ห้องปิดตาย

ห้องปิดตาย คือ ห้องที่แสงสว่างจากภายนอกไม่สามารถส่องถึงภายในห้องได้ ด้วยเพราะผนังและเพดานของห้องไม่มีช่องว่างเลย นั้นหมายถึง ทางออกจากห้องย่อมไม่มีด้วยเช่นกัน เพราะความมืดปกคลุมทั่งบริเวณของห้อง สายตาของคนปกติจึงไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของห้องได้ จะหันมองซ้าย หวา หรือ แหงนหน้าขึ้น ก็ไม่สามารถมองหาเส้นขอบของห้องได้ ไม่เคยมีใครบอกได้ว่าห้องกว้างเท่าใด เพราะไม่เคยมีใครเดินไปจนถึงสุดสิ้นสุดของห้องสักที คนที่ออกเดินเพื่อหาผนังหรือทางออกของห้องไม่เคยมีใครกลับมาบอกเล่าเลยสักครั้ง สิ่งอำนวยความสะดวกสบายหรือวัตถุเพื่อความบันเทิงหนะหรือ ฮึ !!! แสงสว่างแม้เท่าองคุลียังหาไม่ได้ คุณยังหวังสิ่งอื่นจากห้องนี้อีกหรือ


เป็นสถานที่ ที่ไม่มีใครเคยคิดว่ามีอยู่ และไม่มีใครปรารถนาที่จะเข้าไปสัมผัส แต่ .................หลายต่อหลายคน ก็ติดอยู่ในห้องปิดตายนี้อย่างไม่มีวันได้ออกมา


ธันวา ชายหนุ่มผู้จบการศึกษาระดับอันเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็น “ปัญญาชน” จากสถาบันอุดมศึกษาที่มีเกียรติ์สูงสุดของประเทศ เขาได้งานทำทันทีที่ได้รับใบประกาศการจบการศึกษา
ธันวาทำงานในบริษัทเอกชน ผลิตเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งสังคมที่เรียกตัวเองว่า “ศิวิไลซ์” นิยมใช้กัน เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนของที่นั้นล่วงเลยมาถึงครึ่งของชีวิตแล้ว เขาใช้เวลาที่ผ่านมาโหมงานหนักจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นแม้แต่ “ความรัก” ธันวาจึงเป็นหนุ่มใหญ่ที่ไร้คนรู้ใจไว้เป็นคู่คิดอยู่ข้างกาย


ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ธันวาทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้เป็นเจ้านายอย่างขยันขันแข็ง ไม่เคยทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่องานและตัวเจ้านายเลย นั้นเพื่อสิ่งที่เขาหวังอยู่ในใจตลอกเวลา หวังว่าตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่เจ้านายกำลังมองหาคนที่สมควรจะเป็นของเขาในสักวันและเขาจะไม่ต้องกรำงานหนักอย่างนี้อีกต่อไป
ทุกๆวันของธันวาผ่านไปอย่างซ้ำซากจำเจ เริ่มต้นวันด้วยเสียงปลุกของนาฬิกา ทำภารกิจส่วนตัว กินอาหารเช้าซึ่งมีเพียงกาแฟที่ชงจากผงกาแฟสำเร็จรูปกับขนมปังที่เก็บตุนไว้ในตู้เย็น และเดินทางไปบริษัทอย่างแข่งกับเวลาเพื่อให้ทันเวลางานเผชิญกับสภาพการจราจรที่สวรรค์ก็ไม่อาจกำหนดได้ว่าจะเลิกแออัดเมื่อใด ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กลับที่พักอย่างอ่อนเพลีย และสิ้นสุดวันด้วยการล้มตัวลงนอนพร้อมเสียงถอนหายใจเป็นอย่างนี้ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน และทุกปี



วันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับธันวา เขาลืมตาขึ้นไม่ใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุกแต่เป็นเสียง.........

