Honey Happy Fairy
 
 

ฉันได้อะไรจากการเป็นแอร์ 5 ภาค ช่วงสมัครและสอบจนได้เป็นแอร์สมใจนึก บางลำภู

หลังจากที่รู้ข่าวว่าการบินไทยรับสมัครแอร์-สจ๊วต เราก็นัดแนะกับนังต้อง เพื่อนกะตี้ (กะเทย) ว่าจะไปสมัครพร้อมกัน และพี่สาวของเพื่อนสนิทซึ่งสอบติดไปแล้วล่วงหน้า 1 ปี แนะนำให้เราไปสมัครวันแรกตอนเช้า ไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะถ้าสอบผ่านฉลุยทุกขั้นตอน เราก็จะได้เรียกไปอบรมรุ่นแรกทันทีสมัครก่อนได้ก่อนว่างั้นเหอะวันนั้นลางานที่ธนาคารแถวสีลมไป สมัครที่โรงแรมรามาการ์เด้น เรากะนังต้องไป กันตั้งแต่ยังไม่ 8 โมงดี ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้น เปิดรับสมัคร 8 โมงครึ่ง ไปถึงก็ตั้งแถวรอกันเลย เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา ผู้คนมากหน้าหลายตา เจอรุ่นพี่ เพื่อนๆ จากหลายๆกลุ่ม ถ้าเป็นผู้ชาย ก็จะเป็นกะตี้ ที่เป็นผู้หญิงก็เพื่อนของเพือ่นมั่งหละ หน้าตาคุ้นๆ หรือเราคุ้นของเราฝ่ายเดียวก็ไม่รู้ ตรวจเอกสารเสร็จ ก็ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ผ่านโลด หลังจากนั้นก็รอดูประกาศเรียกให้ไปสอบสัมภาษณ์ภาษาไทยก่อน ถ้าผ่านแล้วถึงให้ทุกคนไปสอบTOEIC สมัยนั้น ยังไม่มีการสอบเองมาก่อน ทางสายการบินจัดให้ ออกค่าใช้จ่ายให้ เรียกตัวไปสอบทีเดียวพร้อมกันหมด ตอนนั้นเปิดห้องบอลรูมโรงแรมแลนด์มาร์ค สอบค่ะ
สมัครที่รามาการ์เด้นท์ สัมภาษณ์ ภาษาไทยที่สำนักงานใหญ่ สอบTOEIC ที่ โรงแรมแลนด์มาร์ค กลับมาสอบสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษที่สำนักงานใหญ่อีกรอบ หลายที่ดีแท้
สรุปขั้นตอน ถ้าจำไม่ผิดนะคะ(เด๋วจะต้องไปถามเพื่อนเอีกที เพราะจำไม่ค่อยแน่ใจ 100 %ค่ะ)คือ
- ยื่นใบสมัคร พร้อมเอกสารการศึกษา ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ผอมไป อ้วนไป ตกรอบ
- รอดูประกาศนัดสอบสัมภาษณ์ภาษาไทย เค้าจะแปะบอร์ดไว้ ตรงบอร์ดประกาศงาน เรานั่งมอไซรับจ้างแถวบ้านไปดู ยังขำอยู่เลย หัวกระเซิง อีกแล้ว หน้าตาโคดโทรม ไปยืนยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวหน้าบอร์ด กะว่าผ่านรอบนี้ไปได้ สู้ขาดใจเลย เพราะรู้ว่ารอบนี้เขี่ยคนตกไปเยอะมากๆ และเป็นรอบที่หินที่สุด
- ถ้าผ่านสัมภาษณ์ ภาษาไทยก็ถึงจะไปสอบ TOEIC ขั้นตอนนี้ เราสู้ตาย เพราคิดว่าะ เตรียมตัวมาค่อนข้างดี ผลออกมาผ่านไปฉิวเฉียดมาก เพราะทั้งหูดับ และตื่นเต้น ต้องการ 550 คะแนน เราได้ 580 น่าอายจัง
ตอนหลังที่เรียกให้ไปสอบใหม่ หลังจากที่ทำงานไปชาติเศษแล้ว คะแนนพุ่งไปเกือบ 800 ทั้งๆที่ภาษาเขียนแทบไม่ได้ใช้ เลย สงสัยเพราะการฟังดีขึ้นด้วยมั้งคะ (มีแควนแล้ว ก้คนที่พ่อของลูกนี่แหละค่ะ)
- นัดสอบสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษกับแหม่มตัวต่อตัวและมีการอัดเทปไ ปฟังอีกที คำถามไม่ยากเลย ถามว่า วันนี้ทำอะไรมาบ้าง จะดูว่าใช้tense ถูกหรือไม่ แล้วจากบ้านมาที่นี่ยังไง ตอบเรื่องทิศทางให้ถูกต้อง นอกนั้นก้เป็นคำถามเรื่องทั่วไป ว่าวางแผนชีวิตไว้ยังไง ถ้าสอบไม่ผ่าน แล้วภาษานี่เตรียมตัวมาอย่างไรบ้าง ก็ตอบไปเรื่อยๆ บรรยากาศสบายๆ ไม่เหมือนตอนไปสอบซาอุ เลย ตอนนั้นเกร็ง สั่นไปหมด อย่างว่านะคะ คนเราพอเริ่มมีประสบการณ์ ความตื่นเต้นมันก็ไม่ค่อยมี สติก็จะมา ปัญญาก็จะเกิด ตอบได้โม้ด
- ผ่าน ก็ไปสอบว่ายน้ำ ถ้าตกรอบนี้ ก็ยังให้โอกาสไปหัดมา แล้วมาสอบใหม่ แต่จะเข้าอบรมช้ากว่าเพื่อนที่สอบผ่านวันเดียวกัน
-ประกาศวันนัดให้ไปตรวจโรคที่เวชศาสตร์การบิน ก็จะมีตรวจตา ตรวจการได้ยิน x-ray ปอด เจาะเลือด
- ผ่านทุกขั้นตอน ไม่มีติดขัด ก็เป็นอันได้รอประกาศวันที่เซ็นต์สัญญา พร้อมกับต้องหาผู้ที่จะมาค้ำประกันให้ ซึ่งต้องเป็นข้าราชการระดับซี 5 หรือ ซี 6 ไม่แน่ใจค่ะ ตรงตัวเลขซี
- รอเรียกอบรม ระหว่างนั้นก็ไปเตรียมชุดที่จะใส่ไปอบรมได้เลย
ปัจจุบันขั้นตอนรวบรัดกว่านี้ เพราะผู้สมัครจะต้องไปทำการสอบTOEIC หรือ TOFEL เอง แล้วนำผลที่ผ่านตามเกณฑ์ ที่สายการบินต้องการมายื่นในวันสมัคร ประหยัดค่าใช้จ่ายของสายการบินไปเยอะเลย

วันสมัครว่าตื่นเต้นแล้ว สัมภาษณ์ภาษาไทยตื่นเต้นกว่าร้อยเท่า จำได้ว่าแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ ตี ห้า เพื่อให้คุณป้าสุดที่รักแต่งหน้า ทำผมให้ เพราะคุณป้าต้องไปทำงานแต่เช้าแกออกจากบ้าน ประมาณ 6 โมง ก็มีเวลาเสริมความงามให้เรา 1 ชั่วโมงเต็ม ตอนนั้นผมหยิกกระเซิงก็ถูกรวบใส่ในเน็ตที่พี่สาวเพื่อนให้ยืมมา สมัยนั้นหาซื้อยากมากค่ะ ขอบอก ทำผมทรงแอร์เลยว่างั้นเหอะ เก็บให้เรียบร้อย เล็บทาสีสด หน้าแต่งเต็มที่เหมือนแอร์ที่เตรียมไปบิน ถุงน่องก็สีเนื้อ ไม่เข้มไป หรือขาวเกินผิวจริง เสื้อต้องเป็นแขนสั้น กระโปรงเหนือเข่า จะดูผิวพรรณ และแขน ขาว่ามีร่องรอยกระดำกระด่าง ดำเนียนไม่เปนไร ฮี่ฮี่ มีแผลเป็นใหญ่ๆที่มือหรือไม่ กลัวเสริฟไป ผู้โดยสารเห็นมือแล้วร้องจ๊าก

