A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

คนเล็ก งานอดิเรกใหญ่:นักวิทยาศาสตร์ซวยซ้ำซวยซาก


"กำลังใจมีให้ได้ไม่มีวันหมด ถึงแม้คนให้ จะไม่เหลือกำลังใจที่พอใช้สำหรับตัวเอง"

คำคมประโยคนี้ ผมได้รับฟัง แม้เพียงครั้งเดียว แต่ก็จำมันได้ขึ้นใจ
มันคล้ายดั่งหน้าที่ ที่มนุษย์ทุกคนต่างต้องมีให้และต่อเติมเสริมแต่ง
เพือ่ใช้ในการประคับประคองชีวิตซึ่งกันและกัน
ผมเคยพยายามฝึกที่จะมั่นให้กำลังใจแก่คนรอบข้างเสมอ ด้วยความเชื่อ
กำลังใจ มันให้ง่ายกว่าการให้ยืมตังค์ ให้ไปก็ไม่หวังจะได้รับการตอบแทนคืน
หรือคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้นของเจ้ากำลังใจ
แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินเรือ่งทองกันจริงๆแล้ว เวลาตอนที่ให้ ผู้รับก็แสนจะพินอบพิเทา
แต่ยามที่จะขอคืนนี้ ผิดเป็นคนละคน ว่าแล้วก็เอากำลังใจไปซะ เพื่อต่อลมหายใจ
ให้ต่อสู้ชีวิตทีเหลือ พอสู้ทนเพื่อจะได้สร้างเนื้อสร้างตัว มีฐานะตามอรรถภาพพอสมควร
แล้วเงินที่ยืมไป ก็รีบๆ เอามาคืนตูสักที!!.................

โดยส่วนตัวแล้ว การให้กำลังใจตัวเอง สำหรับผมแล้วมีสองประเภท
หนึ่ง คือ มองให้เป็นธรรมะ
มองอะไรให้เป็นธรรม ก็เหมือนกับมองเห็นสัจธรรมของชีวิต มีเกิด มีแก่ มีเจ็บและมีตาย
ฝึกมั่นให้คิดเช่นนี้ เวลาจ่ายเงินก้อนที่ถูกหักเพื่อเป็นค่าประกันสังคม ในงวดแต่ละเดือน
ก็มิใช่น้อยๆ ไม่เป็นไรถือว่าตอนนี้แบ่งให้คนอื่นได้ใช้ วันหน้าฟ้าใหม่คงมีโอกาสเฉียดเจ้า
โรงพยาบาลแบบไม่เฉียดเงินเก็บที่ออมในธนาคาร
สอง คือ มองประสบการณ์ของผู้อื่น
เอาความเจ็บปวดของผู้อื่นมาเป็นทุน ไม่ต้องไปเสี่ยงลอง คล้ายกับจ้างสต๊านแมนชีวิต
ที่เขาผ่านมรสุมลูกแล้วลูกเล่า นำวิกฤตชีวิตเป็นโอกาส พลิกชะตาฟ้าลิขิตด้วยน้ำมือของตน
ว่าอย่างไรเสีย.......คนเหล่านี้เขาก็รอดมาจนได้ แม้จะเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้และเคยคิดสั้น
แต่ก็ไม่ปิดอุโมงค์แห่งแสงสว่างภายในใจตน แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง...................คือ
เราต้องไม่เลือกศึกษาประสบการณ์คนที่คิดสั้นและทำให้ "สั้น" จนสำเร็จ
หากเผลอศึกษาไป.......เดี๋ยวของจะเข้าตัว!!!

เหมือนอย่างประสบการณ์ของท่านหนึ่ง ที่เป็นอุทาหรณ์ที่ดีแก่ผมอย่างยิ่ง
เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ ๒๐
ชายผู้ซึ่งใครทั่วโลกต่างยกย่องถึงความสามารถระดับรางวัลโนเบล
และคว้าปริญญาเอกมาตั้งแต่อายุ ๒๑
แต่ถ้าตัดสองดีข้อนี้ออกไป เชือ่ไหมว่า........ชีวิตที่ผ่านมา
ถ้าลองใช้แว่นตาพุทธปนพราหมณ์หน่อยๆ ต้องขอบอกว่า

"ไอ้หมอนี้ มีชีวิตที่กงกรรม กงเหวียนเสียนี้กระไร"






ทฤษฎี "ค่าคงที่ของพลังค์ (Planck's Constant)" ถือเป็นทฤษฎีที่เข้าใจยาก
พอๆกับชีวิตของเขา "มักซ์ พลังค์ ( Max Planck : ๒๔๐๑- ๒๔๙๐)"
ความที่เป็นทฤษฎีนอกกรอบฟิสิกส์แนวคลาสสิก ว่ากันด้วย..................
สมมติฐาน พลังงานมิได้มีค่าราบเรียบแต่เป็นกลุ่มก้อนที่แน่นอน เรียกว่า ควอนต้า
แต่ละควอนตัม จะอยู่เป็นสัดเป็นส่วนโดยตรงกับเจ้าความถี่ของมัน
พอให้อธิบายแบบนี้ ............. ผู้อ่านที่ไม่ใช่เด็กสายวิทย์ คงงงเป็นไก่ตาแตก
แต่ถ้าอธิบายด้วยวิกฤตกรรมในชีวิตของพลังค์ จะไม่เเปลกใจเลยว่า......
ทำไมคุณพี่พลังค์จึงแนวคิดเช่นนี้
ที่จริงชีวิตเขา ก็ไม่ต่างกับพลังงานที่ไม่เคยราบเรียบ
ความที่พลังค์ไม่เคยล้างซวยด้วยความเชื่อแบบไทยๆ
ตลอดชีวิตพลังค์ ถือเป็นคนที่ผ่าเหล่าผ่ากอตั้งแต่สายตระกูล
ปู่ทวดเป็นศาสตราจารย์ด้านเทววิทยา บิดาก็เป็นศาสตราจารย์ทางนิติศาสตร์
ลุงฝ่ายพ่อก็เป็นถึงผู้พิพากษา แต่เขากลับมาเอาดีในทางสายวิทยาศาสตร์แทน
แม้ส่วนตัวแล้ว จะมีความสามารถทางดนตรีอันหลากหลาย
เล่นได้ทั้งเปียโน ออร์แกนและเชลโล่ แต่งเพลงเองไว้ประชันกับบีโธ่เฟ่นก็ยังได้
แต่โลกก็ไม่เคยมีเมโลดีที่ไล่ระดับเสียงขึ้นๆลงๆ ด้วยอัจฉริยภาพทางดนตรีของพลังค์
มากไปกว่าการทำให้หยุดนิ่งซะ ด้วยค่าคงที่พลังค์ทีสร้างชื่อเสียงได้ดีกว่า

ความซวยก็ค่อยๆคืบคลานและบังเกิดในตอนชีวิตที่เหลือ เมื่อย่างเข้ามาอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน
เริ่มสตาร์ทด้วยภรรยาคนแรกวัยสาวของเขา ถึงแก่กรรมด้วยวัณโรค
ต่อมาบุตรคนเล็กของเขาสองคนมาตายด้วยผลของเจ้าสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
บุตคนแรกถูกสังหารในสนามรบ เจ้าคนเล็กถูกกองทัพฝรั่งเศสจับตัวไปจองจำจนตัวตาย
ต่อมาบุตรสาวฝาแฝดที่เขารักมาก คนหนึ่งคลอดบุตรจนถึงแก่กรรม
คนน้องต้องมาทำหน้าที่ดูแลหลาน ไปทำอีท่าไหน จนไปตกหลุมรัก
กับเจ้าสามีของพี่สาวที่เสียชีวิต จนแต่งงานได้ไม่ถึงสองปี
เธอก็มาตายด้วยสาเหตุเดียวกัน คือ การคลอดบุตร
พลังค์จึงเป็นชายที่มีทายาทสืบสกุลน้อยลงทุกทีที่เขายังมีชีวิตอยู่

