|
เศรษฐศาสตร์ princo ภาคนอกภูมิลำเนา
มีเรื่องที่ดูจะไม่เป็นเรื่อง ที่อยากจะให้เป็นเรื่อง ได้ประดับบล็อกสักหนึ่งเรื่อง ประเด็นก็คือว่า เคยมีเพื่อนสนิทวัยเยาว์ของท่านผู้อ่านสักคนบ้างไหมครับ ที่พอรู้ว่าตัวท่านเองกำลังมีแผนที่จะกลับบ้านเกิดเมืองนอน จะด้วยเหตุผลประการหนึ่งประการใดก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่พอทำให้เพื่อนยามยาก รู้สึกว่าตัวท่านเองมีคุณค่าในประการหนึ่งต่อเขา สิ่งนั้นถูกแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยความหมายที่คล้ายๆเป็นการลอเชิงและลองใจ ว่ายังยึดมั่นที่จะคงดำรงไว้ ในความหมายของคำว่า "เพื่อนเก่า" สิ่งนั้นถูกถอดรหัสอย่างไม่ต้องใคร่ครวญให้ลึกซึ้งมากนัก ด้วยการปฏิบัติที่ตรงตัวกันอย่างสุดๆ นั่นก็คือ "ของฝาก" ของที่ผู้ต้องปฏิบัติอย่างตัวคุณ ต้องลำบากลำบนแสวงหาให้ได้ถึงแหล่งโอท้อป ที่ตัวของท่านเองได้พำนักอาศัย เลี้ยงปากเลี้ยงท้องในปัจจุบัน ที่สำคัญอย่างน่าหนักใจกว่า ก็คือ การที่ต้องควักตังค์ส่วนตัวออกไปกอ่นนี้สิ ซึ่งอันนี้จะไม่มีผลในฐานะค่าโสหุ้ยที่ไปบวกเพิ่ม ทั้งในเรื่องของการบรรทุก ในค่าเดินทางและในค่าเหนื่อย จากเม็ดเหงื่อที่ได้สูญเสียไปนอกเหนือจากการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกาย ยังพอทำความเข้าใจได้ในหลักฟิสิกส์ ว่ามีผลต่อพลวัตทางด้านกล้ามเนื้อและการกระตุ้นของเม็ดเลือด แต่เหนื่อยจากการซื้อของฝาก มันเป็นอะไรที่ยังไม่รวมถึงเรื่องการเหนื่อยใจ จากผลตอบแทนที่นอกจากจะไม่ได้อย่างเต็มเม็ดด้วยแล้ว ยังอาจเหนื่อยยิ่งกว่า เมื่อเพื่อนเก่ามีแนวโน้มจะแสดงโอกาส ความเป็นเพื่อนเหมือนในครั้งเก่า ที่มักแสดงอยู่ออกบ่อยไป และไอ้ความบ่อยๆนี้สิ ที่เป็นตัวบ่งบอกสถานะของความสนิทที่แนบแน่น ที่ปัจจุบัน เราอาจจะไม่ต้องการผลสัมฤทธิ์เช่นนั้น ด้วยเพื่อนในปัจจุบันก็มีอยู่เพียงพอแล้ว มิให้ต้องการหรือถวิลหาขอความเห็นใจจากการมีเพื่อนกันเสียเท่าไรนัก
แต่ประเด็นของผู้เขียน ไม่ได้ต้องการจะเสนอเรื่องนี้ เพียงแต่สงสัยในความที่เป็นประเด็นของ "ของฝาก" ของฝากที่ดูไม่น่าจะเป็นของฝากไปได้ ในสายตาของผู้อาศัยนอกถิ่นเก่า ที่มองแตกต่างไปจากสายตาของผู้อาศัยในถิ่นเดิม ที่ผลของกระบวนการกลไกทางราคา มีผลต่อจิตวิทยาและพฤติกรรมในการบริโภค เมื่อเพื่อนเก่าของผู้เขียน ประสงค์ของฝากที่ชื่อ princo อันเป็นแบนด์ของผู้เล่นคอมที่น่าจะรู้จักกันดี ว่าเป็นชื่อของผลิตภัณฑ์แผ่นซีดีและดีวีดี ที่ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยมในการเลือกใช้ ด้วยต้นทุนราคาของแผ่นต่อหน่วยที่แสนถูก จนฆ่าคู่แข่งในแนวโปรดักส์ไลท์เดียวกันมานักต่อนักแล้ว
ไอ้ตอนแรกที่ได้ยินมาว่า เพื่อนเก่าของผู้เขียนประสงค์ที่จะให้ซื้อของฝาก ในฐานะคำขอที่ไหว้วอน ผู้เขียนได้เตลิดนึกไปไกลถึงเหล่าบรรดาสินค้า เทคโนโลยีที่มีราคาถูกหรือไม่ก็จำหน่ายในพื้นที่จำกัด รวมไปถึงเหล่าบรรดาสินค้าที่ระลึกหรือไม่ก็ของกินเลื่องชื่อ หรือคิดง่ายกว่านั้นหน่อย ก็เหล่าบรรดาสินค้าเกรนด์เยียร์เซลล์ ที่ห้างสรรพสินค้ามักนิยมโปรโมทจนคนกรุงชาชิน เ เพราะรู้ดีว่ามันก็แผนการกระตุ้นในตลอดทุกเดือน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อคอนเซ็ปต์ให้ดูแตกต่างกันออกไปก็เท่านั้น แต่เมื่อได้ยินเต็มๆสองรูหู ก็ทำให้ผู้เขียนมีปริศนาขึ้นในใจ จนต้องทำการนอกใจเพื่อมาระบายเป็นคำถามศอกกลับกลับไปว่า แล้วทำไมจึงไม่ซื้อสักที่นั้นในสิ้นเรื่องสิ้นราว แทนที่จะมารอความเมตตาของผู้ที่กำลังรับสายอย่างผู้เขียน คำตอบที่ได้รับ ดูเหมือนจะไม่ต้องการข้อโต้แย้งหรือตั้งโต๊ะเจรจาแต่อย่างใด ด้วยมูลค่าที่วางจำหน่ายระหว่างต้นสายกับปลายทางของโทรศัพท์นั่น มีความแตกต่างทางราคาถึง ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ นั่นก็หมายความว่า ถ้าเกิดผู้ซื้อ(ที่บ้านเกิด)เผลอลืมรับเงินทอนเสียยี่สิบบาทจากผู้ขาย ก็เท่ากับ อำนาจของผู้ซื้อที่เผลอลืมรับเงินทอน โอนมาให้กับผู้เขียนที่ถูกไหว้วอน ในช่วยซื้อสินค้าเดียวกันจากต่างที่ จะได้สินค้า princo เป็นสองกล่อง แทนที่จะเป็นหนึ่งกล่อง ที่ได้ไปซื้อจากถิ่นบ้านเกิด
อะไรมันทำให้สินค้าชนิดเดียวกัน เพียงแต่อยู่กันคนละที่ ถึงได้มีมูลค่าการจำหน่ายในส่วนต่าง ที่มากกันขนาดนี้ อันนี้ให้ตอบในเชิงวิจัยก็คงตอบให้ไม่ได้ ส่วนหนึ่งผู้เขียนไม่ได้รับงบวิจัย จากสถาบันไหนๆ และอีกอย่างเอาเข้าจริง princo อันเป็นยี่ห้อของสื่อเทคโนโลยีการบันทึกนี้ ก็มีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ที่ถูกจำหน่ายในพื้นที่ที่มีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เอาเข้าจริง ต้นทุนในวัตถุดิบการผลิตจริงๆ มีมูลค่าเท่าไรนัก ผู้เขียนก็ไม่กล้าที่จะยืนยัน แต่พอนั่งยัน (ศอก) แบบกำลังพิมพ์เพื่อแก้ความสงสัยส่วนตัว โดยฟังมาจากปากของผู้จำหน่าย ที่ผู้เขียนได้ไปซื้อยังแหล่งจำหน่ายเพื่อ ให้สมถวิลต่อเพื่อนผู้ไหว้วอน ด้วยผู้เขียนไม่อยากเคล้าสุราหน้าหลุมศพ ในเทศกาลเช้งเม้ง ทั้งๆที่ในอีกทางก็เอื้อต่อการปรับสารทุกข์สุขดิบวงสุรา กับเพื่อนฝูงรุ่นเก่าๆกัน ผู้จำหน่ายก็บอกเล่าอย่างโอดครวญ ซึ่งก็ไม่รู้จะเป็นแผนลับล้วงพรวงอีกรึไม่ แต่บอกเพียงว่า