เราเตรียมตัวไปเต็มที่ เริ่มเป็นงานแล้ว แต่ชุดเราก็โคดจะเรียบร้อยเลย กระโปรงยืมลูกพี่ลูกน้อง เสื้อ รองเท้าของตัวเอง เน็ตมวยผมของพี่สาวเพื่อนที่เป้นแอร์อยู่ที่บอกให้เราไปสมัครวันแรกนั่นแหละ( เธอช่วยหลายอย่างเจงๆ) เครื่องสำอางค์ของป้า ดูความพร้อมของเราซิ พร้อมอย่างงกๆเนอะ ไม่ลงทุนเลย ทั้งหน้าทั้งผม ทำเป็นที่ไหนล่ะคะ อิอิ แต่ภายหลัง เรากลายเป้นคนที่แต่งหน้าให้คุณป้าสุดที่ร๊ากเองเลยเวลาเธอจะไปงานกลางคืนน่ะ อาชัพนี้เปลี่ยนคนได้เลย จากไม่รู้เรื่องก้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ เล็บทาไม่เป้นก้แทบจะหลับตาทาได้ หน้าก็แต่งจนเบื่อกันไปข้าง การแต่งตัวก็เลือกเป็น ดูแลให้ตัวเองดูดีขึ้นได้ เป้นได้จากทั้งสภาพแวดล้อม ที่เห็นแต่คนสวยงาม แต่งตัวดี และเห็นจากแฟชั่นจากต่างประเทศที่ทั้งได้เห็นและได้ซื้อใช้ เป็นอาชีพที่ ต้องอาศัยการดูแลตัวเองให้ดูดีทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้าเป้นหลักอยู่แล้ว คนที่หน้าตาธรรมดาๆก้จะดูดีขึ้นมาได้ คนที่สวยอยู่แล้วก้สวยยิ่งๆขึ้นไปอีก

วันไปสอบสัมภาษณ์ภาษาไทย แม่เราอุตส่าห์มาจากชลบุรี มาขับรถพาลูกสาวไปส่ง ทั้งๆที่สำนักงานใหญ่ก็ใกล้บ้านมากๆ ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้า ไปนั่งกันอยู่ประมาณสามคน ตามเวลาที่นัดมา แบ่งเป็นช่วงๆ คนละประมาณ 15-20 นาที นั่งอมยิ้มมองหน้ากันไปมา ตอนนั้นมีผู้ชายหน้าตาเรียบร้อย ตี๋ๆ นั่งรอต่อจากเราไป ในภายหลังก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมคลาสเข้าอบรมพร้อมกัน
ช่วงสัมภาษณ์ของเรานั้นเป็นเวลาที่โหดมั่กๆ
มีกรรมการอยู่ 5 ท่าน ผู้ชายล้วน จะมีคนที่ถามเรา 4 คน อีกคนจะนั่งมองอย่างเดียว ไม่รู้จะมองหาข้อผิดพลาดประการใด เหมือนมองหาขี้แมลงวัน หาแผลเป้น หาจุดบกพร่องบนใบหน้า หรือมองว่าเราจะหลบตาหรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่วิธีการมอง ชั่งกวนโอ๊ยดีแท้สำหรับท่านที่ถามก็ ยิงคำถามกันเป็นชุดๆ เริ่มจาก
- ทำไมถึงอยากเป็นแอร์
คำตอบ เป็นอาชีพที่น่าสนใจ ได้พบปะผู้คนจากที่ต่างๆ หลากหลายทั่วโลก และเป็นอาชีพที่ได้บริการ ชอบที่จะเห็นผู้คนมีความสุข จากการทำงานของเรา และได้เดินทางไปในที่ต่างๆ (คำตอบ ทั่วไปที่ควรจะตอบน่ะแหละ) อันหลังนี้เป็นคำตอบสุดท้ายเลย เรื่องงานบริการนั้นก็ตอบไปแบบที่ควรจะตอบค่ะ อิอิ)
- รู้รึเปล่าว่างานนี้ไม่ได้แค่ได้แต่งตัวสวย หรือบินไปบินมาอย่างเดียว ห้องน้ำก็ต้องทำความสะอาด อาเจียนก้ต้องเช็ด (พูดง่ายๆ คือ เช็ดครี่ เช็ดอ้วก นั่นแหละ และเราก็ได้เช็ดทั้งสองอย่างนี้ครบถ้วน) จะทำได้มั้ย
คำตอบ ทราบค่ะ และทำได้ค่ะ ไม่รังเกียจค่ะ (อยากบอกต่อเหลือเกินว่า ต่อให้ครี่กองเท่าช้างก้เช้ดให้ได้ )
- งานที่ทำอยู่ก็ดีอยู่แล้วนี่นา เป็นโปรแกรมเมอร์ก็ดีแล้ว แล้วตอนสอบเข้ายากมั้ย รับกี่คน สอบกี่คน
คำตอบ งานดีค่ะ แต่คิดว่าเราไม่เหมาะกับงาน ตรงนั้น เพราะไม่ใช่สิ่งเที่เราอยากทำ หลังจากทำไปแล้วสักพัก แต่อาชีพแอร์เป็นอาชีพที่อยากเป็นมาตลอด ตอนสอบเข้าธนาคารมีคนสอบ 7 คน รับ 1 คน ค่ะ
- ก็เก่งนี่นา ก็น่าจะทำต่อไปนะ (เราก็ เฮ้ยอารายวะ แต่หน้าก็ยังยิ้มระรื่นอยู่) แล้วถ้าไม่ได้ จะเสียใจมั้ย
คำตอบ ก็คงจะเสียใจค่ะเป็นธรรมดา กับการที่เรามุ่งมั่น ถ้าไม่สมหวัง เพราะเราตั้งใจเแล้ว ก็จะพยามต่อไปค่ะ ถ้าเปิดรับสมัครก็จะมาอีกค่ะ ไม่ท้อค่ะ (สะตอมั้ยคะ)
- มีท่านนึงยิ้มๆ ก็พลิกใบสมัครเราไปมา ตรงความสามารถพิเศษ ซึ่งเราบรรยายไว้ซะเพียบ เช่น เป็นคณะกรรมการของคณะ แสดง เต้น ร้องเพลง บนเวที (ก็ทำมาแล้วเจงๆนะ) แล้วก้ถามว่า เห็นว่า ตอนเรียนก้แสดงงานของคณะด้วย แหม อยากเห็นจัง ต้องเต้นยังไงมั่งละ
คำตอบ อยากดูเหรอคะ ได้ค่ะ (เข้าทางมั่กๆ ถ้าไม่มีท่านกรรมการคนนี้ เราแย่แน่ เพราะคำถามก่อนหน้านี้ เล่นเอาเราใจเสีย กรูหลุดแน่เลย) ว่าแล้นเราก้ลุกขึ้นไปยืนโพสต์เป็นมาดอนน่า บวก ซินดี้ ลอเปอร์ ค้างอยู่ แล้วก็บรรยายว่า อันนี้ท่ามาดอนน่านะคะยืนอยู่ช่วงไฟส่องมา (ยืนท่า งอเข่าหันข้าง มือซ้ายกางทำเป็นตัวแอลคว่ำข้างลำตัว มือขวาก็กางด้านข้างเป็นตัวแอลตั้งขึ้น พอจะนึกท่าออกมั้ยคะ หน้าก้จะหันมองลงพื้น) พอเพลงขึ้นดิชั้นก็เริ่มเต้นค่ะ (พูดบรรยายไปเรื่อย) เราก็เต้นไปเสร์จแถมอีกว่า” แหม เสียดาย ไม่มีเพลงนะคะ ไม่งั้นคงจะมันส์กว่านี้” แล้วก้หยุดเต้นดื้อๆ ค่ะ เสียงหัวเราะฮา ขึ้นมาเลย
- เห็นว่าร้องเพลงได้อีก อยากฟังจัง
คำตอบ (ตกลงเรียกตรูมาcasting เป็นดารานักร้อง หรืออย่างไร เอาวะ เป้นไงเป็นกัน เรื่องแบบนี้ ถนัดนักเชียว หน้าด้านซะอย่าง)
ได้ค่ะ ฉันอยากจะบิน บินไปได้ดั่งนก ก้ดังขึ้นมาทันที( เตรียมมาแล้วเหมือนรู้ )แต่ร้องไม่จบค่ะ ร้องไปได้สักสามสี่ประโยค พอขำๆ กรรมการก้หัวเราะ ถามว่า ชั้นจะบินท่าเดียวล่ะซิ เราก็ ค่ะ หน้าก็ยิ้มแป้นแล้น ทะเล้นออกมาทันที หน้าตาเราเหมือนเด็กเรียบร้อย ถ้าจะมองให้เรียบร้อย หรือจะมองว่า อินี่ตัวแสบ ก็มองได้ค่ะ มีรุ่นพี่แอร์เคยบอกไว้ตอนหลัง
- อ้าวงั้นเดินให้ดูสองรอบ และไหว้ให้ดูด้วยนะ
เราก็เดินๆไป โชคดีที่ใส่รองเท้าคู่ที่เคยใส่ไปทำงานอยู่ เลยเดินคล่องแคล่ว ระหว่างเดิน กรรมการคนเดิมที่ให้เราเต้น ก็ถามขึ้นมาว่าแล้วมาดอนน่าเดินยังไงล่ะ เราก็ตอบว่าต้องเดินไปเต้นไปซิคะ แล้วก็แถมท่าเดินไปเต้นไปประกอบ ฮาแตกอีกรอบ และจบลงด้วยท่าไหว้ ที่หัดไปอย่างดี เพราะรุ่นพี่บอกมาก่อนแล้ว (มานั่งนึกดู ตรูทำไปได้ไงฟะ แต่ตอนนั้น นึกอย่างเดียวว่า ต้องหน้าด้าน และบ้าให้ถึงที่สุด เหมือนกรรมการเค้ารอดูอยู่ เพราะเด็กคนนี้ หน้ามานก้งั้นๆ ตอบคำถามก้ตอบได้ไม่ติดขัด แต่พอเค้าชงให้แสดงออกขึ้นมา มานก็ลุกขึ้นมาทำบ้าให้ดูได้ เออ เอาซิ) มารู้ในภายหลัง หลังจากเจอIM ( Inflight Manager) ที่สัมภาษณ์เรามาบอกว่า วันนั้นทุกคนลงความเห็นว่า มานบ้าได้ขนาด ก็ต้องเก็บไว้ซะหน่อย เป็นสีสัน เพราะแอร์ไม่ได้ต้องมีแต่คนสวยอย่างเดียว แอร์บ้าก็ต้องมี ถึงจะสวยน้อยหน่อยก็เหอะ อันหลังนี่ความเห็นเราเองค่ะ
และก็กล่าวคำอำลากันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกันทั้งสองฝ่าย
เป็นการสัมภาษณ์งานที่ไม่คาดคิดมาก่อนมาว่าจะออกมาในรูปนี้ ก็เดินหน้ายิ้มไปบอกแม่ว่า สงสัยจะผ่านโลด เพราะบรรยากาศมันชื่นมื่นมาก แม่บอกว่า ถ้าจะผ่านก็เพราะหาบ้าๆอย่างนี้ได้ยาก แต่ถ้าความสวยอย่างเดียวน่ะ ไม่ผ่านแน่ โห แม่เรา ให้กำลังใจเราดีมากเลย
เพื่อนหนุ่มหน้าตี๋ที่พบกันหน้าห้องสัมภาษณ์ ก็มาบอกเราวันที่อบรมกันว่า นึกแล้วว่าต้องมาเจอ เพราะวันสัมภาษณ์เสียงหัวเราะดังออกไปถึงข้างนอก ต้องผ่านแหงมๆ
หลังจากที่สอบผ่าน ความบ้าที่แสดงออกไปตั้งแต่วันสัมภาษณ์ ก็ยังตามมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ แต่ดีกรีอาจจะน้อยลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น และตามสถานะภาพ เพราะการมีลูกมีปั๋วนี่ก้เปลี่ยนเราไปได้เยอะมั่กๆ แต่ลูกก้ยังมาพูดว่า ทำไมหม่ามี้ตลกจังเวลาหลุดความบร้าออกมาให้ลูกเห็น

