คนดี คนชั่ว คือคนเดียวกัน
Group Blog
 
All blogs
 
หากเชื่อสิ่งนี้ในวันนั้น ประเทศไทยคงไม่เป็นเช่นวันนี้

ธรรมนูญ มีมติ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีความผิด   ด้วยคะแนน 8 ต่อ 7 เสียง   ซึ่งนายประเสริฐ มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ  มีความผิดในคดีซุกหุ้น(ที่ 20/2544   วันที่ 3  สิงหาคม 2544 เรื่อง การจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 (กรณีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตรองนายกรัฐมนตรี/ผู้ถูกร้อง ) โดยให้แง่คิดเตือนไว้ว่า

 

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้น ผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง (พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”

 

 

นอกจากนี้  นายประเสริฐ ยังมีคำวินิจฉัยส่วนตนที่น่าสนใจในการให้แง่คิดในเรื่องดังกล่าวว่า

 

“การที่รัฐธรรมนูญมิได้บังคับให้คู่สมรสผู้ถูกร้องยื่นบัญชีฯ นั้น มาตรา 291 บัญญัติให้ผู้ถูกร้องแต่เพียงผู้เดียวมีหน้าที่ยื่นบัญชีฯ เพราะมีมาตรา 209 ซึ่งบัญญัติให้รัฐมนตรีโอนหุ้นให้แก่นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เพื่อมิให้รัฐมนตรีมีผลประโยชน์ขัดกันกับการประกอบธุรกิจของครอบครัว โดยมีพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ใช้บังคับ นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2543 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470 ถึงมาตรา 1474 บัญญัติเกี่ยวกับทรัพย์สินของสามีและภริยา ประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี ว่าด้วยการเสียภาษีของสามีและภริยาในปีภาษีหนึ่งๆ และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่จะปฏิรูปการเมือง ซึ่งผู้ใดเข้ามาทำงานการเมืองแล้ว จะต้องโอนการจัดการหุ้นบริษัทต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งหมด มิใช่เพียงบอกกล่าวหรือโฆษณาให้ชาวบ้านทราบแต่เพียงว่า โอนกิจการให้แก่คู่สมรสหรือบุตรแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ถูกร้องยังอยู่เบื้องหลังการประกอบธุรกิจของคู่สมรสและบุตร...

 

... การเอาประโยชน์โดยใช้ผู้ใกล้ชิดให้มีจำนวนเพียงพอที่จะก่อตั้งบริษัท แล้วโอนลอยหุ้น การใช้ชื่อบุคคลอื่นถือหุ้นแทน การปล่อยเงินกู้เฉพาะแก่คนรู้จัก การโอนถ่ายกำไรระหว่างบริษัท การใช้ข้อมูลภายในของบริษัท และกลุ่มบริษัทเพื่อขยายกิจการ และการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม มีการบอกกล่าวข้อความอันเป็นเท็จ การปล่อยข่าวลือ การอำพราง การใช้ข้อมูลภายใน..

 

...ผู้ถูกร้องจะทราบความจริงนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ได้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ และชัดถ้อยชัดคำว่า การที่ผู้ถูกร้องประกอบธุรกิจประสบความสำเร็จ จนมีบริษัทในเครือและทรัพย์สินมากมาย โอนลอยหุ้น และใช้ชื่อบุคคลอื่นถือหุ้นแทน นั้น “เป็นการประกอบธุรกิจตามปกติ ธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำกันอย่างนั้น” ทั้งๆ ที่การทำธุรกิจในระบบนายทุนของต่างประเทศเป็นการกระทำมุ่งแสวงหากำไร เป็นความโลภ และความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ไม่คำนึงถึงศีลธรรม และวัฒนธรรมอันดีงามของไทย

 

นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องอ้างว่า เลิกกระทำธุรกิจหันมาทำงานการเมืองแล้ว ตั้งแต่ปี 2537 และมอบการบริหารธุรกิจในกลุ่มบริษัทให้แก่คู่สมรส (ในกรณีที่ผู้ถูกร้องเป็นผู้รับสัมปทานจากทางรัฐ อาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 110 (2)) บุตรและเครือญาติ ดำเนินการต่อไป (แทนที่จะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 209 โอนหุ้นให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เช่น การให้ทรัสต์จัดการทรัพย์สิน ในกรณีดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา-ซึ่งเป็นความคิดก้าวหน้าสำหรับไทย)

 

และผู้ถูกร้องเข้าใจผิดว่า จำนวนประชาชนที่ออกเสียงเลือกผู้ถูกร้องในการเลือกตั้งทั่วไป เพราะผู้ถูกร้องเสนอโครงการต่างๆ เป็นที่ถูกใจได้นั้น มากมายมหาศาล แต่จำนวนประชาชนดังกล่าวมิได้มากกว่าจำนวนคนที่ทราบว่า ผู้ถูกร้องและคู่สมรสมีทรัพย์สินและหนี้สินจริงในวันยื่นบัญชีฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 291 วรรคสอง เพราะประชาชนสิบเอ็ดล้านกว่าคนนั้น ไม่ทราบจำนวนทรัพย์สินและหนี้สินจริงของผู้ถูกร้องและคู่สมรสดีไปกว่าเลขานุการส่วนตัวเพียงสองคนของผู้ถูกร้องและคู่สมรส เพราะเป็นคนละเรื่องกัน...

