Group Blog
 
All blogs
 
แค่อยากจะเขียน… ครั้งหนึ่ง เราก็เคยอยากไปเมืองนอกแบบ “มากมาย” version กระทู้ด๋อยห้องไกลบ้านค่ะ (2)

การไป Work ครั้งนี้ ถึงแม้จะต้องไปคนเดียวอีกรอบแต่ก็ไม่ตื่นเต้นเหมือนครั้งแรก ทางเอเจนซี่ให้เราเลือกได้ว่าจะไปเป็นกลุ่ม หรือซื้อตั๋วไปเอง ด้วยความ Self จัดเลยซื้อตั๋วไปเองคนเดียวเลย จะไม่ให้ซื้อเองได้ยังไงคะ ซื้อกับเอเจนซี่ Work ปาไป 46000 ซื้อเองประมาณ 33000 เอง สายการบินแนวๆ china eva เหมือนกันอีกต่างหาก ขูดเลือกกันมากไปแล้วนะ!!

ตอนนั้นไปคนเดียว แต่ไอ่ที่ทำงานเนี่ยนะสิ ใช่ว่าต่อสองต่อจะถึง ปาไปประมาณห้าต่อ เครื่องสี่ต่อ แถมรถอีกต่อนึง คิดสภาพดูว่าจะทุลักทุเลแค่ไหน..

ตอนไปถึงสนามบินสุดท้ายปาเข้าไปห้าทุ่ม พอดีมันมีรถออกเที่ยวสุดท้ายตอนเที่ยงคืนพอดี เราเลยไปมันเที่ยวนั้นเลย ( ตอนแรกกะว่าจะนั่งรอถึงเช้า)
เชื่อกันมั้ยว่า ตอนขึ้นไปบนรถหลับสนิทเลย หลับซะจนรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที คนขับก็มียืนข้างๆ แล้ว อ้าว คนหายไปไหนหมดแล้วเนี่ย โอ้ววว ใจหายปิ้วเลย ตายแล้วตรู แล้วคนขับก็ถามว่าเราจะไปไหน เราก็บอกไป เค้าก็ตอบกลับมาว่าอ่าว ที่นั่นมันเลยมาแล้ว จากนั้นคนขับใจดีก็ขับกลับไปส่งเรา แต่ก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไร เพราะมันไม่ได้เหมือนที่เราคิดไว้ว่าจะหาโรงแรมที่เพื่อนคนอื่นๆ พักอยู่ได้ง่ายๆ เพราะจุดนั้นมันไม่ได้มีโรงแรมแห่งเดียวละสิ คิดดูละกันค่ะว่า หันไปรอบตัว 360 องศา ก็มีแต่โรงแรม มีเป็นสิบๆ ร้อยๆ เลย ทั้งเล็กและใหญ่

อ่าวทีนี้จะไปรู้กันมั้ยนั่นว่าที่เราจะไปอยู่มันอันไหน นี่ก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว เมืองนอกตีสองนี่เงียบสุดๆ ไม่เหมือนบ้านเรายังมีข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยวข้างทางนะคะ ตอนนั้นอยากจะร้องไห้ สมบัติที่ขนมาใบใหญ่อีกสองใบ แล้วจะไปกันยังไงเนี่ย แล้วขอบอกว่าตอนนั้นหิมะตกด้วย คอยติดตามตอนต่อไปนะคะ :)
ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก เลยนั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์ อารมณ์ตอนนั้น ไม่มีมนุษย์เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักคน เลยตัดสินใจเดินลากกระเป๋า (เอาไปสองใบใหญ่ เลยต้องลากทีละใบ แล้วกลับมาเอาอีกใบนึง 55) เดินไปเดินมาเห็นตู้โทรศัพท์ เลยพุ่งตรงไปทันที โทรไปที่โรงแรมประมาณสี่ห้ารอบก็ไม่มีคนรับอีก ตอนนั้นเดินไปอย่างไร้ร่องรอยมาก