“ยินดีต้อนรับสู่ อัครสถานแห่งความมืดมิด “ห้องปิดตาย” ทุกท่านที่มาถึงห้องปิดตายแห่งนี้คงกำลังฉงนกับสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่ใช่ปัญหา ทุกท่านมีเวลาทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้ อีกนานแสนนาน.......... และท่านใดที่กำลังมองหาทางออกละก็ ต้องขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ห้องปิดตายแห่งนี้ไม่มีประตู!! ขอเชิญทุกท่านสนุกกับความมืด ณ บัดนี้”
เสียงที่อนุมานไม่ได้ว่าเป็นเสียงของหญิงหรือชาย และหาที่มาไม่ได้ว่าดังมาจากที่ใดแต่มันช่องดังกังวานก้องและแจ่มชัดในโสตของธันวาเหลือเกิน นอกจากเสียงที่ได้ยินแล้ว สิ่งเดียวที่ธันวารับรู้จากประสาทได้อีกคือ ความมืดเท่านั้น


“อะไรกันเนี่ยที่นี้มันที่ไหนกัน แล้วเรามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง ห้องปิดตาย ความมืด ไม่มีประตู ไม่มีทางออก ใครเล่นตลกกับเรากันเนี่ยช่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย เวลาเราของเราเป็นเงินเป็นทอง เราจะต้องรีบไปทำงานถ้าสายเราจะเสียประวัติการทำงานทันที ไม่ได้ เราต้องไปทำงาน ว่าแต่ใครนะมันมาเล่นตลกกับเราแล้วเราจะออกจากที่นี้ยังไงเนี่ย”


เมื่อสายดาของคนธรรมดาเริ่มปรับกลไกให้มองในที่มืดได้ ธันวาก็พบว่าในที่แห่งนั้นไม่ใช่ห้องแคบๆเลย แต่เป็นอาณาบริเวณที่ใหญ่และกว้างมากกว้างจนเขายังประเมินไม่ได้ว่าพื้นที่ของที่นี้มันจะสักเท่าไหร่ และธันวาก็เพิ่งรู้สึกว่าในที่นี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว ยังมีผู้คนอีกมากมายที่อยู่ในบริเวณนั้น เป็นฝูงชนขนาดใหญ่กระจัดกระจายอยู่รอบตัวเขา หลายคนกำลังมองหาทางออกเหมือนกันเขา หลายคนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง และหลายคนทอดอาลัยอย่างสิ้นหวังกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่


“เอาหละ เราจะมาเสียเวลากับอะไรอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าวันนี้เราไปสายจะเสียประวัติ เรากำลังเป็นคนโปรดของเจ้านายแท้ๆ ตำแหน่งผู้บริหารที่กำลังจะว่างพราะผู้บริหารคนก่อนเกษียณอายุไปต้องเป็นของเราแน่ๆ ไม่ได้การต้องหาทางไปทำงานให้ได้ ไม่มีทางออกรึ หึหึ เรายังหายใจได้สะดวกแบบนี้ แสดงว่า มีทางที่ออกซิเจนผ่านเข้ามาได้ ก็ต้องมีช่องทางอยู่ตรงไหนสักแห่งแน่ๆ”
ธันวา กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปข้างหน้าอย่างรีบรุด ชนปะทะกับคนข้างหน้าบ้าง ต้องใช้กำลังผลักหรือเหวี่ยงคนให้พ้นทางไปบ้าง บางคนรูปร่างใหญ่โตเกินกำลังของธันวาจะผลักได้ก็ต้องหลบหลีกให้พ้น บัดดนี้ธันวา เสมือน “ลูกศรที่พุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงส่งจากคันธนูแห่งความทะเยอทะยาน”


ธันวา ออกวิ่งมานานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ เพราะที่แห่งนี้ไม่มีกาลเวลา รู้แต่ว่าขาที่เคยวิ่งอย่างเต็มกำลังบัดนี้เริ่มอ่อนแรงแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้ธันวายอมแพ้ เขาเดินต่อไป.......... เดิน........ ย่อง........... คลาน ...........และในที่สุด เรี่ยวแรงแห่งปุถุชนก็หมดลง ธันวาทอดตัวนั่งลงกับพื้น “เฉกลูกศรที่พุ่งปักอยู่บนผิวดินเมื่อแรงส่งจากคันธนูหมดลง” การหายใจของธันวาถี่ขึ้นจนกลายเป็นหอบ อากาศเริ่มเบาบางลงเริ่มรู้สึกว่าออกซิเจนหายากขึ้นทุกที ธันวาลืมเรื่องผู้บริหารไปเพราะความเหนื่อยอ่อน


