Group Blog
 
All Blogs
 
แซ่อ้วนล่มสลาย..(ตอนที่ 1)

ระหว่างที่โจโฉกับอ้วนเสี้ยวรบกัน ณ กัวต๋อ ซุนเซ็กก็ตระเตรียมไปตีโจโฉ แต่ถูกลูกน้องของเค้าก๋องศัตรูซึ่งฆ่าไปนั้นลอบฆ่าเอา ซุนเซ็กเสียชีวิต ซุนกวนผู้น้องเป็นเจ้าเมืองสืบแทน

อ้วนเสี้ยวครั้นแตกหนีโจโฉมาแต่กัวต๋อนั้นแล้ว จึงหนีมายังฝั่งแม่น้ำฮวงโหข้างทิศเหนือ ณ ลิหยง แลเดินทางไป ณ ค่ายเจียวหงีแม่ทัพนายกองของตัว ครั้นไปถึงก็กุมเอามือเจียวหงีไว้แล้วว่า "ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน ด้วยชีวิตของข้าเอง"

เจียวหงีมอบกระโจมแลทหารทั้งปวงในบังคับของตัวให้อ้วนเสี้ยวสิ้น แลทหารอ้วนเสี้ยวซึ่งแตกไปนั้นแจ้งว่าอ้วนเสี้ยวอยู่ ณ ค่ายเจียวหงี จึงพากันมา ณ ค่ายเจียวหงี

ฝ่ายเตียนห้อง มีผู้กล่าวต่อเขาว่า "ข้าพินิจดูเห็นว่าท่านจะต้องกลายเป็นคนสำคัญสืบไปในกาลภายหน้า" เตียนห้องจึงว่า "ท่านอ้วนเสี้ยวเปลือกนอกดูเสมือนหนึ่งมีใจกรุณาการุณย์ แต่ท่านอ้วนเสี้ยวนั้นหาใช่คนที่จะลืมสิ่งใดได้ แลจะเห็นความภักดีของข้านั้นก็หาเห็นไม่ แลข้าก็ได้เสนอความคิดทำให้ท่านอ้วนได้ความโกรธแค้นข้องใจเป็นหลายครั้ง หากท่านอ้วนเสี้ยวได้ชัยโจโฉที่กัวต๋อ ท่านจักต้องดีใจแลยกโทษผิดตัวข้าจนสิ้น แต่บัดนี้กาลกลับกลายว่าท่านอ้วนปราชัยโจโฉยับเยิน แลโกรธแค้นเป็นอันมาก เกลือกจะทำให้ความโกรธเกรี้ยวซึ่งซ่อนไว้เบื้องลึกนั้นเผยออกมา แลข้านั้นมิได้หวังจะยืนหยัดอยู่บนโลกนี้ได้อีกแล้วดอก"

ณ ค่ายอ้วนเสี้ยว ทหารอ้วนเสี้ยวพากันตีอกชกหัวแลร้องไห้อื้ออึงไป พลางว่า "หากการยุทธ์ที่กัวต๋อมีเตียนห้องด้วยแล้ว เราจักมิต้องทรมานเจ็บแค้นอยู่ด้วยการปราชัยเยี่ยงนี้เป็นมั่นคง"

อ้วนเสี้ยวจึงว่าแก่ฮองกี๋คนสนิทของตัวว่า "ชาวกิจิ๋วแจ้งความแล้วว่าเราพ่าย แลก็คงจะจำได้ว่าพวกมันนำเราไปผิดทาง แลเตียนห้องแต่คนเดียวนั้นไม่เห็นชอบ ยืนยันจะมิให้รบจงได้ แลทั้งนี้ซึ่งข้าจะพบหน้าเตียนห้องนั้นเกลือกจะได้ความเจ็บอาย" ฮองกี๋จึงว่า "ครั้นเตียนห้องแจ้งว่าท่านพ่ายถอยมา ก็ตบมือหัวร่อ ว่าทุกสิ่งเป็นไปตามความคิดตัวสิ้น" เพลาต่อมาอ้วนเสี้ยวจึงว่าแก่ลูกน้องว่า "ซึ่งเราไม่เห็นชอบความคิดเตียนห้องแลพ่ายแตกมาทั้งนี้ เห็นเตียนห้องจะหัวร่อเยาะเราเป็นมั่นคง" แล้วจึงให้เอาเตียนห้องไปฆ่าเสีย

อ้วนเสี้ยวตั้ง เบ้งต้าย (เมิ่งไต้...Meng Dai) คุมกองทัพตั้งมั่นไว้ ณ เย่ แทนสิมโพย ฮองกี๋ผู้ป้องกันกองทัพนั้นเป็นอริกันกับสิมโพยนานแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงไปว่ากับฮองกี๋เรื่องที่บุตรสองคนของสิมโพยถูกโจโฉจับไป เกลือกว่าสิมโพยคิดทุรยศขึ้น ฮองกี๋จึงว่า "สิมโพยจงรักภักดี แลเคารพธรรมเนียมแต่โบราณมา ซึ่งบุตรเพียงสองคนถูกจับไปแต่เท่านี้ มิอาจบีบเขาให้ทรยศท่านได้ดอก ซึ่งท่านจะระแวงสิมโพยนั้นข้าเห็นไม่ควร" อ้วนเสี้ยวจึงว่า "ท่านกับสิมโพยนั้นเป็นอริกันมาหรือมิใช่" ฮองกี๋จึงว่า "ซึ่งทะเลาะกันมาแต่ก่อนนั้นเป็นแต่เรื่องส่วนตัวกัน หากเวลานี้ท่านและข้ากำลังพูดคุยกันเรื่องของบ้านเมือง" อ้วนเสี้ยวจึงชมฮองกี๋เป็นข้อใหญ่ แลซึ่งระแวงสิมโพยแต่ก่อนก็หายสิ้น นับแต่นั้นสิมโพย ฮองกี๋ก็กลับกลายเป็นสหายรักกัน

อ้วนเสี้ยวโจมตีหัวเมืองกิจิ๋วซึ่งขบถต่อตัวเป็นหลายเมือง ยึดเอาเมืองนั้นๆเป็นของตัวสิ้น

ศักราชเจี้ยนอันที่ 7 อันเทียบเป็นศักราชสากลได้เป็นปี ค.ศ.202 โจโฉนำทัพไปตั้ง ณ กัวต๋ออีกครา

หลังจากอ้วนเสี้ยวพ่ายทัพแตกยับเยิน ณ กัวต๋อเป็นต้นมา อ้วนเสี้ยวก็ได้ความโกรธแค้นอดสูเป็นอันมาก จึงล้มป่วยเป็นไข้ใจลง อาการรุนแรงมากจนอ้วนเสี้ยวถึงกับรากโลหิตออกมา ต่อมาในหน้าร้อนเดือนห้าของศักราชเจี้ยนอันที่ 7 อ้วนเสี้ยวก็สิ้นชีพลง

แลก่อนอ้วนเสี้ยวจะตายนั้น ได้คิดจะมอบตำแหน่งของตัวให้กับอ้วนซงผู้บุตร หากแต่ยังมิได้ประกาศขึ้นเป็นทางการ แลส่งเอาตัวอ้วนถำบุตรใหญ่นั้นไปสืบอำนาจต่อจากผู้พี่อ้วนเสี้ยว (ซึ่งเป็นลุงอ้วนถำ) ในขุนนางที่ผู้ตรวจการเฉงจิ๋ว ชีสิว(ขณะนั้นยังไม่ถูกโจโฉจับได้)แจ้งความจึงว่า "ธรรมเนียมการแต่โบราณว่าไว้ หากคนนับหมื่นตามไล่ล่ากระต่ายป่า แลหากแต่ผู้เดียวจับเอากระต่ายนั้นไว้ คนซึ่งเหลืออยู่แลจับมิได้นั้นก็จักล้มเลิกไปเสียเอง ทั้งนี้ก็ด้วยการทั้งปวงถูกลิขิตไว้แล้ว แลอ้วนถำนั้นเป็นบุตใหญ่ของท่าน จำท่านจะให้เขาสืบตำแหน่งท่านจึงควร หากแต่ท่านกลับส่งเขาไปแดนไกล สืบไปภายหน้าการทั้งปวงจักวุ่นวายขึ้นเป็นมั่นคง" อ้วนเสี้ยวจึงว่า "ข้าอยากให้บุตรข้าได้ครองมณฑล แลข้าจะพิเคราะห์เองว่าผู้ใดเป็นเอกเหนือผู้อื่น" จากนั้นจึงตั้ง อ้วนฮีบุตรกลาง โกกันผู้หลาน เป็นที่ผู้ตรวจการมณฑลอิวจิ๋ว เป๊งจิ๋ว ตามลำดับเรียงไว้

ฮองกี๋ สิมโพยนั้นเป็นอริด้วยอ้วนถำ แลซินเป๋ง กัวเต๋านั้นชอบพออ้วนถำ ซินเป๋ง กัวเต๋า จึงมักพูดผิดใจกันกับสิมโพย ฮองกี๋อยู่เนืองๆ

ครั้นอ้วนเสี้ยวตาย ผู้ใต้บังคับอ้วนเสี้ยวทั้งปวงจึงจะให้อ้วนถำรับสืบตำแหน่งด้วยเป็นบุตรผู้ใหญ่ สิมโพยแลพรรคพวกจึงเกรงว่าอ้วนถำได้เป็นเจ้าเมือง แลซินเป๋ง กัวเต๋าจะทำอันตรายตัวได้ จึงเขียนหนังสือปลอมลายมืออ้วนเสี้ยว ใจความยกให้อ้วนซงเป็นทายาทสืบตำแหน่ง แลอ้วนถำเมื่อมาถึงก็มิอาจครองตำแหน่งต่อจากอ้วนเสี้ยวได้

อ้วนถำจึงไปตั้งค่ายมั่นลง ณ ลำหยง แลตั้งตนเป็นแม่ทัพราชรถแลทหารม้า อ้วนซงมอบทหารน้อยตัวให้อ้วนถำแลส่งฮองกี๋ไปให้ อ้วนถำแจ้งความจึงขอทหารเพิ่ม อ้วนซงมิให้ อ้วนถำโกรธให้เอาฮองกี๋ไปฆ่าเสีย

ฤดูใบไม้ร่วงเดือนเก้า ทหารโจโฉยกข้ามลำน้ำฮวงโหตีอ้วนถำ อ้วนถำจึงให้คนถือหนังสือไปหาอ้วนซงขอให้ช่วยเหลือตัว อ้วนซงแจ้งความก็ให้สิมโพยเฝ้าเมือง ส่วนตัวนำทัพหนุนอ้วนถำต่อรบโจโฉ อ้วนถำ อ้วนซงรบพ่ายโจโฉเป็นหลายครั้ง อ้วนถำ อ้วนซงจึงขับทหารให้ถอยเข้าที่มั่นของตัว