ทันใดนั้นเอง เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง! เอ๊ะ นั่นมันโรงแรมเรานี่หว่า ชื่อเดียวกันเป๊ะเลย!! แทบจะกรี้ดตอนนั้น รีบจั้มไปเลยทีเดียว แต่เิอ๊ะ ทำไมมันมืดสนิทเลย (โรงแรมที่ว่าเป็นโรงแรมเล็กๆ ประมาณ motel อะค่ะ) ตอนนั้นไม่รู้จะทำไงแล้วเลยเคาะประตูตรง office ของโรงแรม เคาะมือแทบหงิกแน่ะ

และแล้วก็มีคนเดินออกมา (ด่า) แล้วเราก็บอกเค้าไปว่าเนี่ยเรามากับพวกเด็ก work ที่มาก่อนหน้านี้ blah blah เค้าก็ยื่นกุญแจให้แล้วก็บอกเออๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน

ไม่น่าเชื่อว่าคืนนั้นจะผ่านมาได้...
วันรุ่งขั้นตื่นมาพร้อมกับความมึนงง ควักมาม่าที่ได้ตระเตรียมไว้ออกมากิน ดีนะในโรงแรมมีไมโครเวฟด้วย รอดตายไปอีกมื้อ วันนี้เป็นวันที่คณะเด็ก work กลุ่มสุดท้ายที่มาทำงานที่นี่มาุถึง เราก็ได้สมาิชิกรูมเมทมาอีกสามคน แต่ละคนฮาๆ ทั้งนั้น เหมือนหลุดมาจากแถวพระรามเก้าค่าเฟ่ สามคนนั้นก็มาคนเดียวหมด มาจากต่างที่กันหมดเลย และแล้วความสนุกก็ได้บังเกิดขึ้น!!!

วันแรกของการทำงานก็ต้องมีการคัดเลือกตำแหน่งงานกันก่อน ว่าใครมีความเหมาะสมจะทำอะไร โดยการสัมภาษณ์เดี่ยว แต่น แต้น แต๊นนนน งานที่เหลืออยู่มีดังนี้ เสียงประกาศจากป้าแผนก HR หน้าโหดและใจก็โหดด้วย จะขอแปลเป็นไทยนะฮ้า เนื่องจากพวกคุณมาถึงเป็นคณะสุดท้าย (เออรู้) งานที่เหลือเนี่ย....เริ่มใจคอไม่ดี... ก็จะมีตำแหน่งที่ทางเราภาคภูมิใจ (ตรงไหน) เพราะงานนี้ต้องพิถีพิถันในการคัดเลือกบุคคลเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ Housekeeping อิ้งอิ้งงงงงง ฮึ่ม ตายละหว่าไหนบอกมาจากเมืองไทยว่าจะให้เราเป็นเด็กเสิร์ฟละหว่า ไม่ย๊อมมม!!!

พอป้าพูดจบ ทุกคนหันมามองหน้ากันแบบประหนึ่งว่า มองตาแล้วรู้ใจ ปิ๊งๆ ไม่ได้การณ์ล่ะ งานนี้ต้องมีโวย

เรา: ป้าคะ หนูไม่ยอมนะคะ ไหนว่าจะให้หนูเป็นเด็กเสิร์ฟละคะ (พูดพร้อมกับโชว์หลักฐานกับป้า)

ป้า: ก็งานมันเหลือแค่นี้แหละ

เรา: ป้าคะ มีงานอื่นนอกเหนือจากนี้มั๊ยคะ

ป้า: ทำท่าคิดไปประมาณสิบวิ อ่อ มีอยู่อีกตำแหน่ง เรียกว่า Room Service นะ

เรา: อ่าว งงๆๆ แต่ทำหน้าเหมือนรู้จักว่ามันคืออะไร ฟังแล้วดูดีกว่า House Keeping ละวะ

เรา: โอเคค่ะ ป้า หนูขอทำได้มั๊ยคะ หนูชอบการ service มากๆ ค่ะ

ป้า: อื่ม ภาษาเราก็พอได้นิ่ งั้นคืนนี้ของเราเริ่มงานเลยนะ เริ่มงานห้าทุ่ม

เรา: มายก๊อดดด งานบ้าไรฟระเริ่มห้าทุ่ม ปรกติอยู่เมืองไทยสี่ทุ่มหนูนอนแล้วนะป้าโหดดด (ที่พิมมาประโยคนี้พูดในใจนะคะท่านผู้อ่าน)

ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ใน set ก็ได้เป็น HouseKeeping กันหมด ทำเอาโดนหมั่นไส้กันเลยทีเดียว

และแล้วเวลาห้าุ่ทุ่มก็มาถึง... ยังไม่รู้อีกว่าอี Room Service เนี่ยมันคืออะไร พอไปถึงจุึดนัดหมาย ก็มีลุงคนนึงที่เป็น manager พาเราไปที่ทำงาน ระหว่างทางก็ใจตุ๊มๆต่อมๆ

นี่ไง ถึงที่ทำงานแล้ว ตรงหน้าเป็นห้องเล็กๆ 1 ห้อง เป็นตู้ๆ เหมือนกับพวกเก็บเงินทางด่วน แบบนั้นเลย

แกจะให้ชั้นทำอะไรกับอีห้องนี้เนี่ย เอ๊ะ รถก็เข้ามาในนี้ไม่ได้ (เล่นมุข) นึกว่าจะให้เก็บเงินทางด่วน

สรุปห้องนี้มีไว้ทำไร...ให้ทาย...

เมื่อไม่มีคนเล่นก็เฉลยเลยละกันเนอะ

ความจริงในห้องนั้นคือ มีไว้ให้เรานั่งรับโทรศัพท์ แ่ป่ว... เนี่ยอะนะ ที่ทำงานของเรา อยู่ในห้องแคบๆ เป็นเวลาแปดชั่วโมง แถมเป็นเวลานอนของเราซะด้วย น่าเบื่อแย่เลย คุณลุงไม่ได้สอนงานอะไรเลย เค้าบอกว่าถ้ามีคนโทรมาเราก็จดๆ ว่าแขกต้องการอะไร แล้วเราก็ต้องไปบอกในครัวเอาเอง หูยเหมือนจะง่ายนะเนี่ย (ประชด) ไปถึงเราก็เริ่มเอาเมนูอาหารมาดู พระเจ้า!! มันมีประมาณสี่สิบเมนู ทีนี้ซวยแล้วจะฟังออกมั้ยเนี่ย

สรุปคืนนั้นทั้งคืนมีคนโทรมาสั่งอาหารสามราย ยังดีที่พอฟังออก ผ่านไปอีกวัน...

พอเริ่มวันที่สองทีนี้เราก็เริ่มตีซี้พวกในครัว ดีหน่อยที่ห้องรับโทรศัพท์กับครัวอยู่ไม่ไกลมาก ทุกวันเราจะได้จิ๊กอาหารสารพัดอย่างในครัว มีทั้งสเต๊ก เฟนฟรายส์ และอื่นๆ อีกมากมาย ความจริงไม่ได้เรียกว่าขโมยนะคะ แต่ว่าพ่อครัวเค้าบอกว่าเดี๋ยวเค้าทำให้อยากกินอะไรล่ะ จึงเป็นต้นเหตุของการนำกล่องโฟมยักษ์วันละสามกล่องกลับบ้านหลังเลิกงาน (ทางสะดวกเพราะกว่าจะเลิกงานก็เป็นเวลาเช้ามากประมาณหกโมง) เรียกได้ว่ากินมาแล้วทุกเมนูที่ท่องไปน่ะ อาหารที่เอาไปก็ไปแบ่งกันกินกับเพื่อนๆ ที่โรงแรม ราวกับว่าไม่เคยกินอาหารแบบนี้กันมาก่อน 55 จกกันใหญ่

วันดีคืนนี้นังเพื่อนตัวแสบดันปิ๊งไอเดีย แกๆ ถ้าชั้นไปเที่ยวที่ทำงานแกมั่งได้ป้ะวะ เดี๋ยวคืนนี้ชั้นเลิกงานแล้วจะแวะไปหาแกนะเว้ย แบบว่าอยากกินฟรีมั่ง (ที่ีเอาไปให้มันกินทุกวันยังไม่พอ!!) เออมาดิ ดีเหมือนกันแกมาชั้นจะได้ไม่เหงา เออคืนนี้เจอกันนะเว้ย...


