[[ทดลองเพี้ยน!!]] บอบบางเหลือเกินกับ iPad2


คงเคยได้ชมแล้วเกี่ยวกับ viral video ที่เกี่ยวกับการทำลายของต่างๆ เช่น iphone , xbox360 และไม่เว้น ipad2 ที่โดนเครื่องปั่นละเอียดจนเหลือแค่เศษผง อย่าง Will it Blend บน youtube มาแล้ว แต่คราวนี้จะมาดูการทดสอบอีกรูปแบบ จากทีม SquareTrade โดยทำการนำเครื่อง ipad2 จำนวน 2 ตัว โดยตัวนึงเป็นแค่ตัวเครื่องอย่างเดียว หันหน้าจอคว่ำลงพื้น อีกตัวนึงมีแผ่น smartcover ติดปิดกับหน้าจอ ipad2 คว่ำเอาด้าน แผ่น smartcover ลงพื้น แล้วทำการปล่อย ipad2 ทั้งคู่ ตกลงพื้นพร้อมกัน!! มาลุ้นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น?

- โดยรอบแรกจะปล่อย ipad2 ทั้งคู่ปล่อยตกในระดับหัวเข็มขัด ซึ่งผลปรากฎว่า ตัวเครื่อง ipad2 ที่ไม่มี smartcover นั้นจอแตกหมดเลยเครื่องจอใช้งานไม่ได้ ในขณะที่อีกเครื่องหนึ่งที่มี smartcover ติดปิดกับจอ ipad ด้วย กลับไม่มีรอยแตกเสียหายเลย

- รอบที่สองก็มี ipad2 เครื่องที่รอดจากการทดสอบรอบแรกนี้ มาปล่อยลงพื้น ความสูงระดับหัวไหล่ ปรากฎว่า จอ ipad2 แตกเล็กน้อยแต่ยังสามารถใช้งาน ipad2 ได้อยู่

- รอบสุดท้าย ใช้ไม้ตีกอล์ฟ สวิงตีใส่ smartcover ที่ปิดหน้าจอ ipad2 สุดท้ายก็ไม่รอด จอแตกหมดเลย

โดยสรุปจากการทดสอบนี้ smartcover สามารถรองรับการกระแทกป้องกันหน้าจอ ipad2 จากการทำตกลงพื้นได้ ระดับหนึ่งเท่านั้น ควรมีไว้ดีกว่าเครื่อง ipad2 ที่ไม่มีแผ่น smartcover มาปิดหน้าจอเลย

ถ้าเพื่อนๆมีเหลือๆอย่าไปทำนะผมขอเถอะ



Create Date : 25 กรกฎาคม 2554
Last Update : 25 กรกฎาคม 2554 21:14:37 น.
Counter : 406 Pageviews.

0 comment
9 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Facebook มาใช้ Google+ [บทความต่างประเทศ]
ในตอนนี้ ถ้าพูดถึง Facebook กับ Google+ (Google Plus) คำถามแรกที่จะต้องได้ยินคือว่า Google+ จะมาแข่งกับ Facebook หรือเปล่า? เพราะดูจากฟีเจอร์ที่มีแล้ว ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ Facebook พอสมควรครับ ถึงจะไม่เหมือนเป๊ะๆ แต่เชื่อว่า คนที่เคยเล่น Facebook มาก่อน คงจะหันมาเล่น Google+ ได้ไม่ยากเช่นกัน วันนี้ผมมีบทความเกี่ยวกับ Google+ มาให้อ่านกันครับ ซึ่งเป็นบทความจากเว็บไซต์ macworld.com (แต่ต้นฉบับของบทความนี้ อยู่ที่เว็บไซต์ PCWorld.com ครับ) โดยผู้เขียนให้ได้เหตุผลถึง 9 ข้อด้วยกัน ลองมาดูกันครับว่า ทำไม เราควรย้ายจาก Facebook มาใช้ Google+ ครับ

1) Google+ สามารถเชื่อมโยงกับบริการอื่นๆ จาก Google ได้



เชื่อว่า นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่จะช่วยผลักดันให้คนหันมาใช้ Google+ กันมากขึ้นครับ เพราะ Google ได้สร้าง Google+ ให้เชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ออนไลน์มากมายที่ Google สร้างสรรค์ไว้ให้ ถ้าคุณอยากจะเช็คเมล Google ก็มี Gmail หรือถ้าหากคุณจะทำการเอกสาร Google เค้าก็มี Google Docs ไว้คอยบริการ รวมไปถึงการค้นหาข้อมูลต่างๆ (Search) Google ก็ขึ้นชื่ออันดับ 1 เรื่อง Search Engine อยู่แล้ว เรียกว่า ใช้แค่อย่างเดียว ก็สามารถทำได้ทุกอย่างนั่นเองครับ ที่สำคัญคือ บริการต่างๆ เหล่านั้น ใช้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ Facebook ยังทำไม่ได้ครับ

