เพราะเป็นทริปตามใจฉัน(หรือที่ใครๆเรียกกันว่าbackpack)เลยต้องทำการบ้านหนักหน่อยค่ะ
หลังจากปรึกษาเพื่อนขาเที่ยวทั้งหลาย(ขอขอบคุณจากใจจริงๆกับข้อมูลมากมายมหาศาลของพวกเธอ > <)
ตั้งกระทู้ถามในpantip(ขอบคุณคนที่เข้ามาตอบมากๆ) อ่านหนังสือนำเที่ยวทั้งไทยและเทศ
อ่านเว็บรีวิวร่วมกับหาข้อมูลจากinternetเยอะมาก
และพิจารณาสีหน้าของsponsorตอนเสนองบประมาณการไปเที่ยวในครั้งนี้ เลยได้ข้อสรุปว่า... - เราจะเที่ยวทั้ง 2 เกาะ
- เราจะพัก hostel shared dorm
- เราจะเน้น trekking
- เราจะเช่ารถขับเอง
และตกลงกันว่า check-list สำคัญของทริปนี้คือ
- Waitomo glowworm cave
- Glacier trekking
- Milford Sound
- ดูดาวที่ Lake Tekapo
Sponsorใหญ่คงเห็นว่าเราสามารถขับรถได้ดีพอตัว ทั้งขึ้นดอยอ่างขาง เที่ยวเชียงราย
ไปแม่ฮ่องสอนเราผ่านมาหมดแล้ว พอเปิดคลิปรีวิวroadtripในyoutubeให้ดู เลยอนุมัติแบบไม่บ่นอะไรมาก
เมื่อโครงการผ่านแล้ว ขั้นต่อไปเราต้องเตรียมตัวกันเอง ดังนี้ค่ะ
1.ทำวีซ่า+ขอpassport
เราเองมีpassportอยู่แล้ว เซ็คว่าวันไปมีอายุเกิน 6 เดือนเป็นพอ แต่น้องต้องไปทำpassportก่อนค่ะ
จะได้นำไปยื่นขอวีซ่าต่อ ซึ่งเรายื่นขอวีซ่าทางไปรษณีย์ค่ะ เพราะไม่ว่างไปทำทั้งคู่ โดยใช้แบบฟอร์ม1017
แล้วก็แนบเอกสารต่างๆที่เค้าระบุไว้ ซึ่งเราเป็นนักศึกษายังไม่มีรายได้ก็ง่ายหน่อย
เรื่องหลักฐานการเงินใช้statementของพ่อกับแม่ยื่นค่ะ เรากับน้องใส่เอกสารไปในซองเดียวกันเลย โดยเอกสารที่แนบไปคือ
- แบบฟอร์ม1017ที่กรอกเรียบร้อย (searchวิธีกรอกข้อมูลในgoogle 555)
- Passportตัวจริง + สำเนา
- statementของแม่
- ใบรับรองการเป็นนักศึกษาจากคณะ
- สำเนาทะเบียนบ้าน(เค้าไม่ได้บอกให้ใส่ค่ะ แต่ใส่ไปเพื่อนแสดงความเป็นแม่-ลูกค่ะเพราะแนบstatementของแม่ไป แต่แม่ไม่ได้ไปด้วย)
- เอกสารการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับประเทศไทย
- เอกสารการจองที่พักในนิวซีแลนด์
- เอกสารการทำประกันการเดินทาง
จริงๆ 5)-7)เค้าไม่ได้ระบุให้แนบไปนะคะ แต่เพื่อนที่เคยทำวีซ่าบอกว่าหลักการคือเราต้องแสดงให้เค้าเห็นว่า
เราตั้งใจแค่จะไปเที่ยวไม่ได้จะหลบหนีเข้าเมืองและสามารถsupportค่าใช้จ่ายต่างๆในทริปได้
ดังนั้นstatementไม่ได้ต้องมีตัวเลยเป็นหลักล้าน เอาแค่พอค่าใช้จ่ายในทริปก็พอค่ะ
พวกเอกสารการจองต่างๆก็เพื่อแสดงว่าเราเตรียมที่พักและมีแผนจะเดินทางกลับแน่นอนอยู่แล้ว
ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ยาวแต่อย่างใด และประกันการเดินทางเพื่อแสดงว่าหากมีปัญหาฉุกเฉินเรามีประกันcoverค่าใช้จ่ายให้
ส่วนตัวเราคิดว่าtravel insuranceสำคัญมาก เพราะเพื่อนเคยต้องเข้ารพ.ด่วนตอนเที่ยวต่างประเทศ
ค่าใช้จ่ายจริงๆหลักแสนเลย แต่เพราะทำประกันการเดินทางไว้ เลยไม่ต้องเสียเงินเลยซักบาท
ซึ่งเพื่อนที่เดินทางบ่อยๆเค้าแนะนำมาค่ะว่าให้อ่านเทียบดูหลายๆบริษัทว่าcoverอะไรบ้าง ต้องสำรองจ่ายรึเปล่า
เลือกอันที่พอใจแล้วซื้อไปเลย ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไปแต่ถ้ามีอะไรขึ้นมาจะได้ไม่มีปัญหาค่ะ
สรุปว่า เราได้วีซ่าแบบ multiple (เข้า-ออก ได้หลายครั้งในระยะเวลาที่กำหนด) และน้องได้แบบ singleค่ะ (เข้า-ออกได้ครั้งเดียว)
2. เช่ารถ
การเช่ารถยุ่งยากกว่าที่คิด นอกจากจะเทียบราคา+ลักษณะรถแล้วยังต้องมีเรื่องเอกสารด้วยค่ะ
เพราะกำหนดว่าตอนรับรถเราต้องวางมัดจำซึ่งจะรูดบัตรเครดิตหรือวางเงินสดก็แล้วแต่บริษัทค่ะ
และชื่อคนขับกับชื่อบนบัตรเครดิตต้องชื่อเดียวกัน ถ้าไม่ต้องการมัดจำต้องซื้อประกันแบบ full coverage (ราคา 20$/วัน ไม่ได้คืน)
ซึ่งในกรณีของเราประกันการเดินทางที่ซื้อไว้ครอบคลุมจุดนี้ เลยไม่ได้ซื้อประกันของบริษัทรถเพิ่มค่ะ
เลยต้องรูดบัตรเครดิตเพื่อล็อกวงเงินมัดจำรถ 2,000 NZD
เงื่อนไขกำหนดว่าเค้าจะล็อควงเงินของเราไว้หลังจากคืนรถแล้วไม่มีปัญหาจึงจะปลดล็อควงเงินนี้
นอกจากนี้ยังต้องคุยรายละเอียดด้วยว่ามีข้อจำกัดอะไรมั๊ย อย่างlimitระยะทาง, ห้ามขับบน unsealed road
ไม่งั้นถ้าทำไปโดยไม่รู้จะโดนค่าปรับตอนคืนรถ แล้วก็ถ้าเราคืนรถคนละที่กับสถานที่รับรถจะมีการบวกราคาเพิ่ม(one way fee)
แล้วแต่บริษัท(ของเราเช่ากับAceเค้าคิด 100$) และบางบริษัทไม่มีบริการให้เช่ารถข้ามเกาะค่ะ
ใบขับขี่ก็ใช้ใบขับขี่smartcardได้ค่ะ หรือจะไปทำใบขับขี่สากลก็ได้(ยื่นเอกสาร+เงิน 505 บาท)
3. การเดินทางในประเทศ
เพราะอยากเที่ยวทั้งเกาะเหนือเกาะใต้เลยต้องต้องเรือข้ามเกาะ+เครื่องบินในประเทศค่ะ
โดยเรือferryข้ามฟากนั้นมี 2 บริษัท คือ interislander กับ bluebridge
ทั้ง 2 บริษัทสามารถนำรถยนต์ส่วนตัวข้ามฝากได้
(rateจะต่างกันแล้วแต่ชนิดรถ นำขึ้นได้ทั้งรถยนต์ campervan รถพ่วง มอเตอร์ไซค์)
แต่เวลาของทั้ง 2 บริษัทจะไม่เหมือนกัน เลือกเวลาตามสะดวก ของinterislanderจะแพงกว่าประมาณ 10-20 NZD
โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 55 - 70 NZD/คน แต่ถ้าใครนมีรถขึ้นไปด้วยจะบวกเพิ่มไปอีก ของเราเป็นรถยนต์เล็ก +100 NZD
ส่วนเครื่องบินก็มีหลายสายการบิน แต่ถ้าบินระหว่าง Auckland กับ Christchurch จะมี low cost 2 เจ้าคือ Air New zealand กับ Jetstar
ปล. รวมแล้วตั๋วferryเราแพงกว่าตั๋วเครื่องบินอีก แต่วิวนี่สุดยอดเลย Queen Charlotte view เลยนะ > <
4. การจองที่พัก
ส่วนตัวแล้วเราชอบพักแบบ shared dorm ค่ะ แบบห้องละ 6-8 เตียง โดยหลายที่จะมีทั้ง mixed dorm (รวมหญิงชาย)
และ female dorm (หญิงล้วน) ค่ะ สำหรับที่พักแบบhostelจะมีห้องหลายแบบ
ห้องส่วนตัวพักได้ 1 คน ไปจนถึงพักได้ 4 คน(single/twin/triple/quad)
และมีให้เลือกทั้งแบบห้องน้ำในตัว(ensuite) และห้องน้ำรวม(shared)
และห้องรวมที่เป็นเตียง2ชั้น/เตียงเดี่ยวหลายๆเตียง แบบนอนได้ 6-10 คน/ห้อง
(หลายคนคิดว่าhostelจะมีแต่ห้องแบบนี้แต่ความจริงมีoptionให้เลือกเยอะกว่านั้น)
และห้องรวมที่ว่ายังมีทั้งแบบห้องหญิงล้วน(female dorm) และ ห้องรวม(mixed)ด้วย
เราคิดว่า shared dorm ที่นี่ปลอดภัยมาก ตอนแรกนะเราไม่กล้าชาร์ทอะไรทิ้งไว้เลย
แต่คนอื่นในห้องนี่ตั้งชาร์ทกันเกลื่อนเลย แต่ไม่ยักมีของหายซักที่ หลังๆก็เลยตั้งชาร์ททิ้งเหมือนกัน 555+
ที่พักทริปนี้จะตกประมาณ 25-37 NZD/คน/คืน (rate member YHA, BBH)
หลังจากวุ่นวายกันพอสมควร เราก็ได้มาครบทั้งวีซ่า passport สัญญาเช่ารถ
ตั๋วเครื่องบิน+ตั๋วferryในนิวซีแลนด์ และbookingของที่พักตลอดทริปนี้ ^ ^
ใกล้จะได้ไปละๆ เตรียมความพร้อมอีกนิดหน่อย ตอนไปอยู่ที่โน่นจะได้ไม่ตกใจลนลาน
ความจริงของพวกนี้บางคนอาจคิดว่าไม่จำเป็น
แต่ด้วยความที่เราไปเองหากเที่ยวแล้วมีปัญหาอะไรระหว่างทางต้องแก้เองหมด
เลยคิดว่าเตรียมการไว้หน่อยพร้อมไว้ก่อนดีกว่า
- ตารางเวลาพระอาทิตย์ขึ้น-ตก
- สภาพอากาศแต่ละวัน
- ระยะทางและเวลาขับรถ
- ระยะเวลาในการทำกิจกรรม เช่น trekking, scenic flight
- Bookingที่พัก เช่ารถ กิจกรรมต่างๆ
- อาหาร
- เสื้อผ้าตามสภาพอากาศช่วงนั้นและกิจกรรมที่ทำ
- แลกเงิน เตรียมวงเงินบัตรเครดิต
- เตรียมGPSพร้อมmarkสถานที่ที่เราจะไป
- Printเอกสารจำเป็น เช่น voucher, confirm mail จากhostel
หลังเตรียมเอกสารกับที่พักเรียบร้อยก็เริ่มจัดโปรแกรมเที่ยวแต่ละวัน
