บ้านฝ้ายสีชมพู
 

แล้ววันผ่าตัดก็มาถึง

วันอังคารที่ 25 มกราคม 54
วันนี้ตอน 6 โมงเช้า พยาบาลก็มาสวนลำไส้ และสวนล้างช่องคลอดอีกครั้ง แล้วแจ้งว่าประมาณ 10 โมงจะใส่สายน้ำเกลือ แล้วบอกว่าเข็มใหญ่หน่อย เอ่อ ดูสิ ไม่ต้องบอกคงจะดีกว่าเนอะ หลังจากนั้นก็เอาเสื้อมาให้เปลี่ยนเค้าบอกว่าชุดนี้เป็นชุดสำหรับคนไข้ผ่าตัดเสียดายเนอะไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ดู ตอนที่อยู่รพ.ก็ว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้ดู แต่จิตใจมันไม่ค่อยปกติสุขนักเลยไม่ได้ถ่ายมาเลยเสียดายจัง คือชุดที่ว่าเป็นชุดแซก คอกลมกว้างมีสายผูกที่ไหล่ ทั้งสองข้างไม่มีแขน เหมือนคอกระเช้าแซค อะค่ะ แต่ก็ยังมีชื่อโรงพยาบาลพิมพ์ไว้เป็นช่วงๆตลอดตัวนะ น้องที่ทำงานมาเยี่ยมตอน เก้าโมงกว่า ยังบอกชุดน่ารักจัง จริงๆแล้วเราก็ชอบนะ ใส่สบายดี พอ 10 โมง เค้าก็เข็นอุปกรณ์ให้น้ำเกลือมา เราเห็นแล้วลมจะจับ พยาบาลบอกว่าหาเส้นยาก เราก็รำพึงออกไปให้พยาบาลได้ยินว่าเข็มใหญ่แต่อาจจะเจ็บนิดเดียวใช่ไหมค่ะ เค้าขำใหญ่ แล้วเค้าก็เอาสายยางมารัดแขนแล้วก็ตีเส้นที่ข้อมือให้มันบวม เค้าบอกว่าไม่ต้องกลัวมาเดี่๋ยวเส้นมันหด เราก็พยายามทำใจดีสู้เสือ เอ้ยสู้เข็ม และภาวนาให้เค้าเจาะโดนเส้นไม่ต้องเจาะ 2 รอบ ตอนเจาะเจบบบบบ มากเจาะที่หลังมือด้านซ้าย แต่เราแบ่งความเจ็บปวดมาที่มือด้านขวา ด้วยการบี้มือลูกแทน ได้ผลแฮะ มันช่วยได้นะไม่เชื่อลองดู มันเหมือนการคลายความเครียดอะนะ