2) Google+ บริหารจัดการกลุ่มเพื่อนได้ดีกว่า



ที่ผู้เขียนเค้าบอกว่า Google+ จะสามารถบริหารจัดการกลุ่มเพื่อนได้ดีกว่า ก็เพราะฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า Circles นั่นเองครับ ซึ่งในชีวิตจริงนั้น เรามีเพื่อนหลายประเภท และมีวิธีสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ในวิธีที่แตกต่างกันไป จึงทำให้เกิด Circle ขึ้นมาแบ่งแยกว่า อันนี้คือ กลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนนะ อันนี้เป็นผู้ร่วมงาน อันนี้เป็นเพื่อนที่มหาลัย ถ้าถามว่า แล้ว Facebook ไม่มีการจัดการแบบนี้หรือ จริงๆ แล้วมีครับ แต่จะทำได้ "ยุ่งยากกว่า" (เค้าให้เหตุผลมาแบบนี้ครับ) เพราะ Groups ใน Facebook เป็นแค่ฟังก์ชั่นที่เพิ่มขึ้นมา แต่ Circles ใน Google+ เป็น "รากฐาน" ที่ Google ได้สร้างขึ้นมานานแล้วนั่นเองครับ

3) Google+ มี Mobile App ดีกว่า

ใครที่ใช้แอนดรอยด์โฟนอยู่ จะพบว่า การจะเข้าคอนเทนต์อะไรซักอย่างจากโทรศัพท์มือถือ ทำได้ง่ายมากครับ อีกทั้ง Google+ Mobile App (ผู้เขียนบอกว่า) เป็น App ที่ยอดเยี่ยมมาก ด้วยเหตุนี้ Google จึงกำลังหาทางทำให้แอนดรอยด์โฟน เชื่อมต่อกับ Google+ ได้อย่างไร้ที่ติ เพื่อเป็นยกระดับ Mobile App ให้ดีขึ้นไปอีก เพราะ Google หวังว่า อยากจะให้ Google+ นั้น เป็นฐานรวมผู้ใช้แอนดรอยด์ที่ใหญ่ที่สุดครับ

4) Google+ หาบทความ/สิ่งที่น่าสนใจ มาแชร์ได้ง่ายกว่า

เหตุผลที่ผู้เขียนบอกว่า Google+ หาของมาแชร์ได้ง่าย เพราะมีฟีเจอร์ที่ชื่อ Sparks ครับ โดยอาศัยข้อมูลจาก Search Engine อย่าง Google นั่นเอง เมื่อเปรียบเทียบกับ Facebook แล้ว Facebook ไม่มี Search Engine ในตัวครับ ถ้าจะหาข้อมูลดีๆ ก็ต้องเปิดเว็บและทิ้งลิงค์เอาไว้ภายหลัง หรือไม่ก็ต้องรอเพื่อนมาแชร์ แต่ถ้าใช้ Google+ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะหมดไปด้วยฟีเจอร์ Sparks ครับ

5) Google+ สามารถดึงข้อมูลกลับมาได้

Facebook นั้น สามารถบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัวได้ค่อนข้างยากกว่า Google+ ครับ เพราะข้อมูลส่วนตัวบางอย่าง เราอยากจะเก็บไว้เป็นความลับ แต่ Facebook นั้นจะบังคับให้เราเปิดเผยข้อมูลบางส่วนนั้นเป็น "Public" (สาธารณะ) ไม่ใช่ "Private" (ส่วนตัว) นอกจากนี้ การลบ Account บน Facebook ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกันครับ อีกทั้งถ้าหากลบแล้ว ก็คือลบเลย เกิดวันนึงอยากได้รูปที่เคยโพสลง Facebook ก็เอากลับมาไม่ได้แล้ว เพราะ Account ถูกลบไปแล้ว แต่บน Google+ เราสามารถทำได้ครับ แม้ว่า Account ของเราจะถูกลบไปก็ตาม เพราะบน Google+ มีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Data Liberation ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งรูป, โปรไฟล์, Stream, Buzz รวมไปถึง รายชื่อผู้ติดต่อ ได้อีกด้วยครับ

6) Google+ มีระบบการ Tag รูปดีกว่า

สำหรับการ Tag รูปนั้น ทั้ง Facebook กับ Google+ สามารถทำได้เหมือนกันคือ จิ้มที่หน้าคนที่เราต้องการจะ Tag แล้วใส่ชื่อ แต่สิ่งที่ผู้เขียน ได้เขียนเพิ่มลงไปก็คือว่า บน Google+ นั้น จะมีการส่งข้อความแจ้งคนที่เราเพิ่งใส่ชื่อ Tag ไปว่า เราได้ Tag เค้าไปนะ ซึ่งตรงนี้ ผมคิดต่างครับ เพราะ Facebook ก็มีระบบแจ้งเตือนเวลาเราโดน Tag รูปเหมือนกัน เลยไม่คิดว่า จุดนี้ Google+ จะแตกต่างจาก Facebook ครับ

7) Google+ มีระบบแชทที่เยี่ยมกว่า

จริงๆ แล้วทั้ง Facebook กับ Google+ ก็มีระบบแชทด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ Google+ อาจจะได้เปรียบกว่าตรงที่ Google เองก็มีระบบแชทที่ชื่อว่า Google Talk อยู่แล้ว ซึ่งได้นำระบบบางอย่างบน Google Talk มาปรับใช้กับ Google+ ครับ ทำให้สามารถใช้ Video Chat ได้, คุยกันเป็นกลุ่ม Circles ได้ แถมด้วยโปรแกรมแชทอย่าง Huddle ซึ่งตรงนี้ถือว่า Google+ เหนือกว่า Facebook อยู่หลายขุมครับ

