มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง Chronic myeloid leukemia (CML)
Chronic Myeloid Leukemia
Chronic myeloid leukemia (CML) คือ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง จัดอยู่ในกลุ่ม chronic myeloproliferative disorders เกิดจากความผิดปกติในระดับ pluripotent hematopoietic stem cells 1,2 ลักษณะสำคัญพบเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด myeloid เพิ่มขึ้น และประมาณ 90-95% ของผู้ป่วยตรวจพบมี Philadelphia (Ph) chromosome3 พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่ อายุเฉลี่ยที่พบ คือ 45-55 ปี ชายมากกว่าหญิง (1.3 : 1)4 อาการที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์มักเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง น้ำหนักลด อึดอัดแน่นท้อง คลำก้อนได้ที่ชายโครงซ้าย บางรายอาจไม่มีอาการเลย แต่ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูงจากการตรวจสุขภาพทั่วไป2,4,5
การดำเนินโรคแบ่งเป็น 3 ระยะคือ chronic phase, accelerated phase และ blastic phase ผู้ป่วยอยู่ใน chronic phase ประมาณ 3-5 ปี จึงเข้าสู่ accelerated และหรือ blastic phase และเมื่อเข้าสู่ accelerated phase หรือ blastic phase มักเสียชีวิตภายในระยะเวลาสั้นประมาณ 6 เดือน4,5
โดยทั่วไปการวินิจฉัยโรคกระทำได้ไม่ยาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูงเป็นแสน ร่วมกับพบม้ามโต เม็ดเลือดขาวที่ขึ้นสูง เมื่อดูจากสเมียร์เลือดจะพบตัวอ่อนของ myeloid ทุกระยะโดยเฉพาะระยะ myelocyte และ metamyelocyte และที่สำคัญจะพบ basophil ขึ้นสูง ปัญหาที่ทำให้วินิจฉัยค่อนข้างยาก คือ ผู้ป่วยที่ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูงน้อยกว่า 50x109/ลิตร ซึ่งมักไม่มีอาการ ตรวจร่างกายมักปกติ คลำม้ามไม่ได้ ทำให้ต้องแยกจาก leukemoid reaction โดยการตรวจ leucocyte alkaline phosphatase (LAP) score และลักษณะ chromosome ในไขกระดูก โดยพบว่าใน CML LAP จะต่ำมากต่างจาก leukemoid reaction การตรวจ chromosome ถ้าพบ Ph ถือเป็นการยืนยันการวินิจฉัยโรค CML2,5
การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็นในผู้ป่วยทุกรายได้แก่ CBC, bone marrow aspiration and biopsy, leukocyte alkaline phosphatase (LAP) score, chromosome study, BUN, creatinine, uric acid, liver function test อย่างไรก็ดีการตรวจ chromosome ยังกระทำไม่ได้ในส่วนใหญ่ของสถานพยาบาลในประเทศไทย ในกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า เป็นการเพียงพอที่จะให้การวินิจฉัยผู้ป่วย CML ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจ CBC และไขกระดูกด้วย consensus score เท่ากับ 8.0 + 1.1
Busulfan เริ่มนำมาใช้เมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมา6 ข้อดีคือเป็นยากิน ราคาไม่แพง แต่ผลข้างเคียงที่สำคัญ คือ กดไขกระดูกค่อนข้างมากและนาน อาจเกิดมีพังผืดของปอด ไขกระดูก หรือ endocardium ผิวหนังดำลักษณะคล้ายผู้ป่วย Addison's disease7 ขนาดของยา 0.1 มก/กก/วัน ให้จนกว่าเม็ดเลือดขาวลดลง 50% จึงลดขนาดยาลงครึ่งหนึ่ง โดยทั่วไปปรับยาให้เม็ดเลือดขาวอยู่ในช่วง 20-50 x 109/ลิตร ควรหยุดยาเมื่อเม็ดเลือดขาวน้อยกว่า 