ถ้าเขาไม่ยอมขายในราคานี้ เขาก็จะสูญเสียตลาดกลุ่มผู้ซื้อ ไปให้กับผู้จำหน่ายในสินค้าชนิดเดียวกัน ที่วางจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่า นั่นก็หมายความว่า กลไกตลาดได้มีมือที่มองไม่เห็น เป็นตัวควบคุมในราคากลาง แบบที่ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพาณิชย์ เข้ามาควบคุมราคา แต่เป็นการตัดราคาของกลุ่มผู้จำหน่ายในตลาดเดียวกัน เพื่อมิให้เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเสียเปรียบ จากนั้นผู้ซื้อก็จะใช้วิจารณญาณ เปรียบเทียบราคาในใจ เพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่ต่ำที่สุดหรือพึงพอใจสุด อันจะหมายถึง ความคุ้มทุนในฐานะที่ตัวสินค้ามีราคาใกล้เคียงกับ เส้นแบ่งของต้นทุนหลักทางวัตถุดิบ ที่บวกรวมถึงต้นทุนขนส่ง ค่ารักษา ค่าเก็บสต็อกสินค้า เป็นต้น การได้ไปซื้อถึงแหล่งตลาดสินค้าหลัก นอกจากผู้ซื้อจะได้เปรียบเทียบ ในมูลค่าของสินค้าแล้ว ยังจะได้พบกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงหรือต่อยอดทางผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองกำลังซื้อ ยกตัวอย่าง ไปซื้อแผ่นดีวีดี บางทีก็จะได้พบกล่องใส่ดีวีดี น้ำยาล้าง สติกเกอร์รูปลอก และดีวีดีที่บรรจุเนื้อหาภายในที่หาซื้อไม่ได้ในนอกตลาด มองให้เป็นจุดดี ก็อาจมองได้ว่าเป็นศูนย์ครบวงจรในสายงานผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆ แต่ถ้ามองในจุดร้าย ก็อาจเป็นแหล่งถลุงสตางค์จากสิ่งที่อยู่เหนือนอกแผนการ ทั้งๆที่ประสงค์เพียงแค่แผ่นดีวีดีเพียงแผ่นเดียวก็ตาม
ความแตกต่างของมูลค่าของราคา ทั้งๆที่เป็นสินค้าแบบเดียวกัน เพียงแต่อยู่คนละภูมิภาค แม้จะพยายามอธิบายในต้นทุนแอบแฝงประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ค่าประกันสินค้า และอาจคิดเสริมในแง่ที่แทงใจดำต่อเจ้าหน้าที่ ประเภทใต้โต๊ะ บนโต๊ะหรือข้างโต๊ะ จนโต๊ะจะไม่เป็นโต๊ะอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีผลทำให้สินค้ามีมูลค่าทบทวีใกล้เส้น หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยเข้าใจว่าผู้จำหน่ายคงฉลาดพอที่จะไม่ซื้อสินค้าอีกแหล่ง ด้วยราคาเดียวกันกับผู้ที่ซื้อสินค้ารายปลีก แต่น่าจะได้รับในส่วนของราคาขายส่ง ในฐานะที่เลือกเกิดมาเป้นพ่อค้าคนกลางที่รับช่วงขายมาอีกที อันนี้จะพยายามเลือกมอง โดยข้ามเส้นแบ่งทางจริยธรรมของผู้ค้า ที่ไม่น่าศรัทธาเท่ากับพลังเสรีในกลไลตลาดที่ควบคุมให้เกิดเส้นดุลยภาพ ของผู้ค้ากับผู้ค้าที่มาบรรจบกัน อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ของผู้ซื้อเต็มๆ
มันทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงหนังสือที่ชื่อ Undercover Economy ของ Tim Harford ที่ว่ากันด้วยเรื่องของ "ทำเลที่ตั้ง" ที่มีผลต่อการกำหนดราคา ว่าทำไมบางที่ จึงสามารถตั้งราคาขายได้แพงเวอร์ ขณะที่บางที่ก็ทำได้นะ แต่สักพักก็จะอยู่รอด และราคาที่กำหนดนั่น ก็จะต้องเป็นที่ยอมรับ (หรือทนรับ) สำหรับผู้ซื้อที่มีหนทางของแหล่งจำหน่ายอันจำกัด โดยหนังสือได้ยกตัวอย่าง ทฤษฎีนักเศรษฐศาสตร์ที่เอาดีทางการเมืองขึ้น อย่าง เดวิด ริคาร์โด ที่ว่า มันต้องมีเส้นประสิทธิภาพของทำเลกับมูลค่าของส่วนกำไรที่จะเพิ่มขึ้น อันเนื่องจากพื้นที่ คิดง่ายๆก็หมายความว่า ถ้าอยากให้ princo ที่ขายในบ้านเกิดของผู้เขียนมีราคาที่ถูกลง แบบที่ไม่ต้องเป็นภาระของผู้เขียน ที่มีแผนการที่จะต้องเดินทางกลับทุกปี แต่ไม่ได้มีแผนที่จะต้องลำบากลำบน ฝ่าการจราจรและม็อบแดงที่ชวนติดขัด นั่นก็หมายความว่า ผู้เขียนจะต้องจ้างวานจ้างให้เกิดร้านค้าของแผ่นprinco แบบล้อมหน้าและล้อมหลัง มุ่งโจมตีเจ้าร้านที่ขาย princo แสนแพง แล้วโฟนอินให้ในร้านที่จ้างวานโดยผู้เขียนเอง ตั้งราคากดแบบที่เอากำไรต่ำๆ เพื่อบีบให้ร้านที่ขายแพงเข้าตาจน จนต้องมาเเข่งราคาในระดับเดียวกันกับร้านที่ผู้เขียนจ้างวาน ซึ่งเท่ากับเป็นการแย่งฐานลูกค้าเก่า ที่เชื่อได้ว่าความจงรักภักดีของผู้ค้า คงไม่เท่ากับกลไกราคาที่ยั่วน้ำลายของผู้ซื้อยิ่งกว่า ซึ่งกระบวนการคิดทั้งหมด เป็นการคิดเล่นๆในใจ ก็หมายความว่า การโทรศัพท์ของเพื่อนเก่า เพื่อให้ผู้เขียนช่วยซื้อของฝากดั่งที่ตั้งใจ เป็นวิธีที่ง่ายและไม่เตลิดบรรเจิดอย่างที่ผู้เขียนคิด ซึ่งก็ต้องต่อจุดมุ่งหมาย ที่จะได้รับสินค้าในอรรถประโยชน์ใช้งานและราคาที่พึงพอใจ เพียงแต่การซื้อสินค้าซ้ำในครั้งหน้า อาจจะต้องวางแผนรออีกยาวนาน ซึ่งก็ต้องวางแผนในการบันทึกใช้แต่ละแผ่นให้คุ้มค่าอย่างสูงสุดของตัวผู้ใช้เอง ซึ่งอันนี้เกินขอบเขตอำนาจของผู้เขียน ที่ทำได้ดีที่สุด เพียงแค่การ"ทวงตังค์" และการ"ทวงบุญคุณ" ก็เท่านั้นเอง ขณะเดียวกัน ก็แก้เผ็ดด้วยการฝากซื้อของฝากจากเพื่อนเก่า ก็ไม่อาจที่จะทำได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะสถานะของของฝาก ต้องมาจากดินแดนที่แปลกถิ่น และผู้เดินทางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องทางเดียว ที่ไม่มีผลในฐานะที่สถานที่นั่นมีผลกระทบต่อผู้ฝาก หรือมีผลก็มีผลโดยทางอ้อม
แม้ผู้เขียนจะฝากได้ ก็จะถูกย้อนถามกลับมา อันเป็นความเสียเปรียบในทุกประตู สำหรับคนไกลที่ไปทำงานของถิ่นก็อย่างงี้เเหละ........
