.
Group Blog
 
All blogs
 
[A Chance for Changing]หมวดที่01:หัวใจวาย





ในห้องนี้มีกลิ่นอายของแม่ลอยละล่องไปทั่ว.....



เท วารู้สึกเช่นนั้นขณะที่นั่งเหม่อมองผนังห้องสีฟ้าอ่อนมาได้ราวสิบนาทีกว่า แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าบรรยากาศมืดมนภายนอกบ้านเนื่องจากพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า ทำให้จิตใจเขารู้สึกหมองหม่นจนไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเพิ่งจะผ่านงานศพของแม่เขามาได้เพียงอาทิตย์เดียว ความโศกเศร้าจึงยังคงอยู่ในใจของเขาก็เป็นได้



แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด....เทวาก็ยังคงเศร้าใจอยู่ดี



เขารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ราวกับว่าโลกนี้กำลังจะล่มสลายลงต่อหน้าต่อตาเลยทีเดียว



เทวาเป็นเด็กหนุ่มอายุ16ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4ของโรงเรียนมัธยมเอกชนแห่งหนึ่ง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาไม่ถึงกับหล่อ แต่ก็ไม่ใช่ขี้เหร่ เรียกว่าหน้าตาพื้นๆน่าจะเหมาะกว่า



เท วามีรูปร่างผอม และก็ไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเตี้ย ในสายตาของเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่จะมองว่าเขาก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ไม่มีเสน่ห์อะไรโดดเด่นพอจะเป็นจุดสนใจ แต่นั่นก็เป็นแค่การตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น จริงๆแล้วสิ่งที่เป็นจุดเด่นสำคัญของเทวาก็คือนิสัยส่วนตัวของเขาเองมากกว่า



ปกติ แล้วเทวาจะเป็นคนเงียบขรึม เขาจะไม่คุยกับคนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตามาก่อนอย่างสนิทสนม แต่จะเว้นระยะห่างเอาไว้พอสมควร แต่ถ้าสนิทสนมกันเมื่อไหร่เขาจะกลายเป็นคนพูดมาก มีอารมณ์ขัน เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมชั้น ทว่าเวลาเขาเครียดหรือเอาจริงเอาจังละก็เขาจะไม่พูดกับใครเลย ทำให้เขากลายเป็นพวกที่ชอบ “เก็บความเครียดมานั่งกลุ้มคนเดียวโดยไม่ปรึกษาใคร” ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้กลับทำให้เพื่อนๆพากันเอาใจใส่เขามากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก



การ ที่เทวากลายเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมชั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าความจริง ใจของเขา และการที่เขายอมช่วยเหลือเพื่อนเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งเขายังเป็นพวกที่ชอบทำเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำเพื่อเรียกเสียง หัวเราะให้ทุกคน ซึ่งคนประเภทนี้ไม่ได้มีเยอะนัก บางคนเป็นพวกที่ชอบรักษาหน้าตัวเองจนไม่ยอมทำให้ตัวเองขายหน้าด้วยซ้ำ



แต่ เทวาไม่ใช่คนแบบนั้น.... เขาไม่ซีเรียสกับการรักษาหน้าตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากต้องอยู่ท่ามกลางสาธารณชนจำนวนมากนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง….เขาเองก็รู้จักอายคนเป็นเหมือนกัน



อย่าง ไรก็ตาม....ตอนนี้เทวาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะทำให้คนอื่นหัวเราะได้ เขากำลังโศกเศร้ากับการที่แม่ต้องมาด่วนจากไปอย่างกะทันหัน และเขากำลังหวาดกลัว....กลัวการที่จะต้องอยู่คนเดียวในอพาร์ตเมนท์นี้....



พ่อ ของเขาทำงานที่ต่างประเทศหลายปีมาแล้ว....และเขาก็ต้องอาศัยอยู่กับแม่กัน เพียงลำพังสองคนในอพาร์ตเมนท์นี้ คอยประคับประคองกันและกันมาตลอด โดยอาศัยเงินที่พ่อส่งมาให้เป็นระยะๆ



ทันทีที่แม่ของเขาจากไป เทวาก็รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาอย่างรุนแรง



ต่อจากนี้ไป จะไม่มีแม่อีกแล้ว..........