จนชีวิตย่างเข้าวัยชราภาพ ทุกอย่างดูเริ่มคลี่คลายจนบรรเทา
แต่แล้วระเบิดของสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ตกที่ไหนตั้งกว้างไม่ตก
ดันมาตกหล่นใส่บ้านของเขา ที่เป็นแหล่งเก็บกักข้อมูลอันล้ำค่าทางวิทยาศาสตร์
ทำให้เอกสาร การบันทึกและสิ่งสะสมศูนย์สิ้นในบัดดล แต่ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น
เมื่อบุตรชายอีกคน ถูกจับได้ในข้อหาลอบสังหารฮิตเลอร์ จนถูกนำตัวไปประหารชีวิต
ความชอกช้ำในประเทศที่เขาศรัทธา นำมาซึ่งความหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
สุดท้ายเขาก็ได้ย้ายอาศัยยังเมืองเกิตติงเกน และถึงแก่กรรมที่นั่น รวมอายุได้ ๘๙ ปีเศษ


หากกลุ่มก้อนของพลังที่ไม่ราบเรียบ ถูกเรียกว่า "ควอนต้า"
กลุ่มก้อนของชีวิตที่ไม่ราบเรียบของพลังค์เช่นกัน ก็น่าที่จะถูกเรียกว่า "มรสุมควอนต้า"
ที่ไม่เคยทำให้จิตใจอันทุกข์ระทมของเขาหยุดนิ่ง อย่างที่เฒ่าชราในบั้นปลายอยากให้เป็น

แม้แต่ชีวิตในเรื่องของงานวิจัย ช่วงหนึ่งของเขา ก็หมดกับความวิริยะ-อุตสาหะอยู่หลายปี
กับการมุ่งเน้นศึกษาเพียงแต่หัวข้อเรื่อง "เอนโทรปี (Entropy)"
ซึ่งเป็นหัวใจของหลักของกฎเทอร์โมไดนามิกส์
จนเมื่อผลการทดลองเป็นที่สำเร็จด้วยดี อยู่ๆก็มีข่าวแจ้งมา
ได้สร้างความท้อแท้ใจอย่างยิ่งสำหรับโลกวิทยาศาสตร์สำหรับเขาอย่างมาก
คือ การที่มีคนได้คิดเรื่องงานเอนโทรปี ชิ้นเอกชิ้นนี้ก่อนหน้าเขา
และได้เผยแพร่ลงลงในวารสารทางวิชาการของคอนเนคติกัคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชนิดที่เขาเองก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะแม้แต่ทางมหาวิทยาลับคอนเนคติกัคเอง
ก็ไมเคยรับรู้ว่ามีวารสารฉบับดังกล่าวมาก่อน

คนบางคน ถูกโลกสร้างอุปสรรคเพื่อทดสอบความเข้มแข็ง
พอที่จะสมควรให้ได้รับเกียรติ์ในการอยู่ร่วมกับโลกใบนี้
บางคนบันดาลความเปลี่ยนแปลงของโลกด้วยทฤษฎีที่มีความยาวไม่กี่ประโยค
มักซ์ พลังค์ จึงเป็นชายที่โลกสร้างบททดสอบที่หินมหาโหด ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ทดสอบโลก
ด้วยกฏทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เท่าที่โลกเคยมีมา
ถึงกระนั้นสิ่งที่มักซ์ พลังค์ ถูกกระทำ แม้แต่บุตรชายที่ถูกสังหารโดยผู้นำของประเทศ
และชะตากรรมอันเลวร้ายที่กระทำต่อคนในครอบครัวของเขา
แต่เขาก็ไม่เคยหนีออกจากประเทศเยอรมนี อันเป็นบ้านเกิดที่เขารัก
และอัตวินิบากกรรมตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของชะตากรรมที่เขาถูกกระทำ

เขาจึงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งทางอัตนัยและพฤตินัยอย่างชัดเจน..................ดั่งคำพูดของเขาที่ว่า


"วิทยาศาสตร์ ไม่สามารถไขความลับอันทรงไว้ ซึ่งเงื่อนงำของธรรมชาติได้ทั้งหมด
และนี่แหละคือสาเหตุ ขณะที่เราวิเคราะห์หาคำตอบขั้นสุดท้ายนั้น
ตัวเราเองนั้นก็อยู่ในธรรมชาติ ซึ่งความลับนั้นก็รวมเอาตัวเราไว้ด้วย"

(Science cannot solve the ultimate mystery of nature.
And that is because,in the last analysis, we ourselves are
part of nature and therefore part of the mystery that
we are trying to solve)





ข้อมูลจาก ....ประวัติย่อเกือบทุกอย่าง , จักรวาลของไอนสไตน์ wikipedia และ //www.people.ubr.com





 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2552 12:19:17 น.
Counter : 649 Pageviews.  

ทำเถิดแต่อย่าเกิดผิดยุค


เคยนับเล่นๆไหมครับว่า มีกี่คนที่เราได้เคารพยกย่อง
ถึงแม้ว่า เขาได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว..........
ท่าน hibitation ได้ทำสิ่งนี้ให้ชาว Mblog ได้เห็น ในเมื่อวานซืนนี้แล้ว
แต่เอ๊! ว่าอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ท่าน hibitation ได้ตายจากเรา
เหลือไว้แต่คุณงามความดีให้ระลึกถึง
เพียงแต่ท่านได้เสนอบทความดีดี ที่มาสะกิดติ่งของคิดของผมเข้าโดยบังเอิญ
ว่าวิธีคิดของยุคสมัยหนึ่ง ที่มองคนคิดอะไรที่แตกต่างและแปลกแยกว่าเป็น "คนบ้า"
แต่ทว่าหลายสิบปีผ่านมา พอถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน กับหันมาสรรเสริญและยกย่องสดุดี
ว่าเขา คือ "พ่อตัวเอ้" หรือภาษาทางการ ว่าเป็น "บิดาทางสาขา"
เพียงเพราะเขาเป็นคนแรก ที่ "กล้าคิด" และคิดจริงคิดจัง
จนต้องตะโกนออกมาดังๆ อย่างไม่เกรงใจใคร!

จากบทความของท่าน hibitaion
ในหัวข้อเรื่อง "กาแฟร้อน : จาก ซูซาน บอยล์ ถึง ‘Mad moon’" ที่ว่าด้วย....
ชายคนหนึ่งที่บ้าดวงจันทร์ ความฝันของแก คือ ความเป็นจริงที่คนอื่นไม่เชื่อว่า

"มนุษย์เราสามารถบินไปดวงจันทร์ได้"


"ความฝัน" ถ้าในบ้านเราแล้ว ส่วนใหญ่จะสามารถสร้างประโยชน์ได้
ถ้าไม่ด้วย "ตีเลขหวย" กับ "ทำนายฝัน" ด้วยแล้ว .............บอกตามตรง
ว่ายังคิดไม่ออก ด้วยคนไทยโดยส่วนใหญ่
จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของความฝันได้ด้วยวิธีการไหน
แต่นาย "โรเบิร์ต ก็อดเดิร์ด" สยบยอมกับความเชื่อมั่นของเขาโดยดุษฎี
ความคิดในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ โครงร่างของการสร้าง "จรวด"
กลายเป็นเรื่องตลกสำหรับผู้คนยุคนั้น ถึงขนาดสื่อยักษ์อย่าง Newyork Time
เอามาสับเขาซะเละ
สุดท้าย โครงการของเขาถูกพับเสื่อ จางหายไปอย่างเงียบๆ
จนกระทั่ง ในปี ค.ศ. ๑๙๖๙ เมื่อยามอพอลโล ๑๑ ลงไปจอดยังดวงจันทร์
จนมีประโยคคลาสสิกระดับโลก ประโยคหนึ่งที่ว่า

""That's one small step for (a) man, one giant leap for mankind.""