หลังจากนั้น เค้าก็แจ้งว่าเปลจะมารับประมาณเที่ยง ตอนนี้ มีพ่อแม่ น้องวิน น้องออม(เพื่อนน้องวิน) มาอยู่คอยให้กำลังใจ เพื่อรอเวลา ตอนนี้จะบอกว่ากลัวก็ไม่ใช่นะความรู้สึกมันเปลี่ยนไป กลายเป็นความว่างๆ ลอยๆ งัยไม่รู้ บางทีก็รู้สึกว่าเหมือนคนที่เค้าจะโดนขึ้นแท่นประหารมันจะเป็นอย่างนี้ละม๊าง คาดเดาไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พอเที่ยงตรงพยาบาลก็เข้ามาแจ้งว่าเปลมารับแล้ว เราเดินไปขึ้นเปลเหมือนตั้งโปรแกรมไว้ ไม่มีความคิดอะไรอยู่ในสมองเลย มองหน้าพ่อ แม่ ลูก ดูทุกคนมีความกังวลใจ ทำตัวไม่ถูก ว่าจะให้ใครอยู่ในห้อง สรุปแล้วก็ให้น้องออมเฝ้าห้อง แล้วน้องวิน พ่อ แม่ก็เดินตามเปลไป ตอนเข้ามาในลิฟ น้องวินยืนอยู่ข้างเปลเราก็เอื้อมมือไปบีบ ไว้มองหน้าเห็นพ่อแม่ เราก็เอื้อมไปจับไว้ทีละคน แล้วน้ำตาเราก็คลอ จนลิฟ มาที่ชั้น 9 มั๊งจำไม่ได้แล้ว หน้าห้องผ่าตัด คนเข็นเปล ก็หยุดแล้วก็บอกว่าให้แม่ลูกสั่งเสียกัน จริงๆ แล้วเค้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก แต่เรารู้ว่าเค้าเป็นคนพูดไม่เป็น เป็นเด็กหนุ่มๆ เปิดเสียงเพลงดังมาตลอดทาง ท่าทางเฮ้วๆ พอเค้าพูดแค่นั้นเราก็ร้องไห้เลย น้องวินบอกว่าไม่เป็นอะไรหรอก แล้วเค้าก็เข็นเราเข้ามาในห้อง ระหว่างทางก็ปลอบใจเราว่าไม่เป็นอะไรหรอก แม่เค้าซิยังแย่กว่า ตอนนี้อยู่ในห้อง ไอซียู น้ำท่วมปอด เราก็เลยปาดน้ำตา พอถึงด้านใน เค้าให้เราเปลี่ยนเป็นอีกเปลนึง เราก็เลยขอบคุณเค้าแล้วบอกว่าขอให้แม่เค้าหายเร็วๆ นะ เค้าบอกพยาบาลว่าขอสารภาพผิดกับพยาบาลว่ามะกี้ให้แม่ลูกเค้าอำลากันเลยเป็นอย่างนี้ แล้วเค้าก็เข็นเตียงมาหยุดรอหน้าห้องอีกห้อง ห้องนี้มีเตียงอยู่ตรงข้ามเป็นผู้ชายอีกคนคงรอผ่าเหมือนกัน แล้วเค้าก็เอาหมวกสีเขียวอ่อน เหมือนหมวกอาบน้ำที่เป็นผ้ามาใส่หัวไว้ซัก 3 นาที เค้าก็มาเข็นเข้าห้องผ่าตัด แล้วให้เราเปลี่ยนมาขึ้นเตียงผ่า ซึ่งมีไฟดวงเบ้อเริ่มเหมือนที่เคยเห็นในโทรทัศน์น่ะ อยู่ด้านบนตั้งหลายดวงแนะ มีเจ้าหน้าทีอยู่ ทั้งหมด 4 คนแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยให้เราอ้าแขนออกว่าบนแท่นเหมือนยืนกางแขนน่ะ แต่เป็นท่านอน แล้วเค้าก็เอาผ้าแผ่นโตๆ มาใส่ใต้แขนแล้วรวบมัดเอาไว้ทั้งสองข้าง อีกคนก็เอาผ้ามาพันผมเอาไว้หมดเหลือแต่หน้า แล้วเค้าก็คุยกันว่าหมอนิสาไปทานข้าว ให้วางยาได้เลย เดี๋ยวมาจะได้ผ่าเลย แล้วเค้าก็เอาหน้ากากมาครอบจมูกไว้ บอกว่าเป็นอ๊อกซิเจน มันเป็นควันๆขาวๆ ไม่มีกลิ่นอะไร เลยแต่เราก็เต็มใจสูดเข้าไปนะ เพราะนึกว่าเป็นอ๊อกซิเจนจริงๆ จำได้ว่าสูดไป 3 เฮือก ก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว เหมือนนอนหลับไปจริงๆ นะแหละ