Create Date : 02 เมษายน 2553 | | |
Last Update : 13 เมษายน 2553 22:39:51 น. |
Counter : 619 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
แม้วทวิสต์
เป็นปรากฎการณ์การต่อสู้ทางการเมือง ที่ผู้เขียนเองก็นึกไม่ออกว่า ในจดหมายเหตุบ้านเหตุเมือง จะบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ว่าอย่างไร กับการใช้เครื่องประเภท Social Networking เป็นช่องทางทางการสื่อสารเฉพาะบุคคล ชนิดที่ตำแหน่งโฆษก กลายเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยไปเลยทีเดียว
ในท่ามกลางชีวิตของคนหนึ่งๆ ที่มีทั้งล้มลุกคลุกคลาน แล้วยังมีติดลูกกระดึ้บๆ เพื่อพอให้รู้ว่า ยังไม่ตาย ถ้าจะถามว่า คุณทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จเรื่องใดมากที่สุด และจะล้มเหลวในเรื่องใดน้อยที่สุด ผู้เขียนคิดว่า ชีวิตของคุณทักษิณนอกจากที่ครั้งหนึ่ง เคยประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจโทรคมนาคม และมาล้มเหลว ด้วยในแง่ของการแก้ไขสัญญาสัมปทานเพื่อเอื่อประโยชน์ ตามที่ศาลฯ อ่านคำแถลงฯ ตั้งแต่อาหารมื้อสาย แล้วไปจบในอาหารมื้อก่อนเย็นอีกที ผู้เขียนมองว่า คุณทักษิณน่าจะประสบความสำเร็จอย่างสูง จากเครื่องมือ ทางเครือข่ายไมโครบล็อกกิ้ง ที่ไม่ต้องไปกว้านซื้อกิจการ หรือไปซื้อหน่วยลงทุนเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการใช้เดี๋ยวนั้น เพียงแค่ เอามือซ้ายจิบแก้วกาแฟ ส่วนมือขวาก็สมัครล็อกอิน จากนั้นก็จิ้มแป้นพิมพ์ พอให้เด็กประถมอ่านออก เท่านี้ ก็เปิดช่องทางการรับรู้ต่อความเคลื่อนไหว สิ่งที่ตั้งใจและความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบันของคนๆนั้น ที่มีผลต่อพื้นที่ข่าวสาธารณะในวงกว้าง ชนิดที่นักการเมืองบางคน ตั้งโต๊ะแถลงการณ์ ให้เลขานุการนัดสื่อมวลชนในทุกสำนัก ก็ไม่ได้ช่องไม่กี่ซม. ในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เท่านี้เลย ส่วนความล้มเหลวน้อยที่สุดของทักษิณนะเหรอ ก็แค่ทวิตซ์send แล้วเน็ตอาจจะอืดสักเล็กน้อย ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณสมบัติของเว็บ Twitters มันจำกัด ความสามารถของตัวมันเองไว้ที่ ๑๔๐ ตัวอักษร นั้นหมายความว่า ถ้ามีอักษรตัวที่ ๑๔๑ เกิดขึ้นมา ก็แค่ลบตัวที่ไม่สำคัญบางคำทิ้งไป หรือไม่ก็โพสต์ภาคต่อ เสียก็สิ้นเรื่อง ทวิสต์ไม่ใช่โทรเลข ที่จะคิดต่อคำต่อบาท แบบที่ให้เห็นอนุสรณ์ที่ไปรษณีย์บางรักกันเสียเมื่อไรละ
ผู้เขียนคิดเอาเองว่า ในบรรดาการใช้สื่อเป็นเครื่องมือ ส่งผ่านที่มีผลทางการเมืองข้ามโลก-อ้อมทวีปเช่นที่เป็นอยู่นี้ ไม่ว่าจะด้วย เทเลคอมเฟอเรน โฟนอิน ทีวีผ่านดาวเทียม คลิปเสียง หรือโทรศัพท์สายตรงแบบไม่เก็บเงินปลายทาง Twitters ถือเป็นความชาญฉลาดในการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แน่นอนละ มันทั้งถูก ทั้งสั้นและเข้าถึงผู้เสพแบบกระชันชิด แต่ก็อาจมีบางคนเถียงกันบางแหละว่า ก็คนไทยทุกบ้าน เขาไม่มีอินเตอร์เน็ตเหมือนกับท่อน้ำประปานิ เออ!อันนี้ไม่เถียง แม้ผู้เขียนจะมั่นเล่นเน็ตแต่กล้ามไม่โตสักที ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความอืดของน้ำประปากับสายอินเตอร์เน็ต แบบไหนมันจะเร็วทันใจกว่ากัน แต่คิดไหมเอ่ยว่า เพราะความสั้นด้วยข้อจำกัดของเจ้า Twitters นี้เอง มันสอดรับการความเป็นสื่อ ที่จะนำไปอ้างถึงในสื่อทางเลือก ทั้งกระแสหลักและกระแสรองอีกมากมาย เอาไปพาดหัวหน้าหนึ่ง บรรณาธิการก็ไม่ต้องมาเกาหัวหยิกๆสรุปรวบคำกันเป็นชั่วโมง ไหนจะสื่อโทรทัศน์ วิทยุ ที่บางที