Group Blog All Blog
|
ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
เราคงคุ้นเคยกับพุทธภาษิตบทนี้ว่า "อโรคยา ปรมา ลาภา" กันเป็นอย่างดี เพราะใครไม่มีโรคนับว่าเป็นลาภอันประเสริฐ
แต่ใครจะหลีกหนีสัจธรรมข้อนี้ไปได้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นเรื่องธรรมดาๆของคนเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดในโลกนี้ ล้วนต้องเป็นไปตามสัจธรรมที่กล่าวมาทั้งสิ้น ในทางกลับกันหากเรารู้วิธีการหรือข้อมูลที่จะไม่ให้เกิดโรค หรือรู้จักระมัดระวังอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ก็อาจจะเป็นวิธีการที่ดีในการที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดโรค จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล วันนี้วงการ ทีวี เมืองไทย มีรายการเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บที่น่าสนใจสองรายการคือ อโรคา ปาร์ตี้พิธีกรผู้ดำเนินรายการคือ ธงชัย ประสงค์สันติ ตอนนี้กำลังมือขึ้นจัดรายการดังๆอยู่หลายรายการ อาทิ คุณพระช่วย ( ทีวีช่อง 9) เป็นต้น รายการนี้ดูสนุกโดยโปรดิวเซอร์จะกำหนดว่าวันนี้จะเสนอเรื่องโรคอะไร แล้วทางรายการจะเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงมาออกรายการ จำนวนประมาณ 5-6 ท่าน ส่วนมากจะเป็นบุคคลในวงการบันเทิง พิธีกรจะกล่าวนำว่าโรคที่จะนำเสนอในวันนี้คือโรคอะไร อาการเป็นอย่างไร จากนั้นก็จะให้ผู้เข้าร่วมรายการพูดถึงโรคนี้ว่าเคยเป็นหรือไม่ มีอาการอย่างไร เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้เข้าร่วมรายการ จากนี้ทางรายการก็จะเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคนี้มาให้ความรู้และข้อมูลในการรักษา และวิธีการดูแลร่างกายมิให้เป็นโรคนี้ สุดท้ายจะถ่ายทำให้เห็นผู้เข้าร่วมรายการทุกท่านที่ไปทำการตรวจร่างกาย(จริงๆ)ที่โรงพยาบาลที่ร่วมรายการ รายการนี้ออกอากาศประจำทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลาประมาณ 22.15 น. ทาง ทีวี ช่อง 9 อสมท. ท่านสามารถดูรายการนี้ย้อนหลังได้ที่ //www.me.in.th/live/ โดยปรับวันที่ เวลา และช่อง ทีวี ให้ตรงตามที่ต้องการดูรายการย้อนหลัง อีกรายการหนึ่งคือ รายการ "เพชรฆาตเงียบ" ออกอากาศทาง ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ ทุกวันเสาร์ เวลาประมาณ 18.05 น. ดำเนินรายการโดย อรรถพร ธีมากร รายการนี้จะไปถ่ายทำคนที่เป็นโรคนี้จริงๆตามโรงพยาบาล แต่ตอนเกริ่นนำเรื่องนี้ว่า คนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการอย่างไร จะมีการแสดงสมมุติให้เห็นว่าคนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการอย่างไร และหากไม่ใส่ใจเข้ารับการรักษา อาการสุดท้ายจะเป็นอย่างไร บางโรคร้ายแรงถึงกับเสียชีวิต ท่านสามารถดูรายการนี้ย้อนหลังได้เช่นกัน โดยเข้าไปที่ //www.me.in.th/live/ อิสรชนคนสนามหลวง
