CPKworld my favour, book, artbook, diving, travel
Group Blog
 
All Blogs
 

ไข้เลือดออก 2: เป็นไข้อ่ะ...ไปหาหมอดีปะเนี่ย?



ช่วงที่ไข้เลือดออกกำลังฮิต(ก็คือระบาดนั่นแหละ) หลายๆคนพอเป็นไข้ก็เริ่มกังวลกันแล้วว่า....


นี่ชั้นเป็นไข้เลือดออกรึเปล่า??
ชั้นจะตายมั๊ย??เห็นว่าบางคนเป็นแล้วตายเลยนะ!!!
เฮ้ย...งี้ต้องรีบไปรพ.ละ ยังไงก็ต้องให้หมอตรวจดูก่อนว่าเป็นไข้เลือดออกรึเปล่า!! ถามหมอเนี่ยแหละชัวร์สุด!!
แต่หลังจากรอคิวมาครึ่งค่อนวัน พอมาเจอหน้าหมอ หมอกลับบอกว่า...."หมอก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ"
อ่าว......หมอไม่รู้แล้วใครมันจะรู้ฟระเนี่ย!!


อย่าเพิ่งอารมณ์เสียนะคะ เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ

ที่ทุกคนควรทราบคือ...



มีไข้ไม่จำเป็นต้องเป็นไข้เลือดออกเสมอไป

เราอาจจะเป็นหวัด หวัดใหญ่ ท้องเสีย ปอดบวม หรือแม้แต่ลมแดด ก็มีไข้ได้ค่ะ!

ดังนั้นที่เราควรทำเมื่อเป็นไข้คือ??...


ผิดค่ะ! ไม่ใช่ไปหาหมอ

ที่คุณควรทำคือ...


1.ลดไข้ด้วยตัวเอง

เช่น เช็ดตัวเป็นระยะ ทานยาลดไข้ โดยควรรับประทานพาราเซตามมอล(ควรอ่านปริมาณยาที่ควรรับประทานตรงฉลากนะคะ โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก

และ---ห้ามทานชนิดแอสไพรินเด็ดขาด---เพราะหากคุณเป็นไข้เลือดออกจริงๆจะทำให้มีโอกาสเลือดออกผิดปกติอย่างรุนแรงได้

2.สังเกตอาการตัวเอง

เช่น เช็ดตัวและทานยาลดไข้มา 2-3 วันแล้วแต่ไข้ยังไม่ลดลงเลย ไข้วันเว้นวัน? ไข้ทุกวัน? ไข้เฉพาะกลางคืน?

มีอาการผิดปกติอย่างอื่นด้วย อย่างท้องเสีย หอบเหนื่อย มีผื่นขึ้น ตาแดง อะไรพวกนี้



แต่ถ้าคุณคิดว่า...บ้าสิ ป่วยก็ต้องไปหาหมอ! 

เรามีบัตรทอง ไงก็รักษาฟรีอยู่แล้ว ไปให้หมอดูหน่อยละกัน

ถ้าทุกคนคิดแบบเดียวกัน...เป็นไข้ 1 วันแล้วไปหาหมอ ผลที่ได้ก็คือ....


ผู้ป่วยล้นรพ.!!! รอคิวน๊านนานกลับบ้านไปได้แค่พารา หมอบางคนก็มีแถมผงเกลือแร่มาให้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ บอกแค่ว่าผลเลือดปกติ/ดูเหมือนจะติดเชื้อ ฯลฯ


เฮ้อ! ทำไมหมอประเทศนี้พึ่งพาไม่ได้เลย ห่วยชะมัด!