จำต้องหาคำมาขยายเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ข่าวที่นำเสนอ แลดูหวนจนเกินไป ยิ่งข่าวทางโทรศัพท์มือถือยิ่งดูจะเข้าทาง เพราะคุณสมบัติของ เจ้า Twitters กับ เจ้าSMS มันแทบจะถูกจำกัดเสียนึกว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน และที่สำคัญ ในแง่ของการมวลชนในการรับรู้นี้ ไม่ต้องห่วง อัตราคนที่ชอบทักษิณและคนที่ไม่ปลื้มแก มีอัตราส่วนที่พอๆกัน อันนี้ยังไม่นับคนนอก คนกลางหรือคนผ่านไปผ่านมา ที่ไม่สน แต่ก็หนีความนิยมในการเป็นข่าวของแกไปไม่พ้น ส่วนสำนักข่าวคงไม่ต้องพูดถึง ไม่add Follow แก มีหวังจะตกข่าว ไม่ทันสำนักข่าวคู่แข่งเป็นแน่แท้
บางทีผู้เขียนก็ไม่แน่ใจ ในความใส่ร้ายป้ายสี ที่ครั้งหนึ่งเคยว่า เพราะทักษิณเป็นนายกฯ เขาจึงใช้อำนาจรัฐคุมสื่อ จนกระทั่งเจอการตบบูทจนพี่ท่านต้องอัปเปหิ มาโดนศาลท่านตัดสิน แบบที่ยังข้อกล่าวหาอีกหลายคดีจอคิวกัน ยิ่งกว่าคิวมอเตอร์ไซด์รับจ้างสายอโศก ดูเหมือนว่า จะด้วยความเป็นสื่อนี้กระมัง ที่คุมแก โดยที่มีรัฐที่แม้มีสื่อในมือ ดูจะเพลี่ยงพล้ำในการแข่งกับสื่อเอกชน ดูเพียงแค่ ความเป็นเรตติ้งของทวิสต์มาร์ค กับ ทวิสต์แม้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่า นายกฯมาร์คอภิสิทธิ์ อาจมีช่องทางในการชี้แจงการทำงาน จากหลากหลายองค์ประกอบของความเป็นรัฐ แต่ถ้าเอาฮาในหน้าสื่อ ก็แอบให้โฆษกฯเทพไท มาเป็นคนเสนอ ถ้าจะเอายุทธศาสตร์หน่อย ก็หยิบอ.ปณิธาน มาปูกระดานให้เห็นภาพ แต่คนเสพสื่อส่วนใหญ่ เขาไม่มีเวลามาฟังมหากาพย์มากเรื่อง ไหนจะมีข่าวบันเทิง กีฬา หรือเรื่องย่อละครหลังข่าว มาแย่งพื้นที่สมอง และเท่าที่สังเกต อันนี้ไม่ได้ว่านะครับ ดูเหมือนสือ่เมืองไทย จะชอบเสนอข่าวที่เป็นความคิดเห็นมากกว่าข้อเท็จจริง ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เข้าทางทวิสต์นักเเล เพราะประโยชน์ของความสั้นได้ใจนี้แหละ ที่เหมาะให้เกิดการตีความ ไปต่างๆนาๆ แม้บางทีก็เลยเถิดไปไกลกว่าคนโพสต์เสียด้วยซ้ำ เพราะความสั้นของการทวิสต์ ไม่เหมือนกับการโฆษณาโปรโมชั่นมือถือ ที่ดูเหมือนผู้โทรมีแต่จะได้ แต่ข้างใต้ของดอกจันนี้ เป็นการเสียของผู้ใช้แบบเห็นๆ เราจึงไม่เคยเห็น ซื้อมือถือแล้วแถมเเว่นขยาย เพราะไม่งั้น มือถือแต่ละค่ายคงมีแต่ตายกับตาย ด้วยแว่นขยายจะไปเสริมความฉลาดของผู้ใช้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น
อยู่ๆที่ผู้เขียน มาเขียนเรื่องนี้เข้า ก็เพราะเป็นเรื่องที่สร้างรำคาญใจอยู่หน่อยๆ ประมาณว่า อยากสมัครเป็นสมาชิก Twitter แบบใครเขาบ้าง ก็เลย search อากูเกิ้ล แต่พอกดเข้าทีไร อากูเกิ้ลแกก็แถมตัวลิงค์อื่นข้างใต้ เป็นทวิสต์แม้ว ให้ลองคลิกอยู่ข้างล่าง ประมาณว่าสมัครใหม่ๆ ไม่รู้จักใคร หาเพื่อน Follow ไม่ได้ ก็เอาเพื่อนแม้วคนนี้ไปลองใช้ดูก่อน ใช้แล้วไม่พอใจ ค่อยสลัดทิ้ง แล้วคอยไปลองนายกฯประเทศอื่นๆ เพราะเดี๋ยวนี้ อย่าว่าแต่นายกฯเลย แม้แต่ประธานาธิบดีเขาก็นิยมใช้กัน เขาว่าทางการเมือง มันช่วยขยายฐานคะแนนเสียงไปหลายจุด ดูอย่างโอบามาสิ สื่อต่างชาติเขาตีข่าวกันให้แซดเลยว่า เกิดใหม่ชาติหน้า คงต้องเกิดมาชดใช้หนี้บุญกับพี่ Twitter เขา เลยมีหลังคาทำเนียบขาวและปีกแอร์ฟอร์สไว้เป็นที่ซุกทำงาน
แต่ผู้เขียนคิดว่า คุณทักษิณ น่าจะวางหมากในการใช้เครื่องมือทางการเมืองชิ้นนี้ ในฐานะสิ่งที่ช่วยในการรักษาฐานมวลชนผู้เข้าร่วม ไว้ได้อย่างผิดอย่างมหันต์ในหลายๆเดือนที่ผ่านมา มิใช่การใช้ถ้อยคำที่ไม่รักษามิตรฝ่ายตรงข้ามหรอกนะ แต่เป็นการไม่แอด Follow ตอบตามมารยาท จนหลายคนต้องน้อยใจremovedไปตั้งหลายรายเชียวแหละ ........