Cool Google+ มีระบบการแชร์ที่ปลอดภัยกว่า

ความปลอดภัยในการแชร์ข้อมูลในที่นี้ หมายถึง เวลาที่เราอัพเดทข้อความ, รูป หรืออะไรก็ตามแต่ เราสามารถตั้งค่าได้ว่า ใครกันที่สามารถมองเห็นได้ จะให้เห็นกันทั้ง Circles หรือให้เฉพาะบุคคลเห็น Google+ ก็สามารถทำได้ครับ "แต่" จริงๆ แล้ว Facebook ก็ทำได้เหมือนกันครับ เพียงแต่ว่า ไอคอนการตั้งค่าเล็กเกินไป (สังเกตหน้า Facebook ครับ ด้านล่างที่เราจะโพสข้างๆ ปุ่ม Share จะมีไอคอนรูปแม่กุญแจอยู่) ทำให้หลายๆ คนอาจจะมองไม่เห็น ก็เลยคิดไปว่า Facebook คงทำไม่ได้แน่ๆ แต่ Google+ เค้าดึงฟีเจอร์นี้ออกมาให้เห็นกันชัดๆ ครับ แต่ใครที่เคยตั้งค่าความเป็นส่วนตัวกันไปก่อนหน้านั้น ต้องระวังนิดนึงครับ เพราะทั้ง Facebook กับ Google+ จะจำการตั้งค่าครั้งล่าสุดเอาไว้ ฉะนั้น ก่อนจะโพสอะไร ต้องมั่นใจเลยว่า เราโพสไปหาไม่ผิดคนแน่ๆ

9) Google ดูแลข้อมูลส่วนตัวได้ดีกว่า

ในข้อนี้ ผมไม่ขอให้ความเห็นว่าระหว่าง Facebook กับ Google ใครจะปกป้องข้อมูลส่วนตัวไม่ให้รั่วไหลได้มากกว่ากัน เพราะส่วนใหญ่แล้ว พวกรูปหลุดเอย ข้อมูลหลุดเอย ก็มักจะมาจากเจ้าของมากกว่าครับที่อาจจะตั้งค่าพลาดเอง หรือไม่ก็มาจากกลุ่มเพื่อนเสียมากกว่า

หมดแล้วครับ 9 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Facebook มาใช้ Google+ ซึ่งอันนี้เป็นเพียงข้อวิจารณ์ของผู้เขียนจากเว็บไซต์ PCWorld.com เท่านั้นนะครับ Facebook อาจจะไม่ได้แย่ไปทุกข้อตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ก็ได้ครับ แต่ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ยังมี Google+ เลยนะ



Create Date : 10 กรกฎาคม 2554
Last Update : 10 กรกฎาคม 2554 0:44:10 น.
Counter : 364 Pageviews.

1 comment
[น่าสงสัย??] ทีม IE ส่ง "คัพเค้ก" ให้ Firefox 5 ทำไม?
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทีมพัฒนาบราวเซอร์ IE ของ Microsoft ได้ส่ง"คัพเค้ก"แสดงความยินดีกับ Mozilla เนื่องในโอกาสเปิดตัว Firefox 4 แน่นอนว่า มันคงไม่ใช่เค้ก 6 ชั้นที่ทานกันได้หลายคน แต่มันเป็นแค่คัพเค้กชิ้นเดียวที่อาจจะมีขนาดใหญ่กว่าปกติสักหน่อย วางอยู่ในกล่อง ผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน ภายในมีโลโก IE ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ส่งของขวัญเป็นเค้กแสนหวานแสดงความยินดีให้กับ Mozilla แต่ทางทีม IE ได้ทำมาตั้งแต่ปี 2008 เมื่อครั้งที่เปิดตัว Firefox 3 แล้ว

ie to firefox

แต่เดี๋ยวก่อน ในความหวานของ cupcake ที่ส่งมาให้ในแต่ละครั้ง มันมีนัยบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ด้วย กล่าวคือ เค้กที่ส่งมาให้ในแต่ละคร้้งจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับข้อความแสดงความยินดีที่สั้นลงด้วยเช่นเดียวกัน หากมองอย่างไม่คิดมาก และดูให้เป็นเรื่องของน้ำใจล้วนๆ เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดกับการที่จะแสดงออกถึงความเป็นมิตรกันเล็กๆ น้อยๆ กับคู่แข่ง เพราะการแข่งขันทำให้เกิดนวตกรรม และนวตกรรมทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน IE ก็ยังเป็นผู้นำตลาด และตราบใดที่ Firefox ยังอยู่บน Windows



คราวนี้มาลองเปรียบเทียบความสำเร็จของ IE9 กับ FF5 กันบ้าง เริ่มต้นที่ IE9 เปิดตัวเมื่อ 14 มีนาคม ด้วยอัตราเร็วของการดาวน์โหลด 27 ครั้งต่อวินาที และมากกว่า 250 ครั้งในทุกๆ 10 วินาที หรือมากถึง 2.3 ล้านครั้งใน 24 ชม. ส่วน FF5 เปิดตัวด้วยอัตราดาวน์โหลด 5 ล้านคร้งภายใน 24 ชม. นั่นอาจเป็นเพราะมันทำงานบน Windows XP ได้ (IE9 ไม่สนับสนุนการรันบน WinXP) ดังนั้น การส่งคัพเค้กของไมโครซอฟท์จึงมองในทางดีได้ว่า พวกเขาชื่นชมกับความสำเร็จของ Mozilla ในทุกครั้งที่ออกบราวเซอร์ใหม่จริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน มันเหมือนว่า MS เตือนทีม Firefox ว่า IE ยังอยู่และรอคอยโอกาสอยู่ตลอดเวลาด้วยคำอวยพรจากคัพเค้กที่เล็กลง (cake นอกจากจะหมายถึง เค้กที่ทานแล้ว ยังหมายถึงส่วนแบ่งตลาดได้อีกด้วย...โอ้ว!!! แรงนะเนี่ย)

*หมายเหตุ: Mozilla ประกาศยกเลิกการซัพพอร์ต Firefox 4 เรื่องความปลอดภัยแล้ว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ จะไม่มีการแพตช์ FF4 อีกต่อไป ดังนั้นผู้ใช้ควรอัพเกรดเป็น Firefox 5 จะเป็นการดีกว่า...



