A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

แยกแยะไว้ จะเข้าใจโลกมากขึ้น












เชื่ออย่างเดียวไม่ใช่ทัศนะของพุทธศาสนา
พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรามองสุดโต่ง
มองมุมเดียว พอมองมุมเดียวเราจะเห็นด้านเดียว
พุทธศาสนาสอนให้มองหลายมุม
มองต่างมุม แยกแยะ เรื่องเดียวกันในสถานการณ์หนึ่งอาจจะดี
แต่อีกสถานการณ์หนึ่งอาจจะไม่ดี
บางทีมองมุมนี้มีประโยชน์แต่มีผลข้างเคียง
มีผู้ถามว่าให้เราไปอยู่ว่าตลอดดีหรือไม่ดี ถ้าอยู่ในป่าแล้วจิตสงบดี
ถ้าอยู่แล้วจิตฟุ้งซ่านไม่ดี เพราะฉะนั้นดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับเงื่อนไข
เวลาที่เรามองสถานการณ์ต่างๆในบ้านเมืองไปว่า
กลุ่มนั้นถูกกลุ่มนั้นผิดกลุ่มนั้นไม่ดี
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละเวลาแต่ละสถานการณ์
เพราะฉะนั้นหัดมองแล้วหลายมุม มีตั้ง
360 องศา ทำไมจะต้องมอง องศาเดียว
ในพุทธศาสนาจึงสอนไว้ว่าอย่าเชื่อเพราะข่าวลือ
อย่าเชื่อเพียงเพราะว่าทำตามๆกันมาเป็นประเพณี
เขาไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ แต่ให้ตรวจสอบจากหลายมุมมอง
ตรวจสอบจากประสบการณ์
ถ้าคนไทยเป็นชาวพุทธจริงๆเราก็จะไม่ถือเขาถือเราจนเกินไป
เพราะบางทีฝ่ายเราก็อาจจะมองไม่ครบถ้วนกระบวนความก็ได้
บางทีไปบอกว่าฝ่ายนั้นเป็นอย่างนี้ ฝ่ายนี้เป็นอย่างนั้น
ฝ่ายเราเองก็ไม่ได้มองข้อบกพร่องตัวเอง
ทีนี้ถ้าเอาหลายๆฝ่ายมามองเราก็จะได้แก้ไขข้อบกพร่องของเรา
แล้วรวมเอาส่วนที่ดีที่เข้มแข็งเอามาร่วมกันแล้วก็ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้


.........................................................................
พระธรรมโกศาจารย์ แนะคนไทยคิดทุกข์ให้น้อยลง
จากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์





 

Create Date : 21 มกราคม 2553    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2553 13:37:49 น.
Counter : 783 Pageviews.  

ปากที่หุบได้ คือภาษาที่ไพเราะที่สุด














หากว่า เราเผลอไปนาทีหนึ่ง ก็เป็นบ้านาทีหนึ่ง
เราไม่มีสติสองนาที เราก็เป็นบ้าสองนาที
ถ้าไม่มีสติครึ่งวันเราก็เป็นบ้าอยู่ครึ่งวัน เป็นอย่างนี้


สตินี้คือความระลึกได้ เมื่อเราจะพูดอะไรทำอะไร
ต้องรู้ตัว เราทำอยู่ เราก็รู้ตัวอยู่ ระลึกได้อยู่อย่างนี้
คล้ายๆ กับเราขายของอยู่ในบ้านเรา เราก็ดูของของเราอยู่
คนจะเข้ามาซื้อของหรือจะมาขโมยของของเรา
ถ้าเราสะกดรอยมันอยู่เสมอ เราก็รู้เรื่องว่า คนคนนี้มันมาทำไม
เราจับอาวุธของเราไว้อยู่อย่างนี้ คือเรามองเห็น
พอขโมยมันเห็นเรา มันก็ไม่กล้าจะทำเรา


อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติรู้อยู่ มันจะทำอะไรเราไม่ได้
อารมณ์มันจะทำให้เราดีใจอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้
มันไม่แน่นอนหรอก เดี๋ยวมันก็หายไป จะไปยึดมั่นถือมั่นทำไม

พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อชา สุภัทโท



เครดิตธรรม จาก Budratsa@bloggang.com




 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 18:50:40 น.
Counter : 879 Pageviews.  

อย่าดูคนที่เปลือกนอก













หลวงพ่อจะถามว่า ระหว่างหยดน้ำ ก้อนเมฆ สึนามิ ทะเล
ทั้งหมดนี้จริงๆ แล้วมันแยกกันอยู่หรือเปล่า?




จริงๆ มันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในใบไม้ก็มีละอองน้ำ
ในลมหายใจก็มีละอองน้ำ ไม่ได้ต่างกัน มันเชื่อมกันหมด
แต่เราชอบไปเห็นความแตกต่างที่เปลือกของเนื้อหาที่บังสภาวะเดิมอยู่




ฉะนั้น สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในใจเราตลอดเวลา
มันเข้าไปเป็นห่วงถักทอลูกโซ่เนื้อหาแห่งความคิด
บังสภาวะเดิมที่ไม่มีตัวตน แต่เราเข้าไปในปรากฏการณ์ของมัน
วันเวลาของเราส่วนใหญ่มันถูกกระทบด้วยผัสสะทั้ง ๖
ที่ต้องถักทอด้วยปรากฏการณ์ที่ขันธ์ห้าทำงาน
อยากให้เรารู้จักว่า ในเปลือกของความแตกต่าง มีสเปซ (ความว่างเปล่า)
อยู่ภายใน อย่าไปอิน (หลง) กับเปลือกมันจนลืมความใสภายใน..............




