วันนี้ ทุกจอคอมพิวเตอร์ ในบ้านคุณ

รีวิวหนัง : Survivor ภัยหลอนก่อการร้าย


หลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมก่อการร้าย 911 ต้องยอมรับว่าโลกเราเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบินที่มีการตรวจผู้โดยสารและสัมภาระต่างๆอย่างเข้มงวด ลามไปถึงการคัดกรองคนเข้าเหมือง เจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบผู้ขอวีซ่าต้องตั้งข้อสงสัยกับนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งที่กำลังจะผ่านเข้าประเทศ เพียงเพราะพวกเขาบังเอิญมีจุดเล็กๆที่อาจเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย

ภาพยนตร์เรื่อง Survivor ตอกยํ้าความหวาดระแวงของอเมริกันชนต่อการก่อวินาศกรรม ในหนัง เคท เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำสถานทูตอเมริกาในลอนดอนผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ก่อการร้ายพบความผิดปกติของการออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต้องสงสัยจำนวนหนึ่ง เธอพยายามสืบสวนแต่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่คนอื่น 

ต่อมาเกิดเหตุระเบิดขึ้นในร้านอาหารที่กลุ่มเจ้าหน้าที่วีซ่าในสถานทูตไปสังสรรค์กัน เคท รอดตายหวุดหวิด เธอพยายามทำตามขั้นตอนก่อนจะพบว่ามีคนต้องการชีวิตเธอเนื่องจากเธอไปรู้แผนการร้ายของกลุ่มก่อการร้ายในอังกฤษ เคท โดนมือปืนช่างนาฬากาตามล่า ซํ้ายังถูกสถานทูตสงสัยว่ามีส่วนในเหตุระเบิดและการตายของเจ้าหน้าที่อาวุโส ขณะเดียวกันเธอก็ต้องหยุดยั้งแผนก่อการร้ายครั้งใหญ่ให้ได้

Survivor มีความเป็นภาพยนตร์สืบสวนมากกว่าแอ็คชั่น หากดูแค่นักแสดงนำอย่าง มิล่า โจโววิช และ เพียรส บรอสแนน ถือว่าน่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่บทหนังกลับไม่เข้มข้นเพียงพอ เนื้อหาพอดูได้เพลินๆ ทว่าหากเทียบกับหนังแนวสืบสวนเรื่องอื่นๆ พล็อตของ Survivor จะดูตื้นเขินมาก ซํ้ายังจืดชืด คาดเดาได้ง่าย ดำเนินเรื่องแบบตรงไปตรงมา ขาดการชิงไหวชิงพริบหรือหักเหลี่ยมทำให้ไม่มีความลุ้นระทึกใดๆ ส่วนดีของหนังเป็นด้านเทคนิคภาพที่ก็มีไม่มากนัก

หนังเผยให้เห็นถึงขั้นตอนอันซับซ้อนยุ่งยากในการขอวีซ่าเข้าประเทศสหรัฐฯอันเนื่องมาจากความหลอนภัยก่อการร้ายของอเมริกันชน แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวสร้างศัตรูให้พวกเขามากขึ้น เมื่อการสืบสวนแต่ละครั้งไปกระทบ ล้วงลึก และก้าวก่ายเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้นๆแบบกร่างๆ จุดนี้เชื่อมโยงถึงเหตุการณ์จริงที่กำลังเป็นข่าวดัง กับการลอบสอดแนมผู้นำในมิตรประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ พวกเขาถูกจับได้หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเข็ด 

เจมส์ แม็คทีค กับการกำกับหนังใหญ่เต็มตัวครั้งแรกถือว่าค่อนข้างล้มเหลว เขามือไม่ถึงพอที่จะดึงศักยภาพของนักแสดงออกมา หลายฉากดูไร้เหตุผลมากๆ มีความบังเอิญเกินควรที่ดูตลกมากมาย ขาดความสมจริงโดยเฉพาะตัวละครมือปืนในตำนวนที่แทบทำอันตรายเจ้าหน้าที่สาวคนเดียวไม่ได้ (แต่คนอื่นในเรื่องกลับฆ่าได้แบบง่ายดาย) เขามีโอกาสสังหารเคทบ่อยเกินไป และก็พลาดแบบน่าเกลียดจนผู้ชมสงสัยว่าเขาจงใจรึเปล่า