จริงๆก่อนจองที่พักก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าอยากเที่ยวเมือง ไหนอะไรยังไง คราวนี้ก็มาแพลนละเอียด
เราเป็นตารางเวลาประหนึ่งทัวร์(ที่ทั้งทัวร์มีกันแค่ 2 คน 555)
อันดับแรกก็หาตารางพระอาทิตย์ขึ้น-ตกของแต่ละวันก่อน
ใครว่าไม่สำคัญ? จริงๆแล้วเราว่าสำคัญมาก
เพราะเราจะได้รู้ว่าแต่ละวันเรามีเวลาเที่ยวกี่ชั่วโมงกันแน่
ซึ่งช่วงที่เราไปสรุปได้ว่าเรามีเวลาเที่ยววันละ 10 ชม.(แบบมีแสงอาทิตย์)
เช็คเวลาแล้วก็ควรเช็คสภาพอากาศแต่ละวันไปล่วงหน้า เพราะบางวันเค้าบอกเป็นrainyเราจัดทริปวันนั้นไปtreking
ก็คงกร่อยน่าดู ควรจัดทริปให้เข้ากับสภาพอากาศ หรืออยากไปเสี่ยงก็ลุ้นดี 555
เวลาที่ใช้ในการขับรถระหว่างเมืองต่างๆ
อันนี้หาได้ง่ายตามเว็บทั่วไป แค่searchไปว่า driving time new zealand ก็พรึบเลย
ซึ่งเวลาที่บอกไว้เป็นระยะทางและเวลาคร่าวๆ เราก็เผื่อเวลานิดหน่อย
แต่ตอนไปจริงก็ไม่ต่างกันมากกับเวลาที่เค้าบอกไว้ เราเลยได้เวลาเที่ยวแต่ละที่เพิ่ม
ที่ไปคราวนี้เราขับรถ nissan tiida ซึ่งเป็นรถเล็ก ทางระหว่างเมืองขับประมาณ 80-120 km/hr
แต่ถ้าช่วงไหนโค้งเยอะก็ 40-60 km/hr หยุดแวะชมวิวตามจุดชมวิวข้างทางเป็นระยะ ก็ใช้เวลาตามเค้าบอกนะ
แต่ถ้าเลือกขับรถใหญ่ๆอย่าง camper van หรือหยุดถ่ายรูปหลายๆที่นานๆอาจต้องเพิ่มเวลาอีก 1-2 ชั่วโมง
เพราะหลายช่วงถนนโค้งเยอะขับรถคันใหญ่อาจขับเร็วไม่ได้ หลังจากข้อมูลครบแล้วก็เริ่มแพลนโลดเลยจ้า!!
ทริปของเรานั้นตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะเดินพวก short track เป็นส่วนใหญ่ และไม่เน้นถ่ายรูป
ซึ่งบางอันไม่ถือว่าเป็นtrackด้วยซ้ำเพราะเดินแป๊บเดียวเอง 555
เราเน้นหาข้อมูลจากเว็บการท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์เป็นหลัก เพราะข้อมูลเค้าอ่านง่ายและครบถ้วนดีมากอยู่แล้ว(แต่เป็นภาษาอังกฤษนะคะ) และอ่านรีวิวของtrackตามเมืองต่างๆทั้งรีวิวไทยและต่างชาติ
ข้อมูลtrackต่างๆในเว็บการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์อยู่ในหมวด walking&tramping
จะแบ่งเป็นเมืองๆ มีบอกหมดทั้งเวลาที่ใช้ในการเดิน ความยากง่าย จุดแวะชมวิวในแต่ละtrack แถมมีรูปประกอบพร้อม
เวลาก็ไม่ค่อยต่างจากเดินจริงมาก แถมถ้าเป็นทางง่ายๆจะใช้เวลาน้อยกว่าที่เค้าบอกไว้ด้วยซ้ำ
เพราะงั้นถ้าเลือกจะเดินtrackไหนก็เผื่อเวลาไว้ตามนั้นได้เลย ถ้าเดินเร็วก็จะได้อยู่ชมวิวนานหน่อย