มาตื่นอีกที ก็ตอนที่ได้ยินเค้าเรียกคุณนวพร เสร็จแล้วนะคะ ขยับขาซิคะ เราก็ทำแต่โดยดี แต่พยายามลืมตาก็ลืมไม่ขึ้น ลืมมาได้หน่อยมองไปข้างๆ เตียง เห็นผู้ชายอีกคนนอนอยู่ เห็นว่าเค้าพยายามมองหน้าเรา เหมือนสงสัยว่าเราจะฟื้นไม่ฟื้น จริงแล้วตอนนั้น น้องวิน ก็อยู่ข้างเตียงนะเพราะลูกบอกว่าเราขยับขาตามที่เค้าบอกให้ทำแต่เราไม่เห็นเค้า เห็นแค่นั้นเราก็เปิดลูกกะตาไม่ขึ้นอีกแล้วมันสะลืมสะลือ ได้ยินว่าเค้าบอกให้เข็นกลับห้องได้ พอขึ้นมาที่เตียงเค้าก็รวบผ้าที่เรานอนทับแล้วย้ายมานอนบนเตียงเดิม พยายามลืมตา ก็เห็นน้องวินคนแรก แล้วก็แม่กะพ่อ ยังไม่รู้สึกปวดแผลหรอกนะ แต่ก็หลับๆ ตื่นๆ เบลอๆ อ่ะ หลังจากนี้พยาบาล ก็เข้ามาวัดความดัน บ่อยมาก ทุกสองชั่วโมงมั๊ง จำไม่ค่อยได้แล้ว วันนี้พี่ต๋อยก็มาเยี่ยมด้วย เรารู้สึกว่าเจ็บคอ แล้วเสียงก็แหบๆ คงเพราะเค้าใส่ท่อหายใจเข้าไปในคอตอนผ่าตัดนะแหละ แล้วก็โชคดีด้วยที่การผ่าตัดครั้งนี้ไม่ต้องให้เลือด เพราะน้องวินไม่ทันบริจาคเลือดให้มันกะทันหักน่ะ พอ ประมาณ 6 โมงเย็นพยาบาลก็เข้ามาเช็ดตัว ตอนนี้ใครจะทำอะไรก็ทำไปเหอะ ขอนอนนิ่งๆ อย่างเดียวไม่อายไม่เอยแล้ว อ้อ ตอนออกจากห้องผ่าตัดเรารู้สึกว่าปวดฉี่มากแต่นอนอยู่ไม่กล้าฉี่ บอกพยาบาลเค้าก็บอกฉี่ได้เลยค่ะใส่สายฉี่แล้ว แต่เราก็ยังไม่กล้าฉี่อยู่ดี เราก็กลั่นๆ แล้วมันก็ค่อยๆ หายปวดไปเอง พอหลังๆ มันก็ไม่รู้สึกปวดฉี่แล้วมันออกไปทางสายเองโดยอัตโนมัติอ่ะ พอพยาบาลเช็ดตัวเสร็จ เค้าก็บอกว่าพรุ่งนี้อาบน้ำได้แล้วนะ หมอปิดพลาสเตอร์กันน้ำไว้ เราก็นึกในใจไม่กล้าอาบอ่ะกลัวน้ำเข้าแผล แล้วเค้าก็ห้ามทานอาหารและน้ำทั้งคืน และให้น้ำเกลือขวดที่ 2 ต่อ ช่วงคืนนี้พยาบาลเข้ามาวัดไข้และความดันถี่มากทั้งคืนเลยอ่ะ เดี๋ยวตื่น เดี๋ยวตื่น แต่ก็ไม่ต้องทำอะไรนะแค่นอนเฉยๆ วัดไข้สมัยนี้ก็ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องอมปรอทแล้ว เค้าใช้เครื่องที่มีแสงสีแดงๆ ยิงไปที่ข้างคอเท่านั้นแหละสะดวกดี แล้ววันที่กลัวสุด สุดในชีวิตก็ผ่านไปค่ะ




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2554 15:12:28 น.
Counter : 499 Pageviews.  