มิล่า โจโววิช ซึ่งแสดงเป็น เคท เล่นได้แข็งทื่อ ไร้ซึ่งเสน่ห์ แทบจะหน้าเดียวตลอดเรื่อง ไม่น่าเอาใจช่วยใดๆ เพียรส บรอสแนน กับบทมือปืนรุ่นใหญ่ เอาชื่อมาทิ้งแท้ๆ นอกจากหนวดกับผมสีขาวจะทำให้เขาดูน่าขันแล้ว การแสดงของเขาก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจเลย มันเป็นตัวละครที่แย่ที่สุดตัวหนึ่งในผลงานหนังของเขาก็ว่าได้

ช่วงท้ายภาพยนตร์ระบุข้อมูลว่าหลังจากเหตุ 911 เจ้าหน้าที่สหรัฐฯหยุดยั้งการพยายามเข้าไปก่อการร้ายในประเทศได้กว่า55ครั้ง ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันยังมีสายตาที่หวาดระแวงต่อเพื่อนร่วมโลก โดยที่ไม่เคยคิดหาต้นตอเลยว่า เหตุใดพวกเขาจึงมีศัตรูมากมาย

คะแนน 6/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/189599/?link=4




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2558 18:39:51 น.
Counter : 1479 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Contagion ไวรัสความกลัว


ขณะที่ทั่วโลกกำลังตืนตัวเรื่องการระบาดของ ไวรัสเมอร์ส ทำให้ผมนึกถึง Contagion ภาพยนตร์ทริลเลอร์ว่าด้วยการแพร่เชื้อของไวรัสมรณะซึ่งในหนังไม่ได้ระบุชื่อ(เป็นไวรัสที่คล้ายกับการผสมกันระหว่าง ซาร์ส อีโบล่า H5N1) โดยมีนักแสดงชื่อดังร่วมเล่นมากมาย อาทิ แม็ตต์ เดม่อน, กวินเน็ธ พัลโทรว์, เคท วินสเล็ต , จู้ด ลอว์ และ มารีออง โกติยาร์ เหตุการณ์ในหนังสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ

เนื่อหาเล่าถึงการค่อยๆแพร่ระบาดไวรัสสายพันธุ์ร้ายแรงที่ติดต่อกันได้ง่ายๆเพียงสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรือสิ่งของที่ผู้ติดเชื้อสัมผัส(คล้ายๆซาร์ส) เมื่อติดเชื้อผู้ป่วยจะมีอาการไออย่างรุนแรง มีไข้ ลมชัก เลือดคั่งในสมองและเสียชีวิตลงในเวลาไม่กี่วัน โดย เบ็ธ เอ็มฮอฟฟ์ (กวินเน็ธ พัลโทรว์) หญิงสาวชาวอเมริกันที่เคยเดินทางไปฮ่องกงคือผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนแรกที่ติดเชื่อ

เมื่อเวลาผ่านไป ไวรัสไม่มีชื่อดังกล่าวได้เริ่มกระจายตัวจาก ชิคาโก้ ลอนดอน ปารีส โตเกียว และ ฮ่องกง ไปยังส่วนต่างๆเกือบทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มจำนวนมากขึ้นจากหลักสิบเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งได้ แม้จนท.จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคในประเทศอเมริกากับองค์การอนามัยโลกจะทำทุกวิถีทางแต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เหนือการควบคุม

หนังดำเนินเรื่องด้วยการตัดสลับตัวละครไปมา มีตัวละครหลักคือ สามีของเบ็ธ เอ็มฮอฟฟ์ (แม็ตต์ เดม่อน) ,รองผู้อำนวยการชีเวอร์ (ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น)เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ประสานงานกับรัฐบาล , แพทย์สาว (เคท วินสเล็ต) ผู้ทุ่มเทชีวิตให้กับการหยุดยั้งเชื่อไวรัส , ดร.ลีโอโนร่า โอแรนเทส (มารีออง โกติยาร์)จนท.องค์การอนามัยโลกที่บินไปจีนเพื่อหาต้นตอของโรคนี้ และ บล็อกเกอร์ตัวแสบ (จู้ด ลอว์) ผู้หาผลประโยชน์จากข่าวลือ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีความเชื่อมโยงกันอยู่ เป็นเทคนิคการเล่าเรื่องที่น่าสนใจของ สตีเฟ่น โซเดอร์เบิร์ก ผู้กำกับ 

บรรยากาศของหนังมีความกลัวและความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา การใช้วิธีนับจำนวนวันแพร่ระบาดของเชื้อช่วยทำให้หนังมีความกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการเข้าถึงในหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นปัญหาในครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการเมือง ตลอดจนปัญหาเชื้อชาติ โดยจำลองเหตุการณ์ต่างๆที่คาดว่าจะเกิดหากมีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสไว้ครบถ้วน ทั้ง การปกปิดข้อมูลของภาครัฐ ผู้ปล่อยข่าวลือทางอินเตอร์เน็ต คนที่ฉกฉวยผลประโยชน์ กลุ่มคนที่ทำงานหนัก กลุ่มคนที่เห็นแก่ตัว คนที่เสียสละ คนที่เอาตัวรอด การกักตุนอาหาร และเกิดจลาจลในพื้นที่ต่างๆ

Contagion เป็นหนังวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้มีบทสนทนาที่ซับซ้อนเกินความเข้าใจของคนทั่วไป พล็อตคาดเดายาก กระนั้นด้วยความที่หนังเล่าเรื่องด้วยความราบเรียบจนเกือบจะอืด ขาดความหวือหวา ไม่มีจุดพีค อาจทำให้คนที่ไม่ชอบหนังแนวนี้เบื่อหรือง่วงได้ การถ่ายภาพคุมโทนให้สีออกอึมครึมเป็นส่วนใหญ่

ด้านการแสดง แม็ตต์ เดม่อน ทำได้ดีระดับหนึ่งกับบทพ่อบ้านสติแตกหลังจากการสูญเสีย แต่คนที่แสดงได้ยอดเยี่ยมที่สุดคงเป็น ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ที่เล่นเป็นรองผู้อำนวยการฯ ตัวละครของเขาถูกทำให้ดูเป็นสีเทา ก่อนที่จะมีการเฉลยตัวตนของเขาในตอนท้าย เคท วินสเล็ต โดดเด่นที่สุดในบรรดานักแสดงหญิง เสียดายที่เธอมีเวลาน้อยไปหน่อย ส่วน จู้ด ลอว์ ขโมยซีนได้หลายฉาก ความบ้าบอและน่ารังเกียจของตัวละครตัวนี้ช่วยสร้างสีสันพอสมควร

สิ่งที่ชอบคือหนังถ่ายทอดอารณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่อยู่ในภาวะไม่มั่นคงทางจิตได้ดี (วิตกจริต) พวกเขาโดนความกลัว ความตื่นตระหนก ครอบงำจนควบคุมสติไม่ได้และทำหลายอย่างที่โง่หรือไร้เหตุผล โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้น่ากลัวกว่าการแพร่ระบาดของไวรัสหลายเท่านัก

คะแนน 7/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/194720/?link=4




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2558    
Last Update : 26 มิถุนายน 2558 18:27:04 น.
Counter : 1258 Pageviews.  

รีวิวหนัง : The Good Lie ไปด้วยกัน ไปได้ไกล


ปัญหาผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยถูกทั่วโลกหันกลับมาเหลียวมองอีกครั้ง หลังกรณีของกลุ่ม โรฮีนจา เป็นข่าวครึกโครมในภูมิภาคอาเซียนกับการหนีความทุกข์ยาก ความรุนแรง ด้วยวิธีแออัดบนเรือประมงเล็กๆ รอนแรมแบบไร้จุดหมายในมหาสุมทรอย่างน่าเวทนา หวังเพียงสายลมแห่งโชคชะตาจะพาพวกเขาไปยังดินแดนที่ดีกว่า

ซํ้าร้ายกว่านั้น ยังมีคนเลวบางกลุ่มเข้าไปหาประโยชน์จากผู้อพยพชนิดไร้มนุษยธรรม กระนั้นเมื่อปัญหามีความซับซ้อนทางชาติพันธุ์คำถามเล็กๆอย่างช่วยหรือไม่ช่วยกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนในชาติทะเลาะเบาะแว้งกันเอง แถมยังลามไปถึงความขัดแย้งระดับประเทศและภูมิภาค