ศักราชเจี้ยนอันที่ 8 อันเทียบเป็นศักราชสากลได้ปี ค.ศ. 203 ฤดูใบไม้ผลิเดือนสอง อ้วนถำ อ้วนซงถูกโจโฉรุกไล่ตีอีกครา อ้วนถำ อ้วนซงพ่ายแตกหนีไป ณ เมืองเย่ตามเดิม

สองเดือนถัดมา(เดือนสี่) โจโฉตามตีอ้วนถำ อ้วนซงไป ณ เมืองเย่ แลเก็บเอาข้าวโภชน์ของพวกแซ่อ้วน

ขุนนางโจโฉทั้งปวงคิดต้องกัน จะใช้กำลังโจมตีอ้วนถำ อ้วนซงหักเอาซึ่งหน้า กุยแกไม่เห็นชอบจึงว่า "อ้วนเสี้ยวนั้นรักบุตรในอุทรตัวเป็นอันมาก หากแต่ยังมิประกาศว่าผู้ใดจักเป็นทายาทได้ ทั้งนี้อ้วนถำ อ้วนซงย่อมกลับเป็นศัตรูชิงอำนาจกัน แต่หากเราใช้กำลังหักทั้งสองหนักเข้า ทั้งสองจำจะต้องร่วมกำลังกัน แต่หากเราปล่อยพวกเขาไปเล่า พวกเขาจักขัดแข้งขัดขารบกันเองเป็นมั่นคง แลทั้งนี้หากเราแสร้งทำมุ่งหน้าลงใต้ จะชิงเอาเกงจิ๋ว ครั้นอ้วนถำ อ้วนซงรบกัน เราก็จักสามารถรบหักเอาพวกเขาไว้ในการรบแต่ครั้งเดียวเท่านั้นดอก"

โจโฉฟังแล้วให้ดีใจชื่นชมนักจึงว่า "ยอดเยี่ยมมาก"

เดือนห้า โจโฉให้เจียสินรักษาค่าย ณ ลิหยง แลตัวนั้นนำทัพกลับไปตั้งที่ฮูโต๋

ฝ่ายอ้วนถำจึงว่าแก่อ้วนซงว่า "อาวุธตัวเรานี้หาอันใดดีมิได้ จำต้องพ่ายแก่โจโฉก็ทั้งนี้ บัดนี้โจโฉถอยทัพ ซึ่งเราจะยกทัพตีโจโฉมิให้โจโฉข้ามฮวงโหไปได้ โจโฉก็จะพ่ายไปเป็นมั่นคง ซึ่งจะเสียโอกาสงามดังนี้ไปนั้นเราไม่เห็นด้วย"

อ้วนซงไม่เห็นชอบแลระแวงอ้วนถำ จึงทั้งไม่ให้อาวุธ ไม่เกณฑ์ทหารเพิ่มให้อ้วนถำ อ้วนถำแจ้งดังนั้นให้โกรธขึ้งเป็นกำลัง

กัวเต๋า ซินเป๋งจึงว่าแก่อ้วนถำว่า "ซึ่งท่านอ้วนเสี้ยวบิดาท่านส่งท่านไปเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของลุงท่านนั้น ก็ด้วยความคิดสิมโพย"

อ้วนถำจึงนำทหารเข้าต่อรบด้วยอ้วนซง ทหารสองฝ่ายสัประยุทธ์กันนอกเมืองเย่ ทหารอ้วนถำแตกพ่ายไป อ้วนถำให้ถอยทหารกลับไป ณ เมืองลำพี

อองสิ้วแห่งปักไฮ นำกำลังมาเสริมอ้วนถำ อ้วนถำจึงคิดจะรบอ้วนซงอีกคราหนึ่งจงได้ อองสิ้วแจ้งดังนั้นจึงว่า "พี่น้องอุปมาเหมือนหนึ่งกรขวาแลซ้าย ซึ่งจะต่อกรผู้อื่น กลับมาตัดเอาแขนขวาตัวทั้งนี้จะหมายชัยได้หรือ ทั้งนี้หากท่านมิร่วมใจด้วยน้องชายท่าน ที่ไหนราชสำนักจะมองท่านเป็นสัปปุรุสได้เล่า ขุนนางบางจำพวกซึ่งท่านเลี้ยงนั้นชอบใส่ความอ้วนซงอยู่เนืองๆ ก็ด้วยจะหาประโยชน์แก่ตัว แลหากท่านอ้วนถำ แลอ้วนซง ตัดศีรษะขุนนางซึ่งทำดังนั้นเสีย กลับปรองดองด้วยดี จักสามารถครองทั่วใต้หล้า ซึ่งท่านอยากได้สิ่งใดก็จะได้มาไว้ในกำมือเป็นมั่นคง" อ้วนถำกลับไม่เห็นชอบความคิดอองสิ้ว

มินานต่อมา มีขบถต่อต้านอ้วนถำเป็นอันมาก อ้วนถำจึงทอดถอนใจพลางว่า "บัดนี้ทั้งมณฑลขบถต่อต้านเรา เราทำผิดอันใดหรือ"

อองสิ้วจึงว่า "กวนถงเจ้าเมืองตงไหลนั้นจงรักภักดี ด้วยเมืองตงไหลก็ติดทะเลอยู่แล้ว กลับมิเข้าร่วมด้วยขบถ ทั้งนี้เห็นมิช้านานกวนถงจักมาช่วยท่านเป็นแน่" มินานถัดมา กวนถงมาช่วยอ้วนถำ แลบุตรภรรยากวนถงซึ่งอยู่ ณ เมืองนั้นก็ถูกขบถฆ่าตายสิ้น อ้วนถำจึงตั้งกวนถงเป็นที่เจ้าเมืองเล่ออัน

ต่อมา อ้วนซงนำทหารโจมตีอ้วนถำ อ้วนถำพ่ายแตกทัพยับเยิน ถอยไปตั้ง ณ เพงง้วนก้วน แลให้ทหารทั้งปวงปิดประตูเมืองจงมั่นคง อ้วนซงไล่ตามมาแลสั่งให้ทหารทั้งปวงล้อมเมืองไว้ อ้วนถำจึงให้ซินผีผู้น้องซินเป๋งไปขอให้โจโฉช่วยเหลือตัว

เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋วครั้นแจ้งความก็ไม่เห็นชอบ จึงเขียนหนังสือให้คนถือไปถึงอ้วนถำความว่า

"วีรชนมาตรว่าจะอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรงปานใด ซึ่งจะจำยอมเป็นมิตรด้วยขบถแผ่นดินนั้นไม่มี แลหากมิตรภาพสุดสิ้น จักมิอาจทำอันตรายต่อคนซึ่งอดีตเคยเป็นมิตร เหตุการณ์ซึ่งท่านรับนี้ข้าไม่แจ้งว่ารุนแรงปานใดดอก หากแต่ท่านกลับตั้งตัวเป็นอริด้วยอ้วนซงผู้ญาติชิด กลับไปมีไมตรีด้วยอริอ้วนเสี้ยวบิดาท่านเยี่ยงโจโฉ ข้าพินิจเห็นท่านปฏิบัติผิดไปจากคุณธรรมทั้งปวงซึ่งมีกันมาแต่ก่อน ซึ่งข้าเป็นไมตรีด้วยท่านนั้นบัดนี้ได้ความเจ็บอายเป็นอันมาก

มาตรว่าอ้วนซงดื้อด้านถือดี มิเกรงท่านผู้พี่ หากแต่ยอดผู้นำนั้น จะเอาเหตุเพียงนี้มามล้างความตั้งใจตัวหาควรไม่ ท่านจำจะยอมอ่อนให้อ้วนซง แลสนใจเพียงสิ่งซึ่งจักทำให้ท่านได้ความสำเร็จจึงจะควร แลเมื่อการทั้งปวงแล้วลงสิ้น ก็ให้ทั่วแผ่นดินตัดสินว่าผู้ใดถูกแลผิด ซึ่งข้าว่ามานี้เป็นแนวทางของผู้ทรงคุณธรรม"

แลเล่าเปียวยังเขียนหนังสือให้คนถือไปหาอ้วนซงอีกด้วย มีความว่า

"เหล็กแลไม้ น้ำแลไฟ ธาตุทั้งสี่นี้เป็นธาตุซึ่งส่งเสริมกันเองมาตรว่าจะขัดแย้งตรงข้าม แลคนทั้งปวงก็ใช้ธาตุทั้งนี้ร่วมกันอีกเล่า ขวนซึ่งคนทั้งปวงใช้ตัดเอาไม้มานั้น จำจะต้องมีด้ามไม้ไว้ แลน้ำซึ่งดับไฟมอดนั้น จำต้องถูกหุงด้วยไฟไว้ใช้หุงเอาข้าวแลอาหาร

อ้วนถำเป็นคนใจร้อนหุนหันพลันแล่น แลสับสนหารู้ผิดแลชอบไม่ แต่ยอดผู้นำจำจะมีใจกว้าง เปิดใจรับผู้อื่น ยอมอ่อนให้คนซึ่งอ่อนด้อยกว่าตัว แลยกโทษให้คนซึ่งประพฤติมิเหมาะมิควร บัดนี้การข้อใหญ่เอกคือกำจัดโจโฉศัตรูอ้วนเสี้ยวผู้บิดาท่านทั้งสอง ครั้นโจโฉถูกกำจัดสิ้น ท่านจึงมาคิดเอาผิดแลชอบจึงจะควร

แต่หากท่านมิเปลี่ยนใจเสียแต่นี้ สำมะหาแต่พวกฮวนเถื่อนก็จักเหยียดหยามท่าน แลที่ไหนตัวข้าจะรักษาสัตย์ซึ่งว่าไว้ว่าจะเป็นพันธมิตรแลช่วยเหลือท่านได้เล่า ซึ่งพวกท่านทำทั้งนี้เหมือนหนึ่งการครั้งโบราณมา ฮั่นฬ่อ(หันลู่...Han Lu)ซึ่งเป็นสุนัขล่าเนื้อเอกแห่งแผ่นดิน มัวแต่วิ่งไล่เอาตั๋งก๊กสวน(ตังกว๋อซวน...Dong Guo Zhuan)กระต่ายป่ายอดปราดเปรียวผ่านภูผาเป็นหลายภูผาทั้งวันแลคืน สุดท้ายหมดแรงล้มลงสิ้น แลชาวนาผู้หนึ่งเดินมาเห็นจึงจับเอาฮั่นฬ่อแลตั๋งก๊กสวนไปเป็นอาหารตัวทีเดียว"