ข้อคิด :ไม่ต้องสวยก็เป็นแอร์ได้ค่ะ ขอให้คุณมีความเป้นตัวของตัวเอง รู้จุดเด่นของตัวเอง นำเสนอให้ถูกกาละเทศะ ทุกวันนี้ ก็ยังคิดว่าถ้าวันนั้น อายไม่กล้าแสดงออก ก็คงปิ๋ว เพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่คนสวย แต่เรื่องบ้าไม่เป้นรองใคร และมารู้ภายหลังอีกว่า เราหน้าตาคล้ายๆกับรุ่นพี่แอร์คนนึง ที่อาวุโสกว่าเยอะค่ะ ท่านกรรมการคงคุ้นๆหน้าว่าหน้าแบบนี้ก็มี บินอยู่แล้ว จะมีอีกสักคน อีกเวอร์ชั่นนึงก็คงจะดี และที่สำคัญ หน้าแบบเรานี่แหละ สวยระดับอินเตอร์ ฝรั่งชอบนักแล ชาวเอเชียและชาวไทยเมินค่ะ ขอบอก ผอม ดำ เกร็ง (ตกลงอาชีพไรเนี่ยะ)






 

Create Date : 03 เมษายน 2550   
Last Update : 3 เมษายน 2550 23:09:03 น.   
Counter : 3608 Pageviews.  


ฉันได้อะไรจากการเป็นแอร์ 4 ภาค ก่อนแปลงโฉม

หลังจากสอบเข้าหอการค้าได้ ก็กะว่าปีหน้าจะลองเอ็นทรานซ์ ดูอีกที ถ้าไม่ได้ ก็เรียนที่นี่ต่อไป เพราะช่วงนั้นสาขาที่เราเลือก ค่อนข้างใหม่ รุ่นเราเป็นรุ่นที่ 2 ของคณะวิทยาศาสตร์ รุ่นพี่ก็ข่มได้เต็มที่ เพราะตัวเองก็ไม่เคยถูกรับน้องมาก่อน ตอนนั้นก็สนุก แบบเบื่อๆ รำคาญความแกล้งดุ จนเกินเหตุ แต่พ้นรั้วโรงเรียนมาก็ทำให้ทุกอย่างดูตื่นเต้น เจอเพื่อนใหม่ มีเพื่อนผู้ชายที่เป็นเพื่อนร่วมเฮ มิใช่แฟน เราเฮ้วเต็มที่ ไม่เหมือนลูกพี่ลูกน้องที่เรียบร้อย และเป็นสาวงาม มีหนุ่มมาหมายปองโดยใช้เราเป็นสะพาน มันเข้าถูกทางแล้วค่ะเพราะในที่สุดก็ได้เป็นแฟนพี่เรา จนเดี๋ยวนี้ก็แต่งงาน มีลูกมีเต้า (เต้านี่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้วนี่นา)

กลุ่มเราจะเป็นกลุ่มใหญ่มาก เป็นผู้ชายซะสิบกว่าคน มีสาวอยู่ 4 คน แต่ตอนหลังก็มีสาวมาเพิ่มอีก เราจะห้าวสุด ไม่ได้แต่งหน้าทาปากกับใคร ยังใส่ผ้าใบเน่าๆกับ กระโปรงยีนส์อยู่เลย หลังๆก็นุ่งกางเกงมาเรียนซะงั้น สบายดี

คณะเราสาวๆจะหาสวยยาก จะเป็นเด็กเรียนซะทั้งน้าน และอยู่ห่างไกลจากคณะอื่นๆ เพราะเป็นตึกใหม่ค่ะ ว่างๆเราก็เดินไปหาเพื่อนๆที่คณะอื่นบ้าง และก็เลยรู้ว่าสาวๆที่หอการค้านี่ หน้าตาสวยๆเยอะมาก ดาราก็เรียนที่นี่กันหลายคน ตอนนั้นที่เห็นกันอยู่บ่อยๆก็คุณส้มโอ คุณเอ้ชุติมา คุณก้ามปู และมิสไทยแลนด์เวิลด์ ชื่ออะไรจำไม่ได้ค่ะฯลฯ คณะที่ขึ้นชื่อของที่นี่ คือ เศรษฐศาสตร์ และบัญชีค่ะ ก็แหม ชื่อก็บอกแล้วว่า หอการค้าไทย ก็น่าจะเน้นคณะวิชาที่เกี่ยวกับการค้า

คณะเราจึงเป็นสิ่งแปลกใหม่ และแปลกแยกจากชาวบ้าน พอบอกว่าเด็กวิดยา ก็ถูกมองว่า เป็นเด็กเรียน แต่หารู้ไม่ว่า ถูกเก็บกดกันมา ดังนั้น ตัวแสบของที่นี่ก็ไม่ได้แสบน้อยกว่าคณะอื่นเลย (รวมเราด้วยรึป่าว????) ตกเย็นก็โจ้เหล้ากัน ในกระบวยน้ำ ไม่รู้จะนึกออกกันมั้ยคะ กระบวยพลาสติกใหญ่ๆ ซึ่งเขียนชื่อย่อของร้านน้ำที่มีขายอยู่หลายเจ้า เจ้าประจำของพวกเรา คือ เจ๊เอ (ชื่อของแกได้มาจากกระบวย เขียนแสดงความเป็นเจ้าของเป็นตัว A ) เราก็เอากะเค้าด้วย (พวกเพื่อน ไม่มีใครเห็นเราเป็นเพื่อนหญิงหรอกค่ะ) คิดแล้วก็ แหม น่าตบกะโหลกตัวเองแท้ๆ พอมองย้อนกลับไป แต่จากประสบการณ์ตรงนั้น ข้อดีก็คือ จะรู้จักความพอดีในการดื่มเหล้า รู้จักพอ ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมานอกสถานที่ จะเมาแอ๋ก็ต่อเมื่อรู้ว่ามีเพื่อนคอยดูแล ก็จะเมากันตามบ้านเพื่อนนี่แหละ พ่อแม่ ก็เห็นๆกันอยู่ ท่านก็จะคอยเตือนๆ แต่ท่านรู้ว่าห้ามก้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยอยุ่ในสายตาผู้ใหญ่ ก้ โอ เค (ปกติเราจะหาบัดดี้ไว้หนึ่งคน คอยเทคแคร์ค่ะ เป็นเพื่อนหญิงนะคะ ที่ไม่ดื่มเหล้าค่ะ) เราเริ่มซ่าส์เร็ว ก็หยุดซ่าส์เร็วเช่นกัน ตอนเป็นแอร์แล้วนั้น นั่งดื่มได้ถึงเช้า สู้เพื่อนผู้ชายสบายๆ บุหรี่ก็สูบค่ะ แต่ไม่ติด คือ วันไหนไม่สูบ ก็ไม่ลงแดง แค่คันๆตามเพื่อน ชายเท่านั้น คือเรามีความรู้สึกว่า ทำไมผู้ชายทำได้ ไม่มีใครด่า ใครว่า พอผู้หญิงทำมั่ง แหม ไม่งาม ไม่ดี แล้วไง สุดท้าย ก็ถุงลมโป่งพองกันถ้วนหน้าแหละ คนดมยังเผลอๆจะซวยกว่าซะอีก