ถ้าเทียบกับตัวเอง เราเป็นคนที่ไม่ฟิตเลยยยย และระหว่างทางมีหยุดถ่ายรูป แวะนั่งชิลกินขนม/ชมวิว
ยังเดินทำเวลาได้เร็วกว่าที่เค้าบอกไว้ เลยคิดว่าคนอื่นก็ไม่น่ามีปัญหา แต่อันนี้ทางที่เดินอย่างมากก็ระดับmoderate
ถ้าทางระดับ hard, advance, expert อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน 555
กิจกรรมต่างๆที่ตั้งใจจะทำ
ถ้าเรามีวันเวลาคร่าวๆอยู่ในใจก็ book ล่วงหน้าใน bookme หรือ grabone ไปก่อนก็ดี
จะได้ราคาถูกกว่า walk-in และที่นี่รับvoucherอย่างเต็มใจเลย บริการดีเหมือนลูกค้าคนอื่น
ไม่ต้องกลัวว่าจะserviceเราไม่ดี
แต่ไงก็ต้องดูเงื่อนไขvoucherให้ดี แล้วก็เช็คเวลาเปิด-ปิดของแต่ละที่ไว้ด้วย
อาหาร
เราเตรีมมาม่า น้ำจิ้มซีฟู๊ด ผงรสดี แล้วก็พวกเครื่องแกงสำเร็จรูปไป แต่ใช้ไม่หมด!! 555
พอไปจริงทานที่เตรียมมาบ้าง ทานร้านบ้าง ซื้อขอซุปเปอร์มาทำบ้าง
ราคาถ้าทานที่ร้านก็ 30-60$ แล้วแต่ร้าน (แบบ 2 คนกินอิ่มๆ และมีสั่งเครื่องดื่ม beer wine อะไรงี้ด้วย)
ถ้าซื้อของในซุปเปอร์ก็ 15-40$ แล้วแต่มื้อ ความจริงเราเตรียมค่ากินมาเยอะเลย แต่เหลือบานเบอะเพราะอาหารที่นี่จานใหญมวากกกกก เรากิน 2 คน ส่วนใหญ่สั่ง main disc กับ side disc อย่างละจานแบ่งกันกินก็อิ่มแล้ว
วันแรกนี่เสียดายของมาก สั่งกันคนละชุดแล้วเหลือบานเบอะจนเจ้าของร้านเดินมาถามว่าไม่อร่อยเหรอ!
ป่าวค่ะ...พวกเรากินไม่หมดจริงๆ แค่นี้ก็อิ่มไปถึงพรุ่งนี้แล้ว T T
ร้านอาหารที่นี่อร่อยมาก เราดูจากร้านที่ติดtopในรีวิวของtripadvisorในเมืองนั้นๆ ก็โอเคเลยนะ แม้หลายๆร้านจะไม่ได้อยู่ในlistของคนไทยก็ตาม แล้วก็ถ้าใครจะกินพวกcrayfishเตรียมพวกน้ำจิ้มซีฟู๊ดไปด้วยก็ดี เพราะน้ำจิ้มเค้าจะเป็นพวก salad dressing อาจไม่แซ่บ
เสื้อกันหนาว
อันนี้แล้วแต่ฤดูที่ไปและกิจกรรมที่ทำ เราไปช่วงautumnเค้าบอกอากาศประมาณ 5-16 องศา แล้วแต่วัน
แต่ส่วนใหญ่เวลากลางวันจะ12-16 องศา เลยเตรียมเสื้อหนาว ลองจอนและเสื้อแขนยาวหนาๆไปเยอะ
แต่กลายเป็นว่ากิจกรรมเราtrekkingเยอะ เสื้อผ้าที่เตรียมเลยร้อนไป! T T เหงื่อซ่กมาก
ถ้าทริปเป็นแนวนี้ไม่ต้องเตรียมเสื้อหนาๆมาเยอะก็ได้
แค่เสื้อลองจอน(ไม่ต้องบุขนยังได้เลย) กับเสื้อยืด/เสื้อแขนยาวธรรมดาก็พอ
มันหนาวแค่ตอนเริ่มเดิน เอาเสื้อกันหนาวห่มไปก่อนพอเดินไปซัก 10 นาทีก็ร้อนจนต้องถอดทิ้งแล้ว!