แต่อ้วนถำ อ้วนซง ครั้นได้หนังสือเล่าเปียวแล้วก็เพิกเฉย หามีผู้ใดทำตามเล่าเปียวไม่

ฝ่ายซินผีมาถึงเซเป๋งก๋วน มอบหนังสืออ้วนถำให้โจโฉ ขุนนางโจโฉทั้งปวงจึงว่า "เล่าเปียวเข้มแข็งนัก จำจะพิชิตเล่าเปียวเสียก่อนจงได้จึงจะควร อ้วนถำ อ้วนซงนั้นหาสำคัญไม่ดอก"

ซุนฮิวจึงว่า "เล่าเปียวครองดินแดนเกงจิ๋วยอดยุทธศาสตร์ กลับนิ่งเฉยอยู่มิได้ทำการอันใดแต่สักอย่างนอกเหนือไปกว่ารักษาดินแดนของตัวไว้มั่น ดังนี้เห็นเล่าเปียวจะหาความทะยานกำเริบมิได้เลย แต่ตระกูลอ้วนเล่า ครองมณฑลถึงสี่มณฑล อ้วนเสี้ยวแต่ก่อนนั้นก็ใจบุญสุนทานเอาใจคนได้เป็นอันมาก หากอ้วนถำ อ้วนซงเป็นหนึ่งอันเดียวกันเข้า แผ่นดินนี้จักตกเป็นของอ้วนถำ อ้วนซงเป็นมั่นคง หากบัดนี้ทั้งอ้วนถำ อ้วนซงขัดข้อกัน ซึ่งจะปราบอ้วนถำ อ้วนซงขณะทั้งสองเป็นหนึ่งเห็นขัดสน แต่บัดนี้หากท่านโจโฉฉวยเอาโอกาสลงมือกำจัดทั้งคู่ก็จะได้โดยง่าย ซึ่งจะพลาดโอกาสงามดั่งนี้ไปเห็นไม่ควร" โจโฉก็เห็นชอบด้วย

ถัดจากนั้นสองสามวัน โจโฉก็กลับเปลี่ยนใจอีก แลคิดไปว่าจำจะโจมตีเอาเกงจิ๋วก่อน อ้วนถำ อ้วนซงนั้นจำให้สู้รบกันไปจึงจะชอบ ซินผีซึ่งเฝ้าดูโจโฉก็แจ้งความจึงไปหากุยแกพลางว่าความในใจต่อกุยแก แลกุยแกก็นำความซึ่งซินผีกล่าวนั้นไปว่าให้โจโฉฟัง

โจโฉจึงว่าแก่ซินผีว่า "เราจะไว้วางใจอ้วนถำได้หรือมิได้ประการใด แลซึ่งเราจะเอาชัยอ้วนซงนั้น จะได้หรือมิได้"

ซินผีจึงว่า "นายท่าน ซึ่งท่านจะระแวงอ้วนถำนั้นไม่ควร ชอบแต่จะมองแต่ฝีมือรบสงครามอ้วนถำจึงจะควร แลเมื่อพี่น้องต่อรบกันเอง ซึ่งจะคิดว่าตัวจะกลับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นนั้นเห็นไม่มี แลจะคิดแต่เพียงว่าครั้นเอาชัยข้าศึกเบื้องหน้าได้ จักได้ครองแผ่นดินแต่เท่านี้เองดอก

บัดนี้อ้วนถำให้ข้าถือหนังสือมาจะให้ท่านช่วย ท่านเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาอ่อนแอเพียงใด แลอ้วนซงนั้นมาตรว่าจะทำให้อ้วนถำได้ความลำบากก็ดี หากแต่จะหักเอาชัยอ้วนถำเด็ดขาดนั้นมิได้ ทั้งนี้เห็นทหารอ้วนซงหาแกล้วกล้าเข้มแข็งไม่แล้ว

ทหารทั้งปวงนั้นก็บอบช้ำด้วยพ่ายศึกมาแต่ก่อน ฮองกี๋ซึ่งเป็นที่ปรึกษานั้น อ้วนถำก็ให้เอาไปฆ่าเสียแล้ว อ้วนถำ อ้วนซงก็ให้ร้ายแลทะเลาะกันอยู่ แผ่นดินแซ่อ้วนนั้นก็แยกออกเป็นสอง ทหารอ้วนถำ อ้วนซงรบกันมาแต่เริ่มรบคุ้งเท่านี้เห็นเวลากว่าปีมาแล้ว ทหารก็ใส่แต่เสื้อผ้ามอซอโสโครก ดินนั้นก็แล้งนัก ตั๊กแตนก็ระบาดหนักนัก ภัยพิบัติเหตุทั้งปวงก็เกิดขึ้นอยู่ทั่วแว่นแคว้นแซ่อ้วน อาเพศทั้งนี้เห็นว่าฟ้าทอทิ้งแซ่อ้วนทั้งปวงลงแล้ว ซึ่งก็ด้วยเหตุซึ่งอ้วนถำ อ้วนซงรบกันนั้น คนทั้งปวงแจ้งอยู่สิ้นแล้ว บัดนี้เป็นเพลาซึ่งฟ้าทอดทิ้งอ้วนซงแล้ว

หากท่านจะนำทหารไป ณ เย่(Ye) อ้วนซงจำจะต้องกลับไปกันเมืองของตัวให้มั่นคงไว้ แลเมื่ออ้วนซงยกทัพไป อ้วนถำจักเคลื่อนพลตามตีเอาอ้วนซง ทั้งนี้ทัพอ้วนถำแลอ้วนซงก็จักได้ความบอบช้ำลงอีก แลด้วยอำนาจท่าน อุปมาเหมือนหนึ่งพายุกัมปนาศรุนแรงพัดเอาใบไม้ซึ่งหล่นจากต้นมาแต่ในกาลฤดูใบไม้ร่วงนั้นไปสิ้น ทั้งนี้เห็นฟ้าจะเอาชีวิตอ้วนซงไว้แต่ในกำมือท่านแล้วเป็นที่มั่นคง

แต่หากท่านละเลยทิ้งโอกาสเสีย แลเคลื่อนพลลงใต้โจมตีเอาเกงจิ๋ว ดินแดนแซ่อ้วนทั้งปวงก็จักกลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม การปกครองก็กลับมั่นคงเข้าดังเก่า กาลครั้งโบราณมาแล้ว จงฮ่วย (จงฮุย...Zhong Hui) ว่าไว้ว่า จะยึดเอาดินแดนนั้น ยึดเอาจากคนซึ่งสับสนอยู่ แลกำจัดคนซึ่งถึงแก่กาลพินาศให้เด็ดขาดจึงจะชอบ อ้วนถำ อ้วนซงนั้นเป็นคนสับสนแลถึงแก่พินาศ ด้วยอ้วนถำ อ้วนซงจะคิดการเตรียมรับศึกจากข้างนอกนั้นหามิได้ คิดแต่จะเอาชัยอีกฝ่ายซึ่งเป็นพี่น้องกันเท่านั้นเองดอก ทั้งนี้เห็นอ้วนถำ อ้วนซงก็กำลังสับสนอยู่ แลคนซึ่งติดตามอยู่ด้วยอ้วนถำ อ้วนซงนั้นหาข้าวสักมื้อก็มิได้ ทั้งนี้ก็ดั่งหนึ่งเป็นคนถึงกาลพินาศ ยามเช้า คนทั้งปวงก็หวาดหวั่นถึงการภายหน้าของตัวเวลาค่ำมิได้ขาดแต่สักวัน ไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวงก็หามีหนทางอันใดจะเอาชีวิตรอดได้ไม่

ซึ่งท่านจะละโอกาสนี้เสีย จะรอไปอีกสักปีหนึ่งนั้นไม่ควร ด้วยปีหน้าการเก็บเกี่ยวจักมาถึงอีก แลอ้วนถำ อ้วนซงจะคิดแก้ข้อผิดตัวก็จะได้ แลร่วมกำลังกันฟื้นอำนาจขึ้นก็จะได้อีก แลโอกาสซึ่งท่านจะใช้ทหารทัพนั้นก็จะเสียไป

อุบายซึ่งเป็นชั้นเอกนั้น เห็นแต่จะให้ทำการตามความคิดอ้วนถำ นำทหารท่านไปช่วยอ้วนถำไว้ก่อน ในบรรดาอริท่านทั้งปวง จะหาผู้ใดน่าเกรงขามเสมอดินแดนข้างอุดรแห่งลำน้ำฮวงโหเป็นไม่มี หากท่านเอาดินแดนนี้ไว้ ทหารท่านก็จักเข้มแข็งเป็นอันมาก คนทั้งปวงก็จักเกรงอำนาจท่าน"

"ยอดมาก" โจโฉว่า แลทำสัญญาเป็นไมตรีอ้วนถำ

ครั้นอ้วนซงแจ้งว่าโจโฉข้ามลำน้ำฮวงโหมาแล้ว จึงถอนทัพตัวเสีย ยกออกจากเพงง้วนก้วนตรงกลับไปยังเมืองเย่ (Ye)

มีผู้ใต้บังคับอ้วนซงเป็นขบถขึ้นสองนาย คือลิกองหนึ่ง เกาหินหนึ่ง (เก๋าซิ่ง...Gao Xing) อยู่ต่อมา อ้วนถำส่งตราสำหรับที่แม่ทัพผนึกให้ลิกอง เกาหิน โจโฉจึงคิดขึ้นว่าอ้วนถำเป็นอาสัตย์คิดมิซื่อ แลจะคิดเป็นกลให้อ้วนถำตายใจก่อน จึงให้โจเจ๋ง (เฉาเจ็ง..Cao Zheng) ผู้บุตรให้ไปแต่งงานด้วยบุตรสาวอ้วนถำ ครั้นแล้วจึงนำทัพกลับไป

ฝ่ายซุนกวนซึ่งตั้งอยู่ฟากกังตั๋งนั้น นำทัพยกไป ณ ข้างทิศประจิม ต่อรบด้วยหองจอเจ้าเมืองกังแฮ ทัพหองจอถูกซุนกวนตีแตกพ่ายเหลือก็แต่ป้อมปราการหองจอ หากแต่เกิดโจรภูเขาขึ้น ณ ง่อ ซุนกวนจำต้องถอยทัพกลับไปเมืองของตน ต่อมาซุนกวนปราบโจรทั้งหมดลงสิ้น