แม่ ที่เคยสนิทสนมกับเขาราวกับเป็นพี่น้องกัน แม่ที่ใจดีและมีอารมณ์ขัน แม้เขาจะกลับบ้านและทักทายแม่ด้วยคำพูดที่เป็นกันเองแต่แม่ก็ไม่เคยปริปาก บ่นแต่อย่างใด แม่ที่เข้าใจจิตใจเขาได้ดี คอยให้คำแนะนำและปลอบโยนเขาในช่วงที่เขาเศร้าใจ แม่ที่คอยทำอาหารให้เขายามที่เขาอ่านหนังสือจนดึกดื่นและรอเข้านอนพร้อมกับ เขาทุกคืน.....



ต่อจากนี้....เทวาจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าแม่คนนี้อีกแล้ว....



เพียง แค่คิดมาถึงตรงนี้ เทวาก็ปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลลงมาอาบแก้มอย่างไม่คิดจะอดกลั้น เขาร้องไห้โหยหวนเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งบ้าน แต่เขาก็ไม่ใส่ใจอะไรแล้ว



เขาอยากจะร้องไห้....ร้องไห้จนกว่าความเศร้าหมองจะหมดไป



ทำไมกันนะ? ทำไมแม่ของเขาต้องมาตายด้วย!?



เทวาพยายามหาคำตอบเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่พอใจกับคำตอบที่ตัวเองได้รับสักครั้ง



หัวใจวาย......



อะไรกัน ยุคสมัยนี้ยังมีคนที่หัวใจวายตายอยู่อีกหรือไง?



เท วานึกไม่ออกว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้หัวใจวาย.....เพราะแม่ไม่เคยมีประวัติการ รักษาว่าเคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน ....ที่พอจะเป็นเบาะแสได้ก็มีแค่การที่แม่ดูเหมือนจะมีเรื่องกลุ้มใจตั้งแต่ สองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ก็เท่านั้น.... แต่ไม่ว่าใครก็มีเรื่องกลุ้มใจกันทั้งนั้น แม่เองก็ไม่ได้ทำงานหนักถึงขนาดนั้น แม่กลับมาถึงอพาร์ตเมนท์ก่อนที่เขาจะกลับมาจากโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ



ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ทุกอย่างก็ดูไม่สมเหตุสมผลไปเสียทุกอย่าง......



หรือ ว่าแม่จะมีเรื่องที่กลุ้มใจมากจึงไม่ได้มาปรึกษาเขา .....ไม่หรอก..... ไม่มีทางเป็นไปได้..... เพราะว่าแม่ของเขามักจะบอกเขาอยู่เสมอว่า การเก็บเรื่องมากลุ้มใจคนเดียวแบบที่เขาชอบทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี



ทั้งๆที่แม่ของเขาพร่ำเตือนเขาอยู่เสมอมาเช่นนั้น เทวาจึงคิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้



แต่ว่าใครจะไปรู้.... จิตใจของคนเราใช่ว่าจะเข้าใจง่ายเสียเมื่อไหร่



เท วาคิดหาเหตุผลมาอธิบายการด่วนจากไปอย่างกะทันหันของแม่เขาไม่ได้เลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดแบบแปลกๆในอกอย่างอธิบายไม่ได้ในเวลา เดียวกัน....



ยิ่ง วันคืนผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ ความจริงที่ว่าต่อจากนี้ไปเขาจะต้องอยู่ตามลำพังก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกที บรรยากาศภายในห้องจึงรู้สึกหนาวเหน็บและอ้างว้างมากขึ้นไปอีก



ถ้า เป็นไปได้ เทวาก็อยากให้แม่ของเขากลับมาจากความตาย กลับมาชี้แจงให้เขาเข้าใจว่าทำไมถึงได้ด่วนจากไป มีเรื่องกลุ้มใจอะไรรึเปล่า ทำไมถึงไม่มาเปิดใจคุยกับเขา แต่แน่ละว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้



ก่อน ตาย แม่เองก็ไม่ได้สั่งเสียอะไรกับเขาเลยด้วย เขาก็เลยไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้ว แม่ของเขารู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าตัวเองกำลังจะตายหรือว่าความตายมาเยือนแม่ กะทันหันโดยที่ท่านไม่รู้ตัวกันแน่



………….



