อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคดีแรงงานภาค ๘(ภูเก็ต) ปฏิบัติหน้าที่รองอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งภาค ๘
สำนักงานอัยการสูงสุด
·เลขที่บันทึก: 280726
·สร้าง: 27 กรกฎาคม 2552 16:11·แก้ไข: 20 มิถุนายน 2555 01:25
วันนี้ผมไปว่าความที่ศาลมาครับเป็นกรณีที่ผู้ป่วยฟ้องกระทรวงสาธารณสุข แพทย์และพยาบาลเรียกค่าเสียหาย ๑๑ ล้านบาทเศษกรณีคลอดบุตรแล้วสมองเด็กขาดออกซิเจนทำให้เด็กพิการผมเข้ามาเกี่ยวข้องเนื่องจากคดีนี้มีการเรียกค่าเสียหายเกินสิบล้านอำนาจการพิจารณาสั่งคดีอยู่ที่ท่านรองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีแรงงานเขต๘ เจ้าของสำนวนจึงต้องเสนอสำนวนตามลำดับชั้นจนถึงรองอธิบดีอัยการฯผมเป็นผู้เชี่ยวชาญสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต ๘จึงต้องตรวจผ่านสำนวนนี้
ในเบื้องต้นพิจารณาคำฟ้องแล้วผู้ป่วยฟ้องว่าแพทย์และพยาบาลไม่เอาใจใส่ดูแลในขณะเขาปวดท้องคลอดจนบุตรของเขาออกมาคาอยู่ที่ปากช่องคลอดนานถึง ๔๐ นาทีทำให้บุตรเขาขาดอากาศหายใจ สมองขาดออกซิเจนทำให้บุตรของเขาพิการทางสมองแถมพยาบาลคนที่ถูกฟ้องก็มัวแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ไม่มาช่วยเขาบอกให้เบ่งคลอดแล้วไม่สอนวิธีเบ่งเรียกค่าเสียหายจากการที่บุตรพิการไม่สามารถส่งเสียเลี้ยงดูบิดามารดา๓๕ ปี เป็นเงิน ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเศร้าโศกเสียใจอีก ๘๐๐,๐๐๐ บาทค่าใช้จ่ายต่างๆในการเดินทางไปมารักษาบุตร ฯลฯ รวมแล้ว ๑๑ล้านบาทเศษ
ผมได้เชิญคุณหมอมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นประกอบกับเอกสารที่ปรากฏอยู่ในสำนวนและเอกสารที่เกี่ยวกับวิชาการเกี่ยวกับการคลอดบุตรได้ความรู้เยอะมากและเราเดาด้วยว่าคนบรรยายฟ้องก็ไม่เข้าใจกระบวนการคลอดบุตรเพราะพวกเราเองอ่านคำฟ้อง อ่านคำชี้แจงแล้วแรกๆก็มึนกับปากมดลูกขยายกับปากช่องคลอดขยายมันอย่างเดียวกันไหมว้า....อิอิการตัดฝีเย็บในขณะปากช่องคลอดบางมากและมองเห็นศีรษะเด็กมีขนาดโตเท่าไข่ห่านถ้าตัดฝีเย็บในขณะที่ปากช่องคลอดยังไม่ขยายตัวเต็มที่จะเป็นอันตรายแก่มารดาเด็กได้คดีนี้คุณหมอตัดฝีเย็บแรกๆเราเข้าใจว่าศีรษะเด็กโผล่ออกมาขนาดเท่าไข่ห่านแล้วหมอจึงตัดฝีเย็บแต่พอคุยกับหมอจริงๆกลับได้ความว่า ปากมดลูกมารดาเปิดกว้าง ๑๐เซนติเมตร พร้อมที่จะคลอดแต่ยังไม่คลอดยังไม่เห็นศีรษะเด็กที่ปากช่องคลอดแต่จำเป็นต้องตัดฝีเย็บเพื่อใช้เครื่องดูดดูดทารกออกมาพอตัดฝีเย็บไม่ทันได้ใส่เครื่องดูดเด็กก็คลอดพรวดออกมาทันทีเลยต้องนั่งฟังหมอเลคเชอร์เรื่องการคลอดและเอาเอกสารวิชาการที่หมอถ่ายไว้ให้มานั่งอ่านนี่กว่าจะทำคดีนี้จบ ผมคงทำคลอดเองได้เลย ฮ่าๆ
ทราบมาว่าในการนัดไกล่เกลี่ยครั้งที่ผ่านมามารดาเด็กไม่อยากฟ้องหมอเพราะหมอดูแลผู้ป่วยดีมาก แต่หมั่นไส้พยาบาลหมออยากให้เรื่องจบยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ส่วนตัวสองแสนบาทมารดาเด็กก็ไม่เอาอยากจะเอาจากพยาบาลเพราะเจ็บใจที่ไม่ยอมมาช่วยในขณะที่ตัวเองปวดท้องคลอดมัวแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์และเขาก็บรรยายฟ้องในส่วนนี้ไว้ด้วยผมจึงต้องหาข้อมูลว่าพยาบาลนั่งเล่นคอมฯหรือเขาทำงานก็ได้ความว่าพยาบาลคนที่ถูกฟ้องไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบผู้ป่วยรายนี้แต่เป็นพยาบาลอีกท่านหนึ่งและพยาบาลท่านดังกล่าวก็ดูแลผู้ป่วยอย่างดีแต่จะให้ถึงขนาดนั่งเฝ้าผู้ป่วยรายนี้คนเดียวคงไม่ได้เพราะในวันดังกล่าวมีการคลอดต่อเนื่องหลายราย หมอก็กำลังทำคลอดท่าก้น(ฮ่าๆ..