ครั้นอยู่มา ชาวเมืองเจี้ยนอัน (Jian’an) หันซิ่ง (Hanxing) แลลำเป๋ง (Nanping) เป็นขบถขึ้น หัวเมืองขบถนั้นมีทหารกว่าหมื่นนาย ซุนกวนแจ้งความจึงให้โฮคี (เหอฉี..He Qi) ซึ่งเป็นที่แม่ทัพใหญ่ข้างทักษิณแห่งห้อยแขโจมตีกบฏจงสิ้น โฮคีรบชนะพวกขบถราบคาบ อาณาประชาราษฎรก็ได้ความสุข และยังเกณฑ์เอาทหารได้อีกเป็นหลายพันนาย ซุนกวนแจ้งความจึงให้เลื่อนที่โฮคีเป็นที่ขุนพลปราบปรามการข้างทิศบูรพา

ครั้นล่วงเข้าศักราชเจี้ยนอันที่ 9 ซึ่งเทียบเอาเป็นศักราชสากลได้เป็นปี ค.ศ. 204 ในฤดูใบไม้ผลิเดือนแรก โจโฉนำทหารข้ามลำน้ำฮวงโห แลให้กั้นแม่น้ำกีชุย ทดน้ำเข้าสู่ลำคลองโบ๋ (Bo) ทั้งนี้ก็ด้วยจะสร้างเส้นทางสำหรับขนส่งข้าวปลาเสบียงอาหารทั้งปวง

ครั้นถึงเดือนถัดมา (เดือนที่ 2) อ้วนซงนำทัพโจมตีอ้วนถำ ณ เพงง้วนก้วน โดยให้สิมโพยหนึ่ง ซัวฮิวหนึ่ง รักษาเมืองเย่ (Ye) ไว้จงมั่นคง โจโฉนำทหารไปตามลำน้ำง้วน (หยวน..Yuan) โซฮิวแจ้งความจึงคิดเอาใจออกหากจะไปเข้าด้วยโจโฉ หากแต่แผนแตกมีผู้แจ้งความก่อน จึงออกจากเมืองไปหาโจโฉ

ฝ่ายโจโฉมุ่งหน้าไป ณ เมืองเย่ แลจะสร้างเนินเขา อุโมงค์สำหรับจะโจมตีเอาเมืองจงได้

อินไก๋ ผู้ใต้บังคับอ้วนซง รักษาค่ายอยู่ ณ มอเสีย แลเป็นพนักงานคุมเสบียงจาก Shangdang

ล่วงเข้าฤดูร้อน เดือนสี่ โจโฉสั่งให้โจหองคุมทหารรบเมืองเย่ ส่วนโจโฉนำทหารไปตีอินไก๋แตกไป เมื่อนำทัพกลับก็ไปรบด้วยจองกี๋ผู้ใต้บังคับอ้วนซง ณ หันตั๋น (หานตาน...Han Dan) จองกี๋รบพ่ายแตกไป เมืองหันตั๋นนั้นโจโฉก็เข้ายึดได้เป็นสิทธิ์แก่ตัว

อยู่ต่อมา ฮั่นฟ่าน(หันฟ่าน...Han Fan) นายอำเภอยิหยาง(Yiyang)หนึ่ง แลเหลียงคี (เลี่ยงฉี...Liang Qi) นายอำเภอชี (She) ยอมสามิภักดิ์ยกเมืองของตัวให้โจโฉสิ้น

ซิหลงจึงว่า "ซึ่งพวกแซ่อ้วนพ่ายไปครั้งนี้เห็นจะพ่ายไม่เด็ดขาดทีเดียว หัวเมืองเป็นหลายเมืองคิดสามิภักดิ์ แลรอดูอยู่ว่าท่านจะทำประการใดแก่เจ้าเมืองซึ่งสามิภักดิ์ทั้งสอง ชอบแต่ท่านจะให้บำเหน็จต่อทั้งสองเป็นอันมากจึงจะควร ด้วยจะให้เมืองทั้งปวงสามิภักดิ์ท่านเป็นหลายเมืองอีก" โจโฉเห็นชอบด้วย แลทำตามซิหลงว่า เลื่อนที่หันฟ่านแลเหลียงคีเป็นเหา (Marquis)

เตียวเอี๋ยนหัวหน้ากองทัพภูผาดำส่งทูตไปหาโจโฉให้สนับสนุนตัว โจโฉจึงเลื่อนที่เตียวเอี๋ยนขึ้นเป็นที่แม่ทัพผู้พิทักษ์ไว้ซึ่งความสงบทางข้างทิศอุดร

ครั้นถึงเดือนห้า โจโฉจึงสั่งให้รื้อเนินเขาแลอุโมงค์ซึ่งสร้างไว้สำหรับจะตีเมืองเย่ทิ้งเสียสิ้น แลสั่งให้ขุดคูความยาวได้ประมาณสักสี่สิบลี้ โจโฉสั่งให้ขุดแต่คูตื้นเขิน ดูดั่งว่าจะข้ามไปก็ง่าย สิมโพยเห็นดังนั้นก็หัวเราะอยู่ มิได้ทำประการใด หากแต่ในราตรีนั้นเอง โจโฉก็กลับขุดคูนั้นต่อ เป็นคูกว้างแลลึกถึงยี่สิบฟุตเท่ากัน และให้ทดน้ำจากลำน้ำเตี๋ยว (จาง..Zhang) เข้ามายังคูซึ่งขุดนั้น ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนล้มตายด้วยอดข้าวปลาอาหารนั้นไปถึงกึ่งหนึ่ง

ครั้นถึงฤดูใบไม้ร่วง เดือนเจ็ด อ้วนซงนำทหารหมื่นนายกลับมาจะช่วยเมืองเย่ แลก่อนอ้วนซงจะเข้ามาถึงนั้น ด้วยจะแจ้งให้สิมโพยทราบก่อน จึงให้ลีหูเข้าไป ณ เมืองจงได้

ลีหูจึงหักคฑาตัวเสียผูกเข้ากับหลังม้า เอาผ้าโพกศีรษะเสีย แลนำทหารม้าไปแต่สามคน มุ่งเดินทางยามราตรีจะเข้าเมืองเย่ แสร้งว่าตัวนั้นเป็นที่ผู้ตรวจการกองทัพสำหรับดูแลวินัยทหาร ลีหูผ่านค่ายโจโฉทางข้างทิศเหนือซึ่งล้อมเมืองเย่อยู่ มุ่งไปข้างทิศตะวันออก แลหากลีหูตรวจพบทหารในหอสังเกตการณ์ซึ่งเป็นโทษผิดวินัยก็ให้ทำโทษทหารนั้นเสียมิได้ละเว้นแต่สักครั้ง ทั้งนี้ลีหูจึงผ่านค่ายทหารโจโฉมาจนถึง ณ ค่ายทหารโจโฉซึ่งล้อมเมืองอยู่ข้างประตูเตียว(จาง..Zhang)แห่งเมืองเย่ แลพบทหารโจโฉซึ่งเป็นโทษ จึงให้มัดทหารโทษนั้นไว้ด้วยกัน จึงสามารถเปิดแนวทหารซึ่งล้อมเมืองอยู่ได้ ลีหูจึงขับม้าควบไปยังประตู แลตะโกนเรียกทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ข้างใน ทหารยามแจ้งว่าลีหูมา ก็เอาเชือกผูกเอาลีหูดึงตัวขึ้นไป ลีหูก็เข้าไปยังเมืองเย่ได้

ครั้นสิมโพยแลคนอื่นๆนั้นได้แจ้งว่าลีหูมาถึง จึงร้องไห้ด้วยยินดีนัก แลตีกลองศึกขึ้นแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า "ทรงพระเจริญหมื่นๆปี" โจโฉได้แจ้งความก็หัวเราะแล้วว่า "ทหารอ้วนซงเป็นแต่หาทางเข้าไปเมืองได้ แต่จะหาทางออกไปจากเมืองของตัวนั้นหามิได้"

ลีหูคิดขึ้นได้ว่าโจโฉจะให้ล้อมเมืองไว้แน่นหนาหนักไปกว่าเก่า ซึ่งจะใช้ลูกไม้เดิมหลบออกไปนั้นเห็นขัดสน จึงให้สิมโพยเอาคนแก่แลฝีมืออ่อนนั้นออกไปเสียจากเมืองก่อน ด้วยคิดจะให้ประหยัดเสบียงไว้ ราตรีนั้นพวกเขาจึงเลือกคนเป็นหลายพัน ให้ถือธงขาวทุกตัวคน ให้ออกไปทางสามประตูเมืองเพื่อสามิภักดิ์ แลลีหูนั้นจึงนำทหารม้าสามนายของตัว แต่งกายให้ดูดั่งชาวบ้านซึ่งสามิภักดิ์นั้น ปะปนไปด้วยชาวบ้านทั้งปวงในความมืด ทั้งนี้ลีหูจึงออกไปจากเมืองเย่ได้

ครั้นอ้วนซงมาถึง ขุนนางโจโฉจึงว่า "ครั้นกองทัพยกมาถึงเมืองแล้ว เห็นพวกเขาจะต่อสู้ก็เพื่อตัว ชอบแต่จะหลบเลี่ยงเสียก่อน" โจโฉจึงว่า "หากอ้วนซงจะนำทหารมาทางถนนใหญ่ ก็ชอบแต่จะถอยหลบเสียตามคำท่าน แต่หากอ้วนซงนำทหารทั้งปวงยกมาทางเนินเขาข้างประจิม จักจะเอาชัยอ้วนซงได้เป็นแน่"

ครั้นแล้ว อ้วนซงก็นำทหารยกมาแต่เทือกเขาข้างทิศประจิมตามความคิดโจโฉ อ้วนซงนำทัพยกไป ณ หมู่บ้านหยางผิง (Yangping) ข้างทิศบูรพา ซึ่งห่างจากเมืองเย่ประมาณสิบเจ็ดลี้ ให้ตั้งค่ายที่ริมแม่น้ำเปกตก แลให้จุดเพลิงสัญญาณเสียจะให้คนซึ่งอยู่ในเมืองรู้ว่าตัวมาถึง สิมโพยซึ่งอยู่ในเมืองแจ้งว่าอ้วนซงมา จึงนำทหารจะหักไปข้างทิศอุดร โจโฉแจ้งก็นำทหารไปรบสิมโพยได้ชัย สิมโพยแตกหนีเข้าเมือง