สนามหลวง ชื่อนี้ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีมาช้านานในหมู่คนไทย หรือแม้ชาวต่างประเทศที่มาท่องเที่ยวเมืองไทยก็ตาม เพราะสนามหลวงตั้งอยู่ติดกับพระบรมมหาราชวัง ชาวต่างประเทศที่มาท่องเที่ยวเมืองไทยต้องไม่พลาดที่จะมาชม ถ้าสนามหลวงเป็นคนก็อาจจะเรียกได้ว่าผ่านเหตุการณ์มามากมายหลายรูปแบบ เช่นในอดีตเคยเป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย มีสินค้ามากมายสารพัดชนิดวางขายที่นี่ แม้กระทั่งหนังสือเก่ามือสองก็มีขาย ต่อมาตลาดนัดก็ย้ายไปอยู่ที่สวนจตุจักรจนถึงวันนี้ สนามหลวงเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับคนที่มีรายได้น้อย พาครอบครัวมาปูเสื่อนั่งชมการเล่นว่าวในตอนบ่ายๆของวันอาทิตย์ในหน้าร้อน พร้อมกับมีของขบเคี้ยวกินเล่น เช่นปลาหมึกปิ้งย่างมาขายให้บริการอยู่ใกล้ๆ เด็กๆก็อาจจะเช่ารถจักรยานถีบเล่นด้วยความสนุกสนาน เป็นที่รู้กันว่าภ้าใครเข้ามากรุงเทพครั้งแรกแล้วหลงทางก็มักจะมาตั้งต้นที่สนามหลวง เพราะที่นี่เป็นชุมทางรถเมล์มากมายหลายสิบสาย แต่วันนี้สนามหลวงมีบทบาทเป็นที่ตั้งเวทีของกลุ่มการเมือง สำหรับการปราศัยให้ประชาชนมาฟัง นอกจากจะเป็นสถานที่จัดงานพระราชพิธีต่างๆเช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น และในปีนี้ประมาณเดือนพฤศจิกายน ก็จะมีงานพระราชพิธีถวายเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางฯ ในอีกมิติหนึ่งของสนามหลวงวันนี้ ยังเป็นที่พักพิงของผู้คนที่ไร้บ้านมายึดเป็นที่พักอาศัยยามค่ำคืน กลุ่มคนพวกนี้เดินทางมาจากต่างจังหวัด และคนที่เร่ร่อนอยู่ในกรุงเทพมาช้านาน ความเป็นมาและความเป็นอยู่ของพวกเขาน่าสนใจมาก ธีรนุช ยอดนุ่น พิธีกรสาวผู้ดำเนินรายการ "คนละไม้คนละมือ" ที่ออกอากาศทาง ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ จึงลงภาคสนามไปสัมภาษณ์คนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาศึกษาและช่วยเหลือกลุ่มคนเร่ร่อนพวกนี้ พวกเขาปฏิบัติงานในนาม เจ้าหน้าที่กลุ่มอิสรชน สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน คุณนที สรวารี เจ้าหน้าที่กลุ่มอิสรชน ให้สัมภาษณ์คุณธีรนุช ยอดนุ่น เล่าความเป็นมาของอิสรชนคนสนามหลวง เขาเล่าว่าก่อนที่คนพวกนี้จะเดินทางเข้ามาเป็นอิสรชนคนสนามหลวงนั้น พวกเขามีบ้านอยู่ต่างจังหวัด แต่ด้วยความยากจนขัดสน เขาจึงบากหน้าเข้ามาที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราๆท่านๆได้ยินเรื่องอย่างนี้กันมาช้านาน แต่คุณนทีเล่าว่ามันเป็นเรื่องจริงๆนะ เขาเข้ามากรุงเทพด้วยความหวัง หวังที่จะมีงานทำพอที่จะเก็บเงินได้สักจำนวนหนึ่ง แล้วก็จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แต่ความหวังของพวกเขาก็ละลายหายไป เมื่อไม่สามารถหางานทำได้ เงินทองที่มีติดตัวมาก็ค่อยๆหมดไป พวกเขาจึงมาอยู่ที่สนามหลวง กลายเป็นอิสรชนคนสนามหลวง คุณนทีเล่าว่าคนพวกนี้ก็เหมือนกันเราๆท่านๆนี่แหละ เขามีศักดิ์ศรีและคิดว่าสักวันเขาคงจะมีโอกาสดีขึ้น แต่โอกาสในสังคมกรุงเทพไม่เปิดให้ใครง่ายๆ พวกเขาจึงเป็นคนด้อยโอกาสเช่นทุกวันนี้ กลุ่มเจ้าหน้าที่อิสรชนจะเข้ามาดูแล และให้คำแนะนำ พร้อมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกเขาในการที่จะดำรงชีวิตความเป็นอยู่ที่สนามหลวงในสภาพที่ดีขึ้น แนะนำให้ประกอบอาชีพเล็กๆน้อยๆเพื่อยังชีพ บางคนก็เลยมีอาชีพที่สามารถจะเลี้ยงตัวเองและญาติมิตรได้ เช่น ป้าพร เป็นต้น ป้าพรยึดอาชีพค้าขายเครื่องดื่มเล็กๆน้อยๆที่สนามหลวงนี้มานานหลายปี และบอกว่าวันนี้คุณภาพชีวิตของเธอดีขึ้นมาก และไม่คิดที่จะไปไหนอีก หน่วยงานราชการเช่น กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ น่าจะเข้ามาดูแลกลุ่มคนพวกนี้บ้าง เพราะพวกเขาอยู่ในกรุงเทพนี่เอง ภาพประกอบจากรายการ "คนละไม้คนละมือ" ถ่ายภาพจากหน้าจอ ทีวี ด้วยมือถือ NK N81 สมาคมการบริหารโรงแรมไทยชวนสมาชิกร่วมงาน ITB 2008