อย่านึกว่าหมอทำคลอดแล้วทำก้นกระดก อิอิ)คือมีผู้ป่วยอีกรายกำลังจะคลอดแต่เด็กอยู่ในท่าเอาก้นออกจากช่องคลอดซึ่งอันตรายกว่าการคลอดของผู้เสียหายซึ่งเป็นการคลอดธรรมดาและเป็นท้องที่สองแล้วด้วย หมอทำคลอดท่าก้นเสร็จก็วิ่งมาจัดการมารดาเด็กในคดีนี้เลยจะว่าช้าก็ไม่ช้าได้มาตรฐานการรักษาทุกประการการคลอดท้องแรกให้เวลาในการคลอดถึง ๑๒๐ นาทีส่วนการคลอดบุตรท้องต่อๆมาให้เวลาไม่เกิน ๖๐ นาทีถ้าตามเวลาดังกล่าวเด็กยังไม่คลอดออกมาแพทย์จะต้องช่วยดำเนินการให้ออกมาแล้วครับแต่ผู้ป่วยรายนี้ไม่ยังไม่เกินเวลามาตรฐาน
พยาบาลคนที่ถูกฟ้องมีหน้าที่ดูแลคนไข้อีกส่วนหนึ่ง(คนละโซนกันแต่บางทีเธอก็มาช่วยคนไข้ข้ามโซน) เมื่อเวลาเด็กคลอดออกมาแล้วก็หมดหน้าที่สูตินรีแพทย์ เด็กและมารดาจะถูกส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางในขั้นตอนนี้ก่อนส่งตัวไปก็ต้องมีการลงทะเบียนในเครื่องคอมพิวเตอร์ป้อนข้อมูลเด็กมารดาเด็ก ยาที่หมอสั่งรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลไม่เช่นนั้นแล้วแพทย์พยาบาลที่รับไปต่อจะไม่มีข้อมูลการรักษาพยาบาลก็ต้องถือว่าเขาทำงานส่วนที่เขารับผิดชอบอยู่ไม่ใช่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ (คำว่าเล่นคอมฯในความหมายของผู้ป่วยคงหมายถึง พยาบาลอยู่ว่างๆคนไข้แหกปากร้องก็ไม่ดูแลมัวแต่นั่งเล่นเกมส์หรืออินเทอร์เน็ต หรือแชท เรื่องไร้สาระ ทำนองนั้นเธอถึงได้แค้นนักหนาเพราะไม่เข้าใจว่าพยาบาลคนที่ถูกฟ้องเขาทำหน้าที่อะไร)
ผมร่างคำให้การสู้คดีในส่วนของการคลอดที่ฝ่ายโจทก์เขาบรรยายว่าศีรษะเด็กมาคาที่ปากช่องคลอดนาน๔๐ นาที ทำให้เด็กขาดอากาศหายใจว่าไม่ใช่หรอกเพราะในขณะที่กระบวนการคลอดยังไม่สมบูรณ์เด็กยังอยู่ในครรภ์มารดาเด็กยังไม่หายใจเพราะเด็กยังอาศัยออกซิเจนจากรกที่เชื่อมระหว่างแม่สู่ลูกต่างหากดังนั้นที่ว่าศีรษะเด็กมาคาอยู่ปากช่องคลอดศีรษะถูกบีบจนออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ได้นั้นไม่ใช่อย่างแน่นอนและมีการต่อสู้ถึงการปฏิบัติของแพทย์และพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพทั้งมาตรฐานของโรงพยาบาลและมาตรฐานสากล และอีกหลายข้อ
ที่สำคัญผมตัดฟ้องว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องแพทย์และพยาบาลให้รับผิดเป็นส่วนตัวไม่ได้เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าแพทย์กับพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่เอาใจใส่ดูแลจึงต้องว่ากันไปตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๕ ซึ่งบัญญัติว่า
“หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้”