โลกได้หันกลับมาให้การยกย่องเขาอีกครั้ง แต่นั้นก็หลังจากที่เขาเสียชีวิตลาโลกไปแล้วตั้ง ๒๐ ปี
เขาจึงไม่เคยได้รับความรู้สึกยอมรับที่ยิ่งใหญ่ ในตลอดช่วงที่เขามีชีวิตอยู่
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา คือ การเป็นตัวตลกในสายตาของคนที่ดูแคลนในทั้งชีวิตที่เหลือ

เรื่องอย่างนี้ มีให้เห็นบ่อยในหน้าประวัติศาสตร์ของความเป็นมาในมนุษยชาติ
เพียงแต่เราไม่ค่อยได้รับรู้ เพียงเพราะเขาและเธอเหล่านั้น อาจไม่ได้ถ่ายรูปหรือ
ชูถ้วยพร้อมกับความสำเร็จที่น่ายกย่อง
จึงไม่ใช่ความผิดของเขาที่จะกล้าฝัน ผิดเสียแต่ประการเดียว คือ
"เขาเกิดมาผิดยุค-ผิดสมัย" ก็เท่านั้นเอง

เท่ากับที่เรามองปรากฎการณ์ของจรวดบินออกไปนอกโลก เป็นเรื่อง "ปกติ"
ปกติพอที่ นาย ริชาร์ด แบนสัน จะคิดธุรกิจของจรวดเชิงพาณิชย์นอกโลก
ให้สำหรับมหาเศรษฐีไฮโซที่เบื่อการเที่ยวรอบโลก ไปเสียแล้ว ..........................





อีกคนหนึ่ง ที่ติดตรึงในติ่งความคิดของผู้เขียนเอง
คนนี้ไม่ใช่อื่นไกล ก็เป็น "คนไทย" นี้แหละ "คิดกว้าง-มองไกล-มีวิสัยทัศน์"
องค์ประกอบของนักคิดที่พรั่งพร้อม เสียเพียงข้อเดียวตรงที่
ดันสะเออเกิดก่อนกำหนด ที่มิใช่การคลอดออกมาดูโลกเร็ว
เพียงแต่เขาน่าจะเกิดช้าอีกสัก "ร้อยปี" เขาก็จะกลายเป็นคนปกติ
ที่ไปได้ดิบได้ดีในสังคมไทยของยุคปัจจุบัน
เพราะฝีมือการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชน แม้แต่ "เปลวสีเงิน" แห่งไทยโพสต์ ก็หาได้เทียบเท่าไม่
ชายผู้ซึ่งด้ออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์ ชื่อ "ตุลวิภาคพจนกิจ" และ "ศิริพจนภาค"
ได้วิจารณ์แหลกเกี่ยวกับปัญหาสังคมยุคนั้น ทั้งในเรื่อง การมีภรรยาหลายชน
การเล่นการพนัน การรับสินบน กฎหมายห้ามสูบฝิ่น เลิกทาส และยังเสนอแนะให้รัฐบาล
มีสภาผู้แทน (ซึ่งตอนนั้นรับแนวคิดนี้ไม่ค่อยได้)
ก่อนหน้าก็ไปมีเรื่องกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ระดับเสนาบดี
จนเจอดีกับกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและหมิ่นประมาท จนต้องถูกโบยไปครึ่งร้อย
เพียงเพราะไ้ด้ไปช่วยเขียนฎีกาให้ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมของระบบราชการ
จนถูกขังลืมมากกว่า ๓๗ ปี

แต่ก็ทำให้ชื่อของ "เทียนวรรณ"
มีการกล่าวอ้างในเกือบทุกรัฐบาลไทย ตราบใดที่ความเป็นธรรมในสังคมไทย
หาเท่าไรก็ยังหาไม่เจอ...................................

จึงไม่แปลกที่คนโดยทั่วไปในสมัยนั้น จะรับแนวความคิดที่ผ่าเหล่าผ่ากอ
จนกว่าจะได้ปรับกระบวนทัศน์ต่อสิ่งใหม่ๆ ก็จำต้องถอดรื้อวิธีความเชื่อเก่าๆ
และปรับแต่งในสิ่งใหม่
ลองคิดว่าเอาเล่นๆว่า วันหนึ่ง เราจะมีโทรศัพท์ที่ไม่ต้องใช้สายระโยง
ถ้าย้อนไปสักสิบปีที่แล้ว ตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ชวนให้หงุดหงิด ทั้งในเรื่องคิวยาว
ที่ไม่ค่อยว่างและมักจะชอบกินเหรียญอยู่เป็นประจำ
อันเป็นเรื่องสุดจะปวดหัวของคนสมัยนั้นอย่างยิ่ง
แล้วผ่านมาสิบปี ความเป็นตู้โทรศัพท์สาธารณะ กลายเป็นโบราณสถานหย่อมๆ
ที่กินพื้นที่ทางเดินของคนกรุงกันเสียเหลือเกิน ไปซะงั้น

เหมือนเช่นกับอีกคน .................... ที่อาจารย์ระดับปริญญาเอก ไม่ว่าสำนักไหน
ก็ต้องอ่านงานของ "คนบ้า" ท่านนี้ ที่ชื่อ

"เฟรดริช นิทเช" (Friedrich Wilhelm Nietzsche)

ที่กล่าวหาว่าเขา "บ้า" อันเป็นชีวะประวัติในยุคบั่นปลายของท่านผู้นี้
ในหลังการเกษียณอายุราชการ ที่ชักเข้ากับคนอื่นๆ ไม่ค่อย อีกทั้งสุขภาพก็ย้ำแย่
แต่แย่อย่างไรก็ไม่เท่ากับการวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าครูบาอาจารย์ในสมัยนั้น
เพราะพี่ท่านเล่นแหกขนบและต่อต้านมันซะดะ ว่าแหลกตั้งแต่โซเครติสไปจนถึง
พระเจ้า จนมีคำฮิตติดปากในงาน “Thus spoke Zarathustra”
ที่ว่า "พระเจ้าตายแล้ว"
เพียงที่แกว่าเท่านั้นแหละ เรื่องก็เคืองไปถึงสำนักสงฆ์วาติกันจนไปถึงวงการคริสตจักร
ผลงานหลังความตายของผู้เฒ่านักคิด "อัตถิภาวนิยม" (Existentialism) กลายเป็น
ผู้วางรากฐานปรัชญา "โพสต์ โมเดิร์น" (Post Modernism) คนสำคัญตัวเอ้แห่งศตวรรษที่ ๑๙
แม้ทุกวันนี้ผู้ใดที่อ่านงานของนิทเช่ ได้กระจ่างย่อมถือว่า
ยังไม่อาจเข้าใจแนวคิดของนิทเช่ได้อย่างถ่องแท้.................


กลายเป็นว่า การล้างบาปในความสำนึกผิดที่สังคมได้กระทำ
ทั้งโดยการปรามาสต่อสิ่งที่เป็นไปได้จริง ท่ามกลางช่วงเวลาที่ไม่เอื้อให้สามารถเป็นจริงได้ คือ "การมอบตำแหน่งบิดาหรือสายธารกำเนิดแห่งศาสตร์ใหม่"

แม้วิธีคิดนี้จะเป็นที่โจษจันพอๆกับ การที่รางวัลโนเบลจะไม่มอบให้กับนักคิดที่เสียชีวิตไปแล้ว
แม้ว่างานนั้นจะดีเลิศและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้อย่างไร?
ฟังดูอาจพอที่จะชดเชยความผิดให้ลดทอนลง แต่ก็ดีกว่าปล่อยผ่านไปอย่างไร้เลื่อนลอย
อย่างน้อยก็ยังดีกว่า การตบทรัพย์สิน-รางวัลอันสูงมูลค่า แต่ทว่าผู้สร้างสรรค์ไม่ได้ใช่สักบาท
ดั่งชีวิตของนาย "แวนโกะ" ศิลปินที่ขายรูปได้เพียงแค่ภาพเดียว ในตลอดทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

ความที่ชอบรังสรรภาพที่เน้นลวดลายด้วยการปัดพู่กันแบบหยาบๆ และให้ความรู้สึกที่รุนแรง
หลายคนจึงปฏิเสธงานที่ดูมะลึกกึกกึ๋ยและแปลกประหลาด ด้วยกรรมวิธีที่ (เกิน) ทันสมัย
แรงพอที่จะให้เขาต้องพึ่งโรงพยาบาลทางด้านจิตเภท อันนำมาสู่ความหดหู่และการฆ่าตัวตาย
ในเดือน พ.ค. ๒๕๔๙ ทางสำนักข่าว เอเอฟพี/บีบีซีนิวส์ ได้รายงานเหมือนลอกข่าวกันมาว่า
ภาพ "ล' อาร์ลเซียน มาดามชีโนซ์" ของแวน โกะห์ มีผู้ประมูลไปด้วยราคาถึง
๔๐,๓๓๖, ๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ สูงที่สุดอับดับที่ ๔ (ไม่รวมก่อนนะคิดดูว่าจะอีกเท่าไร)
ซึ่งถูกจ่ายไปแลกกับผลงานเพียงชิ้นเดียวของแวน โกะห์
จะนับญาติกับแวนโกะ ตอนนี้ก็คงสาย เนื่องด้วยแวนโกะไม่มีอะไรทีเกี่ยวข้องกับชาติไทย
แม้แต่น้อย

