|
เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะแล้วได้อะไร ?
เมื่อแรกเริ่ม ข้าพเจ้าก็คิดจะเรียนต่อปริญญาโท สาขาบริหาร หรืออะไรแนว ๆนี้ แต่เมื่อไปสืบค้นดูแล้ว หลายสถาบัน หลายคณะ มันไม่ถูกสเปกข้าพเจ้าเลยจริง ๆ และแล้ววันนึงเมื่อข้าพเจ้าไปซื้อยาที่ร้านลออเภสัช ที่ตลาดมหาชัย เห็นแผ่นประชาสัมพันธ์รับสมัครนักศึกษาปริญญาโท(ภาคพิเศษ) คณะโบราณคดี สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ จบวุฒิปริญญาตรี ไม่จำกัดสาขา เท่านั้นแหละ เหมือนจุดไฟที่ริบหรี่ภายในใจ ให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมีความปรารถนาที่อยากจะเรียนเกี่ยวกับด้านโบราณคดีมานานแล้ว แต่วุฒิการศึกษาที่จบมาไม่เอื้ออำนวย ครั้งนี้แหละที่จะทำให้ฝันเป็นจริง (ถ้าสอบติดนะ) ไปซื้อใบสมัครที่ร้านหน้าวัดพระแก้ว อ่านหนังสือแล้วไปสอบ ข้อสอบมี 2 ข้อ เขียนบรรยายไปข้อละ 3 หน้า ตามความรู้ที่มี พอถึงวันประกาศผลก็ลุ้นนะว่าจะติดหรือเปล่า ปรากฏว่าสอบติด เหลือแต่สอบสัมภาษณ์ วันสอบสัมภาษณ์ ก็ไม่ได้อ่านอะไรมากมาย อ่านแต่เรื่อง แนวทางใหม่ของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ศิลปะ เขียนโดย อ.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ และ เรื่อง การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะในฐานะที่เป็นการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดี เขียนโดย อ.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง ไปแค่ 2 เรื่องเท่านั้น เข้าไปในห้องสอบสัมภาษณ์ มีกรรมการสอบ 3 คน (ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ ตอนนี้รู้แล้วว่า คือ 1. ศ.ดร.สันติ เล็กสุขุม 2. รศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ และ 3. ผศ.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง) คำถามที่ถูกถาม คือ 1. ทำงานธนาคาร แล้วทำไมถึงมาเรียนด้านนี้ ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน ข้าพเจ้าตอบ ชอบค่ะ ชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ อ่านหนังสือเกี่ยวกับด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์มาตลอด จึงคิดว่าน่าจะสามารถศึกษาต่อด้านนี้ได้...บลา ๆ ๆ 2. ชอบศิลปะสมัยใดของไทยมากที่สุด ข้าพเจ้าตอบ ชอบศิลปะสมัยอยุธยาค่ะ เพราะเป็นสมัยที่ศิลปะที่มีงดงาม มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง และเป็นยุคที่ศิลปะเจริญรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่ง... ส่วนคำถามอื่นจำไม่ได้แล้ว กรรมการยังชมว่าข้าพเจ้าเขียนบรรยายในกระดาษคำตอบได้ดี อ่านแล้วเข้าใจง่าย ทำให้เดินยิ้มไม่หุบออกมาจากห้องสอบ แต่ประเดี๋ยวก็ต้องรีบหุบ เดี๋ยวคนนึกว่าบ้า ข้าพเจ้าว่า เราข้ามมาถึงวันที่เข้าเรียนเลยเถอะ ขี้เกียจเขียนถึงเรื่อง ประกาศผลสอบสัมภาษณ์ รายงานตัว ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และอื่น ๆ อีก ภาคเรียนแรก จะเป็นการปูพื้นฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยต่าง ๆ ของไทย และประวัติศาสตร์ศิลปะของประเทศใกล้เคียง ส่วนภาคเรียนต่อ ๆ ไป ก็จะเรียนแบบเจาะลึกลงไปถึงประวัติศาสตร์ศิลปะไทย