Create Date : 23 มิถุนายน 2554
Last Update : 23 มิถุนายน 2554 15:23:38 น.
Counter : 343 Pageviews.

0 comment
ศึกชิงความเป็นหนึ่งของ Google-Facebook-Apple


Google-Facebook-Apple ศึกยักษ์ชิงความเป็นหนึ่งบนโลกอินเทอร์เน็ต (นิตยสาร E-Commerce)
ผู้เขียน : บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์

สถานการณ์บนโลกอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ คงเป็นภาวะที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในพงศาวดารจีนอย่างสามก๊ก ที่ต้องมีการชิงไหวพริบวางกลยุทธ์เพื่อทำศึก และเฝ้าศึกษาการทำยุทธ์พิชัยสงครามของฝ่ายตรงข้ามแต่ละฝ่ายเพื่อครองความ เป็นใหญ่ในผืนแผ่นดิน แน่นอนว่าบนโลกอินเทอร์เน็ตก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ Google, Facebook และ Apple

ถามว่าฝ่ายไหนได้เปรียบที่สุดคงจะตอบไม่ได้ เพราะแต่ละฝ่ายต่างมีดีติดตัวมาร่วมศึกกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Google ที่มีฐานสมาชิกบนโลกอินเทอร์เน็ต กับเครื่องมือค้นหาที่ได้รับความนิยม อีกทั้งระบบโฆษณาที่ทั่วโลกให้การยอมรับ Facebook ที่นับวันกำลังจะไล่ตามทัน Google เพราะทีเด็ดที่มากับระบบเครือข่ายสมาชิก อีกทั้งเป็นเครื่องมือในการทำการตลาดที่ยอดเยี่ยม โดยใช้ผู้เล่นในระบบเครือข่ายเป็นตัวหลักในการผลักดัน และประชาสัมพันธ์สินค้าบริการผ่านเกมเป็นส่วนใหญ่

ส่วนน้องสุดท้ายคือ Apple ที่แม้จะมีกลยุทธ์ที่ดำเนินช้ากว่า 2 ยักษ์ใหญ่บนโลกออนไลน์แล้ว บนแพลตฟอร์มของอุปกรณ์ Apple ถือว่าเป็นผู้นำในเรื่องของการเปลี่ยนโลกทัศน์ที่นับวันจะมีไม้เด็ดออกมาสู่ สายตาผู้ใช้งานในยุคของอินเทอร์เน็ตเป็นใหญ่นี้

เร่งรับปรับกลยุทธ์

แม้ว่าแต่ละฝ่ายจะมีอาวุธที่ยอดเยี่ยมในการสู้ศึกสงครามออนไลน์ ที่สถานการณ์ของสงครามตอนนี้นับวันพร้อมที่จะประทุ และคุกคามจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปถึงแพลตฟอร์มอื่น เช่น อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งแต่ละฝ่ายนั้นคงไม่นิ่งนอนใจ และเชื่อมั่นในอาวุธที่ใช้ฟาดฟันได้เต็มที่เท่าใดนัก เพราะหากไม่รู้ศาสตร์ในการวางกลศึก ไม่ทราบกำลังของศัตรู แม้จะมีอาวุธที่ร้ายกาจ และมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมเพียงใดก็อาจจะมีสิทธิเพลี่ยงพล้ำ และแพ้ศึกได้แน่นอน ซึ่งตอนนี้ทั้งสามฝ่ายอย่าง Google, Facebook และ Apple ต่างเฝ้าติดตามกันและกัน อีกทั้งยังเริ่มที่จะปรับกลยุทธ์ใหม่ไปพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายหลักก็เพื่อจะครองใจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันให้ได้มากที่ สุด

Google ได้ปรับแผนดำเนินการขององค์กรใหม่ หลังจากที่ Larry Page เข้ารับตำแหน่ง CEO โดยหวังว่าการปรับแผนองค์กรใหม่ของ Google ในครั้งนี้ จะทำให้ Google สามารถทิ้งระยะให้ห่างจาก Facebook ที่นับวันจะวิ่งไล่ทันเข้ามาทุกที โดยการแต่งตั้งให้ผู้บริการระดับสูงทั้ง 6 ท่าน ประจำตำแหน่งรองประธานอาวุโสในฝ่ายต่างๆ ทั้ง 6 ฝ่าย เพื่อเป็นการควบคุมการแบ่งแยก Product Area ของ Google ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
ผู้เขียนมีความเห็นว่าการแบ่งรองประธานอาวุโส ประจำแต่ละฝ่ายในครั้งนี้จะมีผลต่อการดำเนินงานของ Google ได้มากขึ้นนั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Google สามารถดำเนินแผนงานได้อย่างรวดเร็ว และมีความกระชับมากขึ้นกว่าเดิม