ได้เวลานัด เพื่อนตัวดีมาตรงเวลาเป๊ะ มาคนเดียวไม่พอ ลากเพื่อนมาด้วยอีกสาม เอาละหว่างานนี้ตกใจกันทั้งครัว ไอ่เราก็แนะนำเพื่อนๆ เราให้คนในครัวรู้จัก อีเพื่อนก็หันมาถามทันที แกๆ วันนี้มีไรให้กินมั่งวะ? ไอ่เราก็หันไปบอกมัน เฮ้ย แกรอก่อนดิวะมาถึงแกจะกินเลยหรอ ชวนพวกนั้นมันคุยเนียนๆ ไปก่อนดิ...

ระหว่างการสนทนาของเพื่อน (และระหว่างการอู้งานของเรา) ก็มีพนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาร่วมวงพร้อมกับถือขวดไวน์มาขวดนึง... แล้วมันก็พูดว่า เนี่ยแขกให้มันมา ทุกคนหันไปมองเด็กเสิร์ฟคนนั้นเป็นตาเดียวกัน เป็นแนวนัยๆ ว่าขอกุกินมั่งดิ จากนั้นพวกมันก็ไม่รอช้าตั้งวงกันในที่ทำงานเลยทีเดียว ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีสี่ ทันใดนั้นเองมีสายตาคู่หนึ่งมองไปตรงประตู สายตาอีกคู่หนึ่งมองไปทางเดียวกัน เงียบ... ทุกคนเงียบกริป เราหันไปมองตามสายตาของพวกนั้น โอ๊ะ ลุง manager มายืนอยู่ตรงประตู งานเข้าอีกแล้วเรา...

พวกคุณทำอะไรกัน? คำถามแรกของตาลุง เงียบ ไม่มีคนตอบ ไอ่เราก็คิดในใจ เห็นป้ะล่า ทำไรกัน ตำส้มตำม้างงงง...

จากนั้นวงก็สลายอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเพื่อนตัวดี หันมาอีกที พวกมันไปกันหมดแล้ว ไวมากๆๆๆๆๆ ทิ้งเรายืนเอ๋ออยู่กับตาลุงสองต่อสอง เอ่ออออ....และแล้วผลกรรมก็ตามทัน เมื่อตาลุงสั่งหยุดงานเรา 1 อาทิตย์เป็นการลงโทษ สรุปว่าอาทิตย์ที่หยุดงานต้องกินมาม่าไส้กรอกทุกวันเลย!!!

มาอยู่ที่นี่ก็เกือบสองอาทิตย์ ตอนนั้นเพื่อนๆ ทุกคนอยู่ในช่วงบ้างาน (จริงๆ คืองกนั่นเอง) ทุกคนเดินหา Second Job งานพิเศษทำกันตามโรงแรม รีสอร์ท ร้านค้าแถวๆ นั้น แต่ก็ดูจะไม่มีวี่แววว่าจะมีที่ไหนให้งานพวกเราทำสักที่เลย

กรี้งๆๆๆๆ เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น

เพื่อน : เฮ้ย เค้าขอสายมึ_อะ

เรา: (ตอนนั้นกำลังหลับ) เออ ใครวะ?

เพื่อน: ใครไม่รู้ว่ะ :-)พูดภาษาอังกฤษด้วย กิ๊กมึ_ป่าว

เรา: (รีบเด้งออกจากที่นอนด้วยความตกใจ) ตายแล้ว! สงสัยลุง Manager โทรมาบอกว่า ชั้นไล่แกออก (จากคดีเก่า)

ขออนุญาตแปลเป็นไทย

เรา: โหลๆ

ใครกัน: สวัสดี (เสียงโคตรหล่อ)

เรา: นี่ใครคะ

ใครกัน: อ่อ ผมชื่อไมค์ โทรจากรีสอร์ท xxx

เรา: เออ ไม่ได้ถามว่าโทรจากไหน ถามว่าใคร (ไปด่าเค้าอีก)

ใครกัน: รีสอร์ทที่คุณมาเขียนใบสมัครงานไว้ไง วันนี้คุณว่างมั๊ย พอดีพนักงานเราลาออกกะทันหันไปคนนึง

