|
5 อันดับหนังดรามาที่จบแบบสุขนาฏกรรมที่ผมชอบที่สุด
อันดับ 5
In America
หนังเล็กๆแต่สุดอบอุ่นของจิม เชอริแดน ที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ทอปฟอร์มสุดๆ ถ่ายทอดเรื่องราวการดิ้นรนต่อสู้ของครอบครัวเล็กๆในเมืองที่ไม่เคยหลับใหลอย่างนิวยอร์ค ซึ่งผมว่าเป็นพล็อตที่เหมาะเหลือเกินในการทำหนังให้ออกมาอบอุ่นและจบสุข หนังยังได้ดาราระดับเดียวกับตัวหนัง อย่างแพทดี้ คอซิดีนและซาแมนทา มอร์ตันมานำแสดง แต่ถึงชื่อชั้นจะไม่ดึงดูด แต่ฝีมือการแสดงและเคมีที่เข้ากันดีเหลือเกิน ทำให้หนังเรื่องนี้อบอุ่นแบบลงตัวจริงๆ
หนังว่าด้วยครอบครัวชาวไอร์แลนด์ พ่อ แม่ และลูกสาวสองคน ที่ตัดสินใจอพยพเข้ามาในนิวยอร์คโดยหวังว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น แน่นอนว่าพวกเค้าต้องปากกัดตีนถีบในระยะแรก ต้องเจอกับสภาพสังคมใหม่ๆ ผู้คนมากหน้าหลายตา เพื่อนบ้านที่ไม่น่าไว้ใจ และความกดดันที่จะหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านและค่ากินอยู่ ทั้งหมดนี้ทำให้คนดูได้มีอารมณ์ร่วมและเอาใจช่วยให้ครอบครัวนี้ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหมดไปให้ได้และได้ลืมตาอ้าปาก ได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าอย่างมีความสุขเสียที
ฟังพล็อตแล้วอาจฟังดูธรรมดาๆนะครับ แต่บรรยากาศของหนังและเรื่องราวมากมายยิบย่อยที่สอดแทรกอยู่ตลอดเรื่องทำได้ดีจริงๆ ดาราสมทบอย่างจิมอน ฮอนชูก็เล่นน้อยแต่ได้เยอะ ดาราเด็กที่รับบทเป็นลูกสาวสองคนก็น่ารัก และสร้างสีสันให้กับเนื้อเรื่องได้อย่างดี เป็นอีกหนึ่งหนังดีที่ดูจบแล้วมีความสุขมากๆครับ
อันดับ 4
Pursuit of Happyness
หนังสู้ชีวิตโดยผู้กำกับชื่อไม่ค้นหูชาวอิตาลี กาเบรียลลี มูซซิโน ที่ได้ดาราแม่เหล็กอย่างวิล สมิธมารับบทนำ ถ่ายทอดชีวประวัติของเซลส์แมนสู้ชีวิต คริส การ์ดเนอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ แถมยังได้ลูกชายตัวจริงของวิล สมิธมาเล่นเป็นลูกชายของตัวละครคริส การ์ดเนอร์อีกต่างหาก เป็นสุดยอดหนังที่ดูจบแล้วมีกำลังใจในการสู้ชีวิตขึ้นอีกเพียบ
หนังว่าด้วยคริส การ์ดเนอร์ เซลส์แมนขายเครื่องมือแพทย์สุดอาภัพที่โดนภรรยาทิ้ง เหลือไว้เพียงลูกชายวัย 8 ขวบอยู่กับเค้า ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่แย่เอามากๆ ทำให้คริสไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากทนขายเครื่องมือแพทย์ของตนต่อไป โดยได้ลูกชายตัวน้อยมาช่วยอ้อนผู้ซื้ออยู่ด้วย ทั้งคู่ต้องใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ โดนขับไล่ออกจากบ้านเช่า ต้องอาศัยโครงการที่ซุกหัวนอนฟรีสำหรับผู้ยากไร้ซุกหัวนอนไปวันๆ วันไหนโชคดีก็มีที่นอน วันไหนโชคไม่ดีก็ต้องไปนอนตามที่สาธารณะ แถมอาหารก็กินแบบอดมื้อกินมื้อ แต่พี่คริส พระเอกของเราแม้จะท้อและหมดกำลังใจเพียงใด แต่เมื่อไรที่มองหน้าลูกชายของตัวเอง เค้าก็กัดฟันสู้ต่อไป และด้วยความเป็นนักสู้และกำลังใจที่เต็มเปี่ยมนี้เอง ทำให้เค้าได้ยิ้มทั้งน้ำตากับตัวเองในท้ายที่สุด