ดังนั้น.......การปล่อยให้ความคิดของตัวเอง ปิดผนึกจากกรอบที่ขวางกั้น
หรือภยาคติอันเกิดจากความกลัว จนไม่อาจทลายความเชื่อที่จะนำมาสู่การเปลี่ยน
แปลงทางสังคมหรือไกลหน่อย ก็ไปสู่โลกซะเลย
คิดดูแล้ว มันจะน่าเสียดายไปสักแค่
กับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ปถุชนสักครั้งในชีวิต
แม้สำหรับบางคน การได้ "กล้าทำ" และ "กล้าคิด" อาจเป็นสิ่งที่สูงสุดในชีวิต
มากกว่าการได้มาซึ่ง ชื่อเสียงและเงินทอง ใดใดทั้งปวง แม้รู้ดีว่าจะต้องเสียสละ
การสิ่งที่ต้องถูกเหยียดหยามและรังแกในภายภาคหน้า
เพียงเขาคิดได้เพียงว่า "คิดได้" และ "ไม่ได้แค่คิด" อยู่เพียงเท่านั้น




ข้อมูลจาก wik แห่งประเทศไทย
//www.thegaming.com
guru.sanoo
mblog.hibitation





 

Create Date : 25 เมษายน 2552    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2552 18:44:23 น.
Counter : 876 Pageviews.  

เส้นทางเจ้าสัว

คิดอะไรคล้ายๆกัน และหยิบยื่นเงินมาหมุนกันสักร้อย-สองร้อย พอประทังชีวิต
แต่ศิลปะของความเจ้าสัวประการหนึ่ง คือ การเลือกคบคน
และคนๆนั้น ก็ไม่เคยมี "ผม" ในฐานะที่ควรคบด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่
ครั้งหนึ่ง เส้นทางเดินของเจ้าสัวก็เคยเป็นเหมือนกับเราในทุกวันนี้
ดีไม่ดี .................ตกต่ำยิ่งกว่าเราเสียอีก
ดังนั้น ไอ้สำนวนที่ว่า "เสี่อผืนหมอนใบ"
อาจเป็นมุมที่สะท้อนการดำเนินชีวิต ของมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง กับทุนทางปัญญา
และไม่รอคอยโอกาสให้วิ่งเข้ามาหา แต่เดินมุ่งไปข้างหน้า ตราบเท่าที่มนุษย์คนหนึ่ง
พึ่งจะทำได้อย่างดีที่สุด

มีประสบการณ์สุดคลาสสิก ของท่านเจ้าสัวนาม "เทียม โชควัฒนา"
บิดาแห่งสหพัฒนฯ ผู้ผลิตมาม่าและเครื่องอุปโภคบริโภคอีกมากมาย
ถ้าสามารถยอ้นเวลากลับไปได้ และรู้ว่าคนๆนี้จะได้ดิบได้ดี คงจะรีบไปอุปถัมภ์อุ้มชูตอนที่ลำบาก
ลำบากอย่างไรรึ? เทียมเขาเป็นเด็กกตัญญู ยอมลาออกจาก
โรงเรียนทิ้งเครื่องแบบมาเป็นคนงานในร้าน ตำแหน่งงานก็สุดเท่ห์
คือ เจ้าหน้าที่ฝ่าย Logistic แปลเป็นภาษาจีนว่า "จับกัง"
จนวันหนึ่ง บิดาของท่านเรียกประชุมลูกหลานเหล่าเครือ เพื่อหวังจะแจกปริญญา
แต่ทว่าปริญญาบัตรใบนี้มีให้ได้แค่คนเดียว เงื่อนไขดุษฏีฯใบนี้
จะให้ได้เฉพาะคนที่สามารถแบกกระสอบน้ำตาลหนัก100 กิโลกรัม
อีกทั้งจะขึ้นเงินเดือนเป็น 22 บาท (เยอะมากในสมัยนั้น) ให้ทันที
เด็กชายคนเดียวแห่งตระกูลสำนักร้านเปียวฮะที่สามารถทำได้
คือ ดช. เทียม นี้เอง...............

การศึกษาจึงมิใช่เครื่องการันตีถึงความสำเร็จในการที่จะเป็นเจ้าสัวที่ดีเท่านั้น
(แต่ ประทานโทษ เจ้าสัวทุกท่านที่เอ่ยมา ล้วนพยายามส่งเสียให้ลูกหลานเรียนความรู้ในระดับสูง โกอินเตอร์ได้ก็จะพยายามผลักดัน)
สมัยหนึี่่ง "ดช.เคียกเม้ง แซ่โซว" ต้องใช้เวลาเรียนถึง 8 ปีเพื่อจะให้จบป. 4
เหตุที่เรียนช้ากว่าคนอื่น มิใช่อะไร ก็ด้วยความกตัญญูและความยากจน
ด้วยบิดามีอาชีพขายหอยทอด ระหว่างเรียนก็ต้องทำงานไปด้วย
รับทุกจ๊อบพอที่จะจุนเจือครอบครัวได้
จนกระทั่งอพยพมาเมืองไทย มีโอกาสจัดส่งสินค้าให้ "โรงงานสุราบางยี่ขัน"
อันเป็นธุรกิจที่ผลักดันเร่งให้จากนักประกอบการณ์เล็กๆ สู่ความเป็นมหาเศรษฐีในที่สุด
ท่านที่ว่านั้น ก็คือ เจริญ สิริวัฒนภักดี






พอเอ่ยถึงชื่อคนจีน ทำให้นึกถึงดช. อีกคน ที่ชื่อ "โกเหลียว"
มาแนวที่คล้ายๆกับ เจ้าสัวเจริญ คือ มาจากครอบครัวที่ยากจน ทำอาชีพกสิกรรม
ตามสูตรเลย ต้องหนีจากความจน คิดอะไรไม่ออก ก็เข้าบางกอกไว้ก่อน
เข้ามาช่วยพี่ที่ทำงานร้านขายยา จากนั้นค่อยก้าวมาเป็นตัวเเทนจำหน่ายสักเอง
เขยิบมาสู่การตั้งโรงงานผสมยาอยู่หลังโรงแรมรัตนโกสินทร์
ถ้าแม่ของเด็กท่านใดที่กำลังซื้อ ยาเด็ก "เบบี้ดอล" โปรดรู้ไว้ว่า
ท่านได้สนับสนุนธุรกิจในเครือของคนผู้หนึ่ง
ที่ซึ่งผลิตยาชูกำลังชื่อดังข้ามโลก อย่าง เครื่องดื่ม "กระทิงแดง" หรือ "Red Bull"
จนปัจจุบันนิตยสาร Forbes ยกให้ท่านเป็นมหาเศรษฐีสินทรัพย์มั่งคั่งที่สุดในสยามประเทศอันดับหนึ่ง ที่ชื่อ เฉลียว อยู่วิทยา

