นิทเช่กล่าวว่า พระเจ้าตายไปแล้ว ใน Thus spake Zarathrustra (ซึ่งจริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าเคยทำก่อนสมัยของนิทเช่นานแล้ว) และก็ในความเป็นจริงก็เป็นอย่างที่นิทเช่กล่าว ในปัจจุบันพระเจ้าองค์นั้นก็ได้เสมือนตายไปแล้วที่เหลืออยู่คือสัญลักษณ์ทางใจเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจอย่างเช่นในสมัยก่อน แต่การจากไปของพระเจ้าองค์นั้นก็คือการหลีกทางให้กับพระเจ้าองค์ใหม่ซึ่งกำลังเข้ามาแทนที่ ไม่ว่าคนเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ในปัจจุบันนี้มีพระเจ้าองค์ใหม่ที่กำลังทรงอำนาจและทำตัวเสมือนพระเจ้าในสมัยโบราณทุกกระเบียดนิ้ว พระเจ้าองค์ใหม่นี้มีชื่อว่า "Mass" หรือ "มวลชน" (และในบางครั้งพระเจ้าองค์ใหม่นี้ก็งี่เง่าได้พอ ๆ กับพระเจ้าองค์ก่อนเช่นกัน)
เมื่อมีพระเจ้าก็ต้องมีศาสนา ศาสนาใหม่นี้มีชื่อว่า Democracy หรือ "ประชาธิปไตย" และในศาสนาย่อมมีนักบวช นักบวชในศาสนาใหม่นี้มีชื่อว่า "Mass Media" หรือ "สื่อมวลชน" ตามชื่อของพระเจ้า
มันไม่ใช่เรื่องใหม่ที่กล่าวว่า มวลชนคือพระเจ้า หรืออะไรทำนองนี้ แต่เมื่อมองในความหมายองค์ประกอบของทั้ง 3 สิ่งคือ พระเจ้า(Mass) ศาสนา(ประชาธิปไตย) และ นักบวช (สื่อมวลชน) และหน้าที่ขององค์ประกอบทั้ง 3 ในสังคมปัจจุบันแล้วจะทำให้เห็นภาพสังคมยุคใหม่ดีขึ้น
เรื่องของ มวลชนคือพระเจ้า คงจะเป็นเรื่องเก่า แต่เรื่อง สื่อมวลชน เป็นนักบวชในศาสนาในพระเจ้าที่ชื่อ มวลชน นี่ยังไม่เคยได้ยินใครพูด ก็อาจจะมีคนคิดขึ้นมาก่อนก็ได้ แต่ที่ผมพูดผมก็คิดของผมเองนะ จริง ๆ อยากจะจดเป็นลิขสิทธิ์เผื่อใครจะเอาไปทำวิทยานิพนธ์ด้านนิเทศศาสตร์สาขา Neo-theology คณะ อสาระวิทยา กรั่กๆๆ |
ทำไมสื่อมวลชนถึงเป็นนักบวช? เนื่องจากอาจจะนึกภาพสื่อมวลชนในภาพนักบวชไม่ออกก็ขอเอามาพูดก่อน ลองนึกภาพว่าเป็นสังคมสมัยก่อนที่มีพระเจ้าประทับอยู่บนยอดเขา และมีนักบวชคอยปรนนิบัติเอาอกเอาใจ และนำเรื่องต่าง ๆ ไปกราบทูลเพื่อให้ตัดสินใจ จะเห็นภาพได้ชัดเจนว่า ปัจจุบันก็มีสภาพไม่ต่างกันโดยมี มวลชนเป็นพระเจ้า ส่วนสื่อมวลชนคือนักบวชที่คอยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้พระเจ้าฟัง
สื่อมวลชนมีอำนาจมากเพราะเป็นนักบวชในพระเจ้าองค์นี้ แต่ส่วนหนึ่งของนักบวชทุกศาสนาคือต้องมี ข้อห้าม (หรือ ศีล ในศาสนาพุทธ) เมื่อสื่อมวลชนเป็นนักบวชก็เช่นกัน เพียงแต่สื่อมวลชนถือศีลเพียงข้อเดียว คือ ต้องพูดความจริง และสิ่งสำคัญที่ ชาวบ้านทั่วไป ควรตระหนักไว้ว่า ความจริงของสื่อมวลชน ไม่เหมือนกับความจริงอย่างที่เราเข้าใจกัน (ถ้าใครเคยอ่าน The Wheel of Time ของ Robert Jordan จะคุ้นเคยกับ ความจริงของ Aes Sedai (นักบวชหญิงที่ถือคำสาบานว่าต้องพูดแต่ความจริง))
ความสำคัญของสื่อมวลชนคือ เป็นสื่อกลางระหว่าง คนธรรมดา(ประชาชน) กับ พระเจ้า (มวลชน) และไม่มีทางที่คนธรรมดาจะไปเล่าเรื่องถวายพระเจ้าโดยไม่ผ่านสื่อมวลชนได้ และพระเจ้าก็ไม่สามารถตรัสตอบประชาชนโดยไม่ผ่านสื่อมวลชนได้ จะเห็นได้ว่าสือมวลชนจึงมีอำนาจมากและเป็นเหตุผลที่สื่อมวลชนต้องถือข้อห้ามว่า "ต้องพูดแต่ความจริง" แต่แม้ว่าจะถือข้อห้ามนั้นไว้ สื่อมวลชนก็ยังมีอำนาจสูงสุดอยู่ดี
ซึ่งถ้าพิจารณาในสมัยโบราณ นี่ก็เป็นเหตุผลเช่นเดียวกันที่ทำให้นักบวชในศาสนาสมัยนั้นมีอำนาจสูงมาก เพราะคำพูดของนักบวชหมายถึงคำพูดของพระเจ้านั่นเอง |