ปีแรกตั้งใจเรียนไปหน่อย ได้เกรด 2.1 น่าเกลียดที่สุดตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด เพราะโดดเรียนตลอด ความที่กลุ่มใหญ่ และแต่ละคนก็พกความไม่ค่อยรักดีกันมาจากที่ต่างๆ ทั้งๆที่หัวดีกันมาทั้งสิ้น แต่ สัญชาตญาณของการเอาตัวรอด ก็มีกันเต็มที่ พอเทอมแรกผ่านไป ก็เริ่มรู้ตัวกันดีว่า จะทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ก็หันมาตั้งใจเรียนกันมากขึ้น แต่เรื่องดื่ม ก็ยังมีอยู่

ปีแรกผ่านไป จากแรกเริ่ม สาขาวิชาการคอมฯ มีนักศึกษา 120 คน ก็เหลือเพียง 70คน ไปเอ็นท์ ใหม่ กันบ้าง รีไทร์กันบ้าง หรือรู้ตัวว่าไม่ชอบก็ย้ายไปเรียนคณะอื่นบ้าง ลูกพี่ลูกน้องเราที่เป็นเด็กดี ก็ไปเอ็นท์ ติด บัญชี ของมหา’ลัยที่ต้องขี่จักรยานกันเกือบทุกคน ส่วนเราก็ไปเอ็นท์อีกรอบ แบบไม่เครียด ก็คงจะติดร้อก ก็ไม่เดือดร้อน กลับมาเรียนต่อตามเดิม ชาตินี้ อดเป็นสถาปนิกแล้วเอิงเอย

พอกลับมาเรียนปีสอง ก็ตั้งใจเรียนมากกว่าเดิมหน่อยนึง สมัยนู้น บิล เกตส์ ยังไม่มีใครรู้จัก ยังเรียนภาษาซี ปาสคาล โคบอลต์ กันอยู่ เขียนโปรแกรมที ยาวยืด วนลูปกันเข้าไป ไม่รู้กี่ลูป if , go to กันเป็นหลายสิบรอบ กว่าจะสั่งให้คำนวณออกมาตามต้องการ หรือได้ประโยคที่เป็นโจทย์มา เราเกลียดการเขียนโปรแกรมมาก จะถนัดไป present งานหน้าห้องมากกว่า เนื่องจากเป็นคนหน้าด้าน และถนัดเรื่องพูด มากกว่าทำ อิอิ easier said than done ของจริงเลยค่ะ พอใครมีคำถามที เราก็จะโบ้ยไปที่เพื่อนที่ถนัดเขียนโปรแกรมขึ้นมาตอบทำเหมือนว่ากระจายงานกันรับผิดชอบ หารู้ไม่ว่า ตรูตอบไม่ได้เฟ้ย อาจารย์ประจำวิชา แกก็น่าจะรู้ทันนะคะ แต่แกก็ไม่ว่าอะไร อาจารย์ที่สอนจะมาจาก มหา’ลัยของรัฐแถวสยาม อยู่หลายท่าน บางท่านมาได้หนึ่งปีหรือสองปี ก็ขอลา ไม่มาอีก เพราะท่านทนเด็กดีๆ ขยันและตั้งใจเรียน ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

ตำราเรียน จะเป็นภาษาอังกฤษอยู่หลายเล่ม ก็เปิดดิคกันมือเป็นระวิง ในภายหลังไปรู้มาว่า เป็นตำราที่ทางต่างประเทศใช้สอนระดับปริญญาโท เห็นพวกเราเก่งมากหรือไงฟะ แล้วภาษาอังกฤษที่เราต้องลงเรียน ก็มีแค่ 5ตัวเอง น้อยไปหน่อย แต่อาจารย์ที่มาสอนมาจากคณะมนุษยศาสตร์ สอนดีมากๆ มีที่ เลิฟๆอยู่สองท่าน ภาษาเปรี๊ยะเลย

ช่วงปีสอง ปีสาม เราก็ไปเรียน เอยูเอ ภาคค่ำเพิ่มเติม มีเทสต์ก่อนเข้าไปเรียน ก้ข้ามไปอยู่ class 6 เลย (มีทั้งหมด 12 class) เราจะค่อนข้างเด็กในคลาส ส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานแล้ว มีที่กำลังเรียนมหา’ลัยอยู่หลายคนเหมือนกัน มี่พี่ที่ทั้งพูดเก่ง มากๆ กับที่พูดไม่ค่อยเก่งก็มี แต่อาจทำข้อเขียนได้ ก็ได้รับความรู้จากคนที่พูดเก่งและคนที่พูดไม่เก่ง คือ อาจารย์ แกจะแก้ไขให้ไงคะ เราก็ได้เรียนรู้ไปด้วย ที่นี่จะเน้นเรื่องพูด มากกว่าเขียน
สิ่งที่ถูกต้องในการเรียนภาษา คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน คือ ฟังให้รู้ว่า เค้าถามอะไร จะได้ตอบถูก พูด ก็ พูดไปเท่าที่เราจะทำได้ ไวยากรณ์ผิด ถูกไม่เป็นไร คู่สนทนาที่ดี เค้าจะช่วยแก้ไขให้เอง ที่ว่าคู่สนทนาที่ดีนั้น คือ เค้าจะแก้ไขแบบนุ่มนวล ไม่ให้เราหน้าแตก ภาษาที่สอง ที่ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่นั้น ความกล้าเป็นสิ่งสำคัญ จะผิดจะถูก พูดเข้าไปเถิด แล้วเราก็ค่อยจดค่อยจำไปเรื่อยๆหลังจากนั้น ค่อยไปเน้นอ่านและเขียนตามลำดับ

น้องๆรุ่นใหม่ จะมีความกล้ามาก และมีสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยกว่ารุ่นเราเยอะ เวลาฟังเด็กๆรุ่นใหม่พูด แล้วก็ปลื้มใจ ว่า เห็นมั้ย ไม่ต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของชาติฝรั่งมังค่า ชั้นก็พูดภาษาของเธอได้นะยะ
ไม่เหมือนคนสิงคโปร์ที่พูดภาษา Singlish แล้วก็เที่ยวได้ดูถูก คนไทย โดยเฉพาะแอร์ไทยว่า พูดอังกฤษไม่เก่ง
ยังกับพวกมันพูดเก่งจะแย่แล้วนี่ แค่content แหละว้า สำเนียงก็ยังอุบาทว์อยู่ดี ไปไงมาไง แอบด่าสิงคโปร์ได้
ไว้ค่อยด่าฉบับยาวทีหลังดีกว่า แอร์ไทยรายไหนรายนั้น เกลียด ผู้โดยสารสิงคโปร์เข้าไส้ค่ะ

พูดถึง เอ ยู เอ ต่อ เราถือว่าเป็นสถาบันสอนภาษาที่ดีที่นึง เลย และค่าเรียนก็ถูก สำหรับต่างชาติ ก็มีคลาสภาษาไทยด้วยนะคะ เพื่อนสามีเรา ยังมาปิ๊งปั๊งกับคุณครูชาวไทยที่นี่เลย ตั้งแต่เมื่อเกือบสิบกว่าปีที่แล้วนู้น จนปํจจุบันก็มีลูก 2 ซึ่งลุกสาวคนโตก็เป็นนางแบบและดาราตัวน้อยอยู่ค่ะ