ล่าสุด Google เร่งรัดพัฒนาระบบปฏิบัติการที่กำลังจะใช้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาอย่าง แท็บเล็ตที่คาดว่าจะเป็นโครงการที่มีความลือว่า อาจจะดึงขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่อย่าง Chrome OS ที่มีการทำงานผ่านระบบ Virtualization หรือ Cloud Computing และ แพลตฟอร์มบนสมาร์ทโฟนอย่างระบบปฏิบัติการ Android ที่ตอนนี้ทาง Google เตรียมแผนการที่จะปรับเปลี่ยนมาตรฐานของการพัฒนาเจ้าระบบปฏิบัติการตัวนี้ จากค่ายพัฒนาอิสระ ให้เป็นไปตามมาตรฐานและกฎของ Google ตั้งขึ้น เพื่อจะได้ไม่เกิดข้อแตกต่างในรุ่นของระบบปฏิบัติการ Android ที่ถูกแยกย้ายพัฒนาจากหลายแห่งมากจนเกินไป

สำหรับ Facebook ที่ตอนนี้กำลังมาแรง และกำลังจะกำหนดการให้เป็นมาตรฐาน แม้กระทั่งเครื่องมือค้นหาหรือ Search Engine ชื่อดังอย่าง Yahoo ยังอาศัยบุญของเจ้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ตัวนี้ไปด้วย ซึ่งกลยุทธ์ในการสร้างเครือข่ายที่รองรับการทำการตลาดผ่านอินเทอร์เน็ตให้ เป็นที่รู้จักมากขึ้นนั้น ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของ Facebook ที่น่าจะดำเนินไปตามแผนดำเนินการเดิมที่ตั้งไว้

แต่ใครจะทราบว่าช่วงหลังมีกระแสข่าวลือบนโลกอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเจ้า บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ตัวนี้อย่างหนาหู อาจจะเพราะกรรมการผู้จัดการ หรือ CEO ของ Facebook นาย Mark Zuckerberg มีแฟนสาวเป็นชาวจีน ซึ่งมองดูเผิน ๆ อาจจะไม่เกี่ยวอะไร แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว Facebook มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่า Facebook กำลังมีกลยุทธ์ที่จะเข้าถึงกลุ่มประชากรที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และยังเป็นประเทศที่กำลังจะก้าวหน้าในเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง ประเทศจีน

ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวยังไม่ได้ถูกเปิดเผย และอาจจะเป็นเพียงข่าวลือหรือไม่ ผู้เขียนก็คงไม่สามารถยืนยันได้ เพราะเป็นเพียงข้อความที่ถูก Tweet ขึ้นไปผ่านบัญชีของ Hu Yanping ผู้ก่อตั้ง DCCI หรือศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Data Center of the China Internet) ซึ่งเป็นข้อความที่กล่าวถึง Facebook ว่า ได้ตกลงร่วมมือกับเครื่องมือค้นหาชื่อดังของจีนอย่าง Baidu แล้ว ไม่ว่าข้อความดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ ผู้เขียนมีความเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น เพราะ Facebook เตรียมหาโอกาสในการเป็นคู่แข่งกับ Google มาโดยตลอด การหาพันธกิจอย่าง Yahoo และ Baidu นั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

การที่ Facebook ก้าวเข้าไปสร้างเครือข่ายบนประเทศจีนนั้นถือว่าเป็นการปูทางให้แก่ผู้ใช้งาน ภาคธุรกิจของจีนที่จะเริ่มหันมาใช้ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งยังถือว่าเรื่องที่แปลกมากในการสร้างสื่อใหม่ในประเทศจีน ที่แม้แต่ Google เองนั้นก็ยังไม่สามารถเข้าถึงได้มาเป็นเวลานานแล้ว ที่สำคัญผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าประชากรญี่ปุ่นนั้นไม่นิยมใช้ Google เป็นเครื่องมือค้นหา กลับใช้บริการของ Yahoo เป็นไปได้ว่าเป้าหมายของ Facebook คือ 2 ประเทศนี้ที่ขึ้นชื่อว่าก้าวหน้าระดับต้น ๆ ในเอเชีย

Apple ถือว่าเป็นฝ่ายที่มีความแรงในการเป็นที่หนึ่งในเรื่องของสมาร์ทโฟนและ คอมพิวเตอร์พกพาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว วัดได้จากยอดขายสมาร์ทโฟน, iPhone และ iPad ที่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นชัดว่าการสื่อสารบนโลกอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ได้เกิด ขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ฝ่ายเดียวแต่อย่างใด ล่าสุดบริการ iAd ที่ Apple นำเสนอว่าจะเป็นบริการจัดการสื่อโฆษณาออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน, iPhone และ iPad หรือ App Store ช่องโหว่บางอย่างของเว็บบราวเซอร์ในอุปกรณ์สมาร์ทของแต่ละค่าย แต่ละระบบปฏิบัติการจะมีการแสดงผลป้ายโฆษณา หรือลิงก์อักษรโฆษณาที่แตกต่างกันไป ในสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมระดับแนวหน้าบางรุ่น อย่าง Android และ Apple นั้นบางทีการเข้าหน้าเว็บไซต์แทบไม่มีการแสดงผลโฆษณาออนไลน์จาก Google หรือบริการ Google Adsense ให้ปรากฏออกมาแต่อย่างใด