The Good Lie น่าจะเป็นหนังเกี่ยวกับผู้อพยพที่จะทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของคนกลุ่มนี้ ผู้ซึ่งจำใจต้องเดินทางออกจากแผ่นดินเกิด และอาจมองภาพรวมของปัญหานี้แบบชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหนังเรื่องนี้กำกับโดย ฟิลิปเป ฟาลาร์โด สร้างจากเรื่องจริงของ เด็กหลงแห่งซูดาน เด็กชายหญิงกลุ่มหนึ่งที่ลี้ภัยสงครามด้วยการเดินเท้าข้ามทะเลทรายซาฮารา ก่อนที่สิบกว่าปีให้หลัง พวกเขา4คนที่เติบโตเป็นหนุ่มสาวจะได้รับโอกาสให้ย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศสหรัฐฯ

พวกเขาเจอปัญหาตั้งแต่ลงเครื่องเมื่อพี่น้องที่เป็นผู้หญิงถูกแยกไปที่รัฐอื่น หนุ่มซูดานต้องเผชิญกับโลกใหม่ พวกเขามีเรื่องต้องปรับตัวมากมายโดยได้รับการดูแลจาก แคร์รี่ ( รีส วิทเธอร์สปูน ) เจ้าหน้าที่สาวจากบริษัทจัดหางาน แรกเริ่มเธอก็ปฏิบัติกับสามหนุ่มตามหน้าที่การงาน ก่อนที่ต่อมาจะสัมผัสได้ถึงความบอบชํ้าในจิตใจของพวกเขา แครืรี่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง จึงทุ่มเททำหลายสิ่งที่เกินกว่าหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือให้ทั้งสามคนมีชีวิตที่ดีขึ้น

บทภาพยนตร์สะท้อนมุมมองของผู้ลี้ภัยสงครามได้ชัดเจน สะเทือนอารมณ์ ทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของผู้อพยพมากขึ้นพอสมควร ขณะเดียวกันแม้จะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเรื่องสงครามและการเมืองโดยตรง แต่หนังเลี่ยงจะพูดถึงมัน โดยหันมาเอาใจใส่กับการถ่ายทอดเรื่องความสัมพันธ์ของผู้อพยพด้วยกันเอง รวมถึงผู้อพยพกับผู้มีจิตอาสาจากแผ่นดินใหม่

หนังใช้ความแปลกถิ่นแนวบ้านนอกเข้ากรุงมาเป็นมุขตลกประปรายเพื่อลดบรรยากาศซีเรียสในหนัง และด้วยความเป็นภาพยนตร์ทุนตํ่า จึงมีการไทร์อินสินค้าที่โจ่งแจ้งประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร เนื่องจากมันถูกเชื่อมโยงในแง่ของสินค้าจากโลกตะวันตก

การแสดงต้องชื่นชมความเป็นธรรมชาติของนักแสดงชายสามคนที่รับบทเป็นผู้ลี้ภัยชาวซูดาน พวกเขาทำให้คนดูเชื่อได้ในทุกๆฉาก ส่วน รีส วิทเธอร์สปูน คือตัวแทนที่ดีจากสหรัฐฯในการต้อนรับผู้อพยพ การแสดงของเธออยู่ในมาตรฐาน ไม่เยอะ ไม่น้อยเกินไป และหนังก็ไม่ได้ให้เครดิตหรือเชิดชูในความเป็นพ่อพระแม่พระของชาวอเมริกันมากจนเกินงาม

หลังดู The Good Lie จบ อาจทำให้คุณมองผู้อพยพหรือคนต่างด้าวในสายตาที่ต่างออกไป ถึงพวกเขาจะต่างชาติต่างภาษา แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน ซึ่งดาวเคราะห์สีฟ้าอันกว้างใหญ่ใบนี้น่าจะมีพื้นที่เล็กๆเพียงพอสำหรับมนุษย์ทุกคน ดังสุภาษิตของชาวแอฟริกันที่ว่า ไปคนเดียว ไปได้ไว ไปด้วยกันไปได้ไกล

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/136606/?link=4




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2558    
Last Update : 26 มิถุนายน 2558 14:56:49 น.
Counter : 1630 Pageviews.  