15-20 x 109/ลิตร และเริ่มให้ใหม่เมื่อมากกว่า 50x109/ลิตร4,8 ส่วนใหญ่ขนาดของยาที่ใช้ในระหว่าง maintenance อยู่ที่ 2-4 มก/วัน จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วย CML ที่ไม่ได้รับการรักษาพบมีอัตราของการมีชีวิตที่ 5 ปี 10% และค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่มีชีวิตเท่ากับ 29 เดือน9 แต่หลังจากมีการนำ busufan มาใช้พบว่าอัตราการมีชีวิตที่ 5 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 23% และค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่มีชีวิตประมาณ 40-45 เดือน2,10 (level of evidence IV)
จากข้อมูลข้างต้นการให้ busulfan จะเพิ่มอัตราของ survival มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา
Hydroxyurea ในปีคศ.1972 Kenedy รายงานผลการรักษาผู้ป่วย CML 20 ราย โดยใช้ hydroxyurea พบว่าค่อนข้างดี ผู้ป่วยสามารถมี complete hematologic remission และผลข้างเคียงน้อย11 ขนาดยาเริ่ม 40-50 มก/กก/วัน4,8 ปรับยาให้เม็ดเลือดขาวอยู่ในช่วง 5-10 x 109/ลิตร ขนาดยาที่ใช้ maintenance ประมาณ 0.5 - 2 กรัมต่อวัน4,8,12 ผู้ป่วยที่รักษาด้วย hydroxyurea มี survival ดีกว่า busulfan13,14 จาก randomized multicenter trials ศึกษาผู้ป่วย 441 ราย เปรียบเทียบผลการรักษาด้วย hydroxyurea และ busulfan พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับ hydroxyurea มีค่า median survival 58.2 เดือน เทียบกับ 45.4 เดือนในผู้ป่วยที่รักษาด้วย busulfan (p= 0.008)14 (level of evidence I) และจากการศึกษาของ International Bone Marrow Transplant Registry พบว่าผู้ป่วยที่ได้ hydroxyurea ก่อนการรักษาด้วย allogeneic bone marrow transplantation ให้ผลการรักษาดีกว่า ผู้ป่วยที่ได้ busulfan ก่อนทำ transplantation15 (level of evidence III)
จากข้อมูลนี้แสดงว่าการรักษาด้วย hydroxyurea ให้ผลดีกว่า busulfan ชัดเจน (level of evidence I) แต่ยามีราคาสูงกว่า สำหรับในสถานที่ที่ไม่มี hydroxyurea ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าสมควรให้การรักษาผู้ป่วยแทนด้วย busulfan (panel consensus score 8.4 + 1.0)
ทั้ง busulfan และ hydroxyurea สามารถควบคุมโรคให้เข้าสู่ complete hematologic remission แต่น้อยมากที่จะทำให้เกิด cytogenetic remission เมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะเข้าสู่ระยะ accelerated และ blastic phase เพราะฉะนั้นการให้เฉพาะยาดังกล่าวถือเป็นเพียง palliative treatment5
Interferon (IFN) เริ่มนำมาใช้รักษาผู้ป่วย CML ตั้งแต่ปีคศ.198016, 17 พบว่าสามารถทำให้เกิด complete hematologic remission และบางรายพบมี cytogenetic remission16, 17 แต่ได้ผลเฉพาะผู้ป่วยที่เป็น chronic phase ไม่ได้ผลในผู้ป่วย advanced phase18, 19 หลังจากนั้นมีรายงานการรักษาผู้ป่วย CML ระยะ chronic phase ด้วย IFN จำนวนมาก16, 17, 20 ตารางที่ 1 แสดงผลการศึกษาของ randomized trials22-25(level of evidence I, II) เปรียบเทียบระหว่าง IFN กับ conventional chemotherapy (busulfan หรือ hydroxyurea) ซึ่งสรุปผลได้ดังนี้
- กลุ่มที่ได้ IFN มี major cytogenetic response (Ph chromosome < 25% ในไขกระดูก) มากกว่า