ฝ่ายอ้วนซงก็พ่ายแตกหนีไป ณ กู่ซัง (กู๋ซาง..Qu Zhang) ตั้งมั่นอยู่ ณ ที่นั้น โจโฉจึงให้ทหารทั้งปวงล้อมอ้วนซงเข้า แลก่อนโจโฉจะให้ตั้งล้อมนั้น อ้วนซงก็ให้คนมาหาโจโฉขอสามิภักดิ์ โจโฉก็ไม่รับไมตรีแลให้ลอ้มอ้วนซงจงแน่นหนายิ่งขึ้นไปกว่าเก่าอีก

อ้วนซงลอบหนีไปแต่ยามค่ำ จนไปถึง ณ เนินเขาเจ๋ (ฉี..Qi) โจโฉจึงนำทหารไปจะตั้งล้อมอ้วนซงอีก ครั้นทหารโจโฉอ้วนซงประจันกัน ม้าเอี๋ยน เตียวเอ๊ก แลแม่ทัพซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับอ้วนซงเป็นหลายคนก็ออกไปสามิภักดิ์โจโฉ ทหารอ้วนซงแตกกระจัดกระจายกันไป อ้วนซงแตกหนีไป ณ ตงสัน (จงชาน...Zhong Shan) โจโฉให้ยึดเอาสัมภาระอ้วนซง ได้ตราประทับ พู่ประดับ แลตราสำหรับที่อยู่ในห่อผ้าอ้วนซง แลนำของทั้งปวงนั้นไปแสดงต่อคนซึ่งอยู่ในเมืองเย่ ทหารเมืองเย่ทั้งปวงเห็นก็ให้เสียกำลังใจย่อท้อลงเป็นอันมาก

สิมโพยจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า "ให้ทหารทั้งปวงป้องกันเข้าจงแน่นหนา สู้ไปจนวาระสุดท้าย ทหารโจโฉนั้นกำลังประสบปัญหา แลอ้วนฮีก็กำลังนำทหารมาหนุนเข้า ณ เมืองนี้ เป็นไฉนจักต้องวิตกไปว่าสิ้นผู้นำแล้วเล่า"

ครั้นโจโฉมาตรวจพลทหารซึ่งให้ตั้งล้อมเมืองไว้ สิมโพยจึงให้พลเกาฑัณฑ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่นั้นยิงเกาฑัณฑ์ใส่โจโฉ พลเกาฑัณฑ์ก็พาดสายยิงไป ลูกเกาฑัณฑ์ปักเข้าห่างจากตัวโจโฉแต่หน่อยหนึ่ง

สิมเอ๋งผู้หลานสิมโพย เป็นที่ขุนพลประจำประตูเมืองข้างทิศตะวันออก ครั้นเดือนแปด วันที่สิบสามกันยายน สิมเอ๋งก็เปิดประตูเมืองเสียในยามราตรี ให้ทหารโจโฉบุกเข้าเมืองได้ สิมโพยก็รบด้วยทหารโจโฉ ณ ถนนในเมือง สุดท้ายสิมโพยก็พ่ายถูกทหารโจโฉจับเอาตัวไว้

ฝ่ายซินผีจะปล่อยตัวญาติของซินเป๋งซึ่งเคยถูกให้จำไว้แต่ก่อน ณ เมืองเย่ ครั้นโจโฉยึดเมืองเย่ได้ ซินผีกลับแจ้งความว่าญาติซินเป๋งทั้งปวงซึ่งเคยจำไว้นั้น สิมโพยฆ่าเสียสิ้นแล้ว ซินผีแจ้งความก็โกรธเป็นกำลัง

เวลานั้น ทหารโจโฉมัดเอาตัวสิมโพยไว้ คุมให้เดินไปที่เต็นท์พวกเขา ซินผีครั้นพบสิมโพยก็โกรธ จับแส้ม้าฟาดเอาหน้าสิมโพยแลสาปแช่งขึ้นว่า "เจ้าทาสชั่วชาติ บัดนี้ถึงที่ตายเจ้าเข้าแล้ว"

สิมโพยได้ฟังก็มองซินผีอยู่พลางพูดว่า "เจ้าสุนัขต่ำช้า ซึ่งมณฑลกิจิ๋วเราเสียครานี้ ก็ด้วยมีคนโฉดเยี่ยงเจ้า ซึ่งข้ามิอาจฆ่าเจ้าได้นั้นเสียใจนัก หากแต่ที่ไหนเจ้าจะมีสิทธิ์ขาดกำหนดชีวิตข้าให้อยู่แลตายเล่า"

มินานถัดจากนั้น โจโฉจึงให้หาสิมโพยเข้าไปแล้วจึงว่า "ครั้นเราขับม้าเข้าใกล้เมืองเย่ เจ้ายิงเกาฑัณฑ์เป็นหลายดอกใส่เรา"

สิมโพยจึงว่า "ซึ่งเจ้าว่านั้นข้าก็ให้เสียใจอยู่แล้ว ด้วยเกาฑัณฑ์ซึ่งยิงไปนั้นเห็นน้อยนัก"

โจโฉจึงว่า "แต่ก่อนมาเจ้าภักดีต่อพวกแซ่อ้วนนัก เจ้าจะสามิภักดิ์เราหรือหาไม่" สิมโพยก็มิยอม

มาตรว่าโจโฉจะให้ไว้ชีวิตสิมโพย แต่สิมโพยนั้นหยิ่งนัก แลยืนกรานดังเดิม ซึ่งจะก้มหัวขอร้องโจโฉนั้นหาไม่ ฝ่ายซินผีแลขุนนางอื่นๆพากันร้องไห้ขอให้โจโฉเอาสิมโพยไปฆ่า โจโฉจนใจจึงให้นำสิมโพยไปฆ่าเสีย

เตียวจี้เกี๋ยน (จางจี่เคี่ยน...Zhang Ziqian) ขุนนางซึ่งสาภักดิ์อยู่ก่อนนั้นเป็นอริกันกับสิมโพยมาแต่ก่อน ครั้นเห็นสิมโพยต้องโทษถูกจับดังนั้น จึงหัวเราะขึ้นแล้วว่า "บัดนี้เราอยู่เหนือไปกว่าเจ้าอีก สิมโพย"

สิมโพยจึงตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "ตัวเป็นแต่คนทุรยศอาสัตย์ ส่วนตัวเราเป็นขุนนางสัตย์ซื่อ มาตรว่าเราจะตายก็ตามเถิด แต่เราจักมิแลกศักดิ์กับตัวเป็นอันขาดทีเดียว"

ครั้นสิมโพยมา ณ ลานประหาร จึงขอผินหน้าไปข้างทิศอุดร ด้วยอ้วนเสี้ยวผู้นายนั้นอยู่ข้างทิศอุดร

โจโฉมาทำพิธีไหว้ศพอ้วนเสี้ยวซึ่งตาย แลร้องไห้รักอ้วนเสี้ยวอยู่ โจโฉอุปการะภรรยาอ้วนเสี้ยวแลมอบสมบัติของแซ่อ้วนนั้นคืนไปสิ้น แลยังให้ผ้าไหม เสื้อผ้า แลข้าวปลาอาหารให้ด้วย

ในเดือนแปด พระเจ้าเหี้ยนเต้โปรดให้โจโฉเป็นที่เจ้าครองมณฑลกิจิ๋ว หากแต่โจโฉมิรับ แลยังใช้อำนาจในที่เจ้าครองมณฑลกิจิ๋วเหมือนแต่ก่อน

ครั้นต่อมา โจโฉตั้งซุนต่ำเป็นที่นายทหารคนสนิทมณฑลกิจิ๋ว แลจึงว่าแก่ซุนต่ำว่า "เราชันสูตรทะเบียนไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวงดูเห็นมีประมาณสามสิบหมื่นครัว ดินแดนแห่งนี้นับได้ว่าเป็นมณฑลใหญ่ทีเดียว"

ซุนต่ำจึงว่า "บัดนี้แผ่นดินล่มสลายสิ้น แลอ้วนถำ อ้วนซงสองพี่น้องนั้นก็นำทหารรบพุ่งกัน อาณาประชาราษฎรกิจิ๋วก็ล้มตายลงเป็นอันมาก แต่ข้าจะได้ยินท่านเอาใจใส่ถามไถ่ทุกข์สุขแลเปลื้องทุกข์ให้พลเมืองทั้งปวงหามิได้ แลท่านยังคิดถามไถ่แต่จำนวนพลซึ่งจะเอาไปเกณฑ์เข้าเป็นทหารอีกเล่า ความซึ่งท่านถามนี้ท่านพิจารณาแจ้งอยู่ว่าเป็นคำถามชั้นเอกจะแน่อยู่หรือ แลราษฎรกิจิ๋วทั้งปวงจักต้องการดังนี้หรือหาไม่เล่า" โจโฉฟังความซุนต่ำว่าดั่งนั้นก็ให้ละอายนักจึงว่า "ซึ่งท่านว่านี้เราขอบใจท่านนัก"

ฝ่ายเขาฮิวมีใจกำเริบขึ้น ด้วยการทั้งปวงล้วนเป็นไปตามความคิดตัวสิ้น แลครั้งหนึ่งโจโฉให้ขุนนางทั้งปวงไปประชุม เขาฮิวจึงไปประชุมด้วย แลจึงว่าแก่โจโฉเป็นถ้อยคำโอหังว่า "อาหม่าน(Aman...ชื่อแต่ครั้งเยาว์ของโจโฉ อันธรรมเนียมจีนนั้น ซึ่งจะเรียกชื่อแต่เด็กจักผิดธรรมเนียมมิสุภาพไป หากมิได้เป็นสหายสนิทรักกันเป็นอันมากแล้ว บางคราจักโกรธเป็นอริกันไปทีเดียว) ในสายตาข้า ท่านก็ยังหาได้ครองมณฑลกิจิ๋วไม่ดอก"

โจโฉจึงว่า "ซึ่งท่านว่านั้นก็ชอบอยู่แล้ว"

หากแต่อยู่ต่อมา เขาฮิวมีใจกำเริบหนักยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า กระทำการโอหังจนโจโฉให้รำคาญใจนัก โจโฉจึงให้เอาตัวเขาฮิวไปฆ่าเสีย

(บางแห่งจารึกไปว่า เขาฮิวมีใจกำเริบ แลไปว่ากล่าวเคาทูทหารเอกโจโฉเป็นข้อหยาบช้า เคาทูฟังเขาฮิวว่ากล่าวตัวหยาบช้าก็โกรธ จึงตัดศีรษะเขาฮิวหิ้วมาให้โจโฉ)