แต่ละยุคสมัย ซึ่งสนุกสนานมาก เรื่องรายงาน ส่วนใหญ่อาจารย์จะให้คิดหัวข้อเอาเอง ตามที่นักศึกษาสนใจ แต่ให้เกี่ยวกับวิชาที่เรียน และหัวข้อรายงานควรนำมาปรึกษากับอาจารย์ก่อน เพื่อที่จะได้หาข้อมูลได้อย่างถูกต้อง แรก ๆ ก็หาข้อมูลแบบงู ๆ ปลา ๆ เพราะยังไม่ชินกับการเรียนในระบบให้ตั้งหัวข้อเอง ค้นคว้าข้อมูลเอง สักเท่าใด เนื่องจากความรู้พื้นฐานที่มีก็ยังไม่มากนัก แค่ตั้งหัวข้ออย่างเดียวก็คิดกันเป็นเดือนแล้ว แล้วยังหาข้อมูลอีก นำมาเรียบเรียง ทำรายงานออกเป็นรูปเล่ม ทำ Presentation เพื่อนำเสนออาจารย์และเพื่อน ๆ ภาคเรียนแรกผ่านไปอย่างยากลำบากนัก เพราะยังปรับตัวไม่ได้เท่าที่ควร แม้ว่าเรื่องรายงานจะยากลำบากเพียงใด แต่การเรียนภาคทฤษฎีนั้น เราชอบมาก นั่งฟังอย่างตั้งใจ จดอย่างละเอียดทุกคำพูดของอาจารย์ วาดรูปตามสไลด์ที่อาจารย์ฉายให้ดู อ่านหนังสือตามที่อาจารย์แนะนำให้อ่าน และที่ชอบมากที่สุดคือ วิชาที่มีภาคปฏิบัติ เพราะจะมีการพานักศึกษาออกไปนอกสถานที่เพื่อดูสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมโบราณ ในสถานที่ต่าง ๆ ตามเนื้อหาของวิชาที่ได้เรียนในเทอมนั้น ๆ เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ แล้วได้อะไร ? อันที่จริงข้าพเจ้าคาดหวังว่า การได้เข้ามาเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ น่าจะได้มีการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของคนแต่ละสมัย หรือมีการเรียนรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมโบราณบ้าง แต่ปรากฎว่า ที่ข้าพเจ้าเรียนจะเน้นไปในเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับโบราณคดี ศึกษารูปแบบทางศิลปะ และการกำหนดอายุ เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบางครั้ง ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกเหมือนกับว่าเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่ เหมือนยังขาดอะไรไปสักนิดสักหน่อย แต่ก็ช่างเถอะ เพราะสิ่งที่ได้จากการเรียนนั้นมีค่ามากมายมหาศาล โชคดีจริง ๆ ที่ได้เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องราวทางพุทธศาสนามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพุทธประวัติ ชาดก ฯลฯ ได้ทราบเรื่องราวของเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้อ่านคัมภีร์เก่า ๆ ที่คิดว่าคงไม่ได้อ่านแล้ว สามารถดูพระพุทธรูปได้ว่าอยู่ในสมัยไหน (แต่แท้ ไม่แท้นี่ดูยาก) ได้เรียนรู้เรื่องลวดลายโบราณต่าง ๆ ได้ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหลายแห่ง ได้เห็นโบราณสถานจำนวนมากมายที่ไม่เคยได้เห็น และที่สำคัญที่สุด คือการได้รู้จักกับคนมากหน้าหลายตา ทั้งอาจารย์หลายท่านผู้มีเมตตา เพื่อนแสนดีที่มาจากหลายหลายอาชีพ รุ่นพี่ที่ให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าได้คิดว่า การได้เรียนรู้ในสิ่งที่เรารักแม้เพียงบางส่วน ก็สามารถเติมเต็มชีวิตที่บางส่วนขาดหายไปได้แล้ว
Create Date : 10 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 15 ธันวาคม 2551 18:30:40 น. |
Counter : 7658 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|