 

...ผู้ถูกร้องโฆษณาให้ประชาชนทราบเพียงว่า ผู้ถูกร้องประสบความสำเร็จในความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ มีเงินทองมากมมาย ไม่ทุจริต ผิดกฎหมาย และไม่อำพราง แล้วอุทิศตัวหันมาทำงานทางการเมือง โดยโอนการจัดการธุรกิจให้แก่คู่สมรส บุตร และเครือญาติ ผู้ถูกร้องรู้ปัญหาของบ้านเมืองดี จึงอาสาเข้าแก้ไข แต่ผู้ถูกร้องมิได้แสดงหรือเปิดเผยว่า ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจในอดีตของผู้ถูกร้องในระยะเวลาอันสั้นนั้น กระทำได้อย่างไร และจะแก้ปัญหาการขัดระหว่างผลประโยชน์ของครอบครัวกับผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือของชาติอย่างไร

 

 อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อผู้ร้องกล่าวหาผู้ถูกร้องว่า จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ มีข่าว ที่ค่อย ๆ เบี่ยงเบนประเด็นที่ผู้ถูกร้องถูกกล่าวหาทีละน้อย ๆ และเป็นระยะ ๆ ว่า ผู้ถูกร้องประกอบธุรกิจจนร่ำรวยด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่มีการทุจริต ผิดกฎหมาย ผู้ถูกร้องเป็นคนแรกที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ประชาชนทราบ ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายบังคับ ผู้ถูกร้องสมัครใจยื่นรายการทรัพย์สินและ หนี้สินเพิ่มเติมเอง


หากศาลเห็นว่า ผู้ถูกร้องกระทำผิด ก็เป็นการทำผิดโดยสุจริต ควรใช้หลักรัฐศาสตร์ ชลอการตัดสินคดี หรือยกโทษให้ผู้ถูกร้อง ไม่ควรลงโทษผู้ถูกร้องซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน สิบกว่าล้านคน เพื่อให้โอกาสผู้ถูกร้องบริหารประเทศต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะไม่มีใครดีกว่าผู้ถูกร้อง ประเทศไทยขาดผู้ถูกร้องไม่ได้ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติให้ศาลกระทำได้

 

และเมื่อใกล้จะถึงวันที่ศาลลงมติ มีข่าวหนาหูขึ้นว่า ฝ่ายผู้สนับสนุนผู้ถูกร้องจะชุมนุมกันเพื่อกดดันศาล จะวางเพลิงเผาศาล ตลอดจน จะทำร้ายตุลาการบางคน จนกระทั่งมีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปให้ความคุ้มครอง ทำให้สิ้นเปลือง งบประมาณแผ่นดินไปอย่างน่าเสียดาย เป็นต้น ข่าวต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากมิใช่ เป็นการแสดง "ความเห็นแก่ตัว" ของคน

 

ปัญหาบ้านเมืองบางอย่าง อาจแก้ไขได้โดยไม่ต้องใช้เงินทองเลย เพียงแต่ผู้นำของประเทศต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี โดยการคิด พูด และทำตรงกัน และชี้นำประชาชนในชาติว่า ปัญหาของชาตินั้นอยู่ที่ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขด้วยการลด ละ และเลิก “ความเห็นแก่ตัว” เป็นอันดับแรก...”

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 8 คนที่ระบุว่า  พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295  คือ นายกระมล ทองธรรมชาติ, นายจุมพล ณ สงขลา, พลโทจุล อติเรก, นายปรีชา เฉลิมวณิชย์, นายผัน จันทรปาน, นายศักดิ์ เตชาชาญ, นายสุจินดา ยงสุนทร และ นายอนันต์ เกตุวงศ์ วินิจฉัยว่า


ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย 7 คน คือ นายประเสริฐ นาสกุล, นายมงคล สระฏัน, นายสุจิต บุญบงการ, นายสุวิทย์ ธีรพงษ์, นายอมร รักษาสัตย์, นายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ และ นายอุระ หวังอ้อมกลาง วินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295

 




Create Date : 09 มิถุนายน 2555
Last Update : 9 มิถุนายน 2555 10:24:15 น. 1 comments
Counter : 1396 Pageviews.

 
เห็นคนเสื้อแดงออกมาปกป้องกันมากมาย อยากรู้จริงๆว่า หากเขาอ่าคำวินิจฉัยอันนี้ แล้วเขาคิดยังไง


โดย: เสียใจจริงๆ (เจ้ากก ) วันที่: 9 มิถุนายน 2555 เวลา:10:28:02 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เจ้ากก
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนดี คนชั่ว คือคนเดียวกัน
Friends' blogs
[Add เจ้ากก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.