อีกทั้งในทุกวันนี้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนที่นับวันแทบจะทำธุรก รรมทุกอย่างผ่านแอพพลิเคชั่นทั้งหมดก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ Apple จะสร้างบริการ iAd ที่มีรูปแบบธุรกิจที่คล้ายคลึงกับ Advertise Service อย่าง Google Adsense ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ มาเป็นเครือข่ายลองเชิงผ่านแอพพลิเคชั่นบน App Store อย่างบริการ iAd ที่จะเป็นกลยุทธ์ที่น่าจับตามองของ Apple ซึ่งผลดีของบริการนี้อาจจะเป็นสิ่งที่สามารถต่อยอดไปสู่การขายสื่อโฆษณาจาก หน้านิตยสาร ไปสู่โฆษณาที่ปรากฏบนหน้าของ E-Magazine

แอพพลิเคชั่นที่ต่างกันเพียงแพลตฟอร์ม

ในเรื่องของตลาดแอพพลิเคชั่น ถ้าวิเคราะห์บนแพลตฟอร์มของสมาร์ทโฟนอาจจะมีการแข่งขันเพียง 2 ค่ายหลักคือ Android ของ Google และ iOS ของ Apple ที่ต่างพากันงัดลูกเล่นและชุดพัฒนาที่แสนจะอำนวยความสะดวกแก่เหล่านักพัฒนา ให้สร้างสรรค์แอพพลิเคชั่นมากมายให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนได้เลือกใช้กันไม่หวาด ไม่ไหว ทั้งบน Android App Market และ App Store หากถามว่า Facebook ที่ไม่มีแพลตฟอร์มของแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบหรือ เปล่า

ผู้เขียนเห็นว่า ฝ่ายที่ดูจะสบายที่สุด และไม่ต้องเปลืองตัวเปลืองกำลังในศึกของแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มนี้ นั่นก็คือ Facebook เพราะแอพพลิเคชั่นทุกตัวที่ปรากฏบน Store ของแต่ละค่าย ล้วนต้องมีการแทรกชุดโปรแกรมที่ต้องเชื่อมต่อกับบริการเครือข่ายสังคมออ นไลน์ของ Facebook เกือบทุกแอพพลิเคชั่น ตั้งแต่แอพพลิเคชั่นจำพวกเกม ข่าว หรือ Feed RSS Reader ที่มาในรูปแบบของ E-Magazine อย่าง Flip Board ก็ยังต้องมีฟังก์ชั่นการทำงานสำหรับแบ่งปันข้อมูลที่เราสนใจผ่านหน้า Wall บนบัญชี Facebook ของเราให้เพื่อนในเครือข่ายได้รับรู้กันโดยทั่ว อีกทั้งเกมต่างๆ ที่เราเล่นบนสมาร์ทโฟน ก็ยังมีการแบ่งปันคะแนนสูงสุดที่เล่นได้ผ่าน Facebook อีกด้วย

ดังนั้น แพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนจึงเป็นแพลตฟอร์มที่ Google และ Apple จำเป็นต้องพึ่งพา Facebook ผู้เขียนอาจจะเปรียบสถานการณ์ในแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนตอนนี้ให้เหมือนเรื่องสาม ก๊ก ก็คงจะเปรียบว่า Facebook นั้นเหมือนฝ่ายของง่อก๊ก ที่นำโดยซุนกวน ที่ต้องชำนาญยุทธวิธีการทำศึกบนน่านน้ำ ซึ่งเป็นยุทธ์พิชัยศึกที่จ๊กก๊กของเล่าปี่ และวุยก๊กของโจโฉไม่ชำนาญ ทั้งสองฝ่ายอาจจำเป็นต้องพึ่งพา และยอมเสียเปรียบในการเป็นพันธมิตรแบ่งผลประโยชน์บางอย่างเพื่อช่วยเหลือใน การทำสงคราม ที่บางครั้งต้องอาศัยภูมิศาสตร์ทางน้ำและผู้ชำนาญ เป็นต้น

แต่ถ้ามองในส่วนของแพลตฟอร์มบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานผ่านเว็บบราวเซอร์พื้นฐานทั้ง 3 ค่าย ต่างมีลูกเล่นที่โดดเด่นเฉพาะอย่าง โดยงัดมาต่อกรกันอย่างถึงพริกถึงขิง และคนที่เสียเปรียบในแพลตฟอร์มนี้กลับกลายเป็น Apple ที่แม้ว่า Apple จะมีบริการออฟไลน์/ออนไลน์ที่ยอดเยี่ยมอย่าง iTunes และเว็บบราวเซอร์ที่รวดเร็ว แสดงผลสวยงามอย่าง Safari อีกทั้งยังขับเคลื่อนทุกสิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่มีระบบปฏิบัติการของ Apple อย่าง Mac OS ก็ตาม หรือยอดขายที่ปรากฏส่วนใหญ่มาจากรูปลักษณ์และความเป็นมาตรฐานแม้จะมีปริมาณ ที่สูงพอควร อีกทั้งอาจจะเป็นผลพลอยได้จากผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone บางกลุ่มที่ถูกใจระบบจึงลองหันมาเปลี่ยนใจใช้เครื่อง Mac แต่กระแสตอบรับส่วนมากกลับไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในเรื่องของ Widget และแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มของเครื่องคอมพิวเตอร์เท่าใดนัก อาจจะต้องยอมรับว่าลูกเล่นของเว็บบราวเซอร์มีผลต่อรายได้ที่ปรากฏอย่างต่อ เนื่อง Firefox และ Google Chrome มี Add-On ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า Safari

