They're all here to Heat You Up! & Melt You Down
Group Blog
 
All blogs
 
Mark Ruffalo



ชื่อจริง: Mark Alan Ruffalo
วันเกิด: 22 พฤศจิกายน ปี 1967
สถานที่เกิด: เคโนชา, วิสเคาน์ซิน อเมริกา
ส่วนสูง: 5 ฟุต 9 นิ้ว
ครอบครัว: พ่อ: Frank Ruffalo ช่างทาสี แม่: Marie Ruffalo ช่างทำผม พี่น้อง: Tania, Nicole และ Scott
การศึกษา: สถาบันเวอร์จิเนีย สเตลลา แอดเลอร์ คอนเซอร์เวโทรีในแอลเอ
ความสัมพันธ์: เขาแต่งงานกับ Sunrise Coigney ในปี 2000 ปัจจุบัน ทั้งคู่มีลูกชายหนึ่งคนชื่อ Keen (เกิดปี 2001) และลูกสาวหนึ่งคนชื่อ Bella (เกิดปี 2005)




Ralph said: “แน่นอนครับว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะหลงเสน่ห์เงินทอง แต่ถ้าคุณจะตัดสินใจทุกเรื่องโดยพิจารณาจากเรื่องเงินล่ะก็ อาชีพของคุณคงดิ่งลงเหวแน่ๆ”





นักแสดงละครเวทีผู้โด่งดัง Mark Ruffalo ต้องผ่านความยากลำบากและความล้มเหลวด้านภาพยนตร์จอเงินมาหลายต่อหลายครั้งกว่าที่เขาจะได้กลายเป็นนักแสดงผู้ทรงคุณค่าในโลกของภาพยนตร์อินดี


Mark Alan Ruffalo เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 1967 ในวิสเคาน์ซิน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาและครอบครัวก็ย้ายไปอยู่เวอร์จิเนียร์ บีชจวบจนเขาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และพอเขาอายุ 18 ครอบครัวเขาก็ย้ายไปอยู่ซานดิเอโกก่อนที่จะอพยพไปทางเหนือเรื่อยๆ จนมาตั้งถิ่นฐานกันในลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเขาได้เข้าเรียนการแสดงที่สถาบันสเตลลา แอดเลอร์ คอนเซอร์เวโทรี ท้ายที่สุด เขาก็ได้ร่วมก่อตั้งบริษัทออร์เฟอุส เธียเตอร์ คัมปะนี ที่ซึ่งเขาทำงานทุกอย่างตั้งแต่แสดง เขียนบท กำกับ อำนวยการสร้าง และสร้างฉาก โดยหนุ่มหล่อหน้าเข้มที่มีดวงตาคมกริบคนนี้ได้เปิดตัวในโลกละครเวทีในปี 1990 ด้วยบทในละครเรื่อง Avenue A ของ David Steen สามปีให้หลัง งานของเขาในละครเรื่อง Betrayal by Everyone ของ Kenneth Lonergan เทศกาลละครองก์เดียวในลอสแองเจลิสก็ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม


Mark ได้กลับมาร่วมงานกับ Lonergan อีกครั้งหนึ่งในปี 1996 ด้วยการรับบท Warren Straub ในละครเรื่อง This Is Our Youth โปรดักชันของนิวกรุ๊ป ที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กๆ ด้อยโอกาสที่ต้องทนทุกข์กับการเติบใหญ่ เขาได้รับการยกย่องและได้รับรางวัลเธียเตอร์ เวิลด์ อวอร์ดปี 1997 จากการแสดงของเขา และเขายังได้กลับมารับบทเดิมนี้อีกในละครออฟบรอดเวย์ปี 1998 ที่ร่วมแสดงโดย Mark Rosenthal และ Missy Yager