โกกันสามิภักดิ์โจโฉ ยกมณฑลเป๊งจิ๋วให้โจโฉสิ้น โจโฉจึงตั้งโกกันเป็นที่ผู้ตรวจการมณฑล

ขณะมื่อโจโฉให้ทหารตั้งล้อมเมืองเย่อยู่นี้ อ้วนถำฉวยโอกาสยึดเอาเมืองกานเหลง(กานหลิง..Gan Ling)หนึ่ง เมืองอานเป๋ง(อันผิง...An Ping)หนึ่ง เมืองโป๋ไห่ (โปไห่..Bo Hai)หนึ่ง เมืองโฮเตี๋ยน (เหอเจียน...He Jian) หนึ่งรวมสิ้นเป็นสี่เมืองเข้าเป็นสิทธิ์แก่ตัว แลยังจะตีเอาอ้วนซงซึ่งตั้งอยู่ ณ จงซาน(จงซาน..Zhong Shan) อ้วนซงแตกหนีไปอยู่ด้วยอ้วนฮี ณ กูอั๋น (Gu’an) อ้วนถำจึงรวมทหารอ้วนซงเข้าแล้วนำทหารกลับไปตั้งค่ายขึ้นอยู่ ณ หลงสิ้ว (หลงโซว...Long Cou)

โจโฉแจ้งดังนั้นจึงเขียนหนังสือให้คนถือไปให้อ้วนถำ ในหนังสือมีความจะขอโทษด้วยจำต้องเลิกข้อซึ่งตกลงไว้แต่ก่อนนั้นเสีย ให้เลิกงานมงคลของโจโฉ อ้วนถำอีกด้วย แลโจโฉก็ให้ส่งเอาตัวบุตรสาวอ้วนถำซึ่งจะแต่งกับบุตรตัวนั้นกลับไป แล้วจึงนำทหารโจมตีอ้วนถำ

ถึงเดือนสิบสอง ทัพโจโฉตั้งอยู่ ณ เจ๋เหมิน(ฉีเหมิน..Qi Men) อ้วนถำยึดเอาเพงง้วนก้วนได้ หากยกทัพกลับไป ให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ริมลำน้ำฉิง(Qing) ณ ลำพี

ครั้นโจโฉถึงเมืองเพงง้วนก้วน จึงให้ตั้งแม่ทัพนายกองสำหรับควบคุมหัวเมืองทั้งหลาย

โจโฉแนะให้ตั้งกองซุนตู้เป็นที่แม่ทัพซึ่งหนักแน่น สง่างาม แลจะให้เป็นที่ขุนนางเหา(Marquis)แห่งยงเหลง(หย่งหนิง..Yong ning)อีก กองซุนตู้จึงว่า "ซึ่งข้าครองเลียวตั๋ง(เหลียวตง...Liao Dong)นั้นก็เหมือนหนึ่งเป็นที่อ๋อง แลยงเหลงนั้นเป็นที่อันใดเล่า" แล้วจึงเก็บตราแลพู่สำหรับที่ในคลังอาวุธของตัว

ปีนั้นเอง (ศักราชเจี้ยนอันที่ 9 อันเทียบเป็นศักราชสากลได้เป็นปี ค.ศ.204) กองซุนตู้สิ้นชีพ กองซุนของผู้บุตรครองอำนาจแทนบิดา แลกองซุนของจึงให้ตั้งกองซุนก๋งผู้น้องตัวเป็นที่ขุนนางเหา(Marquis)แห่งยงเหลง

ด้วยตันเจียว (เตียนจ้าว...Qian Zhao) มีอำนาจควบคุมเผ่าทั้งปวงซึ่งอยู่ในบังคับแซ่อ้วน โจโฉจึงให้ตันเจียวไป ณ เล่าเสีย (หลิวเฉิง...Liu Cheng) ด้วยจะให้ตันเจียวคุมพวกฮวนเถื่อนทั้งปวงซึ่งอยู่ ณ ที่นั้น

ขณะนั้น เจียวอ๋องนามสุปู้เอี๋ยน (ซูปูหยัน..Supuyan) ให้เกณฑ์ทหารม้าจากทหารทั้งปวงได้สามพัน จะยกไปหนุนอ้วนถำ แลกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋งนั้นแจ้งความจึงส่งฮันต๋งมาเอาตราสำหรับที่ซ่านหยู( Shanyu )มอบให้เจียวอ๋อง

เจียวอ๋องจึงถามตันเจียวไปว่า "เพลาหนึ่งท่านอ้วนเสี้ยวว่าต่อเราว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้มีโองการให้ตั้งเราเป็นที่ซ่านหยู แลบัดนี้ท่านโจโฉก็ว่าจะให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งเราเป็นที่ซ่านหยู แลมีตราสำหรับที่เป็นขบวนมาแต่เลียวตั๋งนั้นอีกเล่า ข้าจะเลือกเอาผู้ใดจึงจะควร"

ตันเจียวจึงว่า "แต่ก่อนนั้นท่านอ้วนเสี้ยวมีที่สำหรับว่าราชการแลอำนาจซึ่งจะตั้งท่านได้ แลต่อมาท่านอ้วนเสี้ยวกลับขัดราชโองการ บัดนี้ท่านโจโฉขึ้นแทนที่เสียแล้ว แลท่านโจโฉก็จะให้ท่านได้เป็นที่ซ่านหยูด้วยเต็มใจอยู่ ดินแดนฮวนเถื่อนเช่นเลียวตั๋งยังจะมีดีพออยู่หรือ จึงจะตั้งท่านเป็นที่ซ่านหยูได้"

ฮันต๋งจึงว่า "เลียวตั๋งของเราตั้งข้างทิศบูรพาของห้วงสมุทรกว้างไพศาล ทหารนับได้ร้อยหมื่น แลชนเผ่าฮวนฝูหยู(Fuyu) ฮุ่ย(Hui) แลโหม่(Mo) ซึ่งเป็นไมตรีพร้อมช่วยหนุนเลียวตั๋งรบ ทุกวันนี้ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นเจ้า โจโฉมีอันใดพิเศษกว่าคนทั้งปวงเล่า"

ตันเจียวจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า "ท่านโจโฉเป็นขุนนางสัตย์ซื่อ ควรแก่การเคารพนับถือ ทั้งยังเพียบพร้อมปัญญา เข้าใจสถานการณ์ได้ดีอีกเล่า ท่านโจโฉยังหนุนหลังพระเจ้าเหี้ยนเต้ ปราบปรามพวกขบถ แลดีต่อคนซึ่งสามิภักดิ์ อาณาประชาราษฎรทั่วแผ่นดินก็ได้ความสุข อันตัวแลนายตัวนั้นล้วนหาปัญญามิได้ กลับกล้าขัดรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ หลบอยู่ในมุมมืดห่างไกลพระเจ้าเหี้ยนเต้ หาเชื่อรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่ แลยังจะแอบอ้างพระราชอำนาจพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก้าวก่ายราชกิจพระองค์อีกเล่า โทษตัวนั้นชอบแต่จะให้ตัดศีรษะเสีย เป็นไฉนตัวยังทำองอาจหยาบช้า แลกล่าวเป็นถ้อยดูหมิ่นวีรชนฉะนี้อีกเล่า" ครั้นตันเจียวว่าดังนั้น ก็จับเอาคอฮันต๋งผลักล้มลงไป แลชักเอาดาบจากฝักจะตัดเอาศีรษะฮันต๋ง

เจียวอ๋องเห็นดังนั้นก็ให้ตื่นตระหนก จึงวิ่งบาทเปล่าไปยึดเอาตัวตันเจียวไว้ ขอให้ละโทษตายฮันต๋งเสีย ขุนนางในบังคับเจียวอ๋องทั้งปวงก็หน้าซีดเผือกไปสิ้น

ตันเจียวจึงเดินกลับไปที่นั่งตัว แลว่าแก่เจียวอ๋องแลขุนนางเจียวอ๋องทั้งปวงว่า "ผู้ใดจักแพ้แลชนะ แลจะคล้อยตามผู้ใดดีนั้น ท่านทั้งปวงยังจะแจ้งอยู่หรือประการใด"

ขุนนางทั้งปวงฟังคำตันเจียวว่าดังนั้น ก็ลุกจากที่นั่งตัว คุกเข่าลงกับพื้น แลรับฟังคำตันเจียวโดยเคารพนับถือ

เจียวอ๋องจึงขออภัยทูตเลียวตั๋ง แลให้เลิกทหารสำหรับจะไปหนุนช่วยอ้วนถำนั้นเสีย

ฝ่ายข้างเมืองกังตั๋ง อิหลำ ไต้อ้วนคิดเป็นขบถ ฆ่าซุนเซียงเจ้าเมืองตันเอี๋ยง แลอิหลำนั้นบังคับจะให้เคาฮูหยินภรรยาม่ายซุนเซียงแต่งงานด้วยตัว เคาฮูหยินจึงคิดเป็นกลกับซุนโก๋ เปาเอ๋ง สังหารอิหลำ ไต้อ้วน ครั้นซุนกวนแจ้งความก็ให้บำเหน็จซุนโก๋ เปาเอ๋งเป็นอันมาก

ล่วงเข้าศักราชเจี้ยนอันที่ 10 อันเทียบเป็นศักราชสากลได้ปี ค.ศ.205 ฤดูใบไม้ผลิเดือนแรก โจโฉนำทหารเข้าตีลำพี อ้วนถำจึงนำทหารต่อรบด้วยโจโฉ ทหารป่วยเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉจึงคิดทุเลาการรบให้พักไว้ก่อน โจซุนจึงว่า "ทัพเราตั้งอยู่ห่างที่มั่นไกลนัก ทหารล้ำเข้าแดนศัตรูเห็นเป็นทางไกลมากอยู่ ซึ่งจะตั้งค่ายทัพทหารยื้อไปนานนั้นเห็นขัดสนนัก ชอบแต่จะนำทหารทั้งปวงเดินหน้าต่อ ซึ่งจะถอยทัพโดยหาชัยไม่นั้น ก็จะได้ความอัปยศ" แลจึงตีกลองศึกต่อสู้ไปอีก ทหารโจโฉก็ได้ชัยการศึก อ้วนถำแตกหนีจะเอาตัวรอด โจโฉจึงให้ทหารไล่ตามไปฆ่าอ้วนถำตาย

