Group Blog
 
All blogs
 
^ * ^ ....กะจะไปแค่ปราจีน แต่ก็เลยไปถึงโคราชสีคิ้วนู้น ....

lozocatlozocat


คราวนี้แม่มาพักฟื้น รักษาตัวที่บ้านเรานานเกือบ 2 เดือนแน่ะ พอดีแม่เค้าอยากจะไปร.พ.อภัยภูเบศร ที่ปราจีน เพราะจะได้เอาต้นสมุนไพรรักษาเบาหวานชื่ออะไรสักอย่างจำไม่ได้ ก็เลยหาเรื่องไปเที่ยวด้วยซะเลย โดยการขัดใจแม่บอกว่าถ้าจะไปทั้งทีก็ต้องไปพักค้างคืนเลยจะได้ไม่เหนื่อย

แม่ก็ต้องยอมแต่โดยดี แต่ก็มีข้อแม้อีกว่าไม่นอนโรงแรม ให้ไปนอนที่สีคิ้วบ้านคนรู้จักที่แม่เค้าเคยไปพักด้วย เอ้าก็ได้นอนบ้านป้าเค้าก็ได้

ไปกันตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม กว่าจะออกเดินทางก็เกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว เพราะตอนเช้าฤกษ์ไม่ดี ฝนตกฟ้าร้องซะ เพื่อความไม่ปลอดภัยเลยโทรไปเช็คที่ปราจีน ร.พ.เค้าบอกว่าฝนไม่ตกน้ำก็ไม่ท่วมค่ะ (เราก็ถามซะเว่อร์เลยว่าที่นู้นน้ำท่วมรึเปล่าค่ะ)



ไปถึงก็ปล่อยให้แม่นั่งชมสวนไปพลาง ๆ ส่วนเรากับพี่หมีก็เข้าไปดูในพิพิธภัณฑ์

สวยมากชอบจังเลยของโบราณ ๆ แบบนี้ ข้างในจะมีการจัดให้ชมในเรื่องของยาสมุนไพรให้ดูว่ามีสมุนไพรอะไรบ้าง สรรพคุณ หน้าตาเป็นยังไง เห็นกันตัวเป็น ๆ เลย

มีประวัติย่อ ๆ ของโรงพยาบาลมาฝากค่ะ

โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นโรงพยาบาลศูนย์ประจำจังหวัดปราจีนบุรี และเป็นโรงพยาบาลนำร่องเรื่องการแพทย์แผนไทย ใช้สมุนไพรบำบัดรักษาโรค มีการนวด อบ ประคบ และฝังเข็ม แปรรูปสมุนไพรไทยเป็นเวชภัณฑ์ และเครื่องสำอางค์

ในปี พ.ศ. 2452 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ว่าจ้าง บริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน สร้างตึกเพื่อใช้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อจะใช้เป็นที่ประทับแรมของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกรณีที่พระองค์เสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรีอีก แต่พระองค์เสด็จสรรคตเสียก่อนในปีพุทธศักราช 2453 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2455 ตึกหลังนี้ได้ใช้รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์อีกหลายพระองค์ ตึกหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาถึงพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 (พระนามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์ ทรงมีศักดิ์เป็นหลานปู่ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร) และพระองค์ได้ประทานตึกหลังนี้ให้แก่ทางราชการ เมื่อปี พ.ศ. 2482 จนได้กลายมาเป็นตึกผู้ป่วยหลังแรก

ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 เมื่อพระองค์ได้นำเสด็จสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดา ไปประทับที่ประเทศอังกฤษ จึงประทานที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนั้นแก่มณฑลทหารบกที่ 2 จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อใช้เป็นสถานพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และได้เปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2509 โดยมีสมเด็จเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และพระนางเจ้า สุวัทนา พระวรราชเทวี เสด็จฯมาทรงเปิดป้าย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พร้อมทั้งทรงรับโรงพยาบาลแห่งนี้ไว้ในพระอุปถัมภ์

ปัจจุบันนี้ตึกนี้ก็ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้เรื่องสมุนไพร และรวบรวมเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการปรุงยา และก็จัดแสดงประวัติของตระกูลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรไปแล้วค่ะ





ตุ้ลิ้นชักยา เค้าจะมีป้ายชื่อ และสรรพคุณบอก และก็สามารถเปิดดูหน้าตาข้างในได้ว่าเป็นยังไง ชอบจัง





มาคราวนี้เราก็กะจะลองใช้เครื่องสำอางค์สมุนไพรเค้าซะหน่อยเลยซื้อมาได้ประมาณนี้ ของแม่เป็นยาอมแก้ไอสูตรมะขามป้อม ล้วน ๆ เลยตั้ง 10 ขวด (ความจริงฟังผิด แม่จะเอายาน้ำแก้ไอ)