เข้ารพ.แล้ว

วันที่ 24 ม.ค.54
วันนี้เรามาพบคุณหมอนิสา โดยมาพร้อมกับพี่ต๋อยและน้องวิน ตอนแรกพี่สาวบอกว่าจะไม่มาด้วย เรารู้สึกไม่ค่อยดีเลย แต่แล้วเค้าก็มาได้ วันนี้อุ่นใจนะไม่เดียวดาย พี่ต๋อยเข้ามานั่งรอคิวด้านในด้วยรอตั้งแต่ 8 โมง กว่าจะได้พบหมอก็ อีก 10 นาทีเที่ยง พยาบาลบอกว่าหมอมีคิวตั้ง 150 คน พอเราได้พบหมอบอกว่าคิวหมอที่จะผ่าได้ตั้ง เดือน มีนาคม ตายละหว่าแล้วไอ้เนื้องอกนั้นมันจะพ่นพิษอะไรใส่เราอีก ตั้ง 2 เดือน พี่สาวเราก็ขอหมอขอคิวที่เร็วกว่านี้ ขอไปขอมา หมอบอกว่าพรุ่งนี้เลยมั๊ย ไม่นึกว่ามันจะจริงนะเนี่ย หมอบอกว่าวันนี้เข้านอนรพ.เลย ตายล่ะหว่าเรายังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย สมองเราก็เริ่มสั่งการเลย วันนี้ให้น้องวินไปเตรียมเสื้อผ้า และจัดการเรื่องน้องก่อน แล้วขอให้แม่มานอนเป็นเพื่อนคืนนึง แล้วเราก็ไปทานข้าวกลางวัน กับพี่ต๋อยและวิน เสร็จแล้วก็เข้าห้องพัก เป็นห้องพิเศษขนาดใหญ่ ที่่ต้องจ่ายส่วนเกิน อีกวัน 725 บาท พอนั่งได้สักพักพยาบาลก็เอาเสื้อรพ.มาให้เปลี่ยน เป็นชุดเสื้อกับผ้าถุง สักพักแม่กับพ่อก็มา มีหมอประจำบ้านมาซักประวัติ ตอนแรกเราก็นึกว่าจะผ่าวันพุธ ฟังหมอตอนแรกแล้วสับสน ปรากฏว่าผ่าพรุ่งนี่้เลย หมอบอกว่าให้ทานอาหารได้ตามปกติ แต่ตอนเที่ยงคืน แล้วไม่ให้ทานอะไร แล้วจะสวนลำไส้ โกนขนหนาท้อง กับล้างช่องคลอด หนแรก และอีกคนตอน 6 โมงเช้า แม่บอกว่าจะนอนเป็นเพื่อนทุกวัน แต่เราสงสารแม่ บอกไม่ต้องเพราะตั้งแต่พรุ่งนี้น้องวินว่างแล้วมานอนได้ทุกวัน เรานอนหลับไม่เป็นสุขนักหรอกกลัวมาก เพราะเราไม่เคยผ่าตัดอะไรเลย อีกอย่างเราขี้ป๊อดจะตาย แค่ฉีดยายังไม่เอาเลย




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2554 13:46:20 น.
Counter : 311 Pageviews.  