หลังๆ ใส่แค่ลองจอนบาง+เสื้อยืดแขนสั้น+เสื้อยืดแขนยาว+เสื้อกันหนาวหนาๆ
ข้างล่างก็กางเกงลองจอนบาง+กางเกงยีนส์ธรรมดา พอเดินไปเรื่อยๆนี่ลอกคราบทีละชั้นเลยอ่ะ 555+
ในที่พักก็มีฮีตเตอร์เอาชุดนอนหนามานี่นอนเหงื่อซ่กเหมือนกัน เสื้อยืดขาสั้นยังได้เลย
ตอนกลางวันถ้าวันไหนพยากรณ์อากาศเป็นsunnyนี่ร้อนเลย เราใส่เสื้อยืด+ยีนส์ก็สบายๆ
เสื้อแขนยาวหนาๆแทบไม่ได้ใช้เลยเสียใจว่านี่ช้านขนมาทำม๊ายยยย
จริงๆไม่ต้องเตรียมชุดไปเยอะก็ได้ ที่โน่นมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ มีเครื่องปั่นแห้ง ราวตากผ้ายังมีเลย!
ค่าซักค่าปั่นก็ 3-4$/ถัง แล้วแต่ที่ ส่วนเสื้อกันน้ำกันลม และเสื้อกันฝนเตรียมไปด้วยก็ดี บางทีฝนตก หรือมีทัวร์ชมน้ำตกอย่าง Milford sound จะได้ไม่เปียกและเข้าร่วมกิจกรรมได้เต็มที่ ตอนไป milford sound เราเป็นแก๊งดาดฟ้า แทบจะไม่ได้นั่งในเคบินเลย 555
แลกเงิน
คิดว่าควรคำนวนค่าใช้จ่ายคร่าวๆแล้วแลกเงินสดไปจะคุ้มกว่า
เพราะบัตรเครดิตต้อง+ค่าประกันอัตตราแลกเปลี่ยน+vat เพิ่มอีก ใช้เงินสดก็ประหยัดตรงนี้ไปได้หน่อย
ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนช่วงไหนถูกๆก็แลกไปเลย แลกใกล้ๆอาจได้rateแพงหรือไม่มีเงินให้แลก
เราโทรไปถามร้านแลกเงินก่อน เพราะเพื่อนบอกว่าเคยจะไปแลกตอนใกล้ทริปแต่เค้าไม่มีเงิน ณ ตอนนั้น แพลนเกือบพัง
เราเองตอนไปถามที่ธนาคาร(ต่างจังหวัด)ตอนแรกเค้าบอกไม่มีตอนนี้ ต้องสั่งจำนวนเงินที่ต้องการแล้วรอประมาณอาทิตย์นึง
ดีนะที่เพื่อนบอกไว้ แบบถ้าแลกวันนี้ไปพรุ่งนี้คงไม่ทันอ่ะ
rateที่แลกได้ก็ 23.85 แต่ช่วงก่อนไปrateขึ้นไปถึง24.50เลยอ่ะ ตอนเห็นนี่ดีใจมากที่แลกไปก่อน
อย่าลืมเผื่อค่าน้ำมันรถและเงินสำรองไปด้วย
เรื่องการใช้จ่ายที่นี่เกือบทุกที่รับทั้งเงินสดและบัตรเครดิตก็จริง
แต่เตรียมบัตรไปเผื่อก็ดีค่ะ บางที่รับแต่บัตรเครดิตด้วยซ้ำ เช่น ปั๊มน้ำมันแบบเติมเอง ซื้อน้ำหนักกระเป๋าที่สนามบินเพิ่ม (โดนมาแล้ว T T)
GPSจำเป็นแค่ไหน?
เราว่าจำเป็นแค่ในเมือง เพราะทางระหว่างเมืองมีป้ายบอกทุกแยก และชัดเจนไม่หลงแน่นอน
แต่เพื่อความปลอดภัยศึกษาเส้นทาง/markจุดในGPSมาก่อนก็ดีค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา
ทริปนี้เราจองที่พักล่วงหน้าก็เลยไม่ต้อง walk in หาที่พักในแต่ละวัน
ถ้าไม่ได้ bookไว้ก่อนก็ควรเผื่อเวลาไว้ด้วย เพราะที่พักรีวิวดีๆก็เต็มได้แม้ไม่ใช่ highseason
ถ้าจองที่พักล่วงหน้าไว้ก็ปริ้นพวกbooking/confirm e-mail มาด้วยก็ดีค่ะ จะได้สะดวกรวดเร็วในการ check-in
ถ้าพร้อมแล้วก็ Let's Go!!!
RealCPK