- กลุ่มที่ได้ IFN มี 5-year survival และ median survival สูงกว่ากลุ่มที่ได้ busulfan หรือ hydroxyurea ยกเว้นการศึกษาของ Hehlmann และคณะพบว่ากลุ่มที่ได้ IFN แม้ว่า median survival นานกว่ากลุ่มที่ได้ hydroxyurea แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.44) สาเหตุอาจเนื่องจากผู้ป่วยในการศึกษานี้เป็นผู้ป่วย high risk มากกว่าการศึกษาอื่น เฉลี่ยแล้วผู้ที่ได้ IFN จะมี survival นานกว่า chemotherapy ประมาณ 20 เดือน
- ผู้ที่ได้ major cytogenetic response มีอัตราของ survival ระยะยาวสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ23-25 ยกเว้นการศึกษาของ Hehlmann และคณะ
- ผู้ที่ได้รับ IFN พบมีอาการข้างเคียงมากกว่าผู้ที่ได้รับ chemotherapy และร้อยละ 16-20 ของผู้ป่วยต้องหยุด IFN จากอาการข้างเคียง
- จากการศึกษาของ United Kingdom-Medical Resarch Council (UK-MRC) ผู้ป่วยที่ได้ IFN แม้ไม่มี cytogenetic remission ก็พบว่ามี survival นานกว่ากลุ่มที่ได้ chemotherapy (p<0.05) การศึกษาของ Ohnishi และคณะ พบว่าผู้ป่วยที่ไม่มี cytogenetic remission แต่ได้รับ IFN ก็มีแนวโน้มที่จะมี survival ในระยะยาวดีกว่าผู้ที่ได้รับ busulfan แม้ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (5-year survival 54% vs 15%)
- ค่าเฉลี่ยของขนาดของ IFN ที่ผู้ป่วยได้รับเท่ากับ 2-4.28 mu/ม2/วัน จากตารางที่ 1 จะพบว่าผู้ป่วยที่ได้ IFN ขนาดสูงมีแนวโน้มที่จะได้ major cytogenetic remission สูงขึ้น แต่ยังไม่มี randomized control trial ที่จะสรุปถึงขนาดยาที่เหมาะสม มี randomized trial ของ Benelux CML Study Groupศึกษาผู้ป่วย 195 รายเปรียบเทียบระหว่างผู้ป่วยที่ได้ hydroxyurea อย่างเดียวกับ hydroxyurea ร่วมกับ IFN ขนาดต่ำ (3 MU 5 วัน/สัปดาห์, ค่าเฉลี่ยของ IFN ที่ได้รับเท่ากับ 1.3 mu/ม2/วัน) ผลการรักษาพบว่ามี survival ไม่ต่างกัน26 ซึ่งอาจเป็นเพราะขนาดยา IFN ต่ำไป (level of evidence I)
โดยทั่วไปมักจะให้ IFN ในขนาดที่สูงเท่าที่ผู้ป่วยสามารถทนได้ เพื่อควบคุมให้ระดับเม็ดเลือดขาวอยู่ระหว่าง 2-4x109/ลิตร โดยเริ่มที่ 3 MU/ม2/วัน22-25, 27 พบว่าการให้ hydroxyurea ร่วมกับ IFN อาจได้ประโยชน์มากกว่าการให้ IFN อย่างเดียว28, 29 หลังจากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วย IFN ควรติดตามผลการรักษาโดยการดูระดับของ Ph chromosome ในไขกระดูก ระยะเวลาที่จะพบมี cytogenetic response แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายเฉลี่ยประมาณ 6-9 เดือนหลังรักษา19, 20, 23, 24 บางรายอาจรอถึง 2-3 ปีถึงเริ่มมี cytogenetic response แต่ส่วนใหญ่จะเริ่มตรวจพบภายใน 1 ปี ฉะนั้นการจะประเมินว่าผู้ป่วยมี cytogenetic response หรือไม่ ควรติดตามผลอย่างน้อยที่ 1 ปีหลังรักษา หลังจากได้ major cytogenetic response ยังไม่ทราบแน่นอนต้องให้ IFN ไปอีกนานเท่าไร