…………………



เอ๊ะ! ...เดี๋ยวก่อนสิ!!



เท วาปรับเปลี่ยนท่านั่งของตัวเองหลังจากนั่งท่าเดิมมาตลอด20นาทีที่ผ่านมา เป็นเพราะว่าความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในใจเขาทำให้เขาหลุดจากภวังค์ความคิด ที่เต็มไปด้วยความเศร้าสลดหม่นหมอง



ถ้าจำไม่ผิด.....รู้สึกว่า.....แม่ของเขาจะเคยพูดถึง “กุญแจ” นี่นา



เด็กหนุ่มเริ่มพยายามรื้อฟื้นความทรงจำที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสมอง



เท วาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยนับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่แม่พูดเมื่อหลายอาทิตย์ ก่อน เพราะเขาไม่นึกว่ามันจะเชื่อมโยงกับการที่แม่ของเขาต้องมาด่วนจากไปแบบนี้ อันที่จริงเรื่องที่ว่านี้ก็อาจจะไม่ได้เชื่อมโยงกับกาตายของแม่เขาก็เป็น ได้ แต่ตอนนี้เทวาพยายามอย่างที่สุดที่จะเอาเรื่องเล็กน้อยที่ตนคิดได้มาเชื่อม โยงให้เข้ากับการตายของแม่ของเขา ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสบายใจว่า การตายของแม่มีเหตุผลรองรับ ดีกว่ามานั่งกลุ้มใจและสับสนอยู่อย่างนี้



“กุญแจ” ใช่แล้ว.... แม่เคยพูดในทำนองสั่งเสียกับเขาเมื่อนานมาแล้วนี่นา



ตอน นั้นยังไม่มีลางบอกเหตุใดๆถึงการตายของแม่ให้เขารับรู้ได้เลย หากเขาจะรู้สึกแปลกๆหรือติดใจสงสัยก็แค่คำพูดของแม่เขาที่ดูเหมือนกับเป็น การสั่งเสีย และอารมณ์เศร้าหมองที่ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวของแม่ตอนนั้นทำให้เขารู้สึก เศร้าสลดตามไปด้วย มันเป็นบรรยากาศที่อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ทันทีที่เขากับแม่พูดคุยกันจบ บรรยากาศที่ว่าก็พลันหายไปและความอบอุ่นก็เคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ ราวกับท้องฟ้าสดใสหลังจากที่พายุฝนได้ผ่านพ้นไป



ตอนนั้น แม่ของเขาพูดถึง “กุญแจ” เอาไว้



……………………………….



ถ้า หากว่าแม่......คือว่านะ.......ถ้าหากว่าแม่ไม่อยู่.......ในสถานการณ์ที่ คับขัน.........แม่อยากจะให้ลูกรับช่วงต่อกุญแจสีทองจากแม่ด้วย.....สัญญา กับแม่นะจ๊ะ......ได้มั้ยจ๊ะ.........เทวา?



……………………………….



กุญแจ?



วัน ที่แม่พูดเรื่องนี้ เป็นตอนที่แม่เริ่มจะแสดงอาการกลุ้มใจให้เห็น เพียงแต่ว่าช่วงเวลานั้นเทวากำลังเครียดกับเรื่องรายงานที่กองสุมหัวจากทาง โรงเรียน เขาจึงไม่ได้คิดอะไรถี่ถ้วนหรือแม้แต่จะนึกสงสัยอะไรอีก



พอมาลองคิดดูอีกที คำพูดของแม่ตอนนั้นก็มีอะไรที่ผิดสังเกตอยู่เหมือนกัน



ในสถานการณ์ที่คับขัน ให้เขารับช่วงต่อกุญแจสีทองอย่างนั้นหรือ? .......นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?



.....................................................



“แล้ว.....ทำไมอยู่ดีๆแม่ถึงพูดเรื่องนี้กับผมล่ะครับ?”