ช่วงนั้น ก็ฟังเพลงฝรั่งตลอด ยังเหมือนเมื่อตอน ม.4 -ม.5 อย่างที่บอก ตำราเรียนคอมพิวเตอร์ ก็ภาษาอังกฤษ pen pal ก็ยังเขียนติดต่อกันอยู่ สาวสวิส นั้น ตอนเราเรียนปีสี่ ก็บินมาเที่ยว พร้อมเพื่อนสาวอีกคน ก็มานอนที่บ้านเรา เราก็พาเที่ยวซอกแซก ไปเรื่อย ทริปโปรด ก็ คือ นั่งเรือที่ท่าช้าง คนละ 10 บาท หรือไงเนี่ยะ เข้าคลองบางใหญ่ ไปสุดทาง มีร้านน้ำ ก็แวะดื่มน้ำอัดลม คนละขวด แล้วก็นั่งกลับ คุ้มค่า ราคาถูกมากๆ ระหว่างทางก็ได้เห็นชีวิตริมน้ำ ได้แวะจอดส่งคนตามท่าหน้าบ้านเค้าไปเรื่อยๆ เย็นใจดีออก ตอนนั้นเราก็ยังโสด Gabi เพื่อนสวิสเราก็ยังโสด สนุกสนานกันดี เช้ามาเราไปเรียน Gabi กับเพื่อนสาวก็ออกไปเที่ยว ตามที่ต่างๆ วันไหนเราว่างก้ไปแจม เป็นไกด์ อธิบายนู่น นี่ไปเรื่อยเปื่อย ต่างคนก็ต่างไม่ได้พูดภาษาแม่ของตัวเอง แต่ก็เข้าใจกันดี และคอยช่วยกันแก้ไขศัพท์ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันค่ะ เธอก็ไปเที่ยวสมุย ด้วย กลับมาตัวเป็นสีแทนเลย คนนี้เป็นเพื่อนที่น่ารักมาก ปัจจุบันยังติดต่อกันอยู่ค่ะ

ช่วงนั้น สีลมคอมเพล็กซ์ กำลังดัง ต้องไป Freak out แล้วก็มีร้าน incognito ของพี่ตุ่ม ชลิต ที่ดังสุดๆ มีหลายร้านค่ะ ที่ดังๆ จำชื่อได้ไม่หมด (แก่แล้วน่า) เราและผองเพื่อน ก็พาสาวสวิสไปด้วย ช่วงนั้น คบเพื่อนหลายกลุ่มมาก ทั้งที่หอการค้า เพือนจากมหา’ลัยแถวท่าพระจันทร์ เด็กคณะศิลปศาสตร์ สาวสวย และเพื่อนจากตรีวิด ที่กระจายไปอยู่ตามมหา’ลัยต่างๆ มีเพื่อนหลายกลุ่ม ก็เมาได้หลายกลุ่มอีกเช่นกัน เป็นเด็กสาวและกระเทยล้วนๆค่ะ
เพื่อนที่หอการค้า ถ้าเที่ยวกลางคืนก็จะเป็นหญิงล้วน 6 นาง มี 1 หนุ่ม คอยขับรถรับ-ส่งทุกคน มันชั่งแสนจะน่ารัก

อ่านไปอ่านมา คงจะนึกว่า เราเป็นสาวก๋ากั่นซะนี่กระไร ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่เฮ้วสุดๆเท่านั้นแหละ

เพิ่งจะมาสาวแตกเอาตอนปลายปีสามค่ะ เพราะคิดขึ้นมาได้ว่า ขืนยังห้าวเหมือนเดิม จบไป คงจะหางานทำลำบาก
เพื่อนสาวในกลุ่มที่แต่งหน้า แต่งตัวเก่ง ก็เป็นเทรนเน่อร์ให้เราค่ะ เราก็เริ่มนุ่งกระโปรงยาวๆรัดรูป สะพายกระเป๋าแบบหญิง ๆ เริ่มใส่รองเท้ามีส้น ๆ หน้าตาก็มีสีสัน ทาปากน้อยๆ โดนโห่ ฮาป่า จากอ้ายเพื่อนผู้ชาย ปากม๋าทั้งหลาย จะเกือบเสียเซ้ว เชอะ เราซะอย่าง ก็ด่ากลับไปซะสะใจ ทำไม เมริงไม่เคยเห็นคนสวยเหรอไง มานบอก”เคย แต่ไม่เคยเห็นผู้หญิงลุกขึ้นมาแปลงเพศ” สรุป ว่า เราเป็นผู้ชายมาตลอดงั้นซิ อ้ายเวนเอ๊ย

ลืมเล่าว่าก่อนหน้านั้น มีการแสดง รู้สึกว่าจะเลี้ยงส่ง พี่ปีสี่หรือไง เนี่ยะ ชั้นปีเราก็มีโชว์ ก็กลุ่มเราๆกันเองนี่แหละ ทั้งปีสาม ปีสี่ มาช่วยกันเต้น ประกอบเพลง คิดเพลง คิดท่าทางกันเอง มีทั้งตลก และบ้าบอ แอบสวยนิดหน่อย เราก็ต้องลุกขึ้นแต่งหญิง ใส่วิก ปิดเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเราเล่นด้วยพอถึงวันแสดง คนดูเห็น คิดว่ากะเทยจากคณะอื่นมาเล่นให้ เพราะขาดคน ฮึ เราควรจะดีใจหรือเสียใจดีคะ ที่ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรา แต่อีกใจก็ดีใจ เพราะ สวยแบบกะเทย นี่ ก็คือสวยหล่ะ เพื่อนเราหลายคน เวลาแต่งหญิงแล้ว หญิงแท้อย่างเราชิดซ้ายตกถนนไปเลยค่ะ ขอบอก

ก็ฝ่าฟันกับเสียงล้อเลียนของอ้ายเพื่อนเวนทั้งหลายมานาน จนตอนหลังมานเบื่อก็หยุดไปเอง พอขึ้นปีสี่ ความตั้งใจเรียนก็มีกันมากขึ้น แต่เราก็ไม่ลืมความตั้งใจของพวกเราว่า อย่างน้อย ศุกร์ใดก็ได้ใน 1 เดือน ต้องลุกขึ้นไปเต้นระบำกัน แก้เครียด แต่อย่าลืมว่าเรามีเพื่อนอีกสองกลุ่มที่บอกไว้ เราก้ต้องงออกเที่ยวหนักกว่าคนอื่นน่ะซิคะ แต่ไม่หรอกค่ะ เพื่อนทุกคนทุกที่ตั้งใจเรียนกันหมด ถึงมันค่อนข้างจะสายไปก็ตามที เพราะเกรดตอนปี 1 ปี 2 ที่ทำไว้ห่วยมากๆ ปีสาม ปีสี่ เราเรียนได้ เกรด เฉลี่ย สามกว่า ก็ดึงไม่ขึ้น (ขนาดเรียนไป ซ่าส์ไปนะเนี่ยะ)

ช่วงนั้น ตอนที่ยังเรียนไม่จบ องุ่นสาวสวยประจำกลุ่ม ก็มาชักชวนเราให้ไปสมัครแอร์ จำได้ว่า สายการบินแรก คือ ซาอุดิอารเบีย ตอนนั้นสัมภาษณ์ หนแรก ที่ ร.ร.เซ็นทรัลที่ลาดพร้าว สมัยนั้น ต่อท้ายนามสกุลว่า อะไร จำไม่ได้ เพราะรร. นี้เปลี่ยนเชนบ่อยมาก เป็นการสัมภาษณ์งานหนแรก( รูปก็มาถ่ายกันที่บ้านเรานี่แหละ องุ่นด้วย โพสต์ท่าสวยกันสุดริด ) ตอนนั้น เราดัดผม เป็นลอนใหญ่ ทรงเดียวกับเปิ้ล สปัน ตอนนั้นโคดฮิต

แต่งตัวก็ยังเชย หน้าตาก็แต่งแบบงง ๆ ตอนเดินเข้าไปในห้อง ขาก็สั่น พอเริ่มตอบคำถามเสียงก็สั่น พูดติดๆขัดๆ ตลอด แต่ก็ตอบคำถามได้หมด จนจบ เจ๊คนที่สัมภาษณ์ ก็บอกว่า ยูต้องไปปรับปรุงการพูดของยูให้แข็งแรงกว่านี้นะ อาจจะเป็นเพราะยูไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ได้นะ ผมเผ้าก็ต้องให้เรียบร้อยกว่านี้(ให้กำลังใจจัง เจ๊) พูดแค่นี้ เราก็เกท แล้ว เดินก้มหน้า น้ำตาตกในออกมา
จบไป 1 สายการบิน
หลังจากนั้น มีอีกที่ คือ North West Airlines สัมภาษณ์ที่ โรงแรมรีเจ้นท์ สมัยนั้น สาวๆสวยๆ เพียบ เราก็หัวกระเซิงไปอีกแล้ว ไม่เข็ด โง่เจงๆ คราวนี้ พูดคล่องขึ้น แต่ก็ตอบคำถามไม่ค่อยเมคเซนส์เท่าไร เค้าถามว่า ทำไมถึงอยากเป็นแอร์ ก็ตอบไปว่า อยากไปเที่ยวเมืองนอก อยากไปอเมริกามาก เพราะฝังใจกับเรื่องบ้านเล็กในป่าใหญ่ อ่านมาหลายสิบรอบจนอินจัด โสนะหน้า เน้นเรื่องเที่ยวมากไปหน่อย เลยไม่เรียกต่อรอบสองเลย แงๆ
จบไปอีก สายการบิน

พอหลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาไปเรียนพิเศษ เบนเข็มแล้ว ไปเรียนต่อดีกว่าวะ หลังจากจบเทอม สุดท้าย ก้ยังซกมกอยู่ ไม่ได้สวยงามอารายมากมาย หัวก็กะเซิงหนักกว่าเดิม ไปเรียน intensive course ที่ ELS ใกล้อนุสาวรีย์ชัยฯ เรียนจันทร์- ศุกร์ อยู่เป็นเดือน เตรียมจะไปต่อที่ โอกลาโฮมา ผลสอบก็ออกมาดี กะว่าจะไปลงเรียนภาษาก่อนซักหกเดือนแล้วค่อยเข้ายู ปรากฏว่าเกิดเหตุบางอย่าง ที่ต้องยกเลิกแผนการกะทันหัน ก็เปลี่ยนแผน เอาวะ ทำงานก่อน ดีกว่า ช่วงนั้น ก็ไปลงเรียน บริติช เคาน์ซิลไว้ โปรดสังเกตุว่า เรียนพิเศษตลอด แต่ไม่ได้เข้าคอร์สสำหรับแอร์เลย เพราะ ไม่มีความคิดที่อยากจะเป็นแอร์เหลืออยู่ในหัวแล้วค่ะ ตอนนั้น

ก็ไปสอบเข้าทำงานที่แบงค์.... แถวสีลม แผนก คอม ฯเป็นโปรแกรมเมอร์ ที่หัวฟู ใส่กระโปรงสั้นเหนือเข่า รูปลักษณ์ ซ่าส์มาก แต่ต้องเรียบร้อยสุดชีวิต เพราะลุงเขยเป็นใหญ่อยู่ที่แบงค์นี้ ไม่มีใครรู้ว่า กลางคืนก็เที่ยวอยู่ เฉพาะวันศุกร์ค่ะ บางศุกร์นะคะ) ทำอยู่เดือนแรก อาเจียนค่ะ อาเจียน เครียดจัด ผอม หุ่นดีไปเลย
พอเดือนที่สอง มีข่าวรับสมัครแอร์การบินไทย ก้เอาแล้วซิ อย่ากระนั้นเลย ไปแอบสมัครดีกว่า ทนต่อไปไม่หวายแล้ว งานอาราย ทามมาย เครียดจิงจิ๊ง เก็บกดมั่กๆ
จบ ตอนที่สี่






 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2550 1:40:25 น.   
Counter : 676 Pageviews.  


ฉันได้อะไรจากการเป็นแอร์ 3.....จุดเริ่มต้น มาเป็นแอร์ได้ไง ช่วงก่อนเข้ามหา'ลัย

ตอนประถม 6 ครูถามว่า อยากเป็นอะไร มีคำตอบอยู่ในใจเพียงอย่างเดียว คือ สถาปนิก ฝันที่จะออกแบบบ้าน ตกแต่งภายใน มีเพื่อนอีกคนที่มีพี่เรียน ถาปัด ก็จะนั่งเพ้อเจ้อกัน ถึงความอยากที่จะเป็นอาชีพนี้ซะเหลือเกิน

พอเราจบ ป.6 จากโรงเรียนนั้น ก็ไปสอบเข้าตรีวิด เรียนไปได้สามปี อยากไปสอบเตรียม ฯและทางตรีวิด ก็จงใจที่จะให้วันมอบตัวตรงกับวันสอบเข้าที่เตรียมฯ ห้ามเผื่อเลือก ทั้งๆที่เป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มเรียนเก่ง เกรดเฉลี่ย 3.8 แต่ดั๊นไปอยู่ในกลุ่มที่ซ่าส์มากที่สุดในระดับชั้น เลยทำให้ความตั้งใจหดหาย ไปเรียนพิเศษที่กิ่งเพชร ก็โดดไปเดินสยาม เกือบทุกอาทิตย์ มานั่งคิดตอนโต ทำไม กรูแย่ขนาด สงสาร คุณป้า(พี่ของแม่ และเป็นมารดาบุญธรรมเลี้ยงดูเรามาอย่างดี) ที่เป็นคนออกตังค์ให้ทุกอย่าง
.....สอบไม่ติด เป็นความผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะไม่เคยทำอะไร แล้วไม่สำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องเรียน
ร้องไห้เสียใจเป็นวรรคเป็นเวร โกรธตัวเองมั่กๆ ที่ไม่รักดี ต่อให้หัวดีขนาดไหน แต่ไม่ขยัน ก็ต้องโดนกันมั่งละ

ก็ไปสอบเข้าสตรีศรีสุริโยทัย ก้ได้ไปเจอเพื่อนเก่า ตอนป.6 ที่อกหักจากเตรียมฯเช่นกัน ก็ฟอร์มกลุ่มกัน เกาะกันเหนียวแน่น มีเด็กเซ็นต์โย กับราชินี มาแซมเพิ่มอีก ก็ซ่าส์สุด....อีกแล้ว....ในสายวิทย์ และเจอเพื่อนคนที่อยากเป็นสถาปนิกคนที่เกริ่นมานั่นแหละ แต่เพื่อนคนนี้ชื่อ แม๋(นามสมติ) ตั้งใจแน่วแน่มาก และไม่มารวมกลุ่มกับพวกเรา (เค้ามีลางหยั่งรู้ว่า ถ้ามาจอยกัน อนาคตคงไม่ได้เป็นดั่งหวังแน่ๆ 55555)

จากเด็กที่เรียน 3.8 พอขึ้น ม.4 ด้วยความเซ็งตัวเอง ก็ไม่ตั้งใจเรียนซะงั้น เกรดเฉลี่ยเหลือ 2.2 ลูกติดพันมีมาค่ะ แต่ระหว่างนั้นก้ไปเรียนHome ตลอดในช่วงเสาร์-อาทิตย์ สมัยนั้น Home of English โด่งดังสุดๆ สำหรับการเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ
ใครไม่เรียนเชยแย่ เลย

ก็มาอีหรอบเดิม เรียนมั่ง โดดมั่ง แต่ก้ได้ไปฝึกมือกับพี่ที่ศิลปากร เด็กจิตรกรรม ไปกันสามคน มีเรา แม๋ และลูกไม้
พี่ต๋อยก็แสนดี สอนให้แบบฟรีๆ แต่ต้องหาซื้ออุปกรณ์เอง (แหงล่ะ ใครจะออกเงินให้วะ เพราะแกเองก็ไม่ได้มีกะตังคืมากมาย ยังกิน อยู่ หลับนอนที่มาห'ลัยนั่นแหละ)
ช่วงนั้น ก็ทำตัวติ๊ดแตกมาก สะพายย่าม ใส่กางเกงยีนสืเน่าๆ ไม่ซักสามเดือน คีบรองเท้ายาง แต่ไม่ใช่ 5 ย นะ เพราะผมไม่ยาว และไม่ชอบใส่เสื้อยืด ชอบใส่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ๆ ไม่ชอบให้ใครเห็นหน้าอก เป้นทอมบอย.ค่ะ และไม่ใช่ทอมฮะ ทอมครับ แต่มีแควนด้วยล่ะ ไปจีบหญิงไว้หลายคน(เจ้าชู้ใช้ได้) และหลายคนในนั้น ดั๊นมาเป็นแอร์รุ่นน้องเราเอง (อายเค้ามั้ยล่ะ) เจอกันทีไรก้หัวเราะ ขำๆกันทุกที แหม ทำไปได้

ระหว่างนั้น ไม่ว่าจะทำตัวเกเรยังไง แต่สิ่งนึงที่ตั้งใจมากๆ คือ ภาษาอังกฤษ จะชอบดูหนัง ฟังเพลงฝรั่ง สุดขีด
เปิดดิค มือแทบหงิก เจอฝรั่งก้หน้าด้านพูดสุดริด ไม่เคยอาย และโชคดี ช่วงปิดเทอม ก็จะไปอยู่กับน้าที่แต่งงานกับคนออสเตรเลียที่มาทำงานที่เขื่อนเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี ก็ได้ฝึกภาษากับเด็กๆ ที่ตามพ่อแม่มาอยู่เมืองไทย เพราะบ้านที่น้าอยู่นั้น จะเป็นส่วนที่ให้ฝรั่งที่มาทำงานที่เขื่อนอยู่เฉพาะ และยังได้คุยกับเพื่อนรุ่นน้องของน้าเขยด้วย (หนุ่มๆนะจ๊ะ) ช่วงนั้นก้แอบแฟนซีหนุ่มๆบ้างเหมือนกัน เลยรู้ว่าตัวเองคงจะเป้นไบเซ้กชวลตอนนั้น (ป่าวหรอก พูดเล่นน่า)