เรา: (หน้าตาตื่นตระหนก) ว่างค่ะๆๆๆ (ความจริงทำงานกะห้าทุ่มกลา
วันก็ว่างอยู่แล้น)

ใครกัน: โอเค งั้นคุณมาที่นี่ตอนสิบโมงนะ

เรา: (เหลือบไปดูนาฬิกา นี่ 8 โมงนี่หว่า) เพิ่งนอนมาได้สองชั่วโมงเอง เอาวะ! ด้วยความงก

เรา: โอเคค่ะ แล้วเจอกันนะคะ

วางโทรศัพท์....

ตอนนั้นยังไม่หายเบลอ อ่าว ตรูได้งานทำแบบงงๆ แล้วมันงานอะไรอีกเนี่ย ลืมถามอีก อยากจะเขกกะโหลกตัวเอง หลังจากนั้นก็มานั่งงงๆ ต่อที่เตียง ไม่กล้านอนต่อเดี๋ยวไม่ตื่น ระหว่างอาบน้ำ...อ่าว แล้วต้องใส่ชุดไรไปเนี่ย ลืมถามอีก เอ่อ...

สิบโมงเป๊ะ...ติ๊งหน่องๆ เสียงกดกริ่งหน้า office ของรีสอร์ทดังขึ้น

มีลุงแก่ๆ เดินออกมาเปิดประตู เราก็บอกเค้าไปว่า ลุงคะตะกี้มีคนชื่อไมค์ โทรมาตามหนูมาทำงานที่นี่ค่ะ ลุงมองหน้าเราแล้วบอกว่า ชั้นเนี่ยแหละไมค์ อ่าวในโทรศัพท์ทำไมเสียงดูหล่อมั่กๆ ลุงบอกเข้ามาก่อนๆ เดี๋ยวจะบอกให้ว่าจะให้ทำอะไร

(จะมีไรน่ากลัวอีกมั๊ยเนี่ย)

งานของเธอคืองานเขียนเช็ก หา!!! เขียนเช็ก ชั้นให้เธอชั่วโมงละ 10 เหรียญ (ตาลุกวาวขึ้นมาทันที)

สรุปแล้วงานของเราคือการเขียนเช็กจ่ายพนักงานรายวัน จ่ายบิลต่างๆ ในรีสอร์ท ใช่ ดูเหมือนจะง่ายนะ แต่ตลอดการทำงานวันนั้นอีตาลุงนั่งจ้องหน้าเราตลอดเลย แถมถามคำถามประมาณล้านแปด คำถามของลุงมีทั้ง

หนูอายุถึง 18 ยัง (ถ้าเป็นคนปรกติจะถามว่าหนูอายุเท่าไหร่แล้ว?)

ที่เมืองไทยได้ข่าวว่ามีผู้หญิงอย่างว่าเยอะ....ไม่ค่ะ มีน้อยมาก ลุงเคยไปแล้วหรอคะ?

แล้วพัทยาล่ะ เนี่ยเพื่อนลุงเพิ่งไปมา เห็นเค้าบอกว่าเราสามารถออฟเด็กมาง่ายๆ เลยไม่ใช่หรอ.... หนูไม่รู้ค่ะ ไม่เคยไป

หนูว่าลุงเนี่ยอายุเท่าไหร่แล้ว.... อ่อ ประมาณ 70 ค่ะ

ลุง (ทำหน้าตกใจ).....แล้วบอกว่า ลุงดูแก่ขนาดนั้นเลยหรอ....

ตอนนั้นเริ่มใจไม่ดี ขอเผ่นตอนนี้เลยได้มั๊ยเนี่ย....ตอนนั้นเริ่มมองไปรอบๆ ออฟฟิตก็มีแม่บ้านเดินไปเดินมา มันคงไม่น่ากลัวหรอก....(มั้ง)

และแล้วการทำงานวันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทำไปประมาณหกชั่วโมง ทำซะสองนั่งเล่นเนตสักสี่ชั่วโมงแล้ว ฮ่าๆ ลุงบอกว่าให้มาทำทุกวัน ตอนนั้นเราก็ไม่คิดไรมาก คิดแค่ว่าอยากเก็บเงินให้ได้เยอะๆ แค่นั้นเอง

ชีวิตเป็นอยู่แบบนี้ทุกวัน ทำงานหลักห้าทุ่มถึงเจ็ดโมงเช้า นอนสองชั่วโมง ทำงานรีสอร์ทลุงต่ออีกหกชั่วโมง เหนื่อยสุด แต่ก็เก็บเงินได้เยอะมากๆ เหมือนกัน...


