกว่าหลบหนี ความเก่งแบบโอเวอร์ของ ทริซ กับ โฟร์ รวมถึงการบุกกลุ่ม Erudite ในช่วงท้ายที่ค่อนข้างจะรวบรัดง่ายดายเกินไป ฉากแอ็คชั่นมีพอประมาณ แต่ไม่ได้โดดเด่นมาก ซีจีฉากสเตจต่างๆยังทำออกมาได้สวยงาม

ตัวหนังเน้นจับประเด็นความแตกต่างของคนในสังคมมากกว่า แต่ละกลุ่มที่มีนิสัยต่างกันเหมือนเป็นตัวแทนแต่ละชนชาติ ขณะที่ Divergent คล้ายกับเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ คือคนที่หลุดพ้นจากสังคมแบ่งกลุ่มแบ่งเผ่า สามารถอยู่ร่วมกับใครก็ได้ ซึ่งในที่นี้อาจากหมายถึงโลกในอุดมคติที่มนุษย์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา ไม่มีภาษา ไม่มีสีผิว เข้ามาแบ่งแยก ดังที่เราเห็นความหลากหลายของเชื้อชาติตัวละครในเรื่อง คือมีสามกลุ่มที่หัวหน้าเป็นคนผิวขาว สองกลุ่มที่หัวหน้าเป็นคนผิวสี และหนึ่งกลุ่มที่หัวหน้าเป็นคนผิวเหลือง จุดนี้ทำให้หนังฉีกตัวออกจากหนังแนวเดียวกันอย่าง The Hunger Games ได้สำเร็จ ส่วนประเด็นความลับหลังกำแพงสูงทำให้เราได้กลิ่นอายของหนังเรื่อง The Maze Runner เข้ามาแทน

เชลีน วูดลีย์ ในลุคใหม่ผมสั้นสวยแบบห้าวๆ เสียงแหบสเน่ห์ยังอยู่ ซึ่งเลี่ยงไม่ได้เลยที่เธอจะถูกเอาไปเปรียบกับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กระนั้นส่วนตัวเห็นว่าภาคนี้ เชลีน สร้างคาแร็คเตอร์ใหม่ให้ ทริซ ได้อย่างดี และในภาคหน้าเธอคงไม่ถูกนำไปเทียบกับใครอีก ด้าน ธีโอ เจมส์ กับบท โฟร์ ภาคนี้ดูแผ่วๆลงไป ไม่ได้ครองใจคนดูสาวๆเหมือนภาคแรก คนที่น่าสนใจกลับเป็น แอลเซล เอลกอร์ท ซึ่งแสดงเป็น เคเล็บ กับ ไมลส์ เทลเลอร์ ที่เล่นเป็น ปีเตอร์ สองคนนี้คือตัวหลอกชั้นดีของผู้กำกับ ปิดท้ายไม่พูดถึงไม่ได้คือ ไจ คอร์ทนีย์ กับบท อีริค หัวหน้าจอมเหี้ยมของทหารกลุ่มผู้กล้า เล่นได้ร้ายเกินหน้าเกินตา เคต วินสเลต มากๆ

Insurgent เป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่ดีพอสมควร มีการดัดแปลงเนื้อหาบางส่วนให้ต่างจากหนังสือทำให้คาดเดาได้ยาก ตอนจบเคลียร์ข้อสงสัยในหลายๆเรื่องได้ชัดเจนในเวลาที่จำกัด ขณะเดียวกันหนังก็ยังกุมความลับบางอย่างที่สร้างความสงสัยและคำถามใหม่ ปลุกเร้าผู้ชมให้อยากดูภาคต่อไป

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/153930/?link=4




 

Create Date : 19 มีนาคม 2558    
Last Update : 19 มีนาคม 2558 17:59:45 น.
Counter : 2438 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Run All Night สู้เพื่อลูก


ช่วง5ปีให้หลังมานี่ ต้องบอกว่า เลียม นีสัน เป็นดารารุ่นใหญ่ของวงการฮอลลีวู้ดที่งานชุกมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะโปรเจกต์หนังเอ็กชั่นทริลเลอร์ที่คาแร็กเตอร์ชายสูงวัยเก่งการต่อสู้และใช้อาวุธ แต่ติดเหล้าและครอบครัวแตกแยก กลายเป็นคาแร็กเตอร์ประจำตัวเขาไปแล้ว ผู้สร้างหนังเห็นว่าบุคลิกดังกล่าวยังขายได้จึงทำภาพยนตร์แนวนี้แบบต่อเนื่องไล่ตั้งแต่ Unknown , The Grey , Taken 2 , Non Stop , A Walk Among the Tombstones , Taken 3 จนมาถึงเรื่องล่าสุดคือ Run All Night