การทำธุรกิจจึงต้องค่อยๆ ดำเนินการ อย่าได้รีบร้อน
เพราะคนเรามักจะมองแต่เฉพาะช่วงของผลสำเร็จในชีวิต ตอนที่มีทรัพย์สินเงินทอง
และความยิ่งใหญของอาณาจักรทางธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยเสมอ
แต่พอในช่วงตอนที่เริ่มก่อเป็นรูปเป็นร่างนี้ ไม่ค่อยจะใส่ใจกัน
เหมือนกับเวลามอง "ปลาทะเล" เรามักจะเห็นความสวยงาม-แปลกตาของตัวปลา
แต่ไม่ได้มองความกว้างใหญ่ของท้องทะเล ที่ชาวประมงใช้ความอุตสาหะ
เพื่อเสาะหาปลาพันธ์หายากไม่กี่ตัว
ยกตัวอย่างธนาคาร "กรุงเทพ" ที่มีหลายพันสาขาในประเทศ
(และเกือบทุกเผาใหญ่ในจลาจลเช้านี้)
รู้รึไม่ว่า ผู้ก่อตั้งเริ่ม "นายชิน โสภณพานิช"
มีชีวิตเริ่มต้นจากเสมียนต๊อกต๋อย (ไอสไตน์ก็มาจากเสมียนสิทธิบัตรเช่นกัน)
ก่อนที่จะมาเป็นเสมียนของโรงไม้แห่งหนึ่ง ยังเคยเป็นลูกหาบเรือโยงบรรทุกสินค้าเกษตร ด้วยความที่เป็นคนเอาการเอางาน
เจ้าของโรงไม้จึงสอนวิชาบัญชีให้ จากนั้นก็ค่อยๆขยับขยาย
ยกระดับฐานะหน้าที่ตนเอง จากเปิดร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างของตัวเอง
มาเป็นบริษัทค้าขายเครื่องเขียน มาสู่การขายเครื่องกระป๋อง
ในปี พ.ศ. 2487 ร่วมหุ้นกับคนรู้จักก่อตั้งธนาคารกรุงเทพขึ้น
เป็นธุรกิจการเงินที่มาแรงระดมเงินฝากช่วงนั้นได้กว่า สิบล้านบาท..................................
ชีวิตของ ท่านชินหากศึกษาดู ก็คล้ายกับชีวิตของเจ้าสัวซีพี ธานินทร์ เจียรวนนท์
ที่เริ่มต้นทำงานในตำแหน่งแคชเชียร์ หลังสำเร็จการศึกษาด้านพาณิชยกรรมที่ฮ่องกง
จนเมื่อชีวิตวัยเบญจเพส จึงได้กลับมาทำงานอีกครั้งที่เจริญโภคภัณฑ์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดไปเสียแล้ว......

ทั้งหมดที่เล่ามา มิได้ให้อิจฉาเล่น (แม้จะน่าอิจฉาอยู่ก็ตาม)
เพียงแต่อยากให้เห็นเส้นทางของความสำเร็จของทุกย่างก้าวของแต่ละเจ้าสัว
ล้วนมาด้วยความลำบาก-เร้นแค้นด้วยกันทั้งสิ้น มิได้มีใครมาด้วยกองเงินกองทอง
มีช้อนทองคาบมาแต่กำเนิด หรือเป็นดั่งนิยายพื้นบ้านไทย ที่มักเป็นเชื้อกษัตริย์ แล้วถูกโหร-ปุโรหิต
ของฝ่ายตัวร้ายกลั่นแกล้งจนต้องพลัดพรากที่นาคาปราสาท ไปเป็นลูกชาวบ้านยากจน
หากตราบใดที่เราไม่อาจนำเอาเจ้าสัวมาเป็น "เพื่อน" ยามยากได้
แต่สุดท้าย ปรัชญาและประสบการณ์ย่างก้าวความเป็นเจ้าสัว ก็เป็นเพื่อนทางภูมิปัญญา
ใน ยามท้อแท้และสิ้นหวัง สมการชีวิตที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นได้จริง แต่ขอให้ทำจริงและไม่ละทิ้งความพยายาม ......................................(และควร "กตัญญู" ในวันครอบครัวด้วยนะครับ)
เพราะเจ้าสัวคนต่อไปอาจเป็น ........"คุณ" (และมีผมเป็น "เพื่อนคุณ" ด้วย อิอิ)

ดั่งที่เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี กลั่นประโยคแห่งชีวิตที่ว่า...............

"ผมพร้อมจะเป็นน้ำนิ่ง อาจมีเขื่อนมาขวางหน้า
แต่ถ้าวันใด ที่เขื่อนนั้นเปราะบาง และโอกาสแห่งการสำแดงพลังมาถึง
ผมก็พร้อมจะกลายเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
โหมกระหน่ำใส่ทุกสิ่งที่ขวางกั้น
แม้กระทั่งเขื่อนที่ครั้งหนึ่งผมเคยสยบยอมก็ตาม"





ย่นย่อจาก th.wikipedia.org






 

Create Date : 14 เมษายน 2552    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2552 18:35:51 น.
Counter : 855 Pageviews.  

นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตากัน?



มีคำถามที่มาพร้อมเสียง "ติ้งต๊อง" ผ่านมาทาง MMS
ก็เป็นการสนทนารูปแบบหนึ่งในโลกออนไลน์ ซึ่งก็มิใช่ใครที่ไหน
นังกิ่ง คนที่ทำตุ๊กตาฮูดูแทนการยัดทะนานมื้ออาหารรสเลิศ
ราคาแพงโคตรหนึ่งมื้อ
เธอก็เล่าถึงความฝันสูงสุด ในชีวิตของหล่อน ที่ว่า
อยากจะปลูกบ้านสักหลังให้มารดาของเจ้าหล่อน แต่เสียดายที่ในชีวิต
จริง หล่อนก็ยังไม่สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ แล้วยังมีหน้ามาย้อน
คำถามเดียวกันใส่ตัวผมอีกว่า "ความฝันสูงสุดชีวิตของตัวเอง คือ อะไร?"
แต่ยังไม่ทันตอบ สัญญาณเชื่อมผ่านช่องทางอินเตอร์เน๊ต ไม่ของผมก็ของเจ้าหล่อน
ตัดสัญญาณอย่างฉับพลัน ก่อนที่ผมจะพิมพ์คำตอบกลับไปว่า
"นิพพาน"

ก่อนหน้านี้ ก็เคยมีคนมาปรับทุกข์ถึงความหมายที่แท้จริงของชีวิต
ตามประสามนุษย์เงินเดือนที่ทำเก็บเท่าไร ก็ไม่รวยสักที ก็พยายามหว่านล้อม
ให้ผมเข้าก๊วนแสวงหาสิ่งที่สร้างรายได้ที่ดีกว่า (ซึ่งที่หยิบยกมาก็เป็นโฆษณาชวนโม้
ที่ธุรกิจไม่ใบ้กันมากก็พอเดาออก ประมาณว่า "รวย" "เที่ยวต่างประเทศ" "รถยุโรปสุดหรู"
ผมมักจะตัดบทสนทนาประเภทนี้ ด้วยคำที่สุภาพอย่างที่สุดไปว่า
"ไม่ละพี่ เป้าหมายชีวิตผม คือ พระนิพพานครับพี่"

พูดแค่นี้ ประเดี๋ยวเดียวก็วงแตก ......... ต่อสำนวนชักประตูน้ำทั้งห้าไปไม่ถูก

มันเป็นการพูดที่เล่นที่จริงสำหรับผม ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนมักเตือนผมว่า
การเอาเรื่องอย่างนี้มาพูดเล่น "ระวัง นรกจะกินหัวเอา"
แต่พอผมถามถึงโลกของพระนิพพานว่าเป็นเช่นใด ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่พึงพอใจ
ด้วยความเคารพ ผมเชือ่ว่าท่านเหล่านั้น รับรู้ว่าโลกของนิพพานเป็นภพสูงสุด
ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับ โดยอาจมีเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิเป็นส่วนเสริม
บางคนอาจพูดตัดรอน ไปว่า "เอาตัวให้รอดจากชาตินี้ไปก่อนเถอะพี่น้อง!!"