“สัญญากับแม่มาก่อนสิ เทวา.....”



.....................................................



ตอนนั้น ถ้าเทวาจำไม่ผิดละก็ เขาได้สัญญากับแม่ไปเรียบร้อยแล้ว



ว่าแต่.....แล้วแม่พูดว่าอะไรต่อนะ ท่านสั่งเสียอะไรต่ออีกรึเปล่า?



เท วาพยายามค้นหาความทรงจำที่สูญหายไปในส่วนลึกของสมองอย่างยากลำบาก คลับคล้ายคลับคล้ายว่าจะจำได้แต่ภาพที่เห็นในความทรงจำก็กลับเลือนรางราวกับ มีม่านหมอกปกคลุม



คิดให้ออกสิ..... ตอนนั้นแม่พูดว่าอะไรอีก?



เทวานิ่งอยู่ในท่าเดิมอีกสักพักก่อนที่จะเบิกตาโพลง



ใช่แล้ว....ตอนนั้น เขาถามคำถามแม่ไปนี่นา.....



.....................................................



“ก็ได้ครับ ผมสัญญา”



“ดีมากจ๊ะ....เมธา.......ดีแล้วที่ลูกสัญญา”



“......ว่าแต่....แม่ครับ”



“หืม....มีอะไรเหรอจ๊ะ?”



“ แล้วกุญแจสีทองนั่นเอาไว้ใช้ไขอะไรเหรอครับ?”



.....................................................



ใช่แล้ว.........เทวาถามแม่ออกไปแบบนั้น



เขา ถามไปว่ากุญแจสีทองเอาไว้ใช้ทำอะไร ซึ่งเป็นคำถามพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องสงสัยอยู่แล้วในสถานการณ์แบบนั้น... เทวาเองก็เหมือนคนปกติทั่วไปจึงได้ถามแม่ของเขาออกไปเช่นนั้น



แต่จะว่าไป.....ตอนนั้นเขาก็ติดใจสงสัยกับคำตอบของแม่เหมือนกัน



แม่ตอบว่าอะไรกันนะ?



เท วาเริ่มรู้สึกโมโหความขี้ลืมของตัวเอง เรื่องแบบนี้น่าจะจำได้ตั้งแต่แรก.....แต่ไม่รู้เพราะอะไรเขาจึงได้ลืมมันไป เสียสนิท อาจเป็นเพราะรายงานที่อาจารย์ให้มาจำนวนมากได้ปั่นประสาทเขาในช่วงเวลานั้น ทำให้เขาสนใจแต่ตัวเองจนลืมห่วงใยคนสำคัญที่อยู่ข้างกายเขา....และผลลัพธ์ นั้นก็ออกมาในรูปแบบเลวร้ายที่สุดที่เขาคาดไม่ถึง



เท วาพยายามไล่ตามความทรงจำสำคัญนั้นอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่คนเดียวเงียบๆภายใน อพาร์ตเมนท์แห่งนี้ ภาพความทรงจำต่างๆผุดขึ้นมาในสมองแต่มันก็ไม่ใช่ความทรงจำที่เขาต้องการจะ ค้นหา



บ้าจริง!!.......นึกไม่ออกเลย.....



เท วาเอามือขยี้ศีรษะของตัวเองด้วยความแค้นใจจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด บรรยากาศหนาวยะเยือกวูบไหวเข้ามาภายในอพาร์ตเมนท์จนร่างของเขาสั่นสะท้านโดย ไม่รู้ตัว



เหมือนจะคิดออกแต่ก็คิดไม่ออกสักที........เทวารู้สึกคล้ายเขาเป็นชาวประมงที่ดำน้ำทะเลลึกเพื่อจับปลาที่มีชื่อว่า “ความทรงจำ” ซึ่งแหวกว่ายท่ามกลางฝูงปลาจำนวนมาก และเขามองเห็นเพียงแค่ครีบหางของมันผลุบโผล่ไปมาอยู่ท่ามกลางดงสาหร่ายทะเล ที่คอยพันแข้งพันขาเกี่ยวรัดเขาไม่ให้เคลื่อนที่ต่อไปได้



อีกนิดเดียว....อีกนิดเดียวเท่านั้น



ภาพ ความทรงจำเริ่มผุดขึ้นมาทีละน้อย .....เป็นภาพที่สลัวเลือนลางและขุ่นมัวราวกับกระจกที่มีฝ้าละอองน้ำเกาะติด แต่เขาก็เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นแม่ชัดเจนขึ้นทีละเล็กละน้อย......