Create Date : 16 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 16 มีนาคม 2553 23:09:47 น. |
Counter : 729 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เขียนเพลินๆ กับการเดินเกมของคุณแดง
ใครคิดเหมือนกับผมไหมครับว่า กลุ่มคนเสื้อแดงช่างเลือกเวลาที่เหมาะเจาะ ในการกำหนดช่วงเวลาของการตกเป็นสื่อ ได้ถนัดถนี่ ชนิดตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา แทบจะไม่มีข่าวไหนจะทรงพลังพอที่จะเบียดแย่ง พื้นที่หน้าหนึ่ง ที่รักษาระดับความต่อเนื่องและแพร่ขยายไปต่างๆนาๆได้เพียงนี้ เป็นหน้าร้อนอากาศที่แสนจะพอดิบพอดีกับโทนของสีเสื้อ เป็นสีเสื้อที่ทำให้ผมต้องหลั่งน้ำ หลังจากที่ได้ทราบข่าวเมื่อตอนเช้า เมื่อแดงกับแดงต้องมาห่ำหันกัน ผลสุดท้ายแต้มต่อไม่ได้ช่วยอะไร เมื่อผีแดงต้อนปีศาจแดง-ดำ เสียยับเหยิน ไปสี่ศูนย์ แม้ศูนย์กลางส่วนใหญ่ของคนดูจะจับตาไปที่ อดีตคนเสื้อแดง อย่าง เดวิด แบ็คแฮม ฮีโร่สมัยหนึ่งแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด ที่แบกสังขาร วิ่งเตะลูก เหมือนไม่เคยได้เตะบอลมากอ่น จึงไม่แน่ใจว่าแฟนชาวไทย ที่ครั้งหนึ่งพยายามจะจองโรงเเรมโอเรียลทัล อย่างน้อยๆก็ขออยู่ใต้เพดาน ที่นักเตะขวัญใจได้มาเยือนเมืองไทย แล้วมาย่ำพื้นหญ้าเพียงไม่กี่ก้าว เพื่อความเป็นศิริมงคลของสนาม และวิดนักเตะทีมชาติไทยจะวางมวย กันตอนที่จะขอแลกเสื้อ แต่ไม่ว่าอดีตจะเป็นเช่นไร เสียงปรบมือของเหล่าบรรดาเรดอาร์มี่ ต่างก็ระงมกึกก้องเพื่อเป็นเกียรติ์แก่เขา แม้จะไม่ชิดใกล้เมื่อแต่กอ่น แต่คงดีกว่าชิดแบบปลายฝีเกือกแบบไม่ตั้งใจ ของท่านเซอร์ แล้วจากนั้นไม่นาน สีเสื้อของแบ็คก็ขาวแบบโอโม เมื่อได้ไป อยู่กับรีล มาดริด
แต่กับคนเสื้อแดงนี้ อันนี้ไม่รู้จะมีเสียงออกไปในทางใด อาจเป็นสีที่คนมีรถส่วนตัว อาจเครียดหนักกว่าการติดไฟแดงตรงห้าแยก แทบห้าแยกนั้น บนสะพานกำลังมีการซ่อมแซมขนาดใหญ่ จนใครบางคน เลยเถิดคิดไปว่า กำลังมีการเลือกตัวผู้ว่ากรุงเทพครั้งใหม่ กระนั้นก็ตาม ผมว่าการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ มันมีจุดร่วมหลายอย่าง สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเหลือเกิน ทั้งหลังจากที่ศาลท่านมีคำตัดสินยึดทรัพย์สี่หมื่นกว่าล้าน จะมองว่าศาลท่าน ปราณีก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านั้น บางคิดเลยไปไกลโดยอิงกับคดีจี้ปล้นเอา ประมาณว่า ถ้าจับคนร้ายได้ ก็ต้องยึดเอาของกลางหรือสิ่งก่อดคีร่วม ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์ไซด์ ปืนของกลาง เป็นต้น แต่ไอ้ประเภท อึ ที่โยนใส่บ้านนายกฯ อันนี้จะว่าเป็นของกลางก็จริงอยู่ แต่จะดีกว่า ถ้าไปเก็บไว้ในชักโครก และลากน้ำตามสักสี่ห้าขัน
หากใครที่เข้าใจสถานการณ์ของการเป็นม็อบดี คงพอจะรู้ว่า ความต่อเนื่องของการประท้วง ถือเป็นมูลเหตุสำคัญ ที่จะทำให้มวลชนมีความรู้สึกร่วมเป็นอันหนึ่งอันหนึ่งกัน ม็อบไม่ใช่หมอลำตามหมู่บ้าน ที่นึกจะจัดทีก็จัด หยุดเอาก็หยุด เพราะม็อบเป็นเรื่องสถานการณ์ของกลุ่มชน หากกลุ่มชนพร้อมใจกันไปเกี่ยวข้าว อันนี้ก็จะไม่เรียกว่า ม็อบ แต่เขาเรียกว่า การลงแขก ดังนั้นไม่ว่าม็อบสีเสื้อไหนๆ การจัดตั้ง ก็ถือเป็นหลักการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะการจะให้คนที่มีวิธีคิดคล้ายๆกัน มาทำกิจกรรมสาธารณะที่กฎหมายรองรับ ยอมต้องมีกฎและกติกา ในการขับเคลื่อนฝูงชนเพื่อสะท้อนถึงกลุ่มผลประโยชน์ ที่จะพิทักษ์สิทธิ์ของพวกเขา ที่เห็นต่างไปจากความคิดของนักปกครอง ความที่นักปกครองมีอาญาสิทธิ์ในการบริหารอำนาจ แต่ไม่ได้หมายความว่า นักปกครองจะสามารถผูกขาดอำนาจได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ความเห็นต่างจะส่งเสียงได้ และได้ยินถึงหูนักปกครอง ให้เขาเหล่านั้นเปิดหูรับฟัง ย่อมต้องมีเสียงออกมามากกว่าหนึ่งปาก แต่หลายๆปากย่อมจะมีเสียงเจี๊ยวแจ้ว ที่กระจัดกระจาย จึงต้องมีแกนนำที่สามารถส่งเสียงแทนฝูงชนในฐานะตัวแทน ได้ดังกว่า และจะดังกว่าในสมัยนี้ได้ ต้องอาศัยรถโมบายติดเครื่องขยายเสียง ข้างตัวรถมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่รอบทั้งสี่ด้าน แต่เพื่อความปลอดภัย อาจต้องลดทิ้งลงหนึ่งด้าน คือ ด้านหน้าคนขับ เพื่อกำหนดทิศทางบนท้องถนน ไม่ให้เผลอไปเหยียบใครเขา เพราะในสถานการณ์ของการมีม๊อบ มันยากที่จะหนีไปตามระเบียบ ตราบที่ยังแบกแกนนำไปที่ต่างๆอยู่