ส่วนตัวในฐานะที่ติดตามดูมาทุกเรื่องหากถามว่าเบื่อไหมกับ ลุงเลียม ในวัย62ปีในลุคเดิมๆก็ตอบได้คำเดียวว่าเบื่อ ซึ่งแม้แต่ตัวแกเองยังเบื่อจนล่าสุดออกมาประกาศชัดเจนแล้วว่าขอเวลาอีก2ปีจะแขวนปืนไม่รับเล่นหนังแอ็คชั่นอีกแล้ว ต้องลุ้นกันต่อไปว่าโปรเจกต์บู๊ทิ้งทวนของเขาจะเป็นเรื่องอะไร

ที่แน่ๆไม่ใช่ Run All Night เรื่องราวของ จิมมี่ คอนลอน อดีตมือปืนชื่อดังที่ปัจจุบันกลายเป็นเพียงคนแก่ขี้เมาไร้ญาติขาดมิตร ทว่าวันหนึ่ง ไมค์ ลูกชายที่เกลียดเขาเข้าไส้จากสิ่งเลวร้ายที่เขาทำในอดีตดันเข้าไปพัวพันกับการฆาตกรรมของแก๊งมาเฟีย แดนนี่ มือปืนตัวแสบลูกชายของ ชอว์น แม็กไกวร์ เพื่อนสนิทของ จิมมี่ ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในย่านนั้นบุกมาที่บ้านของ ไมค์ เพื่อที่จะฆ่า ไมค์ ปิดปาก  แต่ จิมมี่ โผล่เข้ามาช่วยลูกไว้ได้ กระนั้นเขาก็พลั้งมือยิง แดนนี่ ตาย

ชอว์น แม็กไกวร์ โกรธจัดต้องการแก้แค้นให้ลูกชายจึงเรียกระดมลูกน้องและมือปืนให้ช่วยกันตามล่าสองพ่อลูกคอนลอน ขณะที่ตำรวจก็ส่งกำลังเจ้าหน้ามากมายมาที่สกัดจับ จิมมี่ กับ ไมค์ เช่นกัน คืนนั้นจึงเป็นคืนแห่งโชคชะตาของสองชีวิตที่ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดจากคมกระสุนให้ได้ แน่นอนว่ามื่อปืนเก่าอย่าง จิมมี่ คงอดไม่ได้ที่จะจับปืนขึ้นสู้อีกครั้ง

บทภาพยนตร์ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จใกล้เคียงกับหนังเรื่อง John Wick ในหลายมิติ ต่างก็แค่ Run All Night ตัวละครเป็นฝ่ายกระทำก่อนเลยโดนตามไล่ล่า ส่วน John Wick เป็นผู้ถูกกระทำจึงต้องการล้างแค้น และ เคอานู รีฟส์ หนุ่มกว่า เลียม นีสัน มากเขาจึงเล่นฉากต่อสู้ได้เต็มที่กว่า ส่วน เลียม ใช้ฝีมือการต่อสู้ในแบบพ่วงอ็อปชั่นความเก๋ากับประสบการณ์มาช่วย

ความน่าสนใจอีกอย่างของหนังคือฝีมือการกำกับของ ฮวม คอลเล็ต เซอร์ร่า ที่เพิ่มลูกเล่นในการถ่ายทำ อาทิ ฉากลองเทค สโลโมชั่น การเฟดอิน เฟดเอาท์ แทนการตัดสลับฉากแบบทื่อๆ สำหรับดราม่าความสัมพันธ์พ่อลูกถ่ายทอดออกมาได้ดีพอสมควร แม้ไม่ซึ้งกินใจแต่ก็น่าจดจำกว่าคู่พ่อลูกใน A Good Day to Die Hard 

ด้านการแสดง เลียม นีสัน ในบท จิมมี่ ถ้าเป็นเมืองไทยก็เข้าข่าย หมาแก่อันตราย ซึ่งนอกจากเขาจะได้โชว์ทักษะการต่อสู้แล้ว เรื่องนี้เขายังได้แสดงฝีมือการเล่นซีนอารมณ์จนทำให้ผู้ชมสงสารเขา ช็อตที่ชอบที่สุดคือในช่วงท้าย เลียม ใช้ปืนลูกซองเก่าโบราณเติมกระสุนทีละนัดมาสู้กับมือปืนรุ่นลูกที่ใมีปืนทันสมัยติดเลเซอร์ คล้ายกับเป็นการประลองกันระหว่างคนสองยุค

ฉากยิงปืนนัดสุดท้ายของ จิมมี่ บอกได้คำเดียวว่าเท่สุดๆ ถึงจะเดาผลได้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำให้คนดูเอาใจช่วยเขา จัดว่าทิ้งทวนแบบน่าประทับใจจริงๆ และยังเป็นการส่งคำเตือนไปยังลูกๆหลานๆด้วยว่า อย่าได้คิดลองดีกับคนแก่เชียว

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/167587/?link=4




 

Create Date : 18 มีนาคม 2558    
Last Update : 19 มีนาคม 2558 14:05:25 น.
Counter : 2063 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

mninho
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




นกไซเบอร์ วิจารณ์หนัง
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mninho's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.