มีอยู่วันนึง ลูกชายลุงกลับมาเยี่ยมบ้าน ลูกชายลุงคนนี้หน้าตาหล่อมาก ประมาณมาริโอ้ ฮ่าๆ แฟนลุงเป็นคนญี่ปุ่น ลูกลุงเลยเป็นลูกครึ่ง วันนั้นถึงกับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดียวเชียว...


มาริโอ้: หวัดดี เราชื่อ Dan พร้อมกับยื่นมือมาให้จับ

เรา: อุ๊ย จะหลอกแต๊ะอั๋งเราหรือเนี่ย 55 เพ้อเจ้อจริง! ชื่อ x ค่ะ

มาริโอ้: มาทำงานที่นี่นานยัง

เรา: อ่อก็ไม่นาน ประมานเดือนนึงได้

มาริโอ้: โอเค ดีๆ ยินดีที่ได้รู้จัก

เรา: อึ้ง ตอนนั้นจำได้ว่ายืนยิ้มอย่างเดียวเลย แบบว่าคนมันเขินอะนะ :)

แล้วเราก็เล่นคอมต่อไป คุณมาริโอ้คงจะงงว่าจ้างเรามาทำไม 55 ตอนนั้นคุณมาริโอ้กำลังบ้าขายของในอีเบย์ ไอ่เราก็เคยแต่ได้ยิน แต่ก็ไม่เคยซื้อ ไม่เคยขายของอีเบย์มาก่อน เลยได้แต่นั่งมองเค้าเล่นไปก่อน ถึงได้รู้ว่าอีเบย์มันคือการบิด (ประมูลของนั่นเอง) โดยเราต้องสมัครเป็น member ก่อน พร้อมทั้งผูกบัญชีธนาคารของเรากับ paypal แค่นั้นเอง และแล้วเราก็มี account ebay เป็นของตัวเอง เย่!!


หลังจากวันนั้น ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องเข้า ebay แรกๆ ก็แค่เข้าไปดูว่าเค้าขายอะไรกัน คุณมาริโอ้ขายอุปกรณ์คอมแบบคล้ายๆ อะไหล่ พวกแผงวงจร แรม อะไรประมาณนั้น ไอ่เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เหมือนกัน เอ๊ะ แล้วทำไมเราไม่หาของมาขายมั่งล่ะ คิดๆ ขายอะไรดีหว่า ????

และแล้วก็เกิดไอเดียบรรเจิด ไม่ต้องไปหาของที่ไหนมาขาย เอาของในอีเบย์เนี่ยแหละ ซื้อมาแล้วก็ขายไป

ถ้าคนที่เคยเล่นอีเบย์จะเห็นว่า ของชิ้นเดียวกัน ราคาที่ประมูลได้ในแต่ละครั้งมักจะไม่เท่ากัน บางทีราคาต่างกันมากๆ ก็มี เอาล่ะ คราวนี้ เริ่มจับตามอง ^-^

ว่าแล้วในอีเบย์เนี่ยก็มีของมากมาย แล้วอะไรดีล่ะ ที่ซื้อมาแล้วจะขายพอจะได้กำไร เอาเนี่ยแหละ กระเป๋า coach เป็นอะไรที่ใกล้ตัวสุดแล้ว เพราะชอบมากๆ แล้วก็พอจะรู้ราคาตลาดว่าเค้าขายกันประมาณเท่าไหร่...