ประชาชน (individual) กับ มวลชน(Mass) ไม่เหมือนกัน ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่ทุกคนรู้ว่าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าองค์ใหม่ก็เช่นกัน ถึงแม้ไม่มีใครเคยเห็นแต่ทุกคนก็รู้ว่า มวลชน มีอยู่จริง และ สื่อมวลชนซึ่งเป็นนักบวชก็ตอกย้ำถึงความมีอยู่ของพระเจ้าที่ชื่อ มวลชน นี้อยู่เสมอ (อาจจะมีบ้างที่จะได้เห็นพระเจ้าก็คือ เวลาพระเจ้าพิโรธ แม้แต่การเลือกตั้งที่เป็นการแสดงถึงเสียงของมวลชน ก็ยังต้องผ่านนักบวชที่ชื่อ สื่อมวลชน อยู่ดี)
แต่ประชาชน(individual)ก็คือคน เป็นคนธรรมดา เป็นผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง ไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้าอย่างมวลชน
มวลชน ประกอบขึ้นจากประชาชนส่วนเล็ก ๆ เหมือนเซลล์ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายมนุษย์ แต่ละเซลล์ก็ไม่ใช่มนุษย์แต่มันประกอบกันขึ้นเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกัน ประชาชนประกอบกันขึ้นเป็นมวลชนซึ่งเป็นพระเจ้า แต่ประชาชนแต่ละคนนั้นก็ไม่ใช่มวลชน (หรือถ้าใครเคยอ่านสถาบันสถาปนาของไอแซค อาซิมอฟคงจะคุ้นกับคอนเซ็ปต์ของ Gaia ซึ่งเป็นดาวที่มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวเกิดจากการรวมจิตของคนทุกคนที่อยู่บนดาว) |
ทำไมต้องมีพระเจ้า เหตุผลเพียงอย่างเดียวสำหรับการมีอยู่ของพระเจ้า คือ เป็นที่มาของอำนาจทั้งปวง
นักปกครองไม่สามารถมีอำนาจปกครองคนอื่นได้ถ้าไม่มีที่มาของอำนาจ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่นักปกครองจะต้องให้มีพระเจ้าเกิดขึ้น แต่เมื่อมีพระเจ้าจำเป็นต้องมีนักบวชคือสื่อมวลชนซึ่งมีอำนาจมากเช่นกัน ในเมื่ออำนาจจากพระเจ้าผ่านลงมาสู่ทั้งนักปกครองและสื่อมวล ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งกันของผู้มีอำนาจทั้งอยู่เป็นเรื่องปกติ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมนักปกครองจึงขัดแย้งกับสื่อมวลชนอยู่เสมอ เหตุผลก็คือเรื่องของผู้มีอำนาจ 2 ฝ่ายนั่นเอง |
The Bottom Line Democracy is just a new religion that the Ruler use to make their Power right. I would say that it's good enough. I'd even say that actually it's better than the old system. But it's religion. Do not stick to it too much. It only bases on some vague idea of Mass and, when you realize, it states that how small the individual's voice is really small and powerless. So do not stick to it too much. The best way is the Middle Way anyway. |
Create Date : 04 มีนาคม 2549 |
Last Update : 23 มกราคม 2550 16:43:07 น. |
|
16 comments
|
Counter : 457 Pageviews. |
|
ครั้งหนึ่งสื่อมวลชนได้รับการยอมรับว่าทรงพลังอำนาจให้การครอบงำคนยิ่งนัก แต่ครั้งหนึ่งสื่อมวลชนก็ถูกมองใหม่ว่าเป็นพวกไร้น้ำยา ไม่ได้มีผลอะไรเลยต่อหมู่ชน แกนนำทางความคิดต่างหากที่สำคัญ
มาจนถึงยุคนี้ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าสื่อกลับมามีพลังมหาศาลอีกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องการประกอบสร้างความจริงทางสังคม ทว่า เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนตาม คนในระดับปัจเจก หรือในระดับ mass เอง มีความคิดเป็นของตัวเอง (ในระดับ mass อาจจะเกิดจากแนวคิดวงเกลียวแห่งความเงียบงัน ที่คนส่วนใหญ่คล้อยตามความคิดหลัก) ส่งผลให้คนทั่วไปเกิดการเจรจาต่อรองกับข้อมูลที่สื่อเสนอเสมอ ดังนั้นคำพูดของสื่อมวลชนดูเหมือนจะมีอำนาจเยอะ ทว่าสุดท้ายก็อยู่ที่ตัวปัจเจกและ mass เองว่าจะ negotiate กับมันอย่างไรครับ
ป.ล. ถ้าไม่ค่อยเกี่ยวกับข้อเขียนก็ขออภัยครับ