นี่เป็นหนังที่ให้กำลังใจทุกๆคนอย่างแท้จริงครับ ไม่ว่าคนไหน ชนชั้นใด อาชีพอะไรก็ตามได้ลองดูหนังเรื่องนี้ ผมเชื่อแน่ว่าต้องประทับใจไปกับการแสดงของวิล สมิธแน่นอน อยากให้กำลังใจใครซักคน นอกจากคำพูดแล้ว ลองให้เค้าได้ดูหนังเรื่องนี้ รับรองครับว่ากำลังใจมาอีกโขเลยหล่ะ
อันดับ 3
Happy Go Lucky
หนังอังกฤษของผู้กำกับไมค์ ลี ที่เปลี่ยนแนวมาทำหนังดรามาอารมณ์ดี ได้ดาราโนเนมอย่างแซลลี่ ฮอว์กินส์มารับบทนางเอกเต็มตัวเป็นครั้งแรก แต่กลับตีบทแตกกระจุยจนได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปครอง นี่เป็นหนังดรามาอารมณ์ดี ที่ดูจบแล้วโลกสดใสและมีความสุขเหมือนชื่อเรื่อง ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้อาจเปลี่ยนทัศนคติของหลายๆคนเมื่อดูจบก็เป็นได้นะครับ
หนังเล่าเรื่องของคุณครูอนุบาลวัย 30 กะรัตอย่างป๊อปปี้ ที่มองโลกในแง่ดี คิดบวก ชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้คนรอบข้างเธออารมณ์ดีและมีความสุขไปกับเธอด้วย หนังถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตประจำวันของป๊อบปี้ออกมาได้อย่างน่ารัก ทั้งการไปดื่ม กิน สังสรรค์กับเพื่อนๆ , การเรียนขับรถ , เรียนเต้นฟลามิงโก้ , ออกเดท , การสอนเด็กอนุบาลในชั้นเรียน ตลอดเรื่องป๊อบปี้จะต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่คิดอะไรในแง่ลบ และเธอก็ได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงคนเหล่านั้นให้คิดในแง่บวกและมีความสุขกับชีวิต คนดูจะได้เรียนรู้วิธีคิดและทัศนคติในดำเนินชีวิตแบบไม่เหมือนใครของป๊อบปี้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
นี่อาจเป็นหนังที่ดูไม่มีอะไรมากนะครับ แค่นั่งดูชีวิตประจำวันของคนเพี้ยนๆที่มองโลกเป็นสีลูกกวาดคนนึง แต่ผมเชื่อแน่ว่าตลอดเรื่องต้องมีอย่างน้อยครั้งนึงที่คุณยิ้มไปกับความน่ารักและมองโลกในแง่ดีของนักแสดงนำ ดูจบแล้วคุณอาจจะมองโลกสดใสมากขึ้น ยิ้มให้กับตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ที่จะคิดบวก และปล่อยเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้หลุดลอยออกจากความทรงจำไป และที่สำคัญคือคุณน่าจะยิ้มเก่งขึ้นแน่ๆหลังจากเห็นพลังแห่งรอยยิ้มที่จริงใจของแซลลี่ ฮอว์กินส์ตลอดทั้งเรื่อง
อันดับ 2
Dead Poets Society
ผมชอบหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ชื่อไทยที่ตั้งได้ให้อารมณ์ฟีลกู๊ดอย่างน่าประหลาด นี่เป็นงานกำกับของปีเตอร์ แวร์ ที่ระยะหลังชักหายหน้าหายตาไปจากวงการ ได้ดาราระดับเกรดเออย่างโรบิน วิลเลียมมาเป็นตัวหลักในบทบาทของคุณครูจอห์น คีทติ้ง ที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนคุณครูป๊อบปี้ แต่เด่นตรงที่สอนให้นักเรียนของเขาทำตามความฝัน และเริ่มทำให้ฝันเป็นจริงตั้งแต่บัดนี้ กับประโยคที่กลายเป็นคำฮิตของหนังเรื่องนี้ ,, Seize the day !!