หลายคนอาจจับทางได้ว่า ถ้าโม้ยาวขนาดนี้ แสดงว่าผู้เขียนกำลังวกเข้าหนังสือ
อะไรสักเล่ม แม้ผู้เขียนเพิ่งจะแสวงปัญญาจากงานสัปดาห์หนังสือฯ เมื่อวานนี้
แต่ทว่า ภารกิจเก่าที่ค้างการทลายกองดองจากงานสัปดาห์หนังสือฯของครั้งก่อนๆ
ก็จำต้องทำไปควบคู่กัน จะอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อใหม่อย่างสบายอารมณ์ก็ทำได้ยาก
เพราะของเก่าที่กองสุมหัวพะเนิน ก็ยังที่จะหลอกหลอนอยู่มิคลาย
หนังสือเล่มเก่าที่ว่าในการทลายกองดองเดือนมีนา ที่ใกล้จะเปลี่ยนหน้าปฏิทินอีกไม่กี่วัน
เป็นหนังสือที่ผมตามมาเก็บมาทั้งชีวิต เพราะเคยไปขอยืมเพื่อนมาอ่าน
ด้วยความที่ชอบงานเขียนและติดตามเทศนาธรรมของท่าน ป. อ. ปยุตโต
สมัยที่มีสมณศักดิ์เป็น พระธรรมปิฎก
จากนั้นก็ไล่ตามเก็บงานเก่าๆของท่าน เกือบทุกชิ้น เท่าที่พอเสาะหาได้
โดยเฉพาะงานสัปดาห์หนังสือฯ ดูเหมือนจะร่นเวลาตามหาไปได้เยอะ อีกด้านหนึ่งก็
เสียสตางค์ไปเยอะด้วยเช่นกัน......................................

เหตุที่หนังสือเล่มนี้ถูกจัดพิมพ์ขึ้น เรื่องไปมีอยู่ว่าไปเกิดกรณีตีความพระธรรมคำสอน
ของพระพุทธเจ้าที่ไปบิดเบือนจากความเป็นจริง ซึ่งทางสำนักธรรมกายมองว่า
"นิพพาน เป็น อัตตา"
จนกระทั่ง มีหนังสือที่ชี้แนวทางเล่มเล็ก-ฉบับบางๆ ที่ชื่อ "กรณีธรรมกาย"
แต่ยังไม่อาจอธิบายและแสดงธรรมได้อย่างเต็มที่ จึงได้รวบรวมเรือ่งราวและหลักฐาน
จนกลายมาเป็น "กรณีธรรมกาย (ฉบับขยาย-เพิ่มเติม)" ของมูลนิธิ
พุทธธรรม ฉบับที่ตนมีในครอบครองเป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๒๒ มีผู้ร่วมจิต
ศรัทธาร่วมช่วยพิมพ์เป็น ๘,๐๐๐ เล่ม ให้เหลือล้นในท้องตลาด

แม้แต่คนที่อยู่ห่างจากการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ก็มองเห็นแนวทางที่ถูกที่ควร
ว่าทำไม? "นิพพาน" จึงไม่ควรเป็น "อัตตา" (หวังว่าจะเล่าแบบไม่หนักสมองนะครับ
แต่เชื่อชาวพุทธบางคน "น่าจะ" ยังไม่รู้ให้ได้รู้ "หรือ" ที่รู้แล้ว ก็จะได้เสริมความเข้าใจมากขึ้น




ในคำสอนของพระพุทธศาสนาทุกวันนี้ สิ่งที่รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ดีที่สุด
คงหลีกหนีไปไม่ได้ หากไม่ใช่ "พระไตรปิฏก" ดังนั้น พระไตรปิฎก จึงเป็นทั้งพุทธประวัติ
กติกา ข้อบังคับที่มาจากพุทธพจน์และพุทธบัญญัติ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานที่ชัดเจน (หน้า๑๗)
ภิกษุรูปใดที่ปฏิเสธไม่ยอมรับคัมภีร์ไตรปิฎก ย่อมปฎิเสธความเป็นภิกษุของตน (หน้า๒๐)
การที่ใครอ้างถึงความที่ไตรปิฎกที่พุทธศาสนาในประเทศไทย ยึดตามคัมภีร์บาลี
ว่าอาจมีการบันทึกและสังคายนาอย่างตกๆหล่นๆ แล้วหันไปอ้างอิงพระคัมภีร์ของภาษาอื่น
อย่าง ภาษาโรมัน ภาษาจีน ภาษามคธ อันเป็นฝ่ายของมหายาน ซึ่งล้วนแล้วแต่ชำระ
และตีความออกไปไกลห่างจากพุทธพจน์ดั้งเดิมแทบทั้งสิ้น กลายเป็นจากจารึกตามหลัก
"อาจาริยวาท" (ยึดตามอาจารย์ของตน) ในด้านความเก่าแก่ เขาก็ต่างยกให้ในส่วน
ของภาษาบาลีใกล้เคียงกับพุทธพจน์ของพระองค์มากที่สุด
การที่จะมาอ้างความที่ "พระนิพพาน" เป็นเรื่องของอจินไตย (อยากจะหยั่งถึง) จึงเป็นเรื่อง
ไม่ถูกต้อง เพราะมีกล่าวในพุทธพจน์ที่ตรัสแสดง (หน้า๕๐)
แม้แต่คำว่า "อัตตา" ก็ไม่มีจริงในโลกของพระศาสนา เพราะในคำสอนของพระองค์
ให้อัตตาเป็นเพียงตาม "ภาษาสมมติ" ไม่มีจริงโดย "ปรมัตถ์" (หน้า๖๐)
อย่าว่าแต่นิพพานที่ปรากฎถึงความเป็น "อนันตา" แต่เพียงเท่านั้น แม้แต่ใน "อรรถคาถา"
ก็ระบุไว้ชัดเช่นกัน (ซึ่งในหนังสือเล่มนี้กล่าวไว้หลายจุด ต้องขอข้ามเพราะพิมพ์ภาษาบาลี
ในเครื่องไม่เป็นหงะ) ขอหยิบยกประโยคที่คุ้นหูผู้กำลังพิมพ์ให้ท่านอ่านสักตอน

"สังขารทั้งปวง อันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนันตา
นิพพานและบัญญัติเป็นอนันตา วินิจฉัยมีดังนี้" (ขุ.ปฏิ ๓๑/๕๔๖/๔๕๐)

(มองแง่แม้แต่ข้อบัญญัติเป็นอนันตา เป็นการมองสมมติซ้อนสมมติ แต่ถ้ามองว่าไม่ยึดใน
บัญญัติ ปานี้ใครก็สามารถบิดเบือนและตีความคำพุทธพจน์เข้าข้างหลักการตัวเองไปต่างๆ
นาๆ ซึ่งในหลักนี้ทำให้พุทธศาสนามหายานแตกแขนงเป็นพันเป็นหมื่น จนบางนิกายเป็นโทษ
ต่อสังคมไปเลยก็มี)

อย่างในอรรถกถาบางตอน

"ข้อความว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนันตา นั้น พระพุทธองค์ตรัสรวมทั้งนิพพานด้วย"
(นิทุ.อ. ๒/๘)
บทนี้ก็ชี้ชัดครับ ไม่มีข้อทวงติงไปได้ ยกเว้นแต่บางท่านจะไปอ้างว่า มันไม่ใช่พุทธพจน์
แต่เป็นการตีความของอาจารย์หลังยุคสมัยพระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว ก็ไปอ่านตอนข้างบน
ที่ได้หยิบยกละกัน ถ้าไม่ชัดเจนอีก ก็รบกวนไปสัปดาห์หนังสือแห่งชาติฯที่กำลังเปิดอยู่
หนังสือหน้า ๔๐๔ หน้า ราคาเพื่อชาวพุทธเพียงแค่ ๘๐ บาท ไปซื้อที่งานมีลดอีกนะพี่น้อง

แต่ที่น่าเกลียดกว่านั้น คือ การตู่พระวินัยโดยใช้หลักตรรกะที่ว่า

"ถ้าอันนี้ว่าเป็น อันนั้นก็น่าที่จะเป็นด้วย" อย่างที่สำนักธรรมกายอ้างว่า
"ถ้ามองในเชิงกลับกัน ในเมื่อนิพพานเที่ยงและเป็นสุข เราก็จะสรุปได้ว่า สิ่งใดเที่ยง
สิ่งนั้นเป็นสุข สิ่งใดเป็นสุข สิ่งนั้นก็น่าจะเป็นอัตตา" (หน้า ๗๖)