รีวิวหนัง : The Loft ห้องแห่งความลับ


The Loft เป็นภาพยนตร์แนวอาชญากรรมที่รีเมคมาจากหนังเบลเยี่ยมชื่อ Loft ซึ่งออกฉายในปี 2008 ฉบับฮอลลีวู้ดกำกับโดย เอริก แวน ลูย และได้นักแสดงหนุ่มๆอย่าง เจมส์ มาร์สเดน, เวนเวิร์ธ มิลเลอร์ และ คาร์ล เออเบิร์น มารับบทนำ 

หนังเล่าถึงเรื่องของ วินเซนท์ , คริส , ลุค , ฟิลิป และ มาร์ตี้ ห้าหนุ่มเพื่อนซี้ที่ตกลงเช่าห้องลับร่วมกันเพื่อใช้เป็นที่แอบพาสาวมานอนด้วย โดยมีกฏว่าจะต้องเก็บเป็นความลับไม่ให้ภรรยาของพวกเขารู้ แต่ต่อมากลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อในเช้าวันหนึ่งมีศพของสาวผมบลอนด์นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียง

ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนลงมือฆ่าเธอ ทั้ง5คนเกิดความหวาดระแวงกันเอง กลัวตำรวจจะรู้เรื่อง และที่กลัวไม่แพ้กันคือภรรยาของพวกเขา และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความลับต่างๆของกลุ่มเพื่อนก็ถูกเปิดเผยออกมาทีละคน พวกเขาแฉพร้อมทั้งกล่าวหากันเองไปมา แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นฆาตกร

มากกว่าการหาความสำราญชั่วครู่ The Loft คือห้องแห่งความลับที่ผู้ชายพยายามเป็นใหญ่หรือคิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้หญิง ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ กลัวหัวหดว่าเมียจะรู้ อีกด้านหนึ่งบางทีมันอาจเป็นเกมเพื่อความสนุกของหนุ่มเจ้าสำราญที่เล่นกับสาวจอมมารยา แม้ว่าปมสืบสวนของหนังจะน่าติดตาม มีประเด็นเสียดสีสังคมนิดๆ โดยเฉพาะปัญหาการนอกใจของหัวหน้าครอบครัวในสังคมอเมริกัน

หนังใช้วิธีเล่าเรื่องแบบมีชั้นเชิงพอสมควร ย้อนเอาตอนท้ายมาเปิดเรื่อง ตัดสลับกับเหตุการณ์ในอดีต ขายฉากวาบหวิวเบาๆ กระนั้นกลับมีปัญหาในเรื่องบทที่ขาดความสมจริง โดยเฉพาะในพาร์ทความรักกับครอบครัว อาทิ ตัวละครคริสที่หลงรักสาวชั่วข้ามคืนแบบหัวปักหัวปำจนถึงขั้นยอมทิ้งลูกทิ้งเมีย พฤติกรรมของวินเซนท์ซึ่งโจ่งแจ้งโฉ่งฉ่างแต่ภรรยาของเขากลับจับไม่ได้(หรืออาจจับได้แต่ไม่พูด) รวมถึงความบ้าบิ่นของฟิลิปที่เกินลิมิตไปนิด ไม่ว่าจะฉากบีบไข่เพื่อนกลางงานแต่งงานตัวเอง อัดคนอื่นในงานเลี้ยง 

จุดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่หนังปูพื้นตัวละครนำน้อยเกินไป เราได้รู้ข้อมูลเพียงแค่ชื่อกับอาชีพของพวกเขาทั้งนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาหลายคนกับภรรยาก็คลุมเครือ ไม่ชัดเจน คนดูไม่เชื่อสถานะของตัวละครจึงไม่มีการลุ้นเอาใจช่วยใคร ประเด็นดราม่าชีวิตคู่ก็บางเบาขาดนํ้าหนัก หนังเดาทางได้ยากก็จริง แต่การหักมุมซํ้าแล้วซํ้าเล่าบ่อยเกินไปก็ส่งผลเสียในแง่ของการขาดจุดพีคหรือไฮไลต์ ด้านบทสรุปไม่ค่อยคลี่คลาย มีช่องโหว่ ถึงหนังจะจบแล้วก็ยังมีข้อสงสัยทิ้งไว้มากมาย