ร้านที่ขายยาสมุนไพรเค้าจะอยู่คนละส่วนกับพิพิธภัณฑ์ เปิดถึง 2 ทุ่ม แต่พิพิธภัณฑ์ปิด 4 โมงเย็นค่ะ



ต้นไม้ที่แม่จะไปเอา เค้าบอกว่าที่นี่ไม่มี แนะนำให้ไปหาที่หมู่บ้านดงบัง ห่างจากร.พ.ไปประมาณ 10 กิโล โชคดีที่เจอคนใจดีพาไป เป็นพี่ผู้ชายผมยาว ๆ รู้สึกว่าเค้าจะเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลภูมิทัศน์สวนสมุนไพรของที่นี่ เค้าขับรถนำทางไปถึงที่เลย ใจดีมาก



ถ้าให้ไปเองคงกว่าจะถึง หมดเวลาขึ้นเขาใหญ่พอดี ปากทางเข้าหมู่บ้านดงบัง คือที่หมู่บ้านดงบังเค้าจะเน้นต้นไม้สมุนไพร มีเยอะแยะมากมายให้เลือกซื้อ แต่ปากทางเข้าก็จะมีไม้ดอกไม้ประดับให้เลือกเยอะแยะไปหมด จนไม่กล้าแวะลงดู กลัวใจอ่อนหมดเวลากันพอดี



พอจอดรถแล้วเจอเจ้านี่เป็นหมาไทย ตัวใหญ่มาก คงจะผสมกับโดเบอร์แมนมาแน่ ๆ เลย เค้าเดินไม่สนใจใครเลย เรียกแล้วก็เหลือบมามองหน่อยนึง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปข้างในแน่ะ



มาคราวนี้แม่ได้ต้นมะขามป้อมที่อยากได้กลับไป แต่ต้นที่แม่ตั้งใจจะมาเอาจริง ๆ เค้าบอกว่าแจกคนหมดแล้ว แล้วต้นที่ว่าก็ได้มาจากเชียงใหม่ โธ่เอ๊ยอยู่อุตรดิตถ์แท้ ๆ แต่มาเอาถึงปราจีน ต้องตามกลับไปเอาที่นู้นอีก

ส่วนเราได้ต้นรางจืด ก็กะจะให้แม่เอาไปปลูกที่บ้านแม่นั่นแหละ สรรพคุณใช้ใบชงน้ำดื่มล้างพิษได้ แล้วก็ต้นอะไรไม่รู้ที่เป็นไม้ทรงพุ่ม เค้าบอกว่ากินยอดกับดอกได้ แต่จำชื่อไม่ได้ ชื่อมันแปลก ๆ ไม่เคยได้ยิน ไว้ในเอาไปถามในห้องจตุจักรซะหน่อยว่ามีใครรู้จักบ้าง ต้นที่ใบออกชมพูน่ะค่ะ

พี่หมีได้ต้นมะตูมแข็ง กับมะตูมอ่อน เป็นไม้โบราณนะเนี๊ยะ เอาไว้ออกลูกอ่อน ๆ แล้วจะเอามาเฉือนตากแห้ง ทำน้ำมะตูมกินเองเลย พี่หมีเค้าชอบ แล้วก็ต้นมะรุมที่มีสรรพคุณมากมาย

แล้วเราก็ต้องรีบออกจากหมู่บ้านนี้ไปโคราชต่อ โดยขับผ่านเขาใหญ่ไปเลย ถึงเขาใหญ่ก็ 5 โมงเย็นแล้ว ไม่ถึง 6 โมงดี ก็เริ่มมืดแล้ว



ที่พักเพียบเลยตรงปากทางด้านปากช่อง ติดไว้คราวหน้าก่อนเหอะ จะมาลองใช้บริการดูซะที่

กว่าจะไปถึงบ้านป้าเค้าก็ 2 ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว แม่จำทางเข้าบ้านเค้าไม่ได้ กว่าจะโทรศัพท์สอบถามกัน โอย หิวมาก ดีนะก่อนขึ้นเขาใหญ่ พี่หมีแวะตลาดวงเวียนน้ำพุ ตั้งใจจะซื้อข้าวเหนียวกับปลาดุกแดดเดียวทอดที่เคยกินจนติดใจกัน ตั้งแต่ทริปโรยหน้าผา แต่บ้าจริงคราวนี้เจ้านั้นหายไปไหนไม่รู้ เลยได้ข้าวเหนียวหมูย่าง หนมกุยช่าย ปอเปี๊ยะทอด ส่วนเราได้มะละกอกับสับปะรดมาแทน

กว่าจะได้กินมื้อเย็นจริง ๆ ก็เกือบสองทุ่ม กินหน้าปากทางบ้านป้าเค้าแหละ ระหว่างรอป้าเค้ามารับ ดีนะมีร้านส้มตำ เลยลองสั่งตำโคราช กับหมี่ผัดโคราชมาแก้เซ็ง