หาข้อมูลโรงพยาบาล

เราเริ่มหาข้อมูลโรงพยาบาล ที่ชำนาญเรื่องการผ่าตัดโดยต้องดูจากปัจจัยหลายอย่างเช่นหมอมีชื่อเสียง โรงพยาบาลไม่ไกลบ้านเรา บ้านพ่อแม่และพี่สาว เพราะอยากเห็นหน้าพ่อแม่ ลูกทุกวัน เราก็เริ่มจากถามคนรู้จัก และเปิดเวบหาข้อมูล ได้ รพ.มา 4 ที่ คือ ศิริราช จุฬา ราชวิถีและรามา ข้อมูลการตัดสินใจมาจากเวบบอร์ดที่คุยกันในเวบอย่างเดียวค่ะ เราตัดศิริราช ออกอันดับแรกเพราะไกลจัง ส่วนรามา ก็ไม่ค่อยเห็นคนโพสในเวบเท่าไร จึงเหลือ 2 ที่คือ จุฬากับราชวิถี ในเวบพูดถึงหมอที่จุฬามาก แต่เราก็ว่ามันยังไกล แล้วก็ยังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย เลยสรุปด้วยตัวเองว่าจะผ่าที่ราชวิถีที่ล่ะ เพราะแม่บอกว่าแม่ก็ผ่าที่นี่ อย่างน้อยก็อุ่นใจ ที่แม่เข้ามาที่นี่แล้ว จากนั้นเราก็เริ่มเคลียร์วันลา

วันอังคารที่ 11 มกราคม 54
7.00 น. เราเอารถไปจอดที่ ที่จอดรถไฟฟ้าหมอชิต แล้วนั่งรถไฟฟ้าไป เพราะไม่แน่ใจเรื่องที่จอดรถทำบัตรที่รพ.แต่เช้า และก็ทำบัดรเบิกตรงตอนเช้าเลย อ้อ เราโทรหาพ่อกะแม่ ว่าให้ช่วยมาแสกนนิ้วให้เราหน่อย พ่อกับแม่ก็รีบมาเลยระหว่างรอพ่อเราก็เข้าไปนั่งรอคิว เข้าตรวจ ด้านใน พอแม่มาแม่ก็เข้าไปหาเราในห้องรอตรวจ เราเลยขอเค้าออกมาพาพ่อไปสแกนนิ้วก่อน เสร็จแล้วเราก็บอกให้พ่อกับแม่กลับ เพราะไม่อยากให้เค้าลำบาก เค้าแก่มากแล้ว แม่ก็ไม่ยอมกลับบอกจะนั่งรอ เราได้ตรวจประมาณ 11 โมง โดยหมอที่ตรวจเป็นหมอเด็กๆ ผู้หญิง เค้า sound ใหม่ โดย sound 2 ที่ ที่หน้าท้องและปากช่องคลอด แล้วหมอก็บอกว่า ก้อนใหญ่ด้านหน้าสีเหมือนเนื้องอก แต่ก้อนด้านหลังสีไม่เหมือน แล้วก็ให้เราไปพบอาจารย์หมอ ซึ่งหมอบอกว่าต้องผ่าตัด พอออกมาเราก็ถามหมอเด็กว่าจะเป็น CA หรือไม่หมอบอกว่าบอกไม่ได้ต้องผ่าตัดก่อนแล้วเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ทำให้เรารู้สึกแย่จัง หมอบอกว่าช่วงนี้ต้องนัดถี่หน่อย แล้วสั่งเจาะเลือดใหม่หมดรวมทั้งตรวจเชื้อ CA ในกระแสเลือดด้วย ซึ่งเราจะมาฟังผลพร้อมกันวันที่ 20 และพยาบาลให้ไปขอคิวห้องอัลตร้าซาวด์ห้องใหญ่เพื่อตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง เราออกมาด้านนอกแม่กะพ่อก็ยังรออยู่ เราก็เลยบอกว่าให้กลับไปก่อน เพราะเราคงอีกนานกว่าจะเสร็จ ใจคอก็ไม่ค่อยดีอยากร้องไห้ แล้วเราก็ลาพ่อกะแม่ เพื่อไปเจาะเลือดและขอคิวซาวด์ กว่าจะเสร็จเรื่องเจาะเลือดก็เที่ยงกว่า ไปห้องซาวด์ประมาณ 12.20 น. นึกในใจโชคดีจังเจ้าหน้าที่ยังอยู่ เค้าให้คิวมาวันที่ 1 ก.พ. พอกลับมาที่ห้องสูติ พยาบาลบอกว่าทำไม่ช้าจังให้ไปขอคิวใหม่ ให้เร็วกว่านี้ พอกลับไปอีกทีเจ้าหน้าที่ไม่อยู่แล้ว เราคิดในใจ เค้าคงมาหลังบ่ายโมงครึ่งแน่ แล้วก็จริง เรานั่งรอหน้าห้องเพื่อรอเค้าใจก็ไม่ค่อยดี ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เพราะกินไม่ลงอะซิ จนบ่ายโมง 40 เค้าก็มา เราได้คิวใหม่เป็นวันที่ 20 ม.ค.ค่ะ พี่สาวเราติดต่อคนรู้จักที่รพ.เค้าบอกว่าหมอนิสา เป็นหมอที่เก่ง เราก็เลยปักใจว่าต้องเป็นหมอคนนี้แหละที่เราจะขอให้ผ่าตัดให้ แต่คุณหมอก็ลงตรวจเฉพาะวันจันทร์ ซึ่งหลังจากคิวซาวด์ ก็คือวันที่ 24 ม.ค.ที่เราต้องมาพบหมอ ขากลับเราเดินลงจากบันไดรถไฟฟ้า เหม่อๆงัยไม่รู้พลาดเกือบตกบันได ดีที่เราคว้าตัวผู้หญิงที่เดิินใกล้ๆ ไว้ ดีว่าเค้าก็คว้าราวบันไดไว้ทันด้วย เลยไม่ตก เรารีบขอโทษเค้าใหญ่เลย ที่เกือบทำให้เค้าตกบันไดด้วย เค้าก็ดีนะ บอกว่าไม่เป็นรัย เซงเรยเรา