แม่....กำลังยิ้ม!?



เป็นรอยยิ้มเศร้าหมองที่ดูแล้วทำให้รู้สึกเจ็บแปลบหัวใจอย่างบอกไม่ถูก



ใน ขณะที่เทวากำลังหลับตาคิดและต่อสู้กับความทรงจำของตนเองอยู่นั้น อากาศรอบด้านก็พลันทวีความหนาวยะเยือกยะเยือกขึ้นอีก ลมหนาวเคลื่อนตัวพัดผ่านเข้ามาในห้องนี้โดยที่เทวาไม่ได้ใส่ใจ



ใช่ แล้ว....แม่กำลังยิ้ม แล้วก็กำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาด้วย .....ในภาพความทรงจำที่ไม่ชัดเจนนั้นเทวามองเห็นริมฝีปากของแม่เผยอเล็กน้อย และพูดคำพูดบางคำที่เขาไม่สามารถจับใจความได้

ไม่มีทางที่เขาจะไม่ได้ยินว่าแม่ของเขาพูดอะไร เพียงแต่ตอนนี้เขายังคิดไม่ออกเท่านั้นเอง



อากาศ รอบข้างหนาวเย็นมากจนผิดปกติ หากแต่เทวาเองมัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดในการพยายามค้นหาความทรงจำที่เริ่ม จะแจ่มชัดขึ้นทุกที เขาจึงไม่ทันได้รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ลดฮวบลงอย่างน่ากลัว



แม่ยิ้ม.....และกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา



สิ่งที่แม่พูดกับเขาก็คือคำตอบของคำถามที่เขาถามแม่ว่า กุญแจสีทองมีไว้เพื่อใช้ทำอะไรกันแน่



หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเทวาก็นึกออกจนได้



นึกออกแล้ว!!!! รู้แล้วว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น



อากาศ รอบข้างทวีความหนาวเย็นจนร่างของเทวาหนาวสั่นจนฟันกระทบกัน แต่เทวาก็ยังครุ่นคิดอยู่แต่กับคำคอบของปริศนาที่กำลังจะกระจ่างตรงหน้าโดย ไม่สนใจสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น



ใช่แล้ว....ตอนนั้น แม่ของเขาพูดกับเขาว่า



.....................................................



“เมื่อถึงเวลา ลูกก็จะรู้เอง......”



.....................................................



เมื่อถึงเวลาก็จะรู้เองอย่างนั้นหรือ?



แม่ ของเขาบอกเอาไว้แบบนั้นจริงๆ......ไม่ผิดแน่นอน... เทวามีความรู้สึกมั่นใจกับสิ่งที่เขาค้นหาได้..... ว่าแต่...... ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความถูกต้องของข้อมูลหรือรายละเอียดปลีกย่อยใดๆ หากแต่อยู่ที่ความหมายของคำพูดนั้นต่างหาก ......แม่ของเขาบอกว่า.......เมื่อถึงเวลาเขาจะรู้ได้เองว่ากุญแจสีทองนั้น ใช้ทำอะไรกันแน่........



แล้วตอนนี้ล่ะ.....ใช่เวลาที่ว่าหรือยัง?



ถ้ายังไม่ใช่ ....แล้วเมื่อไหร่ที่จะถึงเวลาหรือสถานการณ์คับขันที่ว่านั่นล่ะ?



เมื่อถึงเวลาเขาจะรู้เองจริงๆหรือ?



เทวาคิดในใจว่า .....ไม่สิ.....ปัญหามันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกนั่นแหละ....