อันนี้มองเชิงตรรกะในนอกหลักการ ไม่ได้นำเอาบริบทอื่นในพุทธพจน์มาพิจารณา
อันนี้ยังไม่รวมการแปลพระบาลีผิดๆเพี้ยนๆ เข้ากับหลักการ-ความเชื่อของตน จนเมื่อ
จำนนก็วกไปวนมา ทำให้สับสน ถ้าใครไม่เคยศึกษาพุทธศาสนาให้ลึกซึ้งก็อาจหลงคล้อย
เชื่อไปตามนั้น จากบางทีไพล่ไปกับวิธีการปฏิบัติวิชา "ธรรมกาย" ของสำนักตัว
ที่ว่า นั่งสมาธิถอดจิต ไปถวายข้าวทิพย์แด่พระพุทธเจ้าที่ประทับในภพนิพพาน
ทั้งๆที่ คำว่า "ธรรมกาย" เเปลตามศัพท์ว่า "กองแห่งธรรม ที่ร่วมขุมนุมหรือที่ประมวล
แห่งธรรม" (หน้า ๑๐๖) โดยไม่ต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรมกาย เพียงมีมรรค ผล
นิพพาน เพื่อให้บรรลุพร้อมบริบูรณ์อยู่แล้ว (หน้า ๑๐๙) แม้แต่ "ธรรมกาย" ก็เป็นคำที่หยิบยก
มาลอยๆ ในฐานะที่เป็นที่เข้าใจกันดีของผู้แสวงในธรรม ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ถอดรูป-แปลงกาย
แต่อย่างใด

ตลอดจนถึง ศัพท์ "อายตนนิพพาน" ก็ไม่มีโดยบาลีนิยม ซึ่งถ้าจะให้มีจริงๆ
ต้องถูกต้องตามหลักภาษา เป็น "นิพพานายตนะ" แปลว่า "แดนนิพพาน" (หน้า ๑๖๔)
หากไม่เชื่อในความคิดของวิชาการไทย แม้แต่นักวิชาการหัวนอก Pro. Richard Gombrich
ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมบาลีปกรณ์แห่งอังกฤษ ได้เขียนคำอธิบายในหนังสือว่า

"มติของพระพุทธศาสนาที่แท้ว่า อัตตามีเพียงโดยสมมติ ไม่มีจริงโดยปรมัตถ์
และพระนิพพานก็รวมอยู่ในธรรมที่เป็นอนัตตา" (หน้า ๑๕๗)

แม้จะฉายซ้ำกับที่ผมได้เขียนข้างตน แต่วิธีคิดและมุมมองถือว่า
คล้ายคลึงกัน ทั้งไทยและเทศรวมกันหวังว่าคงให้น้ำหนักในหลักฐาน
ที่น่าจะหนักแน่นพอ

เลือกหยิบเล่มนี้ ในเดือนอากาศและอุณหภูมิการเมืองร้อนๆและเศรษฐกิจทรุดๆ
เพื่อหาเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ในการมีเป้าหมายชีวิตในเบื้องหน้าเป็นไปเพื่อหลุดพ้น
มิใช้ไขว้คว้า-เร่งสะสม จนยากที่จะถอนตัวในสิ่งที่เคยได้มี-ได้เป็นมา คือ ด้วย
สังขารธรรมที่ไม่เที่ยงแท้และร่างที่เปลือยเปล่า
อยากมีสำนวนเท่ห์ๆแบบในหนัง A Curious Case of Benjamin Buttun ว่าเกือบท้ายเรื่อง

I don't have much to leave few possessions ,no money really.
I will go out of this world the same way I came in alone and with nothing.
All I have is my story.

เพียงแต่ว่าหลักการนั้น จะต้องไม่บิดเบือนและปรับใช้เพื่อเข้าสู่ลัทธิของตน
จนทำลายหลักการอันเป็นพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงทุ่มเททั้งชีวิตและประสบการณ์เรียนรู้
มาสู่การเผยแผ่ในตลอดทั้งชีวิตที่เหลือ แม้พระองค์จะทรงเข้าสู่ภาวะนิพพานอันสุขสงบได้ก็ตามที่


หนังสือเล่มนี้ จึงเป็นการย้ำชัดโดยพระคุณเจ้า ป.อ.ปยุตโต (ในหน้า ๖๙) ด้วยตัวอักษรหนา ที่ว่า

-ไม่มีหลักฐานในคัมภีร์ใดเลยที่กล่าวถ้อยคำระบุลงไปว่านิพพานเป็นอัตตา
-แต่มีหลักฐานในคัมภีร์เท่าที่ระบุลงไปว่านิพพานเป็นอนัตตานั้นมีและมีหลายแห่ง

ดังนั้นหลักการที่ถูกต้อง ย่อมนำมาซึ่งวิธีการที่ให้มรรคให้ผล เช่นนั้นเอย
(หนังสือเล่มนี้ แท้จริงแบ่งออกสองภาค กับหนึ่งบทสัมภาษณ์ท่านเจ้าคุณ ดังนั้นที่จบไป
ว่าด้วย "นิพพาน" ภาคต้น ส่วนในภาคตอนท้ายว่าด้วยเรื่อง "การทำบุญให้ได้บุญที่แท้" ซึ่งแน่นอน
อุบไว้หากินในตอนต่อไป....................................




 

Create Date : 29 มีนาคม 2552    
Last Update : 29 มีนาคม 2552 19:38:30 น.
Counter : 886 Pageviews.  

คิดต่าง ต่างกันที่ความคิด




โดยปกติแล้ว ผมมักจะทำงานอย่างไม่คอ่ยมีปัญหากับใครมากนัก
ส่วนหนึ่ง เพราะตัวผมเอง ไม่ค่อยสร้างปัญหา
(เพราะมันรู้สึกยากเวลาออกแบบตัวปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาเสียเหลือเกิน)
อีกส่วน ก็คือ แยกปัญหากับหน้าที่การงานกับเรื่องส่วนตัว เป็นคนละประเภท
งานยังคงต่อเดิน แต่เรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนตัวไป สุดท้ายค่อยมาปรับความเข้าใจ
ลงกับที่ "วงสุรา"
แต่เพิ่งมาทราบในระยะหลัง ว่าอุปนิสัยส่วนตั๊ว....ส่วนตัว
เป็นสิ่งที่สร้างปัญหาให้กับเพื่อนร่วมงานอยู่ไม่น้อย
ประมาณว่า อยากจะเข้าใจแต่เข้าไม่ถึง เพราะก่อนหน้านี้ทางหัวหน้าของผมก็นำ
เด็กฝึกงานคนใหม่ ให้ผมช่วยสอนทักษะการทำงานในลักษณะโดยคร่าว
แต่สุดท้าย เด็กใหม่ท่านนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว บ่นกับคนรอบข้างอยู่เพียงประโยคเดียว
ว่าพี่คนนี้ ผมตามระบบความคิดของพี่ท่านนี้ไม่ทัน
เพียงเพราะเขามี "ความคิดต่าง" จากบุคคลอื่นทั่วไป

เรื่องของ "ความคิดต่าง" หากจะให้กำหนดชัดเจน ตายตัวด้วยแล้ว
ความคิดต่าง ก็เป็นหนึ่งทางเลือกในการคิด เท่าที่จะมีหนทางร้อยแปดพันประการ
อาจจะเป็นความคิดที่น้อยคนจะคิดได้ หรือต้องมีจิตวิปลาสชนิดพิเศษที่เห็น
ต่างจากการดำเนินของกลุ่มกระแสหลักทางความคิด
ในวิชาการตลาด การคิดต่างเท่ากับการเปิดตลาดกลุ่มใหม่
ที่กลุ่มเจ้าตลาดก่อนหน้าไม่ทันจะคาดคิด โดยมีฐานของกลุ่มบริโภคเดิมเป็นตัวตั้ง
แต่ปรับหาแนวคิด รูปแบบใหม่ ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเฉพาะ หรือบางทีเป็นช่องทาง
ให้การเข้าถึงหนทางที่ยังไม่มีนักการตลาดคนใดเข้าถึง
บางที "ความคิดต่าง" อาจจะไม่จำเป็นต้องอาศัยจินตนาการเลิศเลอหรือภูมิปัญญาญาณ
ในระดับทีต้องอาศัยการศึกษาสูงๆ อ่านหนังสือเป็นตั้งๆ
เพียงแต่มองอะไรในปัจจัยพื้นฐานที่เรามี แต่ผู้อื่นคิดไม่ถึง หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า
"กึ๋น" มีตัวอย่างจากหนังสือ ทีชื่อ "คุยกับประภาส" ตอนหนึ่งว่า ............................