20 ม.ค. 54 เรามาโรงพยาบาลคนเดียวอีก (ตามเคย) เพราะวันนี้น้องวินลูกชายคนโต ไปเข้าค่ายรด. เราก็มาด้วยใจเหี่ยวๆ กลัวผ่าตัดก็กลัว กลัวเป็นโรคร้ายก็กลัว มานั่งรอคิวซาวด์ ตั้งแต่ 8 โมง ได้ตรวจก็ 10 โมง เราพยายามถามหมอว่าใช่เนื้อร้าย หรือไม่หมอบอกว่าไม่น่าจะใช่แต่ยังไงก็ต้องรอผลตรวจหลังผ่าตัด อีกครั้ง หลังจากนั้นเราก็เอาผล sound มาพบหมอ จริงๆ ไม่ต้องพบก็ได้รอพบหมอนิสาวันที่ 24 เลยก็ได้ แต่เราอยากรู้ผลเลือด ว่าเชื้อ CA มันขึ้นไม๊ ผลออกมาทำให้ไม่สบายใจนัก เกณฑ์ปกติอยู่ที่ 0-35 แต่ของเรา 39 แต่หมอก็บอกว่าไม่ใช่เสมอไปอาจเป็นช่วงที่ใกล้มีประจำเดือน ไม่ต้องกังวล แล้วหมอก็ให้เจาะเลือดเพิ่มอีก แล้วก็เขียนใบนัดหมอนิสาให้ ขากลับวันนี้ก็เบลอๆ อีกแต่ไม่ตกบันใจรถไฟฟ้าแล้ว เพราะเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้ารัดส้นเพื่อความปลอดภัย แต่ก็ยังเบลอๆ ลอยๆ เหมือนเดิมเพราะกังวลกับผลเลือด แล้ววันนี้ก็มีเหตุเกิดอีก....เราขับรถกลับบ้านผ่านจตุจักร แทนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าวิภาวดีกลับบ้าน ไม่รู้ยังงัยเข้าเลนผิดมาติดไฟแดงตรงเลนซ้ายสุด ซึ่งพอไฟเขียวต้องขึ้นสะพานไปทางลาดพร้าว แต่เราก็ไม่รู้พอไฟเขียวก็ตรงมาทางเซ็นทรัลเลย คุณตำรวจก็ออกมายืนโบกรถหรา เลย แล้วทักทายว่าสวัสดีคร๊าบคุณผู้หญิง สน.วิภาวดีคร๊าบ ขับรถผิดเลนขอดูใบขับขี่ ด้วยสัญชาตญาณ หายเบลอเป็นปลิดทิ้ง รีบบอกว่าอย่าจับเลยนะคะเพิ่งกลับจากรพ. จะผ่าตัดอาทิตย์หน้าแล้วยื่นแขนข้างที่แปะสำลีให้ดูู คุณตำรวจก็ถามว่าเป็นอะไร พอเราบอกว่าเป็นเนื้องอกในมดลูก เค้าก็บอกว่าเข้าไปกลับรถตรงช่องว่างข้างในแล้วไปได้ เรารีบขอบคุณแล้วรีบไปเลยกลัวว่าคุณตำรวจจะเปลี่ยนใจ เฮ้อ ในภาวะวิกฤติ ก็มีโอกาสอยู่ลางๆ เหมือนกันนะ