พลันความคิดชนิดหนึ่งก็ผุดขึ้น.........”หรือว่าเรากำลังตาย คนใกล้ตายอาจเกิดอาการแบบนี้ก็ได้ ไม่นะทำไมวาระสุดท้ายในชีวิตของเราช่างมาถึงเร็วขนาดนี้ เรามัวแต่ทำงานไม่เคยสนใจอย่างอื่นเลยแม้แต่เรื่องสุขภาพเราคงจะเป็นโรคอะไรสักอย่างและตอนนี้มันคงกำลังมาพรากชีวิตไปจากเราแล้ว”
เมื่อคิดว่าชีวิตกำลังจะหาไม่แล้ว สิ่งที่ธันวานึกถึงไม่ใช่ตำแหน่งผู้บริหาร ไม่ใช่เงินทองชื่อเสียง ไม่ใช่อำนาจวาสนาแต่อย่างใดแต่เป็น ใบหน้าของ พ่อ แม่ บุคคลอันเป็นที่รักเพียงสองคนในชีวิตของเขาและท่านก็ยังมีชีวิตอยู่แต่ธันวาไม่ใด้ใช่เวลาอยู่กับพวกท่านเลย “เรานี่แย่จริงๆ ยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณพ่อกับแม่เลยต้องมาตายจากท่านไปแล้ว ที่ผ่านมาทำไมเราไม่อยู่ดูแลท่าน เอาใจใส่ท่านมากๆ มัวแต่ทำงานหาเงินเรากำลังจะตายเงินที่เก็บมามันก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว” ความรู้สึกเสียใจที่ต้องจากพ่อแม่ไปอย่างไม่เคยคาดคิดทำให้ น้ำตา ปรากฎบนใบหน้าของธันวา เมื่อภาพในมโนคติของธันวาไม่ใช่ ตำแหน่งใหญ่โต ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา แต่เป็นภาพของ พ่อ แม่ บุคคลอันเป็นที่รักของเขา แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป..........


ธันวาลืมตาขึ้น และรู้สึกตัวว่าตนนอนฟุบอยู่บนพื้นห้องที่พักของเขา เมื่อสติกลับคืนมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง ทุกส่วนในร่างกายของเขาเมื่อยหล้าไปหมดราวกับเพิ่งผ่านการออกกำลังอย่างหักโหม ธันวานึกลำดับภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างยังแจ่มชัดในอนุสติของเขา ความกลัว ความหดหู่ ความเสียใจ เสียดายที่ต้องจากพ่อแม่ไปโดยที่ยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณ ยังคงอยู่


ในที่สุดสิ่งที่ธันวาคิดได้..............ไม่ว่าหน้าที่การงานของเขาจะใหญ่โตแค่ไหน เขาก็เป็นเพียงเฟืองตัวเล็กๆที่ขับเคลื่อนระบบทุนนิยมให้ดำเนินต่อไปในสังคมไม่มีทางเป็นได้มากกว่านั้น แต่สำหรับพ่อแม่เขาเป็นที่รักและเป็นคนสำคัญเสมอ นั้นเพียงพอแล้วสำหรับความสุขที่ลูกจะพึงมีมิใช่หรือ ความสุขที่สุดในชีวิตของคนเราไม่เหมือนกันแต่สำหรับธันวาเขาพบแล้วว่าความสุขที่แท้จริงจะหาได้จากที่ไหน


วันรุ่งขึ้น ธันวายื่นใบลาออกจากบริษัทด้วยความงุนงงของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายของเขา และเก็บกระเป๋ากลับบ้านเกิด ไปกราบเท้าพ่อแม่และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลเอาใจใส่ท่าน ด้วยเงินเก็บจากการทำงานอย่างเรียบง่ายและมีวคามสุข


“สวัสดี.........คุณเป็นคนหนึ่งที่เหมือนกับธันวาไหม เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณปล่อยให้ด้านมืดในจิตใจเข้าครอบงำชีวิตคุณได้ เมื่อนั้น ห้องปิดตาย ที่กว้างเท่ากำปั้น และฝังอยู่ในอกข้างซ้ายของแต่ละคน จะเปิดต้อนรับคุณทันที คุณอาจไม่โชคดีที่หาทางออกจากห้องปิดตายได้เหมือนธันวา ดังนั้นคุณจะรีบหาความสุขที่แท้จริงในชีวิตมนุษย์ให้เจอ หรือ จะสนุกกับ อัครสถานแห่งความมืด..........ห้องปิดตาย..........”

เสียงที่คำนวณทิศทางของเสียงไม่ได้ ค่อยๆเลือนไป รอที่จะก้องขึ้นในโสตของใครสักคนหากเขาหรือคุณ .................................

ร้อยแก้ว "วรรณกร วชรกานท์"





 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 0:00:27 น.
Counter : 2373 Pageviews.  


กฤษณกุล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กฤษณกุล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.