เรื่องนี้เคยไปบรรยายให้แพทย์พยาบาลฟังทั้งที่โรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชนตั้งแต่ยังเป็นอัยการจังหวัดประจำกรมหลายคนมาบอกว่าค่อยใจชื้นหน่อยที่มีกฎหมายตัวนี้วันนี้ได้ใช้จริงและเห็นผลเพราะศาลก็เห็นด้วยกับข้อต่อสู้ที่เราสู้ให้หมอและพยาบาลศาลท่านถามความเห็นทนายโจทก์ว่ามีความเห็นอย่างไร จะถอนฟ้องไปหรือไม่เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนตามข้อต่อสู้ของฝ่ายจำเลยที่ ๒ และ ๓แต่ถ้าไม่ยอมถอนศาลก็จะใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา๑๘
“ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย การยื่นคำฟ้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ในคดีผู้บริโภคซึ่งดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด
ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคนำคดีมาฟ้องโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เรียกร้องค่าเสียหายเกินสมควร ประพฤติตนไม่เรียบร้อย ดำเนินกระบวนพิจารณาอันมีลักษณะเป็นการประวิงคดีหรือที่ไม่จำเป็น หรือมีพฤติการณ์อื่นที่ศาลเห็นสมควร ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้นชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดก็ได้ หากไม่ปฏิบัติตามให้ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ”
ศาลถามทนายโจทก์ว่ารู้อยู่แล้วใช่ไหมเกี่ยวกับกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ทนายก็ตอบว่ารู้ ศาลก็เลยให้ทนายคิดว่าจะเอาอย่างไรทนายโจทก์ก็เลยยอมถอนฟ้องจำเลยที่ ๒,๓ ออกจากคดี(เพราะคดีคุ้มครองผู้บริโภคเขามีเจตนาให้ชาวบ้านฟ้องง่ายไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมศาลแต่บางทีก็มีฟ้องแบบป่วนไปหมดทุกคนเกี่ยวนิดเกี่ยวหน่อยก็ฟ้องหมดเสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายสำหรับคนถูกฟ้องเหมือนกันถ้าไม่มีมาตรการข้างต้นกำหนดไว้ผมว่าคดีเต็มศาลบานเบอะแน่นอนครับ)เหลือแต่กระทรวงสาธารณสุขจำเลยที่ ๑ ที่เราจะต้องมาว่ากันต่อ
โดยความเป็นจริงแล้วพวกเราหาได้มีเจตนาจะต้องต่อสู้เอาแพ้ชนะกันไม่เพราะผู้เสียหายเขาก็ได้รับความเสียหายลูกพิการทางสมองมันจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่ถ้าเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าความเจ็บป่วยของเด็กเกิดจากปัญหาทางร่างกายของมารดาเด็กหรือเด็กโดยตรงแล้วผมว่ากระทรวงสาธารณสุขควรจ่ายค่าชดเชยให้กับมารดาเด็กตามสมควรผมทราบมาว่า สปสช.เขาจ่ายให้มารดาเด็กไปแล้ว ๒๐๐,๐๐๐ บาทหากจะเรียกร้องอีกก็ควรจะดูที่ความเหมาะสม
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงปัญหาสังคมในอนาคตเรากำลังออกกฎหมายตามก้นฝรั่งเราฟ้องแพทย์พยาบาลเพราะถือว่าเป็นผู้ให้บริการในขณะที่ผู้ป่วยเป็นผู้บริโภค
ถามสักนิดเถอะว่าแพทย์พยาบาลบ้านเราเหมือนกับแพทย์ทางตะวันตกไหม จะเอาแบบเขาไหมครับแพทย์รักษาผู้ป่วยได้ไม่เกินวันละ ๒๐ คน เขาเรียกค่ารักษาพยาบาลสูงมากปวดฟันไปหาหมอ หมอนัดทำฟันอีกทีปีหน้า จะเอาอย่างนั้นไหมครับเวลาถูกฟ้องก็ถูกเรียกค่าเสียหายสูงมากเช่นกัน
แล้วบ้านเราในแต่ละวันแพทย์รักษาผู้ป่วยวันละกี่คนมีใครตอบผมได้ไหมเกินมาตรฐานอเมริกันกี่เท่าตัว รายได้เดือนละกี่ตังค์ครับ ไม่รักษาก็ถูกฟ้องฟ้องแล้วผิดพลาดต้องชดใช้ค่าเสียหาย ผมไม่ได้เข้าข้างหมอ
แต่ทำกับหมอและพยาบาลอย่างนี้เป็นธรรมกับหมอและพยาบาลไหม..ถามสักคำเหอะ.....