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2554 20:04:56 น.
Counter : 1689 Pageviews.  

เมื่อสัญญานเตือนภัยมาถึง

จริง จริงแล้ว เป็นคนขี้เกียจเขียนบล๊อค มาเลย แต่หลังจากนั่ง นั่ง นอน นอน พักฟื้นอยู่บ้าน ก็เลยอยากเล่าประสบการณ์ให้คนอื่นฟังมาก เพราะตอนที่ตัวเองจะผ่าตัด ได้ search หาข้อมูล ไม่ค่อยพบคนเล่าประสบการณ์แบบนี้เลย พอถึงคิวตัวเองบ้าง ก็เลยอยากแบ่งปันอะค่ะ คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่พบปัญหาการเป็นเนื้องอกและชอคโกแลตซีสในมดลูกบ้างนะคะ

เริ่มจากเป็นคนที่ไม่เคยปวดท้องเมื่อประจำเดือนมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นคนที่ แปลกกว่าคนอื่นคือ 2 - 3 เดือน มาครั้งนึง ก็รู้สืกชอบดี สบายตัว ไม่ทุขร้อนอะไร จนมาเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว มันก็เริ่มมาเป็นปกติ ทุกเดือน พร้อมกับมีอาการปวดท้องในวันที่มามาก(วันที่2) บางเดือนปวดจนต้องนอนตัวงอ ร้องโอย โอย ก็ได้แต่สงสัย แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นอาการของเนื้องอกในมดลูก ความสงสัยของเราก็ได้ถ่ายทอดให้หมอฟังทุกปีที่ไปตรวจสุขภาพประจำปี หมอก้อฟังจัดการตรวจภายในและก็ตรวจมะเร็งปากมดลูก แล้วก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เราก็เชื่อหมอนึกว่าไม่มีอะไร
จนวันนึงเมื่อ ปี 52 คิดได้ว่าทำไมเราไม่ลอง ultra sound ดูล่ะ อยากรู้เหมือนกันว่าในมดลูกมีอะไรแปลกประหลาดรึปล่าว ก็เลยบอกพี่สาวว่าขอลองไป sound ที่โรงพยาบาลที่พี่สาว ทำงานเค้าเป็นรองผอ.ฝ่ายบริหารอยู่ที่โรงพยาบาลโรคทรวงอกอะค่ะ แต่โรงพยาบาลนี้ไม่ได้รักษาโรคเฉพาะทางสูติอะค่ะ หมอ sound ก็บอกว่าเห็นเหมือนเป็นซีส แต่ก็ไม่บอกขนาด เพราะไม่แน่ใจ ให้เราไปพบหมอสูติอีก หลังจากวันนั้น ก็ไม่รู้ทำไม เราถึงไม่ค่อยกังวลกับมันเท่าไร อีกอย่างชีวิตประจำวันก็ช่างยุ่งยากวุ่นวาย งานที่ทำงานก็เยอะ จนลืมกับมันไป จนครบปี และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 53 พี่ต้อย เพื่อนเก่าที่ทำงานที่แกเกษียณราชการ ก็โทรมาชวนไปตรวจสุขภาพกัน เอ้าไปก็ไปเป็นเพื่อนกัน ตอนแรกเราก็บอกพี่ต้อยว่าเราจะตรวจเลือดอย่างเดียวนะ เพราะปจด.เพิ่งหมดไปวันเดี่ยวเอง อายหมอ แต่พี่ต้อยก็คะยั๊น คะยอ ให้เราตรวจเหอะ แถมพยาบาลยังบอกว่าตรวจได้ตรวจเลย เราก็เลยตรวจก็ตรวจ