Save the Date! From 22 - 24 October 2008, the first ITB Asia will be held in Singapore. สมาคมการบริหารโรงแรมไทย โดย กมล รัตนวิระกุล นายกสมาคม ได้พิจารณาเห็นว่าเพื่อให้สมาชิกที่เข้ารับการอบรมหลักสูตร "การจัดการระดับสูง" ที่สมาคมจัดฝึกอบรมไปแล้วจำนวน 9 รุ่น สมาชิกที่เข้าอบรมล้วนเป็นเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทขนาดกลางและเล็กทั่วประเทศ มีความเข้าใจในการบริหารการจัดการด้านการตลาดอย่างถ่องแท้ จึงได้จัดการพาสมาชิกจำนวนหนึ่งเข้าร่วมงานนิทรรศการธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ประเทศสิงคโปร์ปลายปีนี้ ภาพข้างบนนี้คือโลโกหรือสัญญลักษณ์ของงานนี้ งานนี้ต้นกำเนิดจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมันนี สำหรับปีนี้เพิ่งจะมาจัดขึ้นครั้งแรกในเอเซียที่สิงค์โปร์ วันนี้ (14 สิงหาคม 2551) สมาคมจึงประชุมเพื่อชี้แจงรายละเอียดต่างๆของการไปร่วมงาน การประชุมจัดขึ้นที่ โรงแรมบางกอกรามาเพลซ ถนนพัฒนาการ ซึ่งเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ก็เคยเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตร"การจัดการระดับสูง" รุ่นที่ 1 มาแล้ว กมล รัตนวิระกุล นายกสมาคมฯ เป็นประธานการประชุมสมาชิกฯที่จะไปร้วมงานครั้งนี้ ข้อมูลของ ITB จาก //www.google.com ภาพประกอบถ่ายโดยมือถือ NK N81 BLUE OCEAN คืออะไร?
หลังจากที่ผมเขียนบล็อกเกี่ยวกับการฝึกอบรมหลักสูตร "การจัดการระดับสูง" รุ่นที่ 9 ซึ่งสมาคมการบริหารโรงแรมไทย จัดขึ้นที่โรงแรมเรดิสัน เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 5-6 กรกฏาคม ที่ผ่านมานั้น
ในหัวข้อการบรรยายของ คุณกมล รัตนวิระกุล เรื่อง "กลยุทธ์ Blue Ocean เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของโรงแรม" มีผู้อ่านบล็อกจำนวนหลายท่านหลังไมค์ไปถามผมว่า เจ้าBlue Ocean นี้คืออะไร? มันเกี่ยวข้องหรือเหมือนกับเจ้า Blue Tooth ใหม? ผมขอตอบว่ามันคนละโลกกันเลยครับ Blue Ocean หรือ ทะเลสีฟ้า นี้มันคือกลยุทธ์การตลาดอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เปรียบเทียบว่า การตลาดและบริการไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใดๆ ถ้าทุกคนหรือทุกองค์กรมีสินค้าและบริการที่เหมือนๆกัน ย่อมจะต้องแข่งขันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น สุดท้ายก็เอาไพ่ใบสุดท้ายมาห้าหั่นกันคือ การแข่งขันกันเรื่องราคา ผลที่ได้รับทุกองค์กรหรือทุกอุตสาหกรรมก็จะเสียหาย บาดเจ็บ เลือดโชกกันไปมากบ้างน้อยบ้าง อาการอย่างนี้เรียกว่า Red Ocean จากสถานการณ์การตลาดตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงกลายมาเป็นแนวคิดของสองนักวิชาการชื่อดังสองท่านคือ W. Chan Kim และ Renee Mauborgne จากสถาบันทางด้านบริหารธุรกิจชื่อดังของฝรั่งเศสคือ INSEAD นำมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดแบบใหม่ ให้ชื่อว่า Blue Ocean Strategy ต่อมาก็เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก กลยุทธ์การตลาดแบบ Blue Ocean