เมื่อองค์การนาซา โดยปกติคือหาเรื่องส่งคนไปทำงานในอวกาศ
แต่องค์กรระดับมีงบลงทุนปล่อยจรวดทีละหลายหมื่นล้านเหรียญ ไปพบว่ามีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง
คือ ปากกามันเขียนในในอวกาศนั้นไม่ได้
เพราะปากกาที่เราใช้กันทุกวันนี้ มันอาศัยแรงโน้มถ่วงโลกดึงดูดให้หมึกไหลลง
มาสู่กระดาษ แต่ทว่าในอวกาศมันไม่มีแรงโน้มถ่วงนี้หว่า
นาซาเลยทุ่มทุนและระดมมันสมองวิศวกรกันขนานใหญ่ว่า
จะทำยังไงให้ปากกาสามารถใช้ได้ในอวกาศ จนวันหนึ่งมีแม่บ้านคนหนึ่งรู้เรื่องนี้เข้าก็เลยยื่น
จดหมายถึงท่านผู้บริหารนาซา ว่า .......................

“ทำไมท่านไม่ใช้ดินสอกันล่ะคะ”

ความคิดต่าง อาจไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก
เพียงอาศัยความเรียบง่าย และเท้าติดดินมาสักนิดหนึ่ง เข้าใจพื้นฐานของปัจจัย
ในธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ผมจึงชอบรายการวิทยุที่ อ.วีระ ธีรภัทธ ชอบจัดในช่วงบ่าย
ทางคลื่นความคิด ตอนหนึ่งมีผู้ฟังถามเรื่องเกี่ยวกับพอร์ตลงทุนของกองทุนหลักทรัพย์ตัวหนึ่ง
ว่าควรจะซื้อมากน้อยเท่าไร ซื้อแล้วผลตอบแทน ถ้าคำนวนช่วงปีนี้จะเท่านี้ แล้วเอาเงินบางส่วน
ไปกระจายความเสี่ยงในพันธบัตรเกาหลีเท่านี้ๆ ไปซื้อที่ดินแปลงนี้เท่านี้ๆ ซื้อทองคำเท่านี้ๆ
ไปซื้อตลาดฟิวเจอร์เท่านี้ๆ...............................แต่เศรษฐกิจช่วงนี้แย่ อีฉันควรทำอะไรดีเจ้าคะ?
จะแลดูมั่นคงเป็นที่สุด
แล้วอาจารย์แกก็ถามผู้ฟัง ประโยคสั้นๆว่า "แล้วตอนนี้เจ๊อายุเท่าไรแล้วละ?"
ผู้ฟังท่านนั้นตอบ "เจ็ดสิบกว่าแล้วละ"
อาจารย์ก็ตอบแบบเบื่อๆ ว่า "เอางี้ละกัน ทำบุญ!"
เออ! ทำอะไรตั้งโน่น ตั้งนี้ มาตั้งเยอะ............ยังไม่รู้สึกถึงความพอ
ถ้าเปลี่ยนมาทำบุญ บำเพ็ญกุศลซะ จะได้ลดความอยากเห็นอยากได้มีสัมมาทิฏฐิที่ดี
ยิ่งวิกฤต ยิ่งน่าต้องทำบุญ .............จะได้ลดอัตตา เงินทองเป็นสิ่งอุปโลกขึ้นของสังคม
ตายไป หากเกิดชาติหน้าจะได้มีอานิสงส์ผลบุญตามมาด้วย.................!!




แต่บางอย่าง "ความคิดต่าง" สามารถเปลี่ยนแปลงกฎ กติกาเดิมให้กลายเป็นสิ่งล้าสมัย
กลับกลายเป็นมาตราฐานทางสังคมใหม่ ให้ปฏิบัตินิยมตามกันมา
ในหนังสือ Whatever you think, Think the opposite โดย
Paul Arden ได้ การเล่าเรื่องของ นักกีฬากระโดดสูงในการแข่งกีฬาโอลิมปิคในปี 1968
ที่กำลังจะกระโดดข้ามคานที่มีความสูง 7 ฟุต 4 ¼ นิ้ว
แทนที่เค้าจะใช้วิธีโดดแบบพุ่งเข้าที่ทุกคนทำกันมาตลอด
เค้ากลับกระโดดโดยหันหลังเข้าคาน โดยที่ท่านี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Fosbury Flop
ตามนักกีฬาคนนี้นี่เอง ซึ่งท่านี้ก็ยังเป็นท่าที่ใช้กระโดดสูงมาจนทุกวันนี้
และที่สำคัญ ยังเป็นการทำลายสถิติโลกอีกด้วย

ทำให้ผมนึกถึงนักกีฬาชาวไทยอีกคนที่ชื่อ "สืบศักดิ์ ผันสืบ"
เขามาโด่งดังจริงๆก็คือตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 13 และในซีเกมส์ ครั้งที่ 19
ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยการเสิร์ฟ "หลังเท้า" ที่ทำให้ลูกปั่นและหมุดลง
จากเดิมที่นักตะกร้อมักจะใช้ "หน้าเท้า" ที่เน้นตำแหน่งและความรุนแรง
ทำให้ทีมไทยคว้าเหรียญทองมาได้ทั้งทีมชุดและทีมเดี่ยว
เล่นเอาทีมเสือเหลืองมาเลเซีย หัวมึนกันเป็นแถว เล่นตะกร้อมาจนโต ไม่เคยเจอะเจอ

และอีกอุทาหรณ์หนึ่ง ผมได้รับเกียรติให้ไปชำระหนี้คงค้างค่าโทรศัพท์
ในส่วนที่ผมเองไม่ได้ใช้บริการ (คาดว่าโดนแอ้บสำเนาบัตรประชาชนโดยคนดีที่ผมไม่คาดหวัง)
"จ่ายก็โง่-โมโหก็บ้า" ผมจึงเดินทางไปร้องเรียนถึงสำนักงานใหญ่แถวรัชดาฯ
ในฐานะผู้บริโภค (ที่ไม่ใช้บริการของแกนะเฟ้ย!)
แม้จะมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับเครือข่ายเจ้านี้ืั้ที่ให้เกียรติผมเป็นส่วนหนึ่งของแก
แต่อยากน้อย ก็เห็นป้ายที่แปะหลา กระตุ้นความกระตือรือล้นของพนักงาน
โดยมีสำนวนภาษาอังกฤษตอนหนึ่งที่ว่า "Out of the Box"
แม้ตอนแรกจะคิดไปว่า "ให้กรุณาช่วยเปิดเช็คพัสดุภัณฑ์ เวลาที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำส่ง"
แต่เมื่อได้มาหาคำแปล จากนิตยสารการตลาดเล่มหนึ่ง ก็ทำให้รู้ว่า
การคิดต่าง เป็นเครื่องสร้างมูลค่าในการขับเคลื่อนองค์การให้ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งหวังไว้
แต่กอ่นอื่นใด............ช่วยเอาผมออกจากกองหนี้ในกล่องลูกหนี้ของแกสักทีเถอะ!


"คิดต่าง" อาจต่างกันที่ความคิด
แต่ความคิดที่ไม่ได้ลงมือกระทำ ยอ่มไม่อาจสร้างความแตกต่างอื่นใด
ระบบความคิดของมนุษย์จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์ แม้แต่คนที่เป็นฝาแฝด
ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน ก็ยังมีวิธีคิดและความชอบไปคนละอย่าง
ดังนั้นสังคมที่มีความหลากหลาย ธรรมชาติของความคิดต่างจึงมักมีให้เห็นต่างกันอยู่เสมอ
การขับเคลื่อนภายใต้กรอบสังคมอย่างมีพลวัตร ความคิดต่างจึงเป็นมูลเหตุสำคัญประการหนึ่ง
ที่ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนมีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดแปลกใหม่และแตกต่าง
ในกรอบความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและแก่สังคม .............................

ลองคิดดู? ถ้าสังคมที่ทุกคนคิดอะไรได้เหมือนกันหมด เราจะมีความคิดกันไปเพื่ออะไรกัน



ภาพจากอินเตอร์เน๊ต




 

Create Date : 25 มีนาคม 2552    
Last Update : 25 มีนาคม 2552 22:46:30 น.
Counter : 731 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.