เช้าอีกวันก็มีอาหารเช้าง่าย ๆ แต่อร่อยมาก ๆ ฝีมือคุณป้ามาเสิร์ฟค่ะ คราวนี้ได้สูตรน้ำพริกทำง่าย ๆ แต่อร่อยมาลองทำเองด้วย



ตื่นแต่เช้ากินอาหารเช้าเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันเลย พาพี่หมีไปแวะวัดหลวงพ่อโตถ่ายรูปกับสรพงษ์เค้าซะหน่อย



ดูข้างนอกถนนก็ว่าสวยแล้ว ยังนึกว่าเค้าทำวิหารสีปูนธรรมชาติ หรือสีขาวเลย พอไปดูใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าเค้ายังทำไม่เสร็จ

ภายในบริเวณวัดที่จัดสวนได้สวยจริง ๆ





ออกจากวัดแล้วก็แวะซื้องานแต่งสวนเครื่องปั้นดินเผามาพอรกบ้าน (วางไว้จนป่านี้ยังไม่ได้เอาแต่งสวนเลย) มีน้องเหมียวแอบสนใจด้วย



ก่อนขึ้นเขาใหญ่แวะซื้อกล้วยไม้ และกินก๋วยเตี๋ยวเรือกับส้มตำโคราชอีกแล้วกันอีกหน่อย เจอน้องหมาหน้าตาเบื่อตลอดเวลาด้วย



แล้วก็ขึ้นเขาใหญ่ แวะถ่ายจุดชมวิวกันหน่อย จากที่เมื่อวานได้แต่มองตาละห้อย



โป่งดินยังถ่าย ถ่ายให้แม่เค้าด้วยขี้เกียจลงเดินด้วยวอคเกอร์ก็ถ่ายกันในรถนี่แหละ



ก่อนจะถึงบ้านขอแวะซะอีกที่ เพราะขามาเห็นป้ายสถานที่ท่องเที่ยวโบราณสถานพานหินอยู่ โหกว่าจะถึงที่ถามคนมาตลอดทาง เพราะมีแต่ฐานไม่ใหญ่โตคนเลยไม่นิยมมากันเท่าไหร่



ประวัติย่อ ๆ ของโบราณสถานพานหินด้วยค่ะ

ตั้งอยู่ที่บ้านโคกขวาง ตำบลหนองโพรง เป็นโบราณสถาน ที่ก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ กว้างด้านละ 15.50 เมตร สูง 3.50 เมตร มีมุขยืนออกไปทั้งสี่ด้าน สันนิษฐานว่าประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 แห่งเจนละ ตรงกลางของซากเทวาลัยมีฐานของเทวรูปซึ่งแต่เดิมตะแคงอยู่ลักษณะคล้ายพาน จึงเรียกว่า "พานหิน" นอกจากนี้ยังพบศิลาแลงทรงกลม สกัดเป็นรูปฐานเชิง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จทอดพระเนตรโบราณสถานแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2451
การเดินทาง เทวสถานพานหินอยู่เลยจากที่ว่าการอำเภอศรีมหาโพธิไปทางบ้านโคกขวางประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วแยกขวาไปอีกประมาณ 600 เมตร


lozocatlozocat





Create Date : 13 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 7 มกราคม 2553 15:18:49 น. 2 comments
Counter : 2586 Pageviews.

 
ไปเที่ยวแถวๆ บ้านผมซะด้วย สนุกไหมครับ อยากให้ไปเที่ยวกันเยอะๆ ครับ ปราจีนบุรีจะได้เจริญซะที


โดย: NET-MANIA วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:35:24 น.  

 
โคราชก้อมีที่เที่ยวเยอะนะคะ
มาบ่อย ๆ สิคะ


โดย: nokkatua วันที่: 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:23:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลูกสมอเรือ
Location :
ระยอง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]






ชื่อเชอร์รี่ค่ะ เกิดที่สัตหีบ แต่เคยย้ายไปอยู่สงขลาเป็นระยะ ๆ เลยมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นทั้งคนสงขลาและสัตหีบ ตอนนี้ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ที่จ.ระยองค่ะ



ลูกสมอเรือ ค่ะ

Create Your Badge




เพื่อนชอบทำกับข้าว
แม่สลิ่ม
wee_nong
ปูขาเก เซมารู
jjbd
กระเพราไก่ไข่ดาว
ผ้าไหมไทย
popang
narellan
Il Maze
ดวงใจพ่อแม่
ลักกี้


เพื่อนชอบทำขนม

Ab Psy ReinDEAR
กิน ๆ เที่ยว ๆ
Tiny Bakery



เพื่อนแจกของแต่งบล็อก
เนยสีฟ้า
kung
oranung_sri
lozocat
แพรวขวัญ
PS_PRINCESS
thattron

เพื่อนพาเที่ยว
chalawanman
แมวจอมกวน
thattron
baby bonus
ชานไม้ ชายเขา
ann
อยากเป็นไกด์
NuAeaw
New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกสมอเรือ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.