สำหรับเพลง ก้จะฟังแต่รายการไนท์สปอต รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง เพลงไหนโปรดจัดก้จะไปหาเนื้อมาแปล ต้องซื้อ ไอ เอส ซอง ฮิต และอ่านสตาร์พิค ซุปเปอร์โซนิค ถ้าช่วงนั้น มีอินเตอร์เนต เหมือนสมัยนี้ สบายไปเลย เราคงบ้าหนักกว่าตอนนั้นแน่ๆ ช่วงนั้น ก็เริ่มมี pen-pal เพื่อนทางจดหมาย สมัครไป ระบุประเทศและเพศ ก้จะมี สวิส เดนมาร์ก อเมริกัน (แต่ดันได้อเมริกัน-ลาวมา ขำดี) ออสเตรีย(คนนี้หล่อ แต่เชยแหลก)หนุ่มๆ ก้เขียนติดต่อกันแต่ไม่นาน เพราะเราก้ขี้เกียจ และไม่ได้กรีดกร๊าดอะไร แต่สองสาวชาวสวิสและเดนมาร์ก นั้น ติดต่อกันอยู่นานมาก ๆ คุยกันประสาหญิง จะเข้าใจกันง่ายกว่า แล้วจะเล่าให้ฟังในภายหลัง เพราะได้เจอตัวมาแล้วทั้งคู่เลย ต้องขอบคุณอาชีพแอร์อีกรอบ

ระหว่างนั้น ก็ใฝ่ฝัน อยากเดินทางไปต่างประเทศ เพราะบ้าอ่านต่วยตูน ก็จะมีแต่อียิปต์ บ้าอ่านเรื่องชุด" บ้านเล็กในป่าใหญ่" มาก อ่านทุกปิดเทอมใหญ่ เริ่มอ่านมันตั้งแต่ 10 ขวบ อ่านเป็นสิบรอบ แถมได้ดูทีวีอีก ตอนนั้นช่อง 9 เอามาฉาย แต่ไม่เหมือนในหนังสือเลย แต่ เอาวะ ได้เห็นลอร่า อิงกัลล์ในทีวี ก็ปลื้มแล้ว อยากไปอเมริกาสุดริด อยากไปเห็นสถานทีที่ครอบครัวของลอร่าเคยอยู่ (เค้าทำเป็นสถานที่ให้เยี่ยมชมเลย)บ้าอ่านเทพปกรณัมกรีก ก็อยากจะไปกรีก อุ๊ย บ้าไปเรื่อยๆค่ะ ความบ้าตรงนั้น ภายหลังกลายมาเป็นแรงผลักดันชั้นดีเลยค่ะ แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงอาชีพแอร์เลยซักนิด รู้แต่ว่า อยากจะบินไปให้ทั่วเลย บ้านก้ไม่ได้ร่ำรวย แค่พอมีพอกิน เอ...แล้วเราจะทำไงดีฟะ ให้ความฝันเป็นจริง ซักวันตรูต้องได้ไปในที่ที่อยากไป ให้ได้ คิดอยู่แค่นั้นแหละ

พออยู่ม.5 ก็ไปสอบเทียบ ม.6 และไปเอ็นทรานซ์ เพราะอยากออกจากโรงเรียนและ เบื่อที่ โดนครูฝ่ายปกครองตามล่าตลอด เนื่องจากเรียบร้อยมากไปหน่อย ผิดระเบียบมานซะตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก้ไม่เคยโดดเรียนไปสเก๊ต อะไรกับใครเค้า เพราะไม่ชอบ เล่นไม่เป็น ไม่ชอบให้ใครมาถูกตัวด้วย บ้าแต่ดาราฮอลลีวู้ด และเพลงฝรั่ง

ไปสอบเอ็นทรานซ์ ก็เลือกอันดับแบบบ้าเลือดมาก เลือกถาปัดซะ 4 อันดับ รวด ติ่งด้วยครุฯศิลป์ จุฬา ไว้อันดับสุดท้าย
นายแน่มาก คงจะติดหรอกนะ

ก็ไม่เสียใจอะไร เพราะรู้ตัวดี ยังดีใจมาถึงทุกวันนี้ เพราะถ้าทุ่มเท แล้วเอ็นท์ไม่ติด ก้จะกลายเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่ของชีวิตเป็นครั้งที่สอง จริงๆแล้วเรียนรู้จากครั้งแรกมาแล้ว หลังจากนั้น สอบเข้าอะไร ก้ไม่หวังอะไรมากมายอีกเลย กลัวค่ะ

ปีนั้น ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ชั้นโตกว่าหนึ่งปี ก็ไปสอบเอ็นฯด้วย และก้ไม่ติดเช่นกัน เราก็เลยตามเค้าไปสอบเข้าหอการค้า คณะวิทยาศาสตร์ เอกสาขาวิชาการคอมพิวเตอร์
ก็สอบผ่านทั้งคู่
เป้นอันจบภาคก่อนเข้ามหา'ลัย




 

Create Date : 30 มกราคม 2550   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2550 13:12:52 น.   
Counter : 496 Pageviews.  


ฉันได้อะไรจากการเป็นแอร์2 (welcome on board, Lady & Gentleman)

สวัสดีค่ะ ท่านผู้โดยสารทุกท่าน

ทุกคนคงได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับแอร์มามากมายหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องตลกที่แอร์ สจ๊วตประสบพบพานมา ทั้งบนเครื่องและตามต่างประเทศ หรือเรื่องราวของความยากลำบาก กว่าจะมาเป้นแอร์ ข้อมูลสำหรับผู้ต้องการมาสมัคร เรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวจากบุคคลในอาชีพนี้ สารพัดสารเพ ที่ท่านเหล่านั้นจะเรียงร้อยออกมาเป้นเรื่องราวให้ชวนติดตาม

แต่ในมุมมองของเรา ที่สืบเนื่องมาจากคำพูดเล่นๆกันในหมู่เพื่อนฝูง ผู้ร่วมงาน ว่า อาชีพนี้ ให้อะไรเราบ้าง (นอกจากความเหนื่อยยากทั้งกายและใจในแต่ละเที่ยวบิน) เราเป็นคนมองโลกในแง่ดี เราก็ตอบว่า " อ๋อ เราได้บ้าน ได้รถ ได้สามี ได้ลูกจากการบินค่ะ " ตอบแบบฮาๆก็จริง แต่เป็นความจริงล้วนๆเลยนะ นอกจากสี่อย่างนี้แล้ว ก้ยังมีความบ้า(เลือด) อารมณ์ขัน ความใจเย็น เพื่อนดีๆอีกเป็นพัน ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ความเสียสละ การมีน้ำใจต่อทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้โดยสารฯลฯ เป็นต้น ข้อดีทั้งน้าน
แต่ข้อเสียก็หามีน้อยไม่ ทั้งสุขภาพเสื่อมโทรม จากการอดนอน การกินอาหารไม่เป็นเวลา โรคภูมิแพ้ ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งทั้งชายและหญิงจะมากกว่าชาวบ้าน สมองหดลดขนาดจากการได้รับออกซิเจนน้อยกว่า ทำให้ความจำสั้น ขี้ลืมง่าย จะเป็นปัญหาทางด้านสุขภาพซะเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงอาการจิตนิดๆ ต่อมความอดทนจะต่ำมากถึงมากที่สุด(นอกเวลางาน) ปากจัดคิดสรรหาคำด่าได้เจ็บแสบกว่าคนทั่วไป สองอย่างหลัง คือ ตัวเรานะคะ คนอื่นไม่เกี่ยว และอื่นๆอีกมากมาย แยกเป้นข้อปลีกย่อยได้อีก

อย่างที่รู้กันว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพในฝันทั้งของเด็กสาวทั้งแท้และเทียม เราก็จะบอกว่าฝันร้ายน่ะซิ (และหัวเราะกลบเกลื่อนให้ดูเหมือนว่าพูดเล่น ) ตอบแบบใจร้าย เพราะมันไม่ได้หรูหรา ไฮโซหรอกนะ มันเหนื่อยทั้งกายและใจจริงๆค่ะ คุณขา
แต่เพราะเป็นอาชีพที่ดูเกร๋ไก๋ ชไมพร ได้แถดแถไปที่นู่นที่นี่ วันนี้ กินก๋วยเตี๋ยวเรืออยู่หยกๆ พรุ่งนี้ไปกินเกี๊ยวที่ฮ่องกง อีกสองวันไปโผล่ปารีส รับประทาน ขากบทอดกระเทียม แล้วอีกสี่วันก็มากินส้มตำปูปลาร้าต่อที่กรุงเทพฯ