ในตอนนี้ผู้อ่านหลายคนที่ใช้เครื่อง Mac อาจจะไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก แต่ผู้เขียนอาจจะต้องบอกให้ทราบว่า รายได้ที่มีต่อเนื่อง อย่างเช่น รายได้ของโฆษณาแฝงผ่านแอพพลิเคชั่นส่วนเสริมอย่าง Add-On แม้จะไม่มากเท่ายอดขายของตัวอุปกรณ์ เช่น เครื่อง Mac แต่ละปียอดขายอุปกรณ์อย่างเครื่อง Mac นั้นทำรายได้เพียงแค่ช่วงไตรมาสที่ 3 เพียงรอบเดียว แต่รายได้จากโฆษณานั้นเป็นอัตราที่ได้รับมาก-น้อย ต่อเนื่อง แต่ได้ทุกไตรมาสเมื่อทำการวิเคราะห์และประเมินผล โดยเฉลี่ยแล้วเป็นรายได้ที่ไม่ต่างกันเท่าใดนักในแพลตฟอร์มนี้

Add-On และส่วนเสริมจึงเป็นอีกช่องทางที่ Google และค่ายเสรีอย่าง Firefox นั้นหันมาใช้เป็นช่องทางสร้างรายได้ โดย การแทรกโฆษณาผ่านป้ายอักษรและลิงก์ตัวอักษร เมื่อมีการเปิดใช้แอพพลิเคชั่น มองไปที่ Google Chrome Web Store จะเห็นว่าแอพพลิเคชั่นบางตัวนั้นให้ชำระเงินเพื่อซื้อ Feature หรือคุณลักษณะเด่นบางอย่างที่ตัวทดลองใช้ไม่สามารถทำได้ แต่ผู้ใช้งานที่สนใจเห็นแล้วรู้สึกยอมรับกับอัตราการจ่ายเงินเพื่อซื้อแอ พพลิเคชั่นตัวเต็มโดยไม่ลังเล เพราะราคาของแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ไม่สูงมาก ยิ่ง Firefox นั้นผู้พัฒนา Add-On สามารถเพิ่มเว็บไซต์ของผู้พัฒนา และปุ่มบริจาค Donate Button ให้แก่ผู้ที่สนใจแอพพลิเคชั่น นั้นสามารถชำระเงินเพื่อสนับสนุนโครงการในการพัฒนา Add-On ที่โดนใจนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไป

ในส่วนของ Facebook เองก็ยังคงมีการปล่อยชุดพัฒนาให้แก่นักพัฒนา หรือ API ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมร่วม นักพัฒนาหลายแห่งเริ่มหันมาพัฒนาแอพพลิเคชั่นผ่านมาตรฐานของ Facebook โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสินค้าและบริการที่ต้องการประชาสัมพันธ์บริการ และสินค้ามักจะสร้างมินิเกม หรือเกมออนไลน์ ที่ปรากฏในรูปของแอพพลิเคชั่นบน Facebook มากขึ้น ซึ่งมินิเกมที่โปรโมตสินค้าและบริการเหล่านี้ นอกจากจะใช้ชุดพัฒนาของ Facebook แล้วยังสามารถนำไปต่อยอดในการสร้างสินค้าในเกมผ่านผู้ให้สนับสนุนเงินทุน ผ่าน Virtual Goods ได้อีกด้วย ถ้าให้ประเมินสภาพการณ์แล้ว แพลตฟอร์มที่ Facebook กำหนดขึ้นให้นักพัฒนาใช้พ่วงกับข้อมูลของบริการเครือข่ายของตน นั้นมีผลที่เอื้ออำนวยต่อนักการตลาดออนไลน์ที่จะผลักดันแบรนด์ของสินค้า และบริการให้อยู่ในรูปของเกมเพื่อความบันเทิงได้มากขึ้น โดยการอ้างอิงสถิติจาก eMarketer 2010 จะพบว่า กลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมักจะใช้เวลาบน Facebook ไปกับความท้าทายของตัวแคมเปญออนไลน์ที่ส่วนใหญ่มักถูกนำเสนอในรูปแบบของเกม

ทำเนียบที่สั่นคลอนของ Google

หากพูดในเรื่องของอาณาจักรหรือพื้นที่ที่ถูกควบคุมในอินเทอร์เน็ตแล้ว Google คงจะเป็นมาตรฐานที่เป็นใหญ่มาโดยตลอด ตลอดเวลาที่ผ่านมาการที่นักการตลาดจะทำการปั่นกระแสและโปรโมตเว็บไซต์ หรือแคมเปญการตลาด และกิจกรรมออนไลน์ให้ดังเพื่อจะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ต่างต้องใช้เทคนิคการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ หรือแคมเปญออนไลน์ที่ตนดูแลติดอันดับต้นๆ ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google โดยอาศัยสิ่งที่ช่วยในการจัดอันดับที่เรียกว่า Page Rank ธุรกิจการบริหารเว็บไซต์ให้ติดอันดับเครื่องมือค้นหา หรือการทำ Search Engine ผ่านบริการ Adwords เพื่อให้ข้อความในการเชิญชวน และประชาสัมพันธ์โปรโมตเว็บไซต์นั้นผ่านหู ผ่านตาผู้สนใจให้ได้มากที่สุด

