หลอดอัลตราไวโอเล็ตสามารถนำประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียและโรคไวรัสได้หรือไม่
หลอดอัลตราไวโอเล็ตสามารถนำประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียและโรคไวรัสในอาคารสำนักงานได้หรือไม่ ถ้าสามารถใช้ได้ มีวิธีการนำมาใช้อย่างไร
|
|
แสง Ultra violet สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้แต่มีข้อจำกัดหรือข้อควรระวังบางประการที่จะได้กล่าวต่อไป แสง UV มีความยาวช่วงคลื่น 100 400 nm แสง UV มีอยู่ 3 ชนิดคือ UV-A ความยาวช่วงคลื่น 315 380 nm (long waves) UV-B ความยาวช่วงคลื่น 280 315 nm (middle waves) UV-C ความยาวช่วงคลื่น 100 280 nm (short waves) โดยทั่วไปหลอดกำเนิดแสง UV ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคจะเป็นหลอดชนิดที่ให้แสง UV-C ให้แสงความยาวช่วงคลื่น 254 nm ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และ vegetative cell ของเชื้อราแต่ไม่สามารถทำลาย spore ของเชื้อรา ในการใช้แสง UV เพื่อฆ่าเชื้อจะต้องคำนึงถึงความเข้มหรือพลังงานของแสงต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ (mW/cm2) ซึ่งพลังงานในการฆ่าเชื้อแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเชื้อ นอกจากนี้แสง UV ยังฆ่าเชื้อได้ดีเฉพาะเชื้อที่ล่องอยในอากาศ เชื้อที่ตกบนพื้นหรือห่างจากหลอดกำเนิดแสงอาจไม่ถูกทำลาย และควรเป็นห้องที่จัดระเบียบเรียบร้อยไม่มีสิ่งของจำนวนมากมายซ้อนหรือรกรุงรังเพราะขัดขวางพลังงานของแสงที่แผ่ออกมา ดังนั้นการติดตั้งหลอดกำเนิดแสง UV เพื่อการฆ่าเชื้อในห้องหรือสำนักงานนั้นควรปรึกษาช่างเทคนิคหรือบริษัทที่จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ เพื่อเลือกชนิดและจำนวนของหลอดและตำแหน่งที่ติดตั้งหลอดเพื่อเหมาะสมกับพื้นที่ของห้อง และควรเลือกหลอดที่มีต้นกำเนิดแสงที่ไม่ทำให้เกิด Ozone หลอดกำเนิดแสง UV บางชนิดจะร้อนจัดหลังจากเปิดใช้ไประยะเวลาหนึ่ง นอกจากนั้นข้อควรระวังอีกประการคือ แสง UV ทำให้ตาอักเสบและผิวหนังอักเสบหรือไหม้ได้ ต้องระวังไม่จ้องมองหรือสัมผัสกับแสงโดยตรง ต้องสวมใส่แว่นหรือหน้ากากป้องกันแสง และสวมใส่เสื้อ/ชุดที่ป้องกันแสง แสง UV จะทำลายพื้นผิวบางอย่างเช่นพลาสติคหรือกระดาษจะทำให้กรอบและแตกได้เมื่อถูกแสงนานๆหรือเป็นประจำ การเปิดปิดหลอดกำเนิดแสงต้องทำด้วยความรอบคอบระมัดระวัง นอกจากนั้นต้องมีการตรวจสอบพลังงานแสงที่ปล่อยออกจากหลอดเป็นระยะๆเพราะเมื่อใช้งานไประยะเวลาหนึ่งหลอดจะค่อยๆเสื่อมลง การปล่อยพลังงานจากหลอดจะลดลงทำให้ประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อลดลงด้วย โดยทั่วไปบริษัทที่ผลิตหลอดจะบอกระยะเวลาในการใช้งานของหลอดว่าใช้ได้นานกี่ชั่วโมง ในการใช้งานจึงต้องมีการบันทึกเวลาที่เปิดหลอดใช้งาน และทำการตรวจสอบโดยการให้ช่างเมคนิคใช้เครื่องมือวัดพลังงานของแสงที่ปล่อยออกจากหลอด |