ก็คือ อย่าไปทำอะไรหรือคิดอะไรแบบที่คนทั่วๆไปเขาทำกัน นั่นหมายความว่าท่านจะต้องเข้าไปแข่งขันกับเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ให้คิดนอกกรอบที่ยังไม่มีใครเคยคิดหรือเคยทำมาก่อน ท่านก็จะประสบความสำเร็จที่น่าพึงพอใจ สบายใจ เปรียบเสมือนการท่องเรือไปในมหาสมุทรสีฟ้า แต่ไม่ช้าไม่นานก็จะมีคนทำตามอย่างท่าน เมื่อมีคนทำตามอย่างมากๆขึ้น ทะเลสีฟ้าก็จะกลายเป็นทะเลเลือด ถ้าอยางนี้มิต้องหนีไปเรื่อยๆหรือ? แน่นอนครับ ไม่มีอะไรในโลกนี้จะอยู่คงที่ ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับว่าสินค้าและบริการของท่านนั้นจะสามารถครองตลาดได้นานแค่ไหนอย่างไร คิดไปเขียนไปตามใจคิด (4 )
สำหรับตอนนี้ผมจะมาคุยเรื่อง "โลกส่วนตัว" ครับ คิดว่าทุกๆท่านคงจะเคยได้ยินคำพูดวลีนี้ แล้ว "โลกส่วนตัว" นี้มันคืออะไรกันล่ะ สำหรับผมแล้ว "โลกส่วนตัว" ของผมคือ สถานที่ที่ผมสามารถจะทำอะไรก็ได้ที่ผมชอบ เช่น การเล่นเน็ต ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นมือถือ ฯลฯ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นห้องส่วนตัวหรือในที่รโหฐาน ขอเพียงอย่าให้ใครในบ้านมารบกวนผม ขณะที่ผมอยู่ในมุม (โลกส่วนตัว) ของผม ปัจจุบันนี้โลกส่วนตัวของผมตั้งอยู่ที่ชั้นสองหน้าห้องนอน เป็นมุมที่ผมจะใช้เวลาอยู่ที่นี่วันละสองเวลา คือช่วงเช้าตั้งแต่เวลาประมาณ 07.30 น.ไปถึงเวลาประมาณ 11.30 น. ช่วงเย็นตั้งแต่เวลาประมาณ 019.00 น. ถึง 20.30 น. ช่วงเวลาเหล่านี้ผมจะเล่นเน็ต เช็คอี-เมล เขียนบล็อก โดยจะเปิดวิทยุฟังเพลงลูกทุ่งมหานครของ อสมท.ฟังคลอไปด้วย พอเบื่อจากเล่นเน็ตก็อาจจะดูหนังเคเบิ้ล ทีวี ท้องถิ่น ดูหนังสารคดีต่างๆ หนังเรื่องต่างๆ พอเบื่อจากดูหนังก็มาถึงคิวของมือถือ เล่นเพลงที่โหลดลงในเครื่อง ฟังนานประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ตามแต่ใจปรารถนา เคยมีเพื่อนๆรุ่นเดียวกันถามผมว่า ใช้เวลาในแต่ละวันทำอะไรบ้าง ผมก็ตอบไปตามที่กล่าวมาแล้วในวรรคก่อน เขาพูดว่าน่าเบื่อจะตายถ้าทำแบบที่ผมเล่ามา ผมก็ถามเขากลับไปว่า "แล้วคุณทำอะไรบ้างล่ะ" เขาตอบผมว่า "ไม่ได้ทำอะไรเลย นอนอย่างเดียว"ผมอยากจะตอบเขากลับไปว่า ถ้านอนอย่างเดียวคงจะเฉาตายแน่ นี่คือ "โลกส่วนตัว" ของแต่ละคน ซึ่งอาจจะไม่ต้องเหมือนกัน ขอเพียงอย่าทำให้ใครในบ้านหรือคนรอบตัวเดือดร้อนเป็นใช้ได้ ท่านล่ะมีโลกส่วนตัวเป็นอย่างไร? |
หนุ่มร้อยปี
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?] บล็อกนี้สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 โดย ชายไทยวัยสูงอายุ มีวัตถุประสงค์ในการบันทึกและนำเสนอเรื่องราวต่างๆแบบครอบจักรวาล อาทิ ภาพยนตร์ ดนตรี รายการทีวี หนังสือน่าอ่าน อาหารน่ากิน ท่องเที่ยว สะสมสิ่งของ ตำนานชีวิตบุคคลน่าสนใจ รู้ไว้ใช่ว่า จิปาถะ ฯลฯ เป็นต้น คำขวัญประจำบล็อก ประสบการณ์ชีวิตที่ดีในอดีต คือทรัพยากรที่ทรงคุณค่าในปัจจุบัน คำขวัญประจำตัวเจ้าของบล็อก "อายุเป็นเพียงตัวเลข" บรรณาธิการบริหารบล็อกคือ หนุ่มร้อยปี บล็อกนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย ท่านใดเห็นว่าข้อเขียนหรือภาพประกอบในบล็อกนี้มีประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้ แต่โปรดอ้างอิงชื่อบล็อกนี้ด้วย จักขอบคุณยิ่ง Friends Blog
|