ใครเจอแบบนั้นคงคิดว่าหมอรักษาแย่ หมอไม่เก่ง แหม่...อยากให้ไปที่คลินิกก็ไม่บอก! อะไรก็ว่ากันไป

แต่คุณรู้มั๊ย ถ้าคุณเป็นไข้แค่ 1 วัน ไม่มีอาการอย่างอื่น ไปหาหมอคนไหนส่วนใหญ่ก็ตอบแบบนี้ทั้งนั้น


เพราะอะไรรู้มั๊ยค่ะ? เพราะอย่างที่บอกไป มีไข้อย่างเดียวคุณเป็นได้สิบล้านโรคเลยค่ะ

ที่คุณหมอทำได้คือให้ยาลดไข้และสังเกตุอาการค่ะ

เพราะงั้นเราจะไปเสียเวลารอตรวจทำไมตั้งครึ่งค่อนวัน นอนพักอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ?




เพราะอะไรการสังเกตอาการเองถึงสำคัญน่ะเหรอ? 


แน่นอนที่สุด...ประวัติการเจ็บป่วยสำคัญมาก!!


หมอวินิจฉัยโรคได้โดยใช้การซักประวัติ ตรวจร่างกาย และผลตรวจเพิ่มเติม ประกอบกัน

วิชาแพทย์สอนมาแบบนี้ หมอที่ประสบการณ์มากจะใช้เวลาน้อยกว่าเพราะถามได้ตรงประเด็นกว่า ตรวจชำนาญกว่า แปลผลการตรวจเพิ่มเติมชำนาญกว่า

แต่ไม่ว่าหมอใหม่หมอแก่หรือแม้แต่อาจารย์หมอก็ต้องใช้ 3 อย่างนี้ประกอบกันเพื่อวินิจฉัยโรค

บางคนคิดว่ายิ่งส่งตรวจเยอะๆยิ่งดี แต่คุณทราบรึเปล่า....

สิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดไม่ใช่labหรือx-rayใดๆ แต่คือการซักประวัติและตรวจร่างกาย!!

อาจารย์หมอบางคนถึงกับสอนนักศึกษาแพทย์ว่า"ถ้าน้องมั่นใจว่าน้องซักประวัติและตรวจร่างกายแม่นจริง ไม่ต้องส่งlabยังได้! ส่งไปก็แค่confirmว่าสิ่งที่น้องคิดน่ะถูก"



แล้วเมื่อไหร่ควรไปรพ.ล่ะ?

ใช้ common sense คือเมื่อไหร่ที่คุณคิดว่า...ไม่ไหวแล้ว!นั่งรอหมอตรวจ 5-6 ชั่วโมงก็เอาฟระ!

อย่างเช่น

ไข้สูงตลอดมา 3-4 วันแล้ว กินยาก็แล้ว เช็ดตัวก็แล้วแต่ไข้ไม่ลดลงเลย

ไข้สูงจนชัก

อ้วกเยอะกินอะไรไม่ได้เลย ปากงี้แห้งไปหมด

เริ่มมีเลือดออก อย่างเลือดออกตามไรฟัน ฉี่มีเลือดปน อึสีแปลกๆทำไมมันดำๆเหนียวๆนะ?ทำไมมีเลือดออกมาด้วยล่ะ? ยังไม่ถึงรอบเดือนทำไมประจำเดือนถึงมาแล้วล่ะ? เป็นต้น

เชื่อว่าทุกคนเข้าใจความรู้สึกนั้น ความรู้สึกที่ว่า..."ไม่ไหวแล้วโว๊ยยยยย"




เอ...แล้วเมื่อไหร่จะต้องนอนรพ.?


บางคนอาจจะเจอแบบว่า...เจาะเลือดเสร็จมาพบหมอที่ห้องตรวจอีกรอบแล้วหมอบอกว่า....

"คุณเป็นไข้เลือดออกนะครับ วันนี้กลับบ้านได้ เดี๋ยวนัดมาตรวจเลือดพรุ่งนี้อีกรอบนะครับ"(พร้อมยิ้มหวานแม้ใต้ตาจะดำปิ๊ดประหนึ่งหลินปิงก็ตาม)


อ่าวเฮ้ยยยย....ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา  ไม่ใช่ๆ

อ่าวเฮ้ยยยย เป็นไข้เลือดออกนะเฟ้ย ตายได้นะเฟ้ย ทำไมไม่ให้นอนรพ.ล่ะ?