ปัญหาจริงๆก็คือ ตั้งแต่วันที่แม่พูดจนมาถึงปัจจุบัน เทวายังไม่มีโอกาสได้เห็นกุญแจสีทองที่แม่พูดถึงเลยสักครั้ง



ตอนนี้แม่ของเขาก็จากไปแล้ว เทวาจึงไม่มีโอกาสที่จะล่วงรู้ว่า ....กุญแจสีทองที่ว่านั่นอยู่ที่ใดกันแน่



คิด แทบตายแต่ที่สุดคำตอบที่ได้กลับไม่มีประโยชน์อะไร คิดได้เช่นนั้นแล้วเทวาก็รู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง และเขาเริ่มจะรับรู้ถึงอุณหภูมิที่ผิดปกติทีละนิด ....แต่ก็ยังไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร



เท วาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ...ไม่ใช่เพราะเขาพอจะนึกออกว่ามีสถานที่น่าสงสัยที่แม่ของเขาน่าจะซ่อน กุญแจเอาไว้หรอก....แต่เป็นเพราะว่าในเมื่อเขาพอจะพบจุดเชื่อมบางอย่างทำให้ เขาไม่สามารถทนนั่งอยู่เฉยๆได้ แต่เพราะเขาเอาแต่นั่งนิ่งจ้องผนังมานานหลายสิบนาทีแล้ว การที่จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นมองไปทางอื่นทำให้สายตาของเขาพร่ามัวและรู้สึกวิง เวียนศีรษะเล็กน้อย เทวาเดินโซเซไปพิงผนังห้องเย็นเฉียบจนเขาตกใจรีบถอนมือออกจากผนังโดยไม่รู้ ตัว



อะไรกัน....ทำไม มันหนาวอย่างนี้ล่ะ?



ในที่สุดเทวาก็รับรู้ได้ถึงความหนาวยะเยือกที่ผิดปกตินี้



เขาพยายามมองหาว่าลมหนาวนี้พัดมาจากที่ใดแต่ก็ไร้ผล



หน้าต่างก็ปิดอยู่......แล้วลมพัดเข้ามาจากทางไหนล่ะ



ลม หนาวพัดผ่านเข้ามาในห้องนี้อีกระลอกและสัมผัสเข้ากับผิวหนังบริเวณที่เปลือย เปล่าไร้สิ่งปกคลุ้มของเทวาเข้าอย่างใจจนเขาเผลออุทานออกมา มันเย็นเฉียบราวกับจะกรีดแขนของเขาให้เป็นแผลบาดลึกลงไปถึงภายใน



ใจเย็นเอาไว้ก่อน....ใจเย็นๆ



เท วาพยายามสงบสติอารมณ์ เพราะเขาไม่รู้ว่าลมหนาวนั้นพัดมาจากที่ใดกันแน่ การพยายามตามหาต้นตอของความหนาวเหน็บจึงเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์และเสีย เวลาสิ้นดี



เด็กหนุ่มเดินเท้าเปล่าไปตามพื้นที่หนาวเหน็บไม่แพ้กันพลางเริ่มคิดหาจุดหมายปลายทางของตน



กุญแจ......เราต้องหากุญแจให้เจอ....



เทวาเริ่มกำหนดจุดมุ่งหมายในใจ ก่อนที่จะเริ่มออกเดินไปทั่วห้อง



ไม่ มีอะไรที่จะสามารถยืนยันได้ว่ากุญแจที่แม่พูดถึงจะยังอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะดูเหมือนว่าตอนที่แม่พูดกับเขาเรื่องกุญแจ .....แม่ไม่ได้บอกเลยสักคำว่ากุญแจถูกเก็บอยู่ในบ้านหลังนี้......



ไม่สิ.....ไม่ใช่แค่นั้นหรอก.....แม่ไม่ได้พูดสื่อความนัยอะไรที่จะทำให้เขารู้ถึงที่อยู่ของกุญแจได้เลย



เท วาเริ่มรู้สึกสับสนในจิตใจ ....มันยากที่จะตามหากุญแจสีทองที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียวและ ยังไม่รู้ว่ากุญแจเจ้าปัญหานั้นอยู่ที่ไหนกันแน่เสียด้วย ....มันอาจจะยากพอๆกับงมเข็มในมหาสมุทรก็เป็นได้



กุญแจที่ว่านั่นจะมีจริงหรือเปล่า เทวาเองก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน....