หนังเล่าเรื่องราวของครูจอห์น คีทติ้งแห่งโรงเรียนมัธยมปลายที่วางกรอบ วางระเบียบไว้อย่างเคร่งครัด จนนักเรียในโรงเรียนนี้พากันเบื่อหน่ายกับการเรียน ครูจอห์นเริ่มใช้แผนการสอนของตัวเองโดยไม่สนใจขนบของครูคนอื่นๆ เค้าพานักเรียนออกนอกห้องเรียนเพื่อเติมเต็มจินตนาการของวัยรุ่น จนกระทั่งได้ตั้งสมาคมลับ Dead Poet Societys ขึ้น และต่อจากนั้นนักเรียนหลายๆคนเริ่มชอบที่จะเรียนในชั่วโมงของครูคีทติ้ง แต่ขณะเดียวกันครูคีทติ้งก็เริ่มถูกเพิ่งเล็งจากผู้ปกครองและเพื่อนครูด้วยกัน ถึงแผนการสอนที่นอกกรอบของเค้า และนำไปสู่เรื่องราวอันแสนเศร้าในตอนใกล้จบเรื่อง ก่อนจะขมวดมาเรียกน้ำตาคนดูได้อย่างอบอุ่นในตอนจบของเรื่องจริงๆ
หลายคนที่เคยดูหนังเรื่องนี้แล้วอาจไม่จัดหมวดให้เรื่องนี้อยู่ในหนังประเภทจบสุขนะครับ แต่สำหรับผมแล้ว ฉากจบที่นักเรียนทุกคนยืนบนโต๊ะและร้องเรียก Oh Captain , My Captian ที่สื่อถึงคุณครูคีทติ้ง เป็นอะไรที่มีความสุขมาก ถ้าผมเป็นคุณครูคีทติ้งผมคงภูมิใจ และมีความสุขมากที่สุด แต่กระนั้นถึงผมเป็นแค่คนดูหนังตามปกติ ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรักของลูกศิษย์ - คุณครูที่มากล้นจนระเบิดออกมาในตอนจบของเรื่องแบบนี้ นี่เป็นหนังที่จบอย่างอบอุ่น ซาบซึ้ง และเรียกน้ำตาได้พอสมควรเลยนะครับ
อันดับ 1
Always : Sunset on the Third Street
หนังญี่ปุ่นแท้ๆที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องนึง กำกับโดยทากาชิ ยามาซากิ และได้ทีมนักแสดงคุณภาพร่วมเล่นเป็นชาวเมืองโตเกียวในยุค 50 มากมาย แถมฮิตถล่มทลายจนกลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในญี่ปุ่นในปี 2005 และต้องสร้างภาคสองตามออกมา นี่เป็นหนังดรามาที่มีครบรสทั้งความรักในครอบครัว ตลก เศร้า สดใส อบอุ่น ถวิลหาอดีต และจบอย่างมีความสุข จนผมเชื่อว่าน่าจะเรียกน้ำตาแห่งความซาบซึ้งจากหลายๆคนได้
หนังเล่าย้อนไปเล่าเรื่องในยุค 50 ที่เพิ่งจะเริ่มสร้างโตเกียวทาวเวอร์ อันเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโตเกียวในปัจจุบัน หนังเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลากหลายชีวิต ทั้งนักเขียนการ์ตูนที่งานก็ไม่รุ่ง เงินก็ไม่มี แต่ดันไปรับเด็กมาเลี้ยง , ครอบครัวช่างซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่มีความฝันจะขยายร้านเล็กๆของตนให้กลายเป็นบริษัทชั้นนำ , สาวร้านน้ำชาอดีตนักแสดงระบำเปลื้องผ้าที่นักเขียนการ์ตูนแอบหลงรัก , คุณหมอหน้าดุแต่ใจดี ที่เด็กๆในเมืองต่างก็เกรงกลัว , เด็กสาวต่างจังหวัดที่เดินมาจะเข้ามาฝึกงานกับบริษัทรถยนต์ชั้นนำ แต่กลับพบว่าได้มาทำงานในร้านเล็กๆของครอบครัวช่างซ่อมมอเตอร์ไซต์
หนังเล่าเรื่องของตัวละครแต่ละตัวตัดสลับไปมา มากบ้างน้อยบ้าง แต่ทุกๆตัวละครในหนังล้วนมีเสน่ห์เฉพาะตัว จนกลมกลืนเข้ากับอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี บทหนังที่บรรจงเขียนขึ้นอย่างไม่มีที่ติ ดึงอารมณ์ร่วมได้จากคนดูทุกเพศทุกวัยเหมือนต้องมนตร์ อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังโดดเด่นด้วยดนตรีประกอบที่ติดหู และร่วมสมัยเอามากๆ บวกกับความอบอุ่นของโทนสีในหนัง ที่เน้นสีส้มและสีสว่างๆ ให้ความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ทั้งหมดนี้คือความสุดยอดของ Always : Sunset on the Third Street ที่ผมเชื่อว่าทุกๆคนต้องหลงรัก
ถ้าคุณยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ อย่าเพิ่งว่าผมเป็นหน้าม้าหรืออวยกันจนเวอร์นะครับ ลองหามาดู ( แนะนำแบบเสียงในฟิล์มดีกว่า ) ให้ได้ แล้วคุณจะรู้ว่าความสุข ความอิ่มเอม ความซาบซึ้ง บางทีก็หาได้ใกล้ๆตัวนี่แหละ
Create Date : 05 มีนาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 16 ตุลาคม 2553 18:20:08 น. |
| |
Counter : 6018 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
Branelay |
|
|
|
|