นักแสดงที่ขาดสเน่ห์ก็ทำให้ความเข้มข้นของหนังลดลง คาร์ล เออเบิร์น กับบท วินเซนท์ เป็นหนุ่มเพลย์บอยที่ดูดี แววตามีความเจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ดึงดูดสายตาผู้ชมมากพอ เขาโกหกไม่เนียน ซํ้ายังเล่นไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ในบทรองๆกับ Riddick , Star Trek หรือ The Lord of the Rings เขากลับโดดเด่นมากกว่า ขณะที่ เจมส์ มาร์สเดน ที่เล่นเป็น คริส การแสดงดร็อปลงไปเยอะ ทื่อมะลื่อ ไร้ชีวิตชีวา แทบจำไม่ได้เลยว่าเขาเคยรับบท สก็อต ซัมเมอร์ ใน X Men มีเพียง เวนเวิร์ธ มิลเลอร์ (จากซีรี่ย์ Prison Break) ซึ่งแสดงเป็น ลุค เท่านั้นที่เล่นได้น่าสนใจ ตัวละครนี้มีความซับซ้อนระดับหนึ่ง ซึ่งเขาปรับบุคลิกได้เหมาะกับบท ลุค ถ่ายทอดอารณ์ได้ดี ดูมีลับลมคมนัยเข้ากับบรรยากาศของหนัง

The Loft นำเสนอเล่ห์เหลี่ยมกับความเห็นแก่ตัวของเพศชาย และ ความเซ็กซี่กับความน่ากลัวของเพศหญิง ทว่าการขาดหายไปของพลังทางการแสดง รวมถึงความอ่อนแอของบท ทำให้มันกลายเป็นหนังอีกเรื่องซึ่งทำออกมาแล้วล้มเหลว แย่กว่าหนังต้นฉบับ

คะแนน 6.5/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/185361/?link=4




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2558    
Last Update : 25 มิถุนายน 2558 18:58:18 น.
Counter : 1634 Pageviews.  

รีวิวหนัง : La famille Belier เสียงที่ไม่ได้ยิน


La famille Belier เป็นหนังที่สร้างมาจากนิยายของนักเขียนชื่อ วิคตอเรีย เบดอส นำแสดงโดย ลูอัน เอเมอร่า นักร้องสาววัย 18 ที่ได้ตำแหน่งแชมป์ The Voice ของประเทศฝรั่งเศส เมื่อเข้าฉายได้ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการทำรายได้แซงหน้าหนังฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง ขึ้นอันดับ1หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของฝรั่งเศส

หนังเล่าถึงเรื่องราววุ่นๆของครอบครัวเบลิเยร์ที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในฟาร์มเล็กๆห่างไกลจากตัวเมืองของพวกเขา โดย พ่อ แม่ และลูกชายพิการทางการได้ยิน มีเพียงลูกสาวคือ พอลล่า(โปลา ในภาษาฝรั่งเศส) คนเดียวที่ไม่มีปัญหาด้านการฟังหรือพูด ซํ้ายังมีพลังเสียงที่สุดยอดซ่อนอยู่ข้างใน กระทั่งเธอจับจับพลัดจับผลูได้เข้ามาอยู่ในชมรมขับร้อง ครูสอนร้องเพลงเห็นแววในตัวเธอจึงชักชวนให้ พอลล่า สมัครทดสอบเพื่อเข้าเรียนต่อในโรงเรียนดนตรีชื่อดังของกรุงปารีส

เรื่องไม่ได้ง่ายเพราะ พอลล่า เป็นเด็กสาววัยรุ่นที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นๆ เธอต้องรับสายโทรติดต่อธุรกิจแทนพ่อแม่ คอยคุยกับลูกค้าที่มาซื้อของ ตลอดจนแปลภาษาจากคนอื่นหรือแปลคำพูดจากทีวีเป็นภาษามือให้คนในครอบครัวเข้าใจ ต่อมาเธอยิ่งยุ่งเข้าไปอีกเมื่อพ่อตัดสินใจลงเล่นการเมืองท้องถิ่น และพวกเขาต้องพึ่งเธอในการหาเสียง พรสวรรค์ที่เพิ่งถูกค้นพบของจึงถูกท้าทายด้วยสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