ความที่สิทธิของการชุมนุม เป็นสิ่งที่รองรับตามรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญเป็นสถาปัตถ์สัญลักษณ์ของอธิปไตยสูงสุดของประเทศ ผู้เขียนจึงมันสงสารผู้คนที่อาศัยบริเวณนั้นเสมอๆ เพราะเมื่อมีปัญหาเรื่อง สิทธิทางการเมืองทีไร หวยมักจะตกใส่บริเวณนั้นเสมอ ในฐานะ ทำตัวเป็นข่าวและมักได้ข่าวในภาพแบ็คกราวด์ที่น่าดูชมทุกที แต่ส่วนใหญ่ ข้อเรียกร้องของกลุ่มตัวแทนที่มีความเป็นไปได้สูงสุด คือ การรับรู้ในการเป็นข่าวสู่สาธารณะและอาจมีผู้หลักผู้ใหญ่สักคน รับเรื่องนี้ไว้ไปพิจารณา และการพิจารณาที่ศักดิ์สิทธิ์กว่าการจรดซึ่งลายเส้น มักเป็นสัจจะสัญญาของหัวหน้าม็อบ ว่าหากไม่ได้ตามข้อเรียกร้อง สักวันเราจะกลับมากันใหม่ และใหม่อย่างสร้างสรรค์ ก็ต้องมีกิจกรรม อย่างเผาพริกเผาเกลือ เผาหุ่นนักการเมือง และอาจจะฝืนใจนักพิทักษ์สิทธิสัตว์ ด้วยการเอาตัวเงินตัวทอง ไปปล่อยไว้ในสภา ทำไปอาจไม่ทำให้นักการเมือง คนนั้นสะดุ้งโย๋งเป็นเจ้าเข้า แต่อย่างน้อยๆ ก็ช่วยผ่อนคลายแก่มวลชน และก็พอมีอะไรให้นักข่าว ได้เอาไปเสนอในสังกัดพอเป็นสีสันน้ำจิ้มในข่าวได้บ้าง
แต่ถึงกระนั้น เมื่อเสียงคนส่วนมาก รับรู้การมาประชุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าแล้ว ดูเหมือนหลายสำนัก มักชี้มองไปทางความรุนแรงเป็นหลัก เดิมที่สีเสื้อ ก็มีไปทางในโทนเฉดสีอันร้อนแรงอยู่ก่อนแล้ว มาบวกเติมเชื้อเพลิง จากเมษาของปีที่ผ่านมา เลยทำให้การคาดหมายในทิศทางของอนาคต ของฝ่ายรัฐบาลและห้างร้าน เต็มไปด้วยมาตราการขั้นสูงไว้กอ่น และไอ้เจ้ามุมมองอะไรร้ายๆนี้เอง ก็สอดรับการความเป็นข่าวหน้าแรกได้ดีเสมอมา จนบางที แทบจะลืมประเด็นในการเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงและเป้าหมาย ที่อยากจะมองเห็นในอนาคตของประเทศ เป็นแดงสะพรั่งคนละชนิด กับเสื้อสีแดงเต็มท้องถนนในกรุงโซลเมื่อเจ็ด แปดปีก่อน เพราะแดงครั้งนั้น เขามีไว้เฉลิมฉลองในฟุตบอลโลก แต่แดงในเมืองไทยเข้าใจว่าการเมือง แม้จะไปเอี่ยวกับทีมฟุตบอลของพี่เนวินบ้าง ก็เข้าใจว่าพยายามที่จะวกเข้าการเมือง อยู่ดี แต่ทั้งที่ทั้งนั้น เสรีภาพของการแสดงออก ก็ต้องมีเส้นกรอบและกติกา ที่จะไม่ไปกระทบเสรีภาพในการดำเนินชีวิตของอีกฝ่าย แม้เอาเข้าจริง ถ้ารถไม่ติด-ผู้คนไม่ลำบาก ก็ไม่รู้จะประท้วงให้เป็นเรื่องเป็นราวกันทำไมกัน ถ้าตัวเองไม่ได้มีเจตนาจะเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุม จึงเป็นอื่นไม่ได้ที่จะต้องทำใจ และพยายามศึกษาหลีกเลี่ยงเส้นทางในจุดชุมนุม อย่าลืมนะครับว่า ข่าวที่สนใจไม่แพ้เรื่องของการชุมนุม ก็คือ ข่าวเส้นทางลัด ที่จะหลีกเลี่ยงการชุมนุม เป็นสองฝายสองฝั่งอยู่เสมอมาและเสมอไป ส่วนพรุ่งนี้ ผู้เขียนจะปฏิบัติตัวเช่นไรนั้น ก็คงใช้ชีวิตไม่ต่างจากทุกๆวัน แปรงฟันวันละสองครั้ง รับฟังข่าวสารพอเป็นกระสัยแต่ไม่หมกมุ่น เข้าใจหลักความเป็นไปในทุกๆการชุมนุม และเลือกแทงในฝ่ายเจ้าบ้านแม้ จะมีแต้มต่อในภาษีที่สูงกว่า
และฝากถึงคุณแดงๆทุกท่าน ด้วยละกันว่า ถ้าอยากเห็นภาพแดงทั้งแผ่นดินจริง ไม่ต้องมาตากแดดตากฝน พลัดที่นา คาที่ไร่ เสี่ยงให้รถเฉียดชนกันสักป่าวๆ ถ้าอยากเห็นภาพแดงทั้งแผ่นดินจริง ขอแนะนำที่นี้เลย "เขตดินแดง" อ้อมอนุสาวรีย์ไม่กี่โค้ง เดี๋ยวก็เจอแล้วพี่น้อง ........
Create Date : 11 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 11 มีนาคม 2553 21:39:37 น. |
Counter : 598 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตั้งข้อฉงนของกระแสคลั่งไคล้ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก
วันนี้ผู้เขียนอยากจะเปลี่ยนมาเขียนอะไรในเชิงวิเคราะห์กันสักหน่อย เป็นการวิเคราะห์แบบน้ำเต้าปูปลา เอ้ย!ไม่สิ เพราะวิเคราะห์แบบนั้น ตลอดชีวิตที่ผ่านมา จึงมีแต่เสียกับเสียแล้วติดตามด้วยเสียกันเป็นระยะ สำนวนที่แท้จริง คงต้องเรียกว่า การวิเคราะห์แบบปูๆปลาๆ คือ อาศัยประสบการณ์เป็นหลัก หลักวิชาเป็นรอง ด้วยหลักวิชาเหล่านั้น หลังจากที่ได้เรียนจนสำเร็จเสร็จสรรพ รับใบเกียรติคุณ ก็ส่งคืนสถาบัน ตามประสาคนที่สำนึกในบุญคุณ ที่หยิบยืมอะไรมาจากเขา เราก็ส่งคืนหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ สอบวัดผลปลายภาค เพราะเชื่อในทฤษฎีความจุ ว่าสมองคนเรามีจำกัด ไม่ควรเอาสิ่งค้างๆคาๆ เอามาให้รกหัวสมอง เพื่อต้อนรับความทรงจำใหม่ๆ ที่มีเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
มาว่ากันเรื่องความข้องใจ ในกระแสของการบูมฟีเวอร์ของฟุตบอล "ไทยแลนด์ลีก" กันเสียหน่อย เป็นอะไรที่ผู้เขียนรู้สึกถึงความนิยมแบบออกนอกหน้า ประมาณว่า ครั้งหนึ่งประธานของสมาคมแห่งสโมสรของทวีปเอเชีย หรือเรียกง่ายๆว่า KFC เอ้ย! AFC เคยสวมชุดชีทอาหมัดทำหน้าฮึมๆ แบบเอาจริงเอาจัง ถึงความปรารถนาดี (ต่อชื่อเสียงของสโมสรในเอเชีย) แต่ประสงค์ร้าย (ต่อสโมสรไทย) ที่จะลดจำนวนโควต้าของทีมฟุตบอลของประเทศไทย หากยังมีแมทช์ฟุตบอลในประเทศ ที่จำนวนนักเตะทั้งสองทีมแบบไม่บวกกรรมการและไลท์แมน มากกว่าจำนวน ของเหล่ากองเชียร์ข้างสนาม และบางทีอาจใจดีให้รวมคนที่เดินผ่านไปผ่านมานอกสนามด้วย และตราบใดที่ ยังบริหารจัดการทีมฟุตบอลเสมือนเตะแก้บนยังอยู่เช่นนี้ร่ำไป แค่โควต้าหนึ่งทีมสำหรับลีกฟุตบอลที่คิดว่าดีที่สุดของประเทศ ก็ดูน่าจะเพียงพอแล้ว