ใจเย็นๆค่ะ อย่าเพิ่งไปปรี๊ดใส่คุณหมอนะคะถ้าเค้าไม่ให้นอนโรงพยาบาล

เพราะโรคไข้เลือดออกมีความรุนแรงหลายระดับ---"ไม่จำเป็น"---ต้องนอนรพ.ทุกรายค่ะ

ส่วนใหญ่ในรายที่เป็นไม่มากหมอเค้าจะนัดมาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอกเป็นระยะๆ เมื่อพิจารณาแล้วว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงจะให้นอนรพ.ค่ะ


แต่ถ้าคุณดื้อจะนอนรพ.ให้ได้ละก็...

เข้ารพ.ไปก็ไปนอนทานพาราทานน้ำเกลือแร่และให้คุณพยาบาลวัดไข้วัดความดันแค่นั้นเองค่ะ

คุ้นๆมั๊ยคะ? ไม่ค่อยต่างอะไรจากมาตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอกแล้วนอนอยู่บ้านเลยใช่มั๊ย? อย่างนั้นนอนอยู่บ้านสบายๆไม่ดีกว่าเหรอคะ?

หรือใครติดใจพี่พยาบาลคนสวยอยากเจอหน้าบ่อยๆก็อีกเรื่องนึงนะคะ 5555



สุดท้ายนี้

- อยากให้ทุกคนรู้จักวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นที่ถูกต้องค่ะ

เพราะระบบสาธารณสุขของบ้านเรายังต้องพัฒนาอีกมาก คนไข้เยอะ หมอน้อยตรวจช้า เตียงเต็ม ก็หงุดหงิดทั้งหมอทั้งคนไข้ ดังนั้นอะไรที่ช่วยตัวเองได้ก็ควรทำค่ะ


-ที่อยากแนะนำคือLinkข้อมูลภาษาไทยเกี่ยวกับไข้เลือดออกของสำนักโรคติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขค่ะ

ใครอยากอ่านเพิ่มเติมก็เข้าไปดูได้เลยค่ะ ข้อมูลครบถ้วนและมีประโยชน์มากๆ ^ ^

แนวทางและคู่มือปฏิบัติการโรคไข้เลือดออกเดงกี





RealCPK




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2559    
Last Update : 28 ตุลาคม 2559 1:10:49 น.
Counter : 737 Pageviews.  

ไข้เลือดออก 1: เป็นแล้วตายได้นะ!...ป้องกันดีกว่า!







รู้ป่าว?....ไข้เลือดออกแม้จะได้รับการักษาดีแค่ไหนแต่ก็ยังมีโอกาส---"ตาย"---ได้!


เฮ้ยจริงดิ? ทำไมคนข้างบ้านเป็นละเดินชิลเลยอ่ะไม่ต้องนอนรพ.ด้วยซ้ำ!


นั่นสิ...เพราะอะไรกันนะ? ทำไมบางคนอยู่เฉยๆก็หายเอง แต่บางคนต้องนอนรพ.เป็นอาทิตย์!


ตอบได้ว่า....เพราะความรุนแรงของตัวโรคเองค่ะ!

อาจจะฟังดูกำปั้นทุบดินแต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เหมือนคุณถามว่าทำไมไก่ออกลูกเป็นไข่แต่แมวออกลูกเป็นตัว

คำตอบคือก็เพราะธรรมชาติสร้างมันมาแบบนั้น

ธรรมชาติของไข้เลือดออกก็เป็นแบบนั้นค่ะ

มันมีตั้งแต่รุนแรงน้อยแบบแยกจากหวัดธรรมดาไม่ออกด้วยซ้ำไปจนถึงรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิตได้

หรือพูดได้ว่าแล้วแต่---"ดวง"---ของผู้ป่วยแต่ละคนก็ว่าได้ 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือ---"ป้องกัน"---ค่ะ