จากเรื่อง แตกต่างแค่เปลือกความคิดปกปิดจิตประภัสสร
โดย พระอาจารย์อำนาจโอภาโส พุทธสถานผาซ่อนแก้ว






 

Create Date : 09 มกราคม 2553    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 18:53:51 น.
Counter : 1068 Pageviews.  

ธรรมะก่อนสิ้นปีฉลูศก
















พระพุทธศาสนาจึงสอนให้กำหนดรู้ ณ ปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ที่แท้จริง
ที่ควรเริ่มต้นกระทำนับแต่บัดนี้ ไม่ควรอาลัยในเรื่องที่ผ่านไป
และไม่ควรพะวงกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง


สิ่งต่างๆ ในอดีตก็ผ่านไปแล้ว และในอนาคตก็ยังมาไม่ถึง
จึงควรคำนึงอยู่แต่ในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องดำรงตนอย่างมีสติทำปัญญา
เพื่อความรู้เท่ารู้ทันทุกก้าวของชีวิต ที่ย่างเดินต่อไปอย่างหยุดไม่ได้
จะเหลียวแลเรียกร้องหาใครมาช่วยก็ไม่ได้ จึงต้องพึ่งการกระทำของตนเอง
และจะต้องรับผลการกระทำนั้นๆ ของตน



จึงกล่าวได้ว่า สะพานแห่งชีวิตของสัตว์ทั้งหลายนั้น เป็นที่อาศัยของกรรม
หรือมีกรรมเป็นเครื่องอาศัย (กัมมัสสกตาปัจจัย)


ดังนั้น ไม่ว่าความสบายกาย ความสบายใจ หรือความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ อันเป็นผลจากการกระทำ
จึงต้องคืนกลับสู่ผู้เป็นเจ้าของการกระทำนั้นๆ
ซึ่งหากเข้าใจตามที่กล่าวมาโดยสรุป เพื่อยอมรับในกฎความเป็นอยู่จริง (Nature Law)
ที่มีอยู่ในธรรมชาตินี้ ก็คงจะเป็นต้นทุนเพียงพอที่จะดำเนินชีวิต
ไปบนวิถีแห่งคำสั่งสอนของพระพุทธ ศาสนา เพื่อให้ถึงความสิ้นทุกข์โรคภัยตามปรารถนาได้ >>>>>



ธรรมะโดย พระอาจารย์อารยวังโส เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย จ.ลำพูน

(จาก นสพ.คม ชัด ลึก วันพุธที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒)




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2552    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 18:48:58 น.
Counter : 1043 Pageviews.  

ธรรมะในวันคริสตมาส







พระพุทธเจ้าตรัสว่าความสุขนั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ

๑. สามิสสุข คือ สุขพึ่งพา ๒. นิรามิสสุข คือ สุขพอเพียง

ความ สุขประการแรก เรียกว่า สามิสสุข คือความสุขที่อิงอามิส
ความสุขที่ต้องพึงพาอาศัยปัจจัยจากภายนอก เป็นสุขแบบ Passive
ต้องรอรับความสุขจากคนอื่นจากสิ่งอื่น สุขแบบนี้อาตมาของเรียกว่า
สุขแบบทาส คือไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องอาศัยผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเช่น
ต้องให้คนทำตามที่ใจเราปรารถนาก่อนแล้วเราถึงมีความสุข
ถ้าไม่ได้ดั่งใจเราก็เป็นทุกข์ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
“ยมฺปิจฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์”
สังเกตไหมว่า เหตุใดคนร่ำรวยมั่งคั่ง จึงมีความทุกข์มากกว่าคนจน
เพราะเขาชอบตั้งเงื่อนไขว่าต้องให้ได้อย่างนี้ ต้องให้เป็นอย่างนั้น
ไตรมาสนี้บริษัทต้องทำกำไรให้ได้เท่านี้ ไม่เช่นนั้นจะพักไม่ได้
จะไม่มีความสุข เพราะเขาต้องการอยากจะให้สำเร็จสมดังใจอยาก
แต่พอไม่เป็นดังนั้นเราก็จะทุกข์ เขาไปคาดหวังว่าปีนี้ต้องได้อย่างนี้
ต้องได้เท่านี้ ทำอย่างนี้แล้วคนจะต้องชื่นชมเรา ถ้าลูกของเราไม่เป็นอย่างนี้
ธุรกิจไม่เป็นไปตามแผนที่ว่านี้ ชีวิตฉันจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
ไม่มีความสุขแล้ว เพราะเขาไปตั้งเงื่อนไขกับความคาดหวังของตนเกินไป

..................................................................................
ธรรมะจาก พระมหาประดิษฐ์ จิตฺตสํวโร




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2552    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 18:39:24 น.
Counter : 940 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.