ลีหูตั้งตัวเป็นที่ขุนนางอาลักษณ์กิจิ๋ว ซึ่งเป็นตำแหน่งแต่เดิมมาของลีหูภายใต้อ้วนซง แลลีหูจึงขอเข้าพบโจโฉพลางว่า "ณ เมืองกิจิ๋วนี้ ผู้แข็งแกร่งก็ข่มเหงเอาคนอ่อนแอกว่าตัว คนทั้งปวงก็เกรงกลัวหวาดระแวงไป ข้าเห็นควรท่านจะออกกฎสำหรับคนซึ่งสามิภักดิ์ แลคนซึ่งชาวเมืองเคารพนั้นให้ไปประกาศกฎท่าน"

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้ลีหูไปประกาศให้ชาวกิจิ๋วทั้งปวงทำการไปเป็นปกติดังแต่ก่อน ซึ่งทหารโจโฉจะทำให้ได้ความเดือดร้อนนั้นจักไม่มีเป็นมั่นคง อาณาประชาราษฎรกิจิ๋วทั้งปวงก็สงบอยู่

อยู่ต่อมา โจโฉจึงให้เอาตัวกัวเต๋าไปฆ่าเสีย ผู้ติดตามแลบุตรภรรยากัวเต๋านั้นก็ให้ฆ่าเสียสิ้น

อองสิ้วแจ้งว่าอ้วนถำตายก็ร้องไห้รักแล้วจึงว่า "ท่านอ้วนถำบัดนี้ก็ตายเสียแล้ว แลข้าจะไปหาผู้ใดเล่า" แลอองสิ้วจึงเข้าพบโจโฉ แจ้งความซึ่งจะขอนำเอาศพอ้วนถำไปทำพิธีฝังเสีย โจโฉก็อนุญาตให้ แลครั้นอองสิ้วฝังศพอ้วนถำแล้ว โจโฉจึงให้อองสิ้วไปอยู่ลีอั๋น(ลีอาน..Le’an)ดังแต่ก่อน ให้คอยดูแลข้าวปลาเสบียงทหาร

หัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในบังคับอ้วนถำสามิภักดิ์โจโฉสิ้น ยังแต่กวนถง (กวนต๋อง...Guan Tong) เจ้าเมืองลีอั๋น (หลีอาน..Le’an) ซึ่งยังตั้งแข็งเมืองอยู่ โจโฉแจ้งดังนั้นจึงสั่งให้อองสิ้วไปจับกวนถงฆ่าเสียจงได้ แต่ตัวอองสิ้วคิดอยู่ว่ากวนถงเป็นขุนนางสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงแก้มัดเชือกซึ่งผูกกวนถงเสีย แลส่งกวนถงไปหาโจโฉ โจโฉแจ้งว่ากวนถงมาก็โสมนัส แลยกโทษซึ่งกวนถงผิดมาแต่ก่อนให้ ครั้นแล้วโจโฉจึงเลื่อนที่อองสิ้วเป็นที่ขุนนางใต้สังกัดของตัว แลขณะนั้นโจโฉเป็นที่ขุนนางตำแหน่งซือคง

กุยแกเสนอให้โจโฉตั้งบัณฑิตซึ่งคนทั้งปวงลือกันว่ามีปัญญาของมณฑลเฉงจิ๋ว กิจิ๋ว อิวจิ๋ว เป๊งจิ๋วสี่หัวเมือง ด้วยจะให้ราษฎรทั้งปวงสนับสนุนการปกครองโจโฉ โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้ทำตามคำกุยแกว่า

ขณะเมื่อแซ่อ้วนพ่ายโจโฉ ตันหลิมขุนนางซึ่งเขียนสาส์นด่าว่าโจโฉเป็นถ้อยคำหยาบช้าถึงปู่แลบิดาโจโฉตามสั่งอ้วนเสี้ยวนั้นก็เข้ามาหาโจโฉ โจโฉเห็นตันหลิมมาจึงว่า "เมื่อตัวจะเขียนหนังสือให้อ้วนเสี้ยวนั้น หากตัวทำแต่จะใส่ความป้ายสีเราคนเดียวนั้นก็ชอบอยู่ เป็นไฉนตัวจึงว่ากล่าวใส่ความบิดาแลปู่เราเป็นถ้อยคำหยาบช้าเล่า" ตันหลิมจึงว่า "ขณะเมื่อข้าจะเขียนหนังสือให้อ้วนเสี้ยวนั้น ข้าเป็นข้ากินข้าวแดงอ้วนเสี้ยว แลเมื่อนายสั่งดังนั้น ข้าผู้บ่าวก็ชอบแต่จะคิดอ่านทำการให้สิ้นฝีมือ ซึ่งจะเขียนหนังสือกล่าวแจ้งโทษ กลับไปเขียนภาษาสละสลวยไพเราะงดงาม ที่ไหนคนซึ่งอ่านจะมีใจฮึกเหิมจับเอาอาวุธสำหรับมือขึ้นสู้เล่า จำจะเขียนให้คนซึ่งอ่านนั้นเกลียดคั่งแค้นเข้า การจึงจะลุล่วงแล้วไปได้"

โจโฉได้ฟังคำตันหลิมว่าจึงยกโทษตันหลิมเสีย แลตั้งตันหลิมเป็นที่หัวหน้าเลขาใต้บังคับโจโฉด้วยปราชญ์อีกหนึ่งเรียกว่า ง้วนอู๋ (หยวนหยู...Ruan Yu)

เจียวเหียหนึ่ง เตียวหลำหนึ่ง ทหารในบังคับอ้วนฮีเป็นขบถต่อเจ้านายตัว อ้วนฮีแลอ้วนซงจึงหนีไปอยู่ด้วยเผ่าอู๋หวน(หวูหวน..Wuhuan) ณ เลียวซี (เหลียวซี..Liaoxi)

เจียวเหียตั้งตัวเป็นที่ผู้ตรวจการอิวจิ๋ว แลจะให้ขุนนางทั้งปวงละพวกแซ่อ้วนเสีย หันมาสามิภักดิ์โจโฉ

คิดได้ดังนั้น เจียวเหียจึงให้นำทหารประมาณหมื่นเข้าพิธีสาบาน แลให้จัดม้าขาวเป็นเครื่องสังเวย แลจึงว่า "ผู้ใดทุรยศเป็นขบถขึ้น จักต้องถูกฆ่าเสียสิ้น" หามีขุนนางแลคนผู้ใดขัดขืนไม่ คนทั้งปวงก็นำโลหิตม้าสังเวยมาทาปากตัวเพื่อสาบานตามคำเจียวเหียว่า

ยังแต่ฮันฮองซึ่งเป็นนายทหารสนิทเมืองเลียวไสมิยอม แลจึงว่า "แซ่อ้วนสืบมาสองชั่วล้วนมีคุณแก่เราเป็นอันมาก ซึ่งแซ่อ้วนหนีจากไปนั้น เราจึงเป็นแต่ทุรชนต่ำช้าหาปัญญาไม่ แลมิเข้มแข็งพอจะสละชีวิตเพื่อแซ่อ้วนก็ตามเถิด แต่จะให้เราหันหน้าหาโจโฉแลสามิภักดิ์ก้มศีรษะยอมยกโจโฉเป็นนายเรานั้นเราไม่ยอม"

คนทั้งปวงฟังคำฮันฮองว่าดังนั้นให้หวาดกลัวหน้าซีดเผือกไปทุกตัวคน เจียวเหียจึงว่า "การชิ้นเอกจำจะทำด้วยความถูกต้อง แลคนแต่คนหนึ่งนั้นจะได้กระทบให้การแล้วแลล้มเหลวนั้นหามิได้ ให้ฮันฮองยึดหลักของตัวไปเถิด ด้วยฮันฮองจักเป็นขุนนางสัตย์ซื่อภักดีต่อเราทั้งปวง" เจียวเหียแลคนทั้งปวงก็หาทำประการใดฮันฮองไม่

เจียวเหียแลพวกเจียวเหียทั้งปวงก็พากันไปเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉ โจโฉจึงให้เลื่อนที่เจียวเหียแลคนทั้งปวงเป็นที่ขุนนางเหา(Marquis)

ปีเดียวกัน ฤดูร้อนเดือนสี่ เตียวเอี๋ยนหัวหน้าโจรทหารทัพภูผาดำ นำทหารประมาณกว่าแสนนายสามิภักดิ์โจโฉ แลโจโฉจึงเลื่อนที่เตียวเอี๋ยนขึ้นเป็นที่ขุนนางอังก๊กเหา(อานกว๋อโฮ่ว..Anguo Marquis)

แลเตียวตู๋(จ้าวตู้..Zhao Du)หนึ่ง งักนู่(Huo Nu)หนึ่ง แลคนอื่นๆคิดกันสังหารผู้ตรวจการอิวจิ๋ว แลเจ้าเมืองจิว(Zhou) แลขณะนั้นเผ่าอูหวนสามเผ่าก็นำทหารต่อรบด้วยเซี่ยนหยูฝู(Xianyu Fu)ที่กงเป๋ง(Gongping)

ขณะเมื่อล่วงสู่ฤดูหนาวเดือนแปด โจโฉนำทหารรบเตียวตู๋ แลฆ่าเตียวตู๋แลพรรคพวกเตียวตู๋ตายสิ้น โจโฉได้ชัยแล้วจึงขับทหารให้ข้ามแม่น้ำหลู่(Lu)ไปหนุนฝ่ายเซียนหยูฝู ณ กงเป๋ง แลพวกอูหวนจึงหนีกลับไปที่อยู่เดิมของตัว

โจโฉจึงว่าแก่ซุนฮกที่ปรึกษาว่า "หัวเมืองทั้งปวงข้างทิศประจิมยอมอ่อนน้อมเราแต่ในนามดอก หากที่จริงกลับคิดทุรยศขบถทุกเวลา เตียวเจ้ง(จางเจ็ง..Zhang Cheng)พาทหารออกปล้นราษฎรทั้งปวงให้ได้ความเดือดร้อน แลยังคิดกันกับเล่าเปียวแห่งเกงจิ๋วอีกเล่า เกลือกว่าคนทั้งปวงตามอย่างเตียวเจ้งหมด จะมิเป็นหนามยอกอกสำคัญของเราดอกหรือ

บัดนี้โฮต๋องเป็นดินแดนยุทธศาสตร์สำคัญแห่งแผ่นดิน ตัวท่านพอจะเสนอคนซึ่งปรีชาสามารถจะไปครองดินแดนโฮต๋อง ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความสงบสุขจะได้หรือมิได้ประการใด"

ซุนฮกจึงว่า "เตาจี๋(ตู้จี้..Du Ji)เจ้าเมืองสีเป๋ง(ซิผิง..Xiping)เป็นคนกล้าหาญแลปัญญาเฉลียวฉลาด จักต่อสู้ภยันตรายทั้งปวงแลคิดไขปัญหาทั้งหลายได้เป็นมั่นคง"

โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เลื่อนที่เตาจี๋เจ้าเมืองสีเป๋งขึ้นเป็นที่ขุนนางตำแหน่งเจ้าเมืองโฮต๋อง

ฝ่ายจงฮิวจึงเร่งรัดให้ฮองอิบมอบตราสำหรับที่ให้แก่ตัว หากฮองอิบหาทำตามจงฮิวไม่ กลับนำเอาพู่แลตราสำหรับที่มุ่งหน้าจากเหอเป่ย ไป ณ ฮูโต๋

อุยกี๋ (วุ่ยกู้...Wei Gu) ส่งทหารประมาณหลายพันนำทัพไปขวาง ณ ทางแยกฉาน ครั้นเตาจี๋มาถึงทางแยก จึงถูกรั้งตัวไว้ ณ ที่นั้นเป็นหลายเดือน

ฝ่ายโจโฉครั้นแจ้งความจึงสั่งให้แฮหัวตุ้นนำทหารยกทัพตีอุยกี๋แลพวกอุยกี๋

ขณะเมื่อเตาจี๋แจ้งความซึ่งแฮหัวตุ้นนำทหารยกไปตีอุยกี๋ตามคำโจโฉแล้วจึงว่า "เมืองโฮต๋องชันสูตรสำมะโนประชากรครบถ้วนได้สามหมื่นครัว คนทั้งปวงจะได้คิดก่อขบถทั้งสิ้นนั้นหามิได้ แลหากทหารทั้งปวงคุมตัวไพร่บ้านพลเมืองไว้ คนทั้งปวงจึงหาผู้นำไม่ แลคนทั้งปวงจึงจำต้องอยู่ในบังคับอุยกี๋แลพวกอุยกี๋สิ้น ทั้งก็วิตกกลัวอยู่ ซึ่งโจโฉจะนำทหารรบหักเอาด้วยกำลังนั้นไม่ควร ด้วยคนทั้งปวงหวาดเกรงอยู่จะรบจนตัวตาย หากโจโฉหักเอาด้วยกำลังมิแล้ว ปัญหาจักตามมาหาที่จะสุดสิ้นไม่เลย แลหากโจโฉหักเอาด้วยกำลังได้ชัย โจโฉก็จักทำลายคนทั้งปวงซึ่งอยู่ ณ เมืองตายลงสิ้น

แลหากคิดไปในอีกแง่เข้าแล้ว อุยกี๋แลพวกอุยกี๋จะได้ฝืนคำสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นหามิได้ อุยกี๋แลพวกอุยกี๋นั้นจะเอาฮองอิบมาเป็นเจ้านายของตัวดังแต่ก่อนดอก จำเราจะแต่งกลไปว่าเป็นนายคนใหม่มารับตำแหน่งสำหรับที่ อันผู้ติดตามนั้นอย่าให้มีเลย ทั้งนี้อุยกี๋แลพวกอุยกี๋เห็นจะแคลงใจอยู่ แลด้วยอุยกี๋นั้นมาตรว่าความคิดมาก แต่หารู้ที่จะตัดสินใจเด็ดขาดลงไม่ อุยกี๋จักต้องแต่งกลทำเป็นว่ายอมรับเอาเราเป็นนายใหม่เป็นมั่นคง แลเราจะแกล้งเข้าไป ณ เมือง เกลี้ยกล่อมคนทั้งปวงสงบลงจงได้"

ฝ่ายเตาจี๋ครั้นว่าดังนั้นแล้วก็เที่ยวไปจนถึงทางแยกตู้(Dou) ฟั่นเสียน(Fan Xian)แจ้งว่าเตาจี๋มาถึงจึงคิดจะแต่งกลสังหารเตาจี๋เสียจงได้ ด้วยจะให้อาณาประชาราษฎรทั้งปวงยำเกรง หากแต่ยังใคร่จะรู้อยู่ว่าเตาจี๋มาด้วยอันใด จึงยังหาลงมือฆ่าเตาจี๋ไม่ แลให้เอาขุนนางประมาณสามสิบคน ณ เมืองไปฆ่าเสียจงสิ้น เอาศีรษะนั้นเสียบประจานอยู่หน้าเมือง เตาจี๋เห็นศีรษะขุนนางทั้งปวงดังนั้นก็มิได้ว่าประการใด แลจะหวั่นเกรงดังความคิดฟั่นเสียนนั้นหามิได้

อุยกี๋จึงว่า "ซึ่งเราจะสังหารเตาจี๋นั้นไม่ควร ด้วยโจโฉจะเสียอันใดก็หาไม่ แต่ความนินทาจะมีแก่เราเป็นอันมากว่าเราชั่วช้าอำมหิต ถึงเตาจี๋จะเป็นเจ้าเมืองก็ตามเถิด ด้วยเรานี้ก็มิได้ไร้ปัญญาทีเดียว พอจะรับมือเตาจี๋ไหวอยู่อย่ากลัวเลย" คนทั้งปวงฟังอุยกี๋ว่าก็เห็นชอบ แลรับเตาจี๋เป็นที่เจ้าเมืองโฮต๋องสืบแทนต่อไป

เตาจี๋จึงให้หาอุยกี๋ ฟั่นเสียนมาแล้วว่า "สกุลแซ่อุยแลฟั่นของท่านทั้งสองนั้นก็เป็นแซ่ใหญ่ ณ โฮก๋ง(เหอกง..Hegong)นี้อยู่ ซึ่งเราจะปกครองบริหารเมืองนั้นจำต้องอาศัยกำลังท่านทั้งสองด้วย คำโบราณก็มีอยู่ว่า ซึ่งจะเป็นเจ้าเมืองแลขุนนาง ณ เมืองนั้น จักต้องร่วมชะตามิว่าสำเร็จแลล้มเหลวลงก็ตามที ด้วยเหตุดั่งนี้การสำคัญทั้งปวงท่านทั้งสองคนนี้ให้มาปรึกษาเราจงพร้อมกันเถิด" ครั้นแล้วเตาจี๋ก็ตั้งอุยกี๋เป็นที่ขุนนางใหญ่ (Chief Controller) เป็นผู้พิพากษาใหญ่คุมอำนาจศาลเมือง แลให้ฟันเสียนเป็นที่ขุนนางใหญ่ฝ่ายทหารบัญชากองทัพ อุยกี๋แลพวกอุยกี๋ทั้งปวงก็พากันยินดีตัวเตาจี๋สิ้น มาตรว่าคนทั้งปวงจะแต่งกลแกล้งรับใช้เตาจี๋ แต่จะได้ระแวดระวังตัวเตาจี๋นั้นหามิได้

อยู่ต่อมาอุยกี๋จะให้เกณฑ์อาณาประชาราษฎรเป็นอันมากไปจะให้เป็นทหาร เตาจี๋จึงว่า "ซึ่งท่านจะเกณฑ์ไพร่บ้านทั้งปวงไปเป็นทหารนั้นไม่ควร ด้วยประชาราษฎรทั้งปวงจะเจ็บแค้นขึ้น ชอบแต่จะเพิ่มเบี้ยหวัดทหารแลเพิ่มทหารด้วยแต่น้อย" อุยกี๋ก็เห็นชอบด้วย ยังแต่ว่าความคิดเตาจี๋นั้นเกณฑ์ทหารได้ครั้งหนึ่งก็น้อยตัวนัก

แลเตาจี๋ยังว่าแก่อุยกี๋ว่า "อันความคิดรำลึกถึงบ้านตัวนั้นก็เป็นธรรมดาอยู่แก่คนทั้งปวง ซึ่งจะปล่อยให้ทหารทั้งปวงไปยี่ยมครอบครัวเสียบ้างนั้น จะเรียกกลับมาก็เห็นจะง่าย" อุยกี๋ก็เห็นชอบด้วย แลคนขบถทั้งปวงต่างก็ถูกแยกไป ณ ที่อยู่

ขณะนั้น เตียวเจ้ง(จางเช็ง...Zhang Cheng)นำทหารตีหักเมืองง้วน(หยวน..Yuan)

ฝ่ายโกกันครั้นมาถึงฮูซู(Huoze) เตาจี๋ก็แจ้งว่าหัวเมืองทั้งปวงมีกตัญญูแก่ตัวอยู่ เตาจี๋จึงพาทหารม้าประมาณไม่กี่สิบไป ณ เมือง เสริมป้อมปราการจงสามารถ แลวางทหารขึ้นเชิงเทิน ยังมิทันจะกี่อาทิตย์ เตาจี๋ก็ซ่องสุมทหารได้ประมาณสี่พันคนเศษ

อุยกี๋แจ้งว่าเตาจี๋ทุรยศ จึงนำทหารไปอยู่ด้วยโกกัน เตียวเจ้ง แลอุยกี๋ โกกัน เตียวเจ้งก็ให้ทหารทั้งปวงตีเตาจี๋จงพร้อมกัน หากว่าทหารเตาจี๋รักษาเมืองแข็งนักยังจะหักเอามิได้ อุยกี๋ เตียวเจ้ง โกกันจึงจะไปยึดเอาหัวเมืองอื่นก่อน หากว่าจะยึดเอาเมืองใดนั้นหามิได้

ฝ่ายโจโฉให้เตียวเจไปข้างทิศประจิม ให้ม้าเท้งแลพวกม้าเท้งนำทหารไปหนุนเตียวเจ ม้าเท้ง เตียวเจและพวกนำทหารตีทหารเตียวเจ้ง อุยกี๋ โกกันแตกพ่ายยับเยินไป ตัดเอาศีรษะเตียวเจ้ง อุยกี๋มา หากคนทั้งปวงซึ่งหลงผิดด้วยเตียวเจ้ง อุยกี๋ โกกันนั้นให้ยกโทษเสีย แลโกกันหนีแตกไปได้ ฝ่ายเตาจี๋ก็กลับไปครองเมืองโฮต๋อง

ฝ่ายเตาจี๋ครองเมืองโฮต๋องสืบมา อาณาประชาราษฎรโฮต๋องก็ได้ความสุข แลเตาจี๋อยู่เมืองโฮต๋องได้ประมาณสิบหกปี คนทั้งปวงก็ยกเตาจี๋ว่าเป็นเจ้าเมืองซึ่งเป็นเอกในแผ่นดินเหนือเจ้าเมืองทั้งปวงอยู่เนืองๆ


.............


(ยังมีต่อ หน้าต่อไป...)


Create Date : 26 กันยายน 2549
Last Update : 25 ตุลาคม 2549 23:14:35 น. 0 comments
Counter : 693 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chineseman
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Chineseman's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.