แม้ว่าชื่อเสียงของเขาในแวดวงละครเวทีจะเริ่มขจรขจายไปไกล แต่ Mark กลับไม่ประสบความสำเร็จนักในการแสดงละครโทรทัศน์ของเขา ซึ่งรวมถึงหลายๆ เอพิโซดในซีรีส์อายุสั้นปี 1992 เรื่อง Arresting Behavior ทางเอบีซี และ Middle Ages ทางซีบีเอส ในปี 1994 เขาได้เป็นดารารับเชิญในเอพิโซดที่น่าจดจำของซีรีส์ทางซีบีเอสเรื่อง Due South โดยเขาได้รับบทคุณพ่อยังหนุ่มที่พบกับวิกฤตศรัทธา และเขายังได้แสดงในภาพยนตร์ที่ส่งตรงเป็นวิดีโอเรื่อง The Dentist อีกด้วย ในปี 1997 เขาได้แสดงประกบ Mary Stuart Masterson ในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางเครือข่ายไลฟ์ไทม์เรื่อง On the 2nd Day of Christmas และได้รับบท Theo ในภาพยนตร์อัตชีวประวัติของทีเอ็นทีเรื่อง Houdini ในปีถัดไป





ส่วนในแวดวงภาพนตร์จอเงินนั้น ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียงในฐานะพระเอกหนุ่มอย่างทุกวันนี้ได้ Mark ก็ต้องพบกับการเริ่มต้นที่คว่ำไม่เป็นท่าหลายครั้ง ซึ่งก็รวมถึงภาพยนตร์สยองขวัญซีเควลเรื่อง Mirror, Mirror 2: The Raven (1994) และ Mirror, Mirror III (1996) ด้วย ผลงานของเขาในภาพยนตร์ที่น่าลืมเลือนเหล่านี้และการแสดงในภาพยนตร์ที่เข้าฉายแบบจำกัดโรงเรื่อง A Gift from Heaven และ There Goes My Baby ไม่ได้ทำให้นักแสดงหนุ่มได้รับความสนใจอย่างที่ควรจะเป็นเลย ในปี 1995 The Destiny of Marty Fine เปิดตัวในตลาดภาพยนตร์อินดี ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ร่วมเขียน อำนวยการสร้างและแสดงโดย Mark ได้เข้าประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์สแลมแดนซ์ปี 1996 จากนั้น เขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์ของ Dan Zukovic เรื่อง The Last Big Thing ก่อนที่เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์อินดีคอเมดียอดนิยมเรื่อง Safe Men ที่ทำให้ผู้ชมได้ทำความรู้จักกับเขาในวงที่กว้างขึ้น


แม้ว่าในตอนนี้ ใบหน้าของ Mark Ruffalo จะเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว แต่ผลงานที่ทำให้เขา “เกิด” จริงๆ นั้นคือ You Can Count on Me หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จจากละครเวทีเรื่อง This Is Our Youth ของ Lonergan ผู้กำกับก็ตัดสินใจเลือกเขามารับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง You Can Count on Me ของเขาที่เกี่ยวกับชีวิตแม่ม่ายยังสาวคนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อญาติเพียงคนเดียวที่ห่างหายไปกลับมาในชีวิตเธออีกครั้งหนึ่ง ได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์อย่างท่วมท้นและการแสดงของ Mark ก็โดดเด่นมากจนนักวิจารณ์บางคนถึงขั้นเปรียบเทียบเขากับ Marlon Brando ยุคแรกๆ ด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าเขาจะเริ่มโด่งดังขึ้นมากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งบริษัทละครเล็กๆ ของเขาในแอลเอ โดยเขาแบ่งเวลาระหว่างการกำกับละครและการแสดงในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เริ่มมาทางเขามากขึ้นเรื่อยๆ


ความสำเร็จของ You Can Count On Me ทำให้เขาได้รับบทที่ท้าทายน้อยกว่าในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่กว่าหลายเรื่อง โดยเขาได้แสดงประกบ Robert Redford และ James Gandolfini ในภาพยนตร์เรื่อง The Last Castle ของผู้กำกับ Rod Lurie และรับบทพลทหาร Nicolas Pappas ในภาพยนตร์สงครามของ John Woo เรื่อง Windtalker


ในปีถัดไป เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง XX/XY เกี่ยวกับสองชายหนึ่งหญิงในความสัมพันธ์ทางเพศ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ นอกจาก Mark จะได้รับคำวิจารณ์ยกย่องอย่างสูงว่าเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ในปีเดียวกันนั้นเอง เขายังได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากผลงานอีกสองเรื่อง ซึ่งได้แก่ My Life Without Me ที่เขารับบทผู้ชายที่ถูกล่อลวงให้มีสัมพันธ์สวาทกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว หลังจากที่ชีวิตเธอพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเธอได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง และ In the Cut ที่เขารับบทเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความสัมพันธ์กับเหยื่ออาชญากรรม (Meg Ryan)