La famille Belier เป็นหนังครอบครัวที่อบอุ่นมาก ถ่ายทอดความรู้สึกของคนหูหนวกได้ละเมียดละไม ในอีกแง่หนึ่งก็เข้าอกเข้าใจคนที่ต้องใช้ชีวิตกับผู้พิการเป็นอย่างดี ส่วนตัวชอบตรงที่หนังไม่ได้แสดงความสงสารพวกเขา เพียงนำเสนอแนวทางไม่แค่ให้เราใช้ชีวิตกับพวกเขาได้ปกติ ทว่าเลยไปถึงการปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตธรรมดาเฉกเช่นคนทั่วไป พาร์ทดราม่าในเรื่องจึงถูกขยี้แบบพอเหมาะ โดยมีส่วนผสมของมุขตลกประปรายช่วยพยุงโทนของหนังให้ยังสดใสอยู่ 

ขณะเดียวกันหนังก็ดำเนินเรื่องส่วนของการวิ่งตามความฝันแบบค่อยเป็นค่อยไป ชีวิตของนักเรียนวัยรุ่นในชนบทก็มีสีสันพอสมควร ประเด็นลูกสาวร้องเพลงเพราะ แต่คนในครอบครัวไม่สามารถได้ยินช่างสะเทือนใจเหลือเกิน ฉากที่พ่อแม่กำลังดู พอลล่า ร้องเพลงที่โรงเรียนแล้วจู่ๆผู้กำกับตัดเสียงออกมันพีคมากๆ เป็นวิธีสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมที่ฉลาดและน่าประทับใจ 

ส่วนไฮไลต์หรือท่อนฮุคของหนังคงนี้ไม่พ้นช่วงท้ายที่ พอลล่า เอาเพลง Je vole มาร้องในการสอบ เนื้อเพลงและความหมายของมันช่างวิเศษ เข้ากับภาพยนตร์สุดๆ ดังที่ตัวละครตัวหนึ่งชื่นชม พอลล่า ว่าเลือกเพลงได้ดีมาก ภาษาฝรั่งเศสนั้นสวยงามอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อถูกนำมาขับร้องยิ่งน่าฟังเข้าไปอีก 

การแสดง ลูอัน เอเมอร่า ดูเป็นตัวเองสุดๆในบท พอลล่า เธอมีเสียงที่เพราะจับใจ สเน่ห์ก็ล้นเหลือพอจะทำให้คนดูไม่ละสายตาไปไหน หนังเรื่องนี้พิสูจน์ว่า ลูอัน ไม่ได้มีดีแค่ร้องเพลง แต่คนที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือนักแสดงรุ่นใหม่มากฝีมือ ฟราสซิส เดเมี่ยนส์ ผู้ที่เล่นเป็นพ่อของพอลล่า นอกจากจะแสดงเป็นคนหูหนวกอย่างสมจริงแล้ว เขายังสื่อสารผ่านทางสีหน้าท่าทางได้ชนิดไร้ที่ติ เช่นเดียวกับ คาริน เวียร์ต ในบทคุณแม่แสนสวยประจำครอบครัวเบลิเยร์ ลองคิดดูว่าพวกเขาต้องทำงานหนักขนาดไหนถึงจะพูดภาษามือได้คล่องขนาดนั้น

ลา ฟามิลล์ เบลิเยร์ มีความงดงามที่สมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เนื้อหา และ บทเพลง แม้บทสรุปของมันอาจจะไม่แปลกใหม่นัก แต่ก็เป็นหนังครอบครัวที่มีองค์ประกอบชั้นดี ลงตัวในเกือบทุกด้าน เมื่อดูจบ คุณอาจต้องเสียนํ้าตาให้กับหนัง แต่ก็จะได้มุมมองใหม่ๆดีๆในการดำเนินชีวิตกลับมามากมาย

คะแนน 8.5/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/169926/?link=4




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2558    
Last Update : 24 มิถุนายน 2558 18:37:55 น.
Counter : 1323 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

mninho
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




นกไซเบอร์ วิจารณ์หนัง
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mninho's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.