ตรงกันข้าม ถ้าหากว่ากลุ่มผู้สนใจในเรื่อง ๆ หนึ่ง ต้องการค้นหาหรือคำแนะนำจากคนที่สนใจในเรื่องเดียวกันเกี่ยวกับแคมเปญ สินค้า และบริการนั้น กลับใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook เป็นตัวช่วยในการค้นหา เพราะ Facebook ในตอนนี้มีคุณลักษณะที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเอาใจผู้ใช้ในแต่ละกลุ่มให้ สามารถแสดงผลให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานเครือข่ายสนใจจริงๆ จะต่างกันก็เพียงแค่ในตอนนี้ Facebook ยังคงมีนโยบายความเป็นส่วนตัวค้ำหัวอยู่ จึงอยู่ในมาตรฐานกึ่งเปิด (Semi-Close Platform) อาจจะเห็นว่าตอนนี้ Traffic ของ Facebook ยังคงมีน้อยกว่าและตามหลัง Google อยู่บ้าง

แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ การใช้เครือข่ายที่ชาญฉลาด และผลลัพธ์ของการค้นหาที่แน่นอนตรงความต้องการผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ เพื่อนที่เรามี อาจจะทำให้มาตรฐานของ Facebook สามารถเติบโตได้เทียบเท่ากับ Google ได้ ลองคิดเล่นๆ ถ้าวันหนึ่งทุกคนเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วเข้าเว็บฯ แรกเป็น Facebook ไม่ใช่ Google อีเมลก็ใช้ Fan Page, Group และ Wall ของตัวเอง สนใจซื้อสินค้าก็ตัดสินใจรีวิวจากเพื่อนในเครือข่าย และจับจ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์มของ Facebook ดีไม่ดีอนาคตเปิดคอมพิวเตอร์อาจจะต้องใช้ Facebook Account ในการ Login เข้าใช้งานเครื่องก็เป็นไปได้ ที่สำคัญทุกสิ่งที่ปรากฏบน Facebook นั้นล้วนเป็น Real-Time

สิ่งที่ผู้เขียนยกขึ้นมาข้างต้นนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ Google พอจะประเมินอนาคตของตัวเองได้ ไม่นานมานี้เผยโครงงานที่ทาง Google ซุ่มพัฒนาก็ได้เปิดตัวให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกได้เห็นโดยทั่วกัน ซึ่งโครงงานดังกล่าวมีชื่อว่า Google Caffeine เป็นการยกเครื่องปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของระบบการค้นหาขึ้นมาใหม่ โดยมีแนวคิดว่า Next Generation Architecture of Google Search ซึ่งเป็นไม้ตายที่ Google บอกว่าจะมาแทนที่โครงสร้างสถาปัตยกรรมระบบดั้งเดิมคือ Google Indexing ในปัจจุบัน น่าจะเป็นการปรับการทำงานของ Google ให้เป็น Real-Time เหมือนที่เคยสร้าง Google Wave ขึ้นมาแน่นอน ในเรื่องของการแย่งชิงอาณาเขตบนโลกออนไลน์นี้คงจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้ว Apple อยู่ตรงไหน ผู้เขียนคิดว่าสำหรับ Apple ในตอนนี้คงครองฐานสมาชิกผู้ใช้บนแพลตฟอร์มพกพาไปก่อน ในเรื่องของอินเทอร์เน็ตนั้นผลพลอยได้ที่ Apple ได้รับดูจะกดดันน้อยที่สุดหากเทียบกับศึกของ Google และ Facebook

ศึกครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละฝ่ายต่างยกระดับของแพลตฟอร์มที่เป็นไม้ตายของตนให้โดดเด่นและเป็น เอกลักษณ์ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชัยชนะของแต่ละฝ่ายว่าจะลงเอย ที่ใคร เพราะถ้าชัยชนะลงเอยที่ฝ่ายไหนก็พึงรู้ไว้ว่า พฤติกรรมของผู้ใช้ก็จะเปลี่ยนกลายเป็นแนวทางที่นิยมบนแพลตฟอร์มของผู้ชนะใน ศึกนี้นั่นเอง



Create Date : 18 มิถุนายน 2554
Last Update : 18 มิถุนายน 2554 16:38:48 น.
Counter : 403 Pageviews.

0 comment
แนวคิดและแรงบรรดาลใจในการสร้าง iPad (มั้ง)




แหล่งกำเนิด iPad ในปัจจุบันคาดว่าน่าจะมาจาก "กระดานชนวน" ของคนไทยเรานี้แหละครับ

เผอิญ เห็นช่วงนี้ iPad มันฮิตซะเหลือเกิน ถึงขนาดวัยรุ่นจีนขายไตแลกมันมา ไอเราก็มอง เอ..ไมมันเหมือนเคยเห็นรูปร่างงี้สมัยเด็กๆ ก็อ้อ..เลยครับ ไปหารูปใน Google iPad นี้มันช่างเหมือนกระดานชนวนจริงๆ

ปล.ผมก็แค่คิดเล่นๆ อย่าจริงจังมากละ ^^




Create Date : 04 มิถุนายน 2554
Last Update : 4 มิถุนายน 2554 22:41:38 น.
Counter : 517 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

iFreeZero
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



All Blog