ในปี 2004 เขาได้แสดงความสามารถอันโดดเด่นในการรักษาสมดุลย์ระหว่างภาพยนตร์ตลกร้ายและดรามาใน Eternal Sunshine of the Spotless Mind ในบทช่างเทคนิคที่ถูกว่าจ้างให้ลบความทรงจำเลวร้ายเกี่ยวกับความรักอันขมขื่นในใจชายผู้หัวใจสลาย (Jim Carrey) ก่อนที่เขาจะกลับไปรับบทบาทเบาๆ ด้วยการรับบทเป็นชายในดวงใจของ Jennifer Garner ที่รับบทเด็กหญิงวัย 13 ที่เติบโตเป็นหญิงสาววัย 30 ในเวลาชั่วข้ามคืนใน 13 Going on 30


ในซัมเมอร์ปีเดียวกันนั้นเอง Mark ได้มีผลงานภาพยนตร์สองเรื่องลงโรงพร้อมกัน เรื่องหนึ่งคือภาพยนตร์ของผู้กำกับ Michael Mann เรื่อง Collateral ที่เขารับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ต้องการจะช่วยชีวิตคนขับแท็กซี (Jamie Foxx) จากมือปืนโฉด (Tom Cruise) ให้ได้ และอีกเรื่องหนึ่งคือภาพยนตร์ดรามาอินดีเรื่องเยี่ยม We Don't Live Here Anymore โดย Mark รับบทเป็นสามีที่นอกใจภรรยากับภรรยาคนอื่น ล่าสุดนี้ เขาได้แสดงถึงแง่มุมที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลของเขาในฐานะพระเอกหนังโรแมนติกในภาพยนตร์เมนสตรีมเรื่อง Just Like Heaven ที่เขาได้แสดงประกบนางเอกสาวผมบลอนด์ Reese Witherspoon โดยในเรื่องนี้ เขาจะรับบทเป็นพ่อม่ายยังหนุ่มที่พบว่า อพาร์ทเมนต์หลังใหม่ของเขาถูกสิงสู่ด้วยวิญญาณของเจ้าของคนก่อนที่เป็นหมอบ้างาน ก่อนที่เขาจะตกหลุมรักวิญญาณสาวเข้าอย่างจังในที่สุด




เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ Ralph

เขาทำอาชีพบาร์เทนเดอร์เป็นอาชีพเสริมเกือบสิบปีขณะที่พยายามจะ “เกิด” ในวงการบันเทิง

เขาเคยบอกว่า เขาต้องผ่านการออดิชันกว่า 800 ครั้งถึงจะกลายเป็นดาราที่โด่งดังอย่างทุกวันนี้ได้

เขาถูกวางตัวให้แสดงในเรื่อง Signs แต่ก็ต้องถอนตัวเมื่อเขาพบว่าตัวเองมีเนื้องอกในสมอง และบทของเขาก็ตกเป็นของ Joaquin Phoenix ในที่สุด



ความจริง Mark Ruffalo ไม่ใช่ผู้ชายหล่อในสายตาหลายๆ คน แต่เวลาดูหนังที่เค้าแสดงแล้ว มีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ามองจัง (แต่อย่ามองนานนะ จะรู้ว่าไม่หล่อจริงๆ ด้วย) อีกอย่างที่ชอบ เพราะหนุ่มคนนี้ช่างประชดประชันฮอลลีวูดดี อย่างตอนที่รับเป็นพระเอกหนังเรื่อง Just Like Heaven กับ Reese Witherspoon นั้น เพราะว่ามีคนบอกว่า หน้าอย่าง Mark เป็นพระเอกหนังโรแมนติกคอเมดีไม่ได้หรอก พี่แกเลยเล่นประชดให้ซะเลย ฮ่า ฮ่า


Create Date : 29 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 9:24:29 น. 0 comments
Counter : 2339 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ลูกเตะวายุกระซิบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




blog นี้สำหรับคนรักภาพยนตร์และคนหล่อๆ ค่า
มีอะไรมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเย็นๆ ใจนะคะ
Google
Hold me close and hold me fast The magic spell you cast This is La vie en rose
This gonna be my wedding song!
Friends' blogs
[Add ลูกเตะวายุกระซิบ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.