อีตามาริโอ้ก็มาช่วยลุ้นอยู่กับเราด้วย มันก็ได้แต่บ่นๆ แบบนี้จะได้กำไรหรอถ้าขายน่ะ เออน่า ไม่ลองไม่รู้!!! ปรากฎว่าชิ้นแรกซื้อมาแล้วก็ขายไปได้กำไรมา 13 เหรียญ โหๆ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก แล้วถ้าเราขายสิบชิ้นภายในวันเดียวกันล่ะ 130 เหรียญหรอ+++

ตอนนั้นเลยได้โอกาสตีซี้พ่อหนุ่มมาริโอ้ มันบอกว่างั้นไปซื้อกระเป๋าที่ outlet มาขายกันเถอะื เออความคิดดีนะเนี่ย วันรุ่งขึ้นก็ได้นัดแนะกับเจ้ามาริโอ้ วันนี้ขอลาหยุด 1 วันเพื่อไป shopping โดยเฉพาะ ว่าแล้วก็นัดกันดิบดีสิบโมงตรงเจอกันเดี๋ยวมันมารับทีบ้าน โอ๊ะ เป็นคนดีอีก...


ก๊อกๆ ก๊อกๆๆๆๆๆๆ ใครมาเคาะประตูห้องแต่เช้าวะะะะะะ เสียงของเพื่อนตัวดีตะโกนลั่นห้อง ยัง....ยังไม่มีใครลุกไปเปิดประตู แล้วไอ่เพื่อนคนเดิมก็ตะโกนด่าอีกรอบ พวกเมิ_ไม่คิดจะมีใครลุกเลยหรอวะเนี่ย??!!!???


แสงแดดลอดผ่านช่องประตู พร้อมกับหนุ่มรูปงามนามมาริโอ้ ทุกคนในห้องหันมามองหน้ากัน ไอ่เราก็หันไปหามาริโอ้พร้อมกับขยี้ตา่ Hi You are early...พร้อมกับหันไปมองนาฬิกา เวนกำ นี่มันจะสิบเอ็ดโมงแล้วนี่หว่า!!! ตอนนั้นเริ่มรู้ทันว่าจะโดนด่าเลยรีบวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที น้ำเนิ้มไม่ต้องอาบมันแล้ว โหย ออกเดทครั้งแรกในสภาพโทรมสุดๆ (คิดไปเองทั้งหมด 555)

บนรถ: (อันนี้คิด)ไม่คิดไม่ฝันเลยวันนึงจะได้มานั่งรถเคียงข้างชายหนุ่มรูปงาม (เว่ิอร์ไปนะ) จากนั้นคุณโอ้ (ขอเรียกสั้นๆ) ก็พูดขึ้นมาว่า เดี๋ยวเราไปหาไรกินกันก่อนละกันนะ อ้ะได้จัดไป จากนั้นอีตาโอ้ก็ฝอยตลอดทางๆ ต่างฝ่ายต่างเล่าประสบการณ์ชิวิตของตัวเอง พูดแล้วขอเล่าเกี่ยวกับตาโอ้เลยละกัน ตาโอ้เนี่ย อายุแก่กว่าเราประมาณสองปี ชอบเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ เล่นมันทั้งวัน เล่นแบบไม่ทำอะไรเลย เอากะมันเล่นไปให้ตาบอดไปเลย (จะไปแช่งเค้าทำม๊ายยย) การแต่งตัวของเค้าก็สไตล์อเมริกันทั่วไป abercrombie ทำนองนั้น แหม ตรงเสป๊กเราพอดี แบบนี้แหละ playboy นิดๆ โอ้วเจ้้ชอบ ไม่ได้นะ รักษาไว้ภาพพจน์หญิงไทยน่ะ อย่ากระโตกกระตากเด็ดขาดค่ะ