ยังไม่รวมถึงการท่องเที่ยว ที่ถูกใจวัยทีน ที่เพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสเดินทาง (ด้วยความเหนื่อยยาก เสริฟไปด่าไป) ไปทั่วโลก พร้อมทั้งต้องเรียนรู้ที่จะทำความสะอาดส้วมไปในตัว ซึ่งตรงนี้ เกือบทุกคนจะได้ตอบคำถามตอนสัมภาษณ์ภาษาไทย รอบแรกมาแล้วทั้งสิ้น ว่า คิดว่าตัวเองนั้นจะสามารถเช็ดอ้วก เช็ดขึ้
ของชาวบ้านได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่าได้ ร้อยละ ร้อยค่ะ ถึงแม้ในความเป็นจริง จะมีผู้กล้าบางคนรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นชิ่ง ไม่ยอมคลีนห้องน้ำวซะงั้น (แต่น้อยมาก)
คำถามนี้มีมาเพราะอะไร เรามารู้ภายหลังว่า สายการบินที่เราทำงานนั้น เน้นเรื่องห้องน้ำสะอาด เป็นเรื่องใหญ่ มากกว่าเทคโนโลยีใหม่ๆที่สายการบินอื่นเค้าเน้น พูดตรงๆ ก็คือ เน้นเรื่อง กินและถ่ายเป็นพิเศษ เพราะอาหาร เครื่องดื่มก็จะกระหน่ำเสริฟ ให้ผู้โดย (สาร) (ต่อไปนี้ขอเรียกสั้นๆว่า ผู้โดยนะคะ )ได้มีโอกาสเข้าห้องน้ำไปชื่นชม ความสะอาด และให้แอร์เข้าไปทำความสะอาดได้บ่อยๆ จนเราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ห้องน้ำของชนชาติต่างๆ ได้ อย่างค่อนข้างแม่นยำ ไว้ค่อยๆไปแตกประเด็นตอนหลังและกันนะคะ

สำหรับท่านที่ใจดี เข้ามา comment เราก็จะขอกราบงามๆแทบอกแบบสาวแอร์ไทย พร้อมทั้งรอยยิ้มจริงใจแถมไปอีกนะคะ

และต้องขออกตัวก่อนว่า เพิ่งจะได้เขามาที่นี่ เมื่อวานนี้เป็นวันแรก ก็ยังงงอยู่กับการ แบ่ง Group ก้มั่วๆซั่วๆเอาค่ะ ก้ขออภัยด้วยที่ชื่อหัวข้อ กลายเป็น ?????? ซะงั้น ไม่ได้ตั้งใจหลอกให้เข้ามาติดตามนะคะ เพราะไม่ทราบจริงๆว่าตรงไหน จะไปโผล่ในหน้าแรก ให้คนสนใจเข้ามาอ่าน ต้องขออภัยในข้อผิดพลาด เด๋วจะหาว่าตั้งเพื่อเป็นกับดัก หลอกล่อ ฮิฮิ แต่ก็แอบได้ผลแฮะ มีคนเข้ามาทักทายตั้งสามราย

สำหรับ Blog อื่น เราก็เพิ่งโผล่ไปอ่านได้สองสามราย อยากรู้ว่าเขาเขียนอะไรกัน และอยากเข้าไปทักทาย แต่เวลาคงมีน้อย ต้องอาศัยหลังลูกหลับ ถึงได้แว้บมาเขียนได้
plot หลักๆ ก็ตามหัวข้อ แหละค่ะ ซึ่งเป้นเรื่องเฉพาะตัวเรา ถ้ามีการกล่าวถึง พาดพิงไปถึงเพื่อนฝูง ก็คงต้องเอ่ยชื่อปลอม กลัวโดนด่าค่ะ แจ๋นอยากเล่าเรื่องตัวเอง ก้พอแล้ว ไปประจานเพื่อนๆคงไม่ดีแน่

เกริ่นมาเนิ่นนาน ก้ยังไม่เข้าเรื่องราวจริงๆซะที ยังหาที่ลงไม่ได้ค่ะ ขอไปนอนคิดอีกคืนนึงดีก่า

แล้วจะมีคำศัพท์ ที่ใช้กันในหมู่พวกเรามาฝาก แต่ว่าไม่ใช่แอร์ หรือ ศจี(สจ๊วต) ทุกคนจะทราบคำพวกนี้นะคะ จะสงวนไว้สำหรับรุ่นราวคราวเดียวกัน และรุ่นใกล้เคียง (อันนี้หมายถึงอายุงานค่ะ) มีน้องๆบางคนที่ฟังเราคุยกันก้จดจำไปบ้างก็มี เอาไว้พูดกันมันส์ๆ ไม่ได้เจตนาจะเอาไว้นินทาใครนะคะ โดยเฉพาะผู้โดย ป่าวเลยค่ะ เอาไว้นินทาพวกเดียวกันเองนี่แหละ แหะ แหะ (ล้อเล่นน่า)

ขอขอบคุณ ท่านที่เข้ามา comment ค่ะ โดยเฉพาะ คุณ star alone ขา เราพูดจริงนะ เด๋วจะหารางวัลมาฝาก อย่าลืมตามทวงนะ ไม่งั้นจะมั่วนิ่ม แกล้งลืมไปซะงั้น

วันนี้ พอก่อน พรุ่งนี้ ไปส่งลูกหมือนเดิม ข้ออ้างในการไปนอนค่ะ

ศัพท์ วันละ 3 คำ
1.งวงช้าง = ง่วง
2.งวงช้างงางอน = ง่วงมั่กๆ
3.พวงเพ็ญ= สามี แต่จริงๆแล้ว รากศัพท์ คือ ผรัวนั่นเอง
ตัวอย่าง : คุณขา อิชั้นไม่หวายแล้วค่ะ ตาจะปิด งวงช้างงางอน เพราะเมือ่คืนแอบหนีพวงเพ็ญไปเที่ยวมา ขอลาไปนอนก๊อง (ก่อน)




 

Create Date : 30 มกราคม 2550   
Last Update : 30 มกราคม 2550 8:48:00 น.   
Counter : 806 Pageviews.  


ฉันได้อะไรจากการเป็นแอร์ 1

เริ่มต้นไม่ถูกเลยว่าจะบอกเล่าเก้าสิบ (ขอเก้าร้อยแล้วกัน เยอะหน่อย) ใครต่อใครยังไง กับเรื่องราวของตัวเอง
ที่ขำๆ ฮาๆ และที่ไม่ขำเลยก็มีอยู่หลายตอน จะไปเขียนลงถนนนักเขียน ก็เกรงใจคนอ่าน กลัวไปเปลืองเนื้อที่คนอื่นเค้า เพราะตัวเองไม่ใช่คนที่เขียนเก่งเลย แต่จะพูดเก่ง พูดมากซะมากกว่า ดังนั้น ภาษาเขียนก็คงสอบตกแน่ๆ
เค้ายิ่งรณรงค์ว่าเยาวชนรุ่นใหม่ต้องไม่ทำให้ภาษาวิบัติ
ซึ่งก็เข้าใจไปว่าตัวเราก้รวมอยู่ใน catagory เยาวชนรุ่นใหม่ด้วยคนอิอิ แต่บังเอิญกินยาผิดไปหน่อย หน้าเลยแก่ก่อนวัย เอ้านอกเรื่องอีกแล้ว ก้คงต้องทำใจให้ชิน เพราะเรานึกออกทีเดียวพร้อมกันประมาณ 5 อย่างในหัวน่ะ การลำดับคำพูด และการเขียน ก็จะงง คาดว่าตัวเองเป็น hyperactive ถ้าเกิดมาสมัยนี้ แม่ก้คงต้องพาไปหาหมอจิตวิทยาเด้ก ดูอาการแหงเลย วันนี้ง่วงมากแล้น เพราะกว่าจะงมเข้ามาเขียนได้ก้มรึนอยู่นาน เวนกำของคนใกล้แก่เจงๆ
ขอไปศึกษาการเข้า blog ให้เก่งๆก่อนถ้าจะดีกว่าแฮะ
ว่าแต่ว่าจะมีใครเข้ามาอ่านblog ตรูมั้ยน้า ใครจะเป้นผู้โชคร้ายรายแรกหว่า เด๋วเราจะมีรางวัลให้เป้นพิเศษ
วันนี้ตาจะปิดแล้ว คร่า ณ เวลา 2.11 am ของวันที่ 29 มกรางวงช้างไม้ๆคร่า




 

Create Date : 29 มกราคม 2550   
Last Update : 30 มกราคม 2550 8:47:04 น.   
Counter : 445 Pageviews.  



crazybee
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เป็นคุณแม่ลูกสอง เป็นอดีตภรรยาของหนุ่มผมทองตาสีฟ้าที่เคยหล่อ หุหุ
อดีต เคยเป็นประธานสมาคมแม่บ้านต่างชาติ ของแอร์ ประจำสายการบินแห่งชาติ (ชาติที่สนามบินแห่งใหม่กำลังมีปัญหาอับอายไปทั่วโลก) แต่ในที่สุดต้องลาออกจากตำแหน่งพร้อมๆกับลาออกจากการเป็นแอร์(อดไปใช้สนามบินใหม่เยย ) เพราะทนคิดถึงลูกน้อยหอยสังค์ไม่ไหว
ปัจจุบัน โสดสนิทค่ะ
[Add crazybee's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com