หลังจากท่านประธานชีทตีที่นั่งเครื่องบินกลับไปได้ไม่กี่เดือน กระแสของฟุตบอลไทยลีกก็กระเตื้องออกหน้าออกตาอย่างผิดสังเกตุ มีเหล่าบรรดากองเชียร์ประหนึ่ง ได้ต้อนเข้ามาส่งเสียงแย้วๆ มิวายแบบการก่อม๊อบ สีเสื้อนั้น สีเสื้อนี้ มีเพลงประจำทีมชนิดที่เนื้อร้องและทำนอง แสดงอัตลักษณ์เฉพาะของหมู่เฮา มีการแต่งหน้า สวมเสื้อทีมทั้งแบบเหย้าและแบบเยือน ชนิดที่ส่งซักพรุ่งนี้ มะรืนนี้ต้องรีบมาสวมใส่แบบทันทีทันใด ยอมเสียสตงสตางค์ซื้อบัตรเข้าชม เดินทางปานประหนึ่งจาริกแสวงบุญข้ามห้วยภูมิลำเนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นต้น สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเหล่านี้ เขาทำได้อย่างไร ผู้เขียนพยายามนึกถึงคำตอบเหล่านั้น ด้วยความเข้าใจในฐานะตัวประสบการณ์ที่เป็นครู เป็นครูที่ตีไม่เจ็บ แต่อาจเจ็บตัว จากประสบการณ์ตรงที่ได้ไปเยือนยังถิ่นสนาม ที่อาจติดลูกหลง เป็นลูกที่ไม่มีพ่อมีแม่ มีแต่มือและเท้าที่ปะทะวิวาท เป็นหนึ่งสีสันของการแข่งขันนอกสนาม
หากฟุตบอลเป็นเกมกีฬาของลูกกลมๆด้วยแล้ว เหล่ากองเชียร์หัวกลมๆมากมายหลายหัว ย่อมเป็นสิ่งสำคัญ ที่วงการฟุตบอล ทีมบอลและเหล่าผู้จัด มีความถวิลหาอย่างสูง เพราะแต่ละหัว หมายถึง ราคาของตั๋วที่เข้าชม แม้จะหลากหลายวัย ลดหลั่งตามราคา แต่นั้นเท่ากับเป็นการผูกมัดความรู้สึกของความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของทีม แม้กองเชียร์ท่านนั้น จะไม่ได้ถือในมูลค่าหุ้นสักตัว แต่กับเสื้อยืดเก๋ๆ ที่มีออกจำหน่าย และไม่ได้จำหน่ายเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น ยังแบ่งออกเป็นสองสไตล์เป็นอย่างต่ำ อย่างชัวร์สุดของผู้จัดก็ต้อง ทีมเหย้า อันหมายถึง ทีมเจ้าบ้าน ที่ตีหัวเข้าบ้านในฐานะทีมที่ต้องมีสนามเป็นของตัวเอง แม้ในสถานะปัจจุบัน จะยังไม่มีเพาเวอร์พอที่จะรังสรรค์พื้นที่ไม่กี่ไร่ มาพอบูรณะเป็นสนามแข่งก็เหอะ แต่เมื่อมันเป็นกฎของสมาคม แม้เพียงการได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่เช่า ก็มีความสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะเวลากองเชียร์เขาอยากส่งเสียงเย้ๆ ที่ไปทำกันในห้างสรรพสินค้าไม่ได้ สนามจึงเป็นทางออกของการปลดปล่อยความเก็บกดอีกวิธีนึง โดยมีรูปเกมของการแข่งขัน เป็นที่ระบาย ชนะก็ส่งเสียงเกทับอย่างสาแก่ใจแก่ทีมผู้แพ้ แต่หากรูปเกมของทีมตัวเอง เกิดห่วยขึ้นมา ก็ได้ทาทับถมในฐานะที่ตนเองเสียบัตรเข้าชม หมายความง่ายๆ คือ ได้ระบายในทุกวิธีการ หากใครมาเชียร์ฟุตบอลแล้วยังเก็บกด อันนี้เท่ากับการใช้เงินทุกบาทจากค่าบัตร ได้ไม่คุ้มค่านะเอย
และที่ผู้เขียนกล่าวว่า การบริหารจัดการทีมฟุตบอล แม้การได้แฟนฟุตบอลตัวยงเพียงท่านเดียว ก็มีค่ามหาศาลเพราะอะไร เพราะแฟนบอลเพียงท่านเดียว ซึ่งถ้าทีมฟุตบอลสามารถสร้างรอยอตี้ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ย่อมหมายถึง การสร้างมูลค่าเพิ่มนอกเหนือจากเงินงบประมาณของการสนับสนุน จากสมาคมฟุตบอลฯ ที่เฉลี่ยให้ทุกปี ลองคิดดู แฟนฟุตบอลหนึ่งท่านแบบคลั่งๆ อย่างน้อยๆ ก็ต้องซื้ออะไรเพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ของทีมฟุตบอลนั้นๆ ที่ตนตามลุ้น ตามเชียร์ ตีค่ามาตราฐานต่ำสุด อย่างน้อยๆ ก็เสิ้อฟุตบอลสองตัวเป็นหลัก ไหนจะตามมาด้วยบรรดาพวกเข็มกลัด พวงกุญแจ ที่เป็นของกระจุกกระจิก ไปซื้อติดหาติดฝากแก่คนที่คุณรัก เพื่อขยายฐานมวลชนของกลุ่มกองเชียร์ด้วยแล้ว หากถึงขั้นหนักชนิดกระเป๋าหนักตามด้วยแล้ว อาจมีการซื้อแบบไม่เจียนฐานะประเภท แบกธง ชูป้ายของบรรดาสโมสร หรืออาจซื้อผ้าพันคอทั้งๆที่เมืองไทยมีแสงแดดที่แผดจ้า แต่นั้นก็ไม่ยี่หระสำหรับเหล่าบรรดาไดฮาร์ทสโมสรกันอยู่แล้วนี้หน่า แล้วแฟนฟุตบอลเหล่านี้ เขาหัวเดียวกระเทียมลีบสักทีไร อย่าลืมว่าสังคมของครอบครัวไทย เป็นครอบครัวใหญ่ ทีมีลูกหลานต่างบ้านต่างเมือง ตั้งมากมาย การหากิจกรรมสังสรรค์แต่ในวงเหล้าอันเป็นสายถนัดของคนไทย ก็จำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่บรรลุนิติภาวะ ไหนจะมีภาระต้นทุนในแง่ลบของคนรอบข้าง อันนี้ยังไม่นับรวมต้นทุนบรรจุขวดที่บวกภาษีสรรพมิตรอีกเท่าตัว กิจกรรมนอกพื้นที่ ในฐานะสังคมประกิตที่รวมทุกกลุ่มชนสำหรับสังคมไทย ยังค่อนข้างน้อย จะให้คลั่งอินเตอร์แบบรับชมเฉพาะฟุตบอลเมืองนอก อย่าง พรีเมียร์ลีก กัลโชฯ ลาลีกาสเปน อันนี้ก็มีภาระรายจ่ายชนิดจานรับแบบเทพ ที่ต้องเหมาเเพ๊คเก็ตในราคาชนชั้นผู้ดีตีนแดง เขาไม่เดือดร้อนที่จะเอาจานรับมาหงาย บนหลังคาบ้าน ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกจึงเป็นราคาบ้านๆตามชาตินิยม ที่ซึมเข้ากระเเสเลือดแบบชนสยามได้ง่ายกว่า และเด่นชัดกว่าไหนๆ ไม่ต้องไปยืนให้เมื่อยตุ้มที่สนามบินขาเข้า หรือวิ่งจองห้องโรงแรมเพื่อให้ได้ชื่อว่า ครั้งหนึ่งได้นอนติดหัวกำแพงนักกีฬาคนโปรด สุขนิยมแบบคนไทยจึงถนัดนักแล เมื่อได้ชมไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก
ผู้เขียนได้สังเกตุและเสาะถามแบบเป็นมิตร ตามประสาติ๊ต่างว่าเชียร์ทีมเดียวกันกับผู้สัมภาษณ์ เพื่อทราบถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของกองเชียร์ไดฮาร์ท ชนิดที่ตีรถเที่ยวเปล่า เพื่อขอแค่ไปเกทับและใช้สุขาทีมเยือนมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์ก็ตอบด้วยความ(อง)อาจว่า เป็นการเริ่มต้นจากการแนะนำ เสมือนการบอกรับสมาชิก คือ ปากชักชวนแบบปากต่อปากนี้แหละ จากหนึ่งสู่หนึ่งเป็นสอง สองบอกสองเป็นสี่ จากสี่ต่อสี่เป็นลูกควบครึ่ง แล้วพัฒนาเป็นรูปแบบองค์กรอย่างไม่เป็นทางการ โดยอิงเริ่มต้นจากความเป็น ภูมิภาคนิยม ว่าเป็นลูกหัวบ้านโน้น ถิ่นชาวเลบ้านนี้ หากไม่เชื่อก็ควักบัตรประชาชน เอามาเทียบภูมิลำเนากัน พอรู้ว่าใช่ ที่เหลือมันก็ไปต่อ ปานประหนึ่ง เป็นคนที่บ้านใกล้ติดกัน ที่แม้บางทีคนอีกหมู่บ้านที่ติดข้างจังหวัดจะใกล้กว่า ก็ไม่อาจเอื้อมอภิสิทธิ์นี้ พอบัตรประชาชนมันฟ้องว่าไม่ใช่ พูดไปก็เหมือนคนรู้จักกัน ไปมาหาสู่กันในตลาด แต่พอถามประตูทางเข้าของปราสาทศักดิ์สิทธิ์หันไปทางไหน เพราะมีรัฐบาลคนละเชื้อชาติ เลยคิดไปอันหลักคนละทาง แต่ความจงรักภักดีของเหล่ากองเชียร์ ย่อมต้องมีความต่อเนื่องเป็นรูปธรรม อันนี้เป็นธรรมสำคัญเสมอ ทุกๆครั้งที่มีทีมตกไปยังดิวิชั่นที่ต่ำกว่า จะมีลูกค้าบางส่วน ที่แปรพักตร์ไม่ก็หันไปเชียร์อีกสโมสรที่มีความใกล้ชิดกัน แต่มีฐานะที่ติดอยู่ในอันดับ ของตารางลำดับในการแข่งขันที่ดีกว่าเสมอ จะมีบางสำหรับแฟนดั้งเดิมที่จงรักภักดี อย่างไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าโอกาสที่สื่อกระแสหลักจะนำเสนอข่าวจะมีค่อนข้างน้อย อย่างเห็นได้ชัด และแน่ละว่า สโมสรที่มีความฝันที่จะสร้างฐานมวลชนคนดูในอันดับสูง ย่อมต้องควักเนื้อจ้างนักเตะ อันดับดีกรีทีมชาติหรือไม่ก็อดีตทีมชาติที่เคยมีชื่อเสียง รึไม่ก็จ้างนักเตะต่างชาติโนเนมแต่ฝีเท้าดีสมราคาจ้าง เพื่อเรียกความแตกต่าง และเป็นสีสันของการแข่งขัน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องจ้างนักเตะสีผิวกาฬทวีป ที่มีอันดับGDPที่ต่ำกว่าประเทศไทยเป็นสำคัญ ที่บางแหล่งข่าวอ้างว่าไปหาตาม ตรอกข้าวสารหรือซอยนานา ซึ่งอันนี้ก็ไม่ขอยืนยันด้วยความทีเล่นทีจริงของผู้สัมภาษณ์
และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่า นักฟุตบอลที่สำคัญๆระดับเกือกฝีเท้าทอง ล้วนแล้วแต่มีทีมในดวงใจมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ที่ค่อยซึมซับฝีเท้าและเทคนิควิธี จากสโมสรโปรดที่เคยถูกหิ้วแบบไม่รู้อิโหนอิเหน่จากเหล่าบรรดาปะป๋ามะม๋า แล้วเจริญเติบโตไปพร้อมๆกับ ความเติบใหญ่ของสโมสรที่ตนเชียร์ แม้ว่าส่วนใหญ่ จะหันเหไปเล่นให้อีกทีมที่ให้เพดานของเหนื่อยต่อสัปดาห์ที่สูงกว่า ไม่เชื่อลองไปอ่าน งานชีวิประวัติ ของ บักเจิด ต่ายเวย์ หนูโน้ ดูก็ได้ แฟนๆบอล จึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดของแม็ทซ์ฟุตบอล ถ้าเตะบอลโดยไม่มีคนดู ก็ไมต่างกับการที่สโมสรฟุตบอลติดโทษแบน ไม่ให้คนดูมีสิทธิ์เข้าเชียร์ในสนาม ซึ่งแม้เหล่านักเตะจะพูดเสียงเดียวกันว่า ขาดกำลังใจ แต่ที่เห็นได้ชัดคือ การขาดซึ่งมูลค่าของตั๋วเข้าชม ที่นับเก้าอี้ตัวไหนก็เป็นเงิน อันนี้ยังไม่ได้บวก ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดอีกนะเออ อย่างล่าสุดเหตุการทะเลาะวิวาทของกองเชียร์ ของทีมที่ชื่อลอยอยู่บนน้ำ แม้จะเป็นไปในทางด้านลบ แต่ก็ตระหนักว่าเรื่อง อย่างนี้ไม่ได้ผูกขาดแค่อาชีวะเจ้าไหน หรือสีเสื้อสีอะไร ซึ่งอาจสร้างความเสื่อมเสีย จากคนดูเพียงกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้พัฒนาตามมาตราฐานที่ขนานไปกับฟุตบอลอาชีพของ เมืองไทย แต่ก็เป็นนิมิตรหมายใหม่ที่เรื่องพรรค์นี้ยังแย่งชิงพื้นที่ข่าวใหน้าหนึ่งใ ให้ผู้คนที่ไม่เคยข้องแวะกับวงการฟุตบอลให้ได้กล่าวขาน ว่าฝูงชนเหล่านั้นเขากำลังทำอะไร แต่เหตุของการตีกันของแฟนฟุตบอลเพียงไม่กี่สิบนาที อาจยังไม่เท่ากับการตีข่าว ที่ถามหาเหตุความรับผิดชอบ หนทางในการแก้ไข และภาระเวรกรรมของคนรอบข้าง ไหนจะการหาซึ่งผู้กระทำผิด แม้ใครจะหาว่าสังคมไทยแบบสังคมแบบวัวหายแล้วล้อมคอก แต่คอกรั้วใหม่ที่ว่านี้ ก็ยังดีกว่าในพื้นหญ้าแหล่งนี้ที่ไม่เคยเจริญเติบโตของวัวตัวใดใดนักเออ........
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2553 22:32:35 น. |
Counter : 555 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|