การ ต้องตามหาสิ่งที่เป็นนามธรรมนั้นดูเหมือนจะยากลำบาก แค่คิดเทวาก็เริ่มหมดกำลังใจเสียแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ เขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่กับคำถามไปตลอด....ตอนนี้เขาต้องการคำตอบของคำถาม นั้น



คำถามที่ว่า แม่ของเขาเสียชีวิตเพราะอะไร?



พอคิดไปคิดมา เทวาก็เริ่มมองเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง



น่าแปลก.....



ใช่แล้ว มีบางสิ่งที่ขัดกันเองอยู่ในเรื่องราวทั้งหมดนี้จนเขารู้สึกได้



แม่ของเขาตั้งใจฝากฝังกุญแจไว้กับเขา เพราะท่านตระหนักว่าเวลาของท่านมีอยู่อีกไม่มาก



ตรงนี้แหละที่น่าแปลก.....



เท วาพยายามควบคุมร่างกายที่สั่นระริกของตนอย่างสุดความสามารถ ความหนาวที่ผิดปกติอย่างบ้าคลั่งนี้กำลังกลืนกินความรู้สึกนึกคิดของเขาจน เขาไม่สามารถคิดอะไรออกไปชั่วขณะหนึ่ง



สิ่งที่ผิดปกติก็คือ คำพูดของท่านที่ว่า



“เมื่อถึงเวลา ลูกก็จะรู้เอง......”



ถ้า แม่รู้ว่า ตัวเองจะต้องตายในอีกไม่นาน แม่น่าจะพูดสั่งเสียทุกอย่างให้หมดทุกอย่าง ไม่ใช่พูดกำกวมทิ้งปริศนาให้ปวดหัวเล่นแบบนี้ ไหนจะการที่แม่ไม่บอกที่อยู่ของกุญแจอีก ถ้าเทวาเป็นแม่ของเขา เขาคงจะรีบสั่งเสียลูกชายสุดที่รักของตนเองและให้กุญแจกับเขาไปเลย เพราะหลังจากที่ตนตายไปแล้ว ลูกชายจะไม่มีวันรู้ได้เลยว่ากุญแจอยู่ที่ไหน



แม่ เป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ ไม่น่าจะพลาดเรื่องนี้ ต่อให้ท่านกำลังกลุ้มใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงขนาดไหนก็ตาม น่าจะมีเหตุผลอื่นที่แม่ไม่ได้บอกที่อยู่ของกุญแจให้กับเขามากกว่า



ทันใดนั้นเอง เทวาก็รู้สึกขนลุกเกรียว หลังจากที่ได้รับรู้อะไรบางอย่าง



เทวารับรู้ได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมองมาที่เขา.....



ในระหว่างที่เทวากำลังไล่กวดความทรงจำอยู่คนเดียวเงียบๆโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างนั้น ...ลมหนาวก็ได้เคลื่อนตัวเข้ามาในห้องนี้พร้อมกับ “บางสิ่ง” ที่แฝงกายเข้ามาอย่างเงียบเชียบโดยที่เขาไม่รู้ตัว....



และตอนนี้ “บางสิ่ง” ที่ว่านั่น ก็กำลังอยู่ในห้องนี้



ใน ห้องเล็กๆห้องนี้ นอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีอะไรบางอย่างแอบแฝงเร้นกายอยู่อีก.... และอะไรบางอย่างที่ว่านั่น ก็กำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างไม่วางตา....จากที่ไหนสักแห่งในห้องนี้



เขาไม่ได้อยู่ในห้องนี้ตามลำพังอีกต่อไปแล้ว........






Create Date : 15 สิงหาคม 2551
Last Update : 15 สิงหาคม 2551 19:35:59 น. 0 comments
Counter : 424 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คุณชายเมมุงิ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบอนิเม การ์ตูน นิยาย แนวสยองขวัญ ลึกลับ ที่สุดเลย


Friends' blogs
[Add คุณชายเมมุงิ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.