วันนั้นเราไปแวะกินร้านจีนกัน จานใหญ่มาก แบบกินกันสามคนไม่หมด จานข้าวผัดยังกับจานเปลตามโต๊ะจีนแถวบ้านเรา ว่าแล้วก็ห่อกลับบ้านอีกตามเคย อีตาโอ้สั่งมาเต็มโต๊ะเลย แถมเลี้ยงเราอีกต่่างหาก ดูเหมือนจะเป็นคนดีนะ :) ฝรั่งนี่ก็แปลกนะ เรื่องอาหารน่ะ ทำไมต้องทำให้มันจานใหญ่ๆ ด้วยก็ไม่รู้ เห็นไปกินข้าวนอกบ้านกันที่ไรก็กินกันไม่หมด ต้องหอบกลับบ้านกันทุกทีไป ว่าแล้วกินไปก็นึกถึงก๋วยเตี๋ยวแถวบ้านเราเนอะ 25 บาทก็อิ่มแล้ว ว่าตาโอ้ก็รีบบอกเราทันทีว่าเนี่ย มันชอบกินมากเลยอาหารไทยน่ะ วันหลังทำให้กินบ้างนะ หาาาา จะใ้ห้ชั้นทำอาหารให้กินหรอ คิดดีรึยังน่ะที่พูด ฮ่าๆๆ ตั้งแต่เกิดมาเรายังไม่เคยทำอะไรหรูกว่าไข่เจียวเลย แต่ก็ได้นะถ้าอยากกินเดี๋ยวทำให้กิน (ทำเป็นพู๊ดดดดดด)

ไปถึง outlet เดี๊ยนก็รีบพุ่งไปยังร้าน coach ทันทีทันใด โห วันนี้ทำไมคนมันอลังการเยอะแยะมากมายขนาดนี้ไม่รู้ เกิดอะไรขึ้นเนี่ยยยย ด้วยความอยากรู้เลยรีบไปถามพนักงานว่าวันนี้มีอะไรพิเศษรึเปล่า เจ้แกตอบกลับมาว่า วันนี้ลดเพิ่มอีก 20% จากป้ายทุกชิ้น กริ้ด มาได้จังหวะพอดีเรา สรุปว่าวันนั้นรูดการ์ดซื้อกระเป๋าไปประมาณสองพันเหรียญ ตอนรูดลืมคูณเป็นไงไทยไปเลย พี่โอ้ของเราช๊อกไปเลยทีเดียว หาาา นี่เธอซื้อกระเป๋าไปสองพันหรอ???!!!!??? แล้วจะขายหมดมั๊ยเนี่ย


เออ จริงด้วย ตอนซื้อลืมคิดไปเลย เออเอาน่า เดี๋ยวลองขายดู อันไหนขายไม่ได้เดี๋ยวเอาไว้ใช้เอง พอเดินออกจาก coach พี่โอ้ก็ส่งถุงเล็กๆ มาให้เราใบนึง แล้วก็บอกว่านี่เห็นว่าน่ารักดีเลยซื้อมาฝาก กรี้ดดดดดดดดด อยากจะกระโดดกอดพี่โอ้ 1 ที แต่หักห้ามใจไว้ได้ทันเลยบอกไปว่า Thank you พร้อมกับยิ้มๆ เดี๋ยวมันรู้หมดว่าเรามีใจ 555

หลังจากกลับมาถึงบ้าน เรื่องของเรากับพี่โอ้ก็รู้กันหมดทั้งคณะเด็กไทยที่ไป work ขอบคุณเพื่อนร่วมห้องมากๆ ที่อุตส่าห์กระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ขนาด CNN ยังเรียกพี่

นี่แก (เสียงเพื่อนตัวแสบลอยมาแต่ไกล) นี่แกไป outlet มาไม่ยอมชวนชั้นบ้างเลยนะ ด้วยความกลัวเพื่อนด่าเลยตอบไปว่า แหมแก ก็ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะไป ตอนแรกกะัไปกินข้่าวเฉยๆ ไง (วันนี้ได้ตกนรกกันมั่ง)


ทุกคนมานั่งคะยั้นคะยอให้เราเล่าเรื่องพี่โอ้ให้ฟัง แต่ด้วยความขี้เกียจเล่า เพราะสถานการณ์ยังไม่มีไรคืบหน้าเท่าไหร่ อีกอย่างเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันเอง ชั้นไม่ใช่คนใจง่ายนะยะ (หรอ???)





Create Date : 02 ตุลาคม 2552
Last Update : 8 ตุลาคม 2552 9:05:23 น. 0 comments
Counter : 207 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

couponcode
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Couponcode Blog
ShoutMix chat widget
Friends' blogs
[Add couponcode's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.