จากการศึกษาในรูปแบบของ randomized trial ของ Guilhot และคณะในผู้ป่วย 721 ราย พบว่าการให้ cytarabine 20 มก/ม2 เป็นเวลา 10 วันต่อเดือนร่วมกับ IFN ให้ผลการรักษาดีกว่าให้ IFN อย่างเดียวหรือ IFN ร่วมกับ hydroxyurea30 (level of evidence I) อัตราของ 3-year survival เท่ากับ85.7% ในกลุ่มที่ได้ IFN ร่วมกับ cytarabine และ 79.1% ในกลุ่มที่ได้ IFN อย่างเดียว (p = 0.02) อัตราของ major cytogenetic response ใน 1 ปี เท่ากับ 41% ในกลุ่มที่ได้ IFN ร่วมกับ cytarabine และ 24% ในกลุ่มที่ได้ IFN อย่างเดียว (P< 0.001) ปัญหาสำคัญคือผู้ป่วยมีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นจาก cytarabine นอกจากนี้ Kantarjian และคณะรายงานผู้ป่วย 140 รายรักษาด้วย cytarabine 10 มกทุกวันก็ให้ผลใกล้เคียงกัน31(level of evidence I)
จากข้อมูลการศึกษาดังกล่าวสนับสนุนว่า IFN ให้ผลการรักษาดีกว่า conventional chemotherapy โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้ major cytogenetic response จาก IFN (level of evidence I)
Allogeneic stem cell transplantation โดยทั่วไปถือว่า allogeneic stem cell transplantation เป็นวิธีเดียวที่สามารถรักษาให้ผู้ป่วยหาย ขาด แต่มีขอบเขตจำกัดที่ผู้ป่วยจะต้องมีผู้บริจาคที่มี HLA ตรงกับผู้ป่วยและอายุผู้ป่วยไม่มากเกินไป (< 50 ปี) ผู้ป่วยที่อายุมากจะมีอัตราเสียชีวิตจากการรักษาค่อนข้างสูง จากข้อจำกัดนี้ทำให้เพียงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยเท่านั้นที่สามารถเข้ารับการรักษาด้วย allogeneic stem cell transplantation5
อย่างไรก็ตามแม้จะมีรายการศึกษามาก แต่ไม่มี randomized controlled trial ที่เปรียบเทียบการรักษาวิธีนี้กับการให้ IFN หรือ chemotherapy รายงานส่วนใหญ่เป็น single arm prospective หรือ retrospective ผลการรักษาด้วย allogenic stem cell transplantation จึงอยู่ใน level of evidence IV-V เกือบทั้งหมด
ผู้ป่วยที่อายุน้อยโดยเฉพาะน้อยกว่า 40 ปี จะให้ผลการรักษาดีกว่าผู้ป่วยอายุมาก เพราะผู้ป่วยอายุมากมีอาการแทรกซ้อนสูง32,37,38 ปัจจุบันยอมรับที่อายุ 50 ปี อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ให้การรักษา เช่น จากการศึกษาที่ Seattle ในผู้ป่วยอายุ 50-60 ปีที่ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกภายใน 2 ปีหลังการวินิจฉัย พบอัตราตายเพียง 10% และอัตราของ 2-year survival เท่ากับ 80%38 ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะ chronic phase จะให้ผลการรักษาดีกว่าผู้ป่วย accelerated phase หรือ blastic phase ถ้าทำในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ใน chronic phase อัตราของ long-term survival เท่ากับ 50-70% และ event-free survival ประมาณ 40-45%32-36 ถ้าทำในระยะ accelerated หรือ blastic phase long-term survival จะประมาณ 15%32,34,36 อย่างไรก็ตามการปลูกถ่ายไขกระดูกถือเป็นวิธีเดียวที่ทำให้ผู้ป่วยระยะ accelerated หรือ blastic phase หายขาดได้
ในผู้ป่วยที่อยู่ระยะ chronic phase พบว่าถ้าทำการปลูกถ่ายใน 1 ปีแรกหลังวินิจฉัย ผลการรักษาจะดีกว่าทำช่วงหลัง15,32,34 แต่ก็มีรายงานว่าการทำปลูกถ่ายไขกระดูกในปีแรกเทียบกับหลังจากปีแรกให้ผลไม่แตกต่างกัน39-41 อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มว่าถ้าทำหลังวินิจฉัยแล้ว 2 ปี ผลไม่ดี
มีรายงานพบว่าผู้ป่วยที่เคยได้ busulfan ก่อนการปลูกถ่ายให้ผลการรักษาไม่ดีเมื่อเทียบกับ hydroxyurea15,32 ผู้ป่วยที่ได้ IFN ก่อนทำ transplantation ยังสรุปผลไม่แน่ชัดว่ามีผลเสียต่อการทำ transplantation หรือไม่42-44