ดีกว่าเป็นแล้วไปเสี่ยงเอาว่าอาการของเราจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งถ้าเราโชคไม่ดี จะไปเสียใจตอนนั้นก็สายไปแล้ว




จะป้องกันได้เราควรรู้ว่าเราติดโรคมาจากไหน


โชคดีที่ตอนนี้เราค้นพบแล้วว่าโรคไข้เลือดออกเกิดจาก---"ยุงลายที่ไปกัดผู้ป่วยแล้วมากัดเรา"----

เชื้อที่อยู่ในตัวยุงจะแพร่มาที่เราโดยการกัดนั่นเอง

ดังนั้นที่สำคัญคือ..."อย่าให้ยุงกัด"



ซึ่งทำได้หลายวิธีด้วยกันแต่ถ้าใครคิดไม่ออกก็ขอแนะนำแล้วกันค่ะ



ควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้สิ้นซาก!!

ถ้าใครยังไม่รู้...ยุงวางไข่ในน้ำค่ะ

ดังนั้นเราต้องกำจัดแหล่งน้ำทั้งหลาย เช่น ตุ่ม กะละมัง ไห โอ่ง กะลา เปลือกแตงโม แอ่งน้ำขัง ฯลฯ

ทุกอย่างเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงได้หมดค่ะเพราะงั้นเราต้องปิดฝา คว่ำ ทำลาย

หรือใช้ทรายอะเบทโรยในภาชนะ/บริเวณที่ไม่สามารถกำจัดน้ำได้ เช่น บ่อปลา แจกัน ที่รองขาตู้กับข้าว

ส่วนชุมชนที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำก็แย่หน่อยที่ต้องรับความเสี่ยงโดยทำอะไรไม่ได้ค่ะ



ทายากันยุง ติดมุ้งลวด หรือนอนกางมุ้ง

พูดง่ายๆคือ ทำไงก็ได้ให้ยุงเข้าไม่ถึงตัวเรานั่นเอง



แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาพ่นยากำจัดยุงเมื่อมีผู้ป่วยในชุมชน

อันสุดท้ายนี้สำคัญมากนะคะ

--หากพบมีผู้ติดเชื้อในชุมชนควรแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง--- เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครชุมชน หมอ สถานีอนามัย เป็นต้น

เพราะ---"ไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อ" --- ค่ะ

เมื่อเราแจ้งไปเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการป้องกันต่อไป เช่น พ่นกำจัดลูกน้ำยุงลาย แจกทรายอะเบท ให้ความรู้แก่ชุมชน เป็นต้น 

แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะรณรงค์ให้สอดส่องเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ยังไงในชุมชนก็ควรช่วยกันเป็นหูเป็นตาค่ะ



แต่ถ้าคุณอยู่ในชุมชนที่…


"เจ้าหน้าที่ไม่เห็นจะสนใจเลยแจ้งไปตั้งหลายรอบแล้ว"


คุณก็ต้องช่วยตัวเองค่ะ!!

แม้ชุมชนของคุณจะเป็นลูกเมียน้อยไม่มีใครเหลียวแล

อาจเพราะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเฮงซวยอาจเพราะดำเนินการล่าช้า อาจเพราะไม่มีงบประมาณ หรืออะไรก็แล้วแต่

แต่คุณไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้ว่า....----"เมื่อมีผู้ป่วยในชุมชนทุกคนก็มีโอกาสที่จะติดโรค"---- ค่ะ

ดังนั้นกลับไปทำทุกวิธีข้างบนที่สามารถทำได้ค่ะ

ไม่ใช่เพื่อใครเลย...เพื่อตัวเราและครอบครัวของเราเองค่ะ!!

ปล. วัคซีนนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ได้ข่าวว่าใกล้เสร็จแล้วค่ะ ^ ^



RealCPK




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2559    
Last Update : 28 ตุลาคม 2559 2:32:20 น.
Counter : 480 Pageviews.  


chutimon_k
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add chutimon_k's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.