พอเข้าไป หมอก็ทำแป๊บสเมียร์ แล้วก็ตรวจภายในเหมือนเคย หมอก็บอกว่ามดลูกปกติ คลำแล้วไม่เจออะไร เราก็เลยบอกว่าปีที่แล้วเราไปตรวจที่รพ.ทรวงอก หมอบอกว่าพบก้อนเนื้อ หมอก็เลยให้เรานัด ultra sound ได้คิววันที่ 29 ธันวาคม
วันที่ 29 เรามา sound ตามนัด หมอให้เราอั้นฉี่ให้้มากที่สุด ห้ามเข้าห้องน้ำเพื่อจะเห็นชัด พอเข้าห้องตรวจหมอจิ้มเครื่องไปที่ท้องก็ป๊ะ หน้ากับเจ้าก้อนเนื้อนี้เลย หมอบอกว่าขนาด 9 ซ.ม. 2 ก้อน และยังมีก้อนเล็กๆ อีกเต็มไปหมดในภายมดลูก เราถามว่าจะเป็น CA หมอก็บอกว่าต้องให้ไปพบหมอสูติ ซึ่งเราได้วันนัดพบหมอสู วันที่ 7 มกราคม 54 ซึ่งตั้งแต่วันนี้ เราก็เริ่มกังวลใจแล้ว เวลาที่ทำงานถามว่าไปตรวจมาเป็นอย่างไร ก็มีแต่ก้อนตื้อๆ อยู่ในลำคอ แต่ก็ทำใจว่าคงต้องผ่าและตัดมันทิ้ง เพราะทั้งแม่และพี่สาว ก็ตัดทิ้งไปหมดแล้ว ทั้ง 2 คน มันคงเป็นโรคกรรมพันธุ์ด้วยล่ะ
วันที่ 7 ม.ค.54 เราก็มารอพบหมอ ก็พบกับอาจารย์หมอ ซึ่งบอกว่าก้อนเนื้องอก มี 2 ก้อน ก้อนแรกไม่สงสัย แต่กังวลอีกก้อนหนึ่งมากกว่าซึ่งหมอบอกว่าวิธีรักษา มี 2 วิธี คือผ่าตัด กับ รักษาด้วยการให้ฮอร์โมน แต่หมอบอกว่าถ้าจะผ่าที่ รพ.บำราศฯ หมอไปศึกษาต่อไม่สามารถผ่าตัดได้ ขณะนั้นเราก็ตัดสินใจว่าต้องผ่าเพราะก้อนมันใหญ่มากจนเราคิดว่าฮอร์โมนมันคงไม่ทำให้ขนาดเล็กลงได้ อีกอย่างหมอก็ทำท่าสงสัยกับก้อนที่ 2 ซึ่งหมอก็แนะนำให้เราไปผ่าตัดตาม รพ.ใหญ่ ที่มีหมอและเครื่องมือพร้อม แล้วฉันจะไปรพ.ไหนดีล่ะ





 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2554 12:43:16 น.
Counter : 393 Pageviews.  

 
 

cottonpink
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add cottonpink's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com