เมื่อเปรียบเทียบชนิดของการทำ stem cell transplantation พบว่า peripheral blood stem cell transplant (PBSCT) ให้ผลดีกว่าไขกระดูก ในการศึกษาของ Mahmoud และคณะซึ่งเป็น randomized prospective trial ในผู้ป่วย 30 ราย พบว่า ผู้ป่วยที่ทำ PBSCT มีการฟื้นตัวของไขกระดูกเร็วกว่าผู้ป่วยที่ทำ BMT ส่วนปัญหา acute graft versus host disease ไม่แตกต่างกัน45 (level of evidence II) และจากการศึกษาของ Elmaagacli และคณะ ผู้ป่วยที่ทำ PBSCT มี relapse rate น้อยกว่า BMT46 (level of evidence III)
Unrelated stem cell transplantation เนื่องจากผู้ป่วย CML ส่วนใหญ่ไม่มี HLA-identical sibling donor จึงมีความจำเป็นต้องใช้ unrelated donor ที่มี HLA ตรงกับผู้ป่วย ปัญหาสำคัญคือจะต้องมี pool ของ donor มากเพียงพอเพื่อให้ได้ donor ที่มี HLA-match 6 ตำแหน่ง (HLA-A, B, DR) ผลการรักษาพบว่าในระยะแรกมีอัตราตายจากการรักษาสูง ระยะหลังเมื่อมีการพัฒนา immunosuppression และการนำวิธี high-resolution DNA probe มาใช้ในการทำ HLA-typing ทำให้ผลการรักษาดีขึ้น จากข้อมูลของ International Bone Marrow Transplant Registry ซึ่งเปรียบเทียบผลการรักษาด้วย HLA-identical sibling และ unrelated transplant38 (level of evidence IV) และจากการศึกษาของ Hansen และคณะ ศึกษาผู้ป่วย 196 ราย (level of evidence IV) พบว่ามี acute graft versus host disease grade III, IV 35%อัตราการมีโรคกลับที่ 5 ปี 10% และอัตราการมีชีวิตที่ 5 ปีเท่ากับ 57% ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการรักษานอกจากอายุและระยะเวลาที่ปลูกถ่ายแล้ว พบว่าผู้ป่วยที่มี mismatch ในตำแหน่ง HLA-DR B1 และมี high body-weight index มีผลการรักษาที่ไม่ดี
Autologous stem cell transplantation สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดเนื่องจากมีผู้พบว่าผู้ป่วย CML สามารถตรวจพบ stem cell ที่ปกติได้ โดยเฉพาะหลังได้ high-dose combined chemotherapy48 จึงมีการศึกษาถึงการใช้ autologous transplantation ในการรักษาผุ้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น retrospective study ดังเช่นรายงานของ McGlave และคณะศึกษาผู้ป่วย 200 ราย49 อายุเฉลี่ย 42 ปีในระยะ chronic phase พบมีอัตรา 5-year survival 58% อัตราตายในปีแรกต่ำมาก คือ 0.17% แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงตรวจพบ Ph chromosome ซึ่งผลการรักษาไม่แตกต่างจากการศึกษาอื่น50,51 (level of evidence V) แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะลดจำนวนเซลล์มะเร็งโดยการทำ purging แต่ผลการรักษายังไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้ทำ purging อาจเนื่องมาจากวิธีการยังไม่ดีพอ และผู้ป่วยที่ทำ autologous transplantation ไม่มี graft versus leukemic effect
จากข้อมูลดังกล่าว การรักษาด้วย autologous stem cell transplatation อาจดูเหมือนจะดีกว่า conventional chemotherapy แต่ขณะนี้ยังคงถือเป็น investigational treatment จากข้อมูลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ป่วย CML chronic phase ควรได้รับการรักษาตามแผนภูมิต่อไปนี้
Create Date : 20 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 20 กันยายน 2549 2:01:55 น. |
Counter : 9318 Pageviews. |
| |
|
|
|