การสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
การสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลงระหว่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นการคุ้มครองผลงานต่างๆที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ หรือประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเช่น การประดิษฐ์เทคโนโลยีหรือยารักษาโรค ที่ได้รับความคุ้มครองโดยสิทธิบัตรเครื่องหมายที่ใช้กับสินค้าก็จะได้รับ ความคุ้มครองโดยเครื่องหมายการค้าหรือหนังสือเรียนหรือผลงาน ทางวิชาการที่ได้รับความคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์เป็นต้น โดยกฎหมายทรัพย์สิน ทางปัญญาแต่ละประเภทนี้ได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิของผู้ที่ได้สร้างสรรค์ หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงานดังกล่าวในฐานะเจ้าของสิทธิ โดยการให้สิทธิ ต่างๆแก่เจ้าของสิทธิในการที่จะแสวงหาประโยชน์จากผลงานดังกล่าวได้ แต่เพียงผู้เดียว(exclusive rights) ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการจำหน่าย ผลิต ทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งหากบุคคลอื่นใดกระทำ การดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสิทธิ์ก็จะเป็นการละเมิด ทรัพย์สินทางปัญญาเว้นแต่จะเป็นการกระทำ ที่ได้รับการยกเว้น ตามกฎหมายมิให้เป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานี้
ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้า (TRIPs)ซึ่งเป็นความตกลงภายใต้องค์การการค้าโลกและประเทศไทย ก็มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามได้บัญญัติไว้ในข้อ ๖ ว่าไม่มีบทบัญญัติใด ในความตกลงที่จะนำมาใช้เพื่อกล่าวถึงการสิ้นสิทธิในทรัพย์สิน ทางปัญญาดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับกฎหมายภายในของแต่ละ ประเทศที่จะกำหนดเกี่ยวกับการสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานี้ กรณีการซื้อสินค้าที่มีทรัพย์สินทางปัญญาถูกต้องจากประเทศหนึ่งแล้วนำเข้ามาจำหน่ายในอีกประเทศหนึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับขอบเขตของสิทธิแต่เพียงผู้เดียวว่าหลังจากที่เจ้าของสิทธิได้จำหน่ายสินค้าของตนไปแล้ว เจ้าของสิทธิควรจะมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะเข้าไปควบคุมหรือห้ามผู้ซื้อจากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวต่อไปหรือไม่ซึ่งโดยหลักการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญากรณีนี้จะถือว่าสิทธิของเจ้าของสิทธิได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อได้มีการจำหน่ายสินค้าออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกหรือที่เรียกว่า หลักการสิ้นสิทธิ ในทรัพย์สินทางปัญญา(exhaustion of rights) ด้วยเหตุผลพื้นฐาน ที่ว่าเจ้าของสิทธิได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการจำหน่ายสินค้าของตน ไปแล้วจึงต้องมีการจำกัดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของสิทธิ เนื่องจาก หากยินยอมให้เจ้าของสิทธิมีสิทธิที่จะควบคุมหรือห้ามผู้ซื้อจากการจำหน่าย สินค้าที่ตนได้จำหน่ายไปแล้วนั้นก็จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ซื้อ และประโยชน์สาธารณะได้
หลักการสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งได้เป็น๓ ประเภท ๑.การสิ้นสิทธิภายในประเทศ (National exhaustion of rights) คือกรณีที่เจ้าของสิทธิได้จำหน่ายสินค้าของตนในประเทศใดประเทศ หนึ่งสิทธิของเจ้าของสิทธิจะหมดสิ้นไปเฉพาะในประเทศนั้น ๒.การสิ้นสิทธิภายในภูมิภาค (Regional exhaustion of rights) คือกรณีที่เจ้าของสิทธิได้จำหน่ายสินค้าของตนในประเทศใดประเทศ หนึ่งในภูมิภาคสิทธิของเจ้าของสิทธิจะหมดสิ้นไปเฉพาะในภูมิภาค ๓.การสิ้นสิทธิระหว่างประเทศ (International exhaustion of rights) คือ กรณีที่เจ้าของสิทธิได้จำหน่ายสินค้าของตนในประเทศใด ประเทศหนึ่งแต่สิทธิของเจ้าของสิทธิจะหมดสิ้นไปทั่วโลก
กรณีการสิ้นสิทธิระหว่างประเทศในทรัพย์สินทางปัญญานี้เป็นประเด็น ที่มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากหลักการดังกล่าวยอมรับว่า เมื่อเจ้าของสิทธิได้จำหน่ายสินค้าของตนไปแล้วเจ้าของสิทธิจะไม่มีสิทธิควบคุมหรือห้ามผู้ซื้อจากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวได้อีกต่อไปไม่ว่าในประเทศใดก็ตามกล่าวคือ ผู้ซื้อสินค้าสามารถนำสินค้านั้นไปจำหน่ายต่อไปได้ทั่วโลก การสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายไทย ทรัพย์สินทางปัญญามีหลายประเภทซึ่งจะมีกฎหมายเฉพาะที่คุ้มครอง ทรัพย์สินทางปัญญาในแต่ละประเภทด้วยนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ไว้เป็นแนวนโยบายที่รัฐจะต้องดำเนินการโดยมาตรา ๘๖ (๒) บัญญัติ ให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ทรัพย์สิน ทางปัญญาและพลังงาน โดยส่งเสริมการประดิษฐ์หรือการค้นคิดเพื่อให้ เกิดความรู้ใหม่รักษาและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย รวมทั้งให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (๑)สิทธิบัตร เมื่อปี๒๕๔๒ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.๒๕๒๒ โดยได้บัญญัติรองรับการสิ้นสิทธิในกฎหมายสิทธิบัตรว่า การใช้ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตรไม่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้ทรงสิทธิ หากผู้ทรงสิทธิบัตรได้อนุญาตหรือยินยอมให้ผลิตหรือขายผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวแล้ว(มาตรา ๓๖ วรรคสอง (๗)) (๒) เครื่องหมายการค้า ในกรณีของเครื่องหมายการค้าพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองเครื่องหมายการค้าที่ใช้บังคับในปัจจุบัน ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการรองรับการสิ้นสิทธิของเจ้าของเครื่องหมาย การค้าไว้อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยโดยยอมรับหลักการ สิ้นสิทธิระหว่างประเทศนี้เช่นกัน(คำวินิจฉัยศาลฎีกาที่ ๒๘๑๗/๒๕๔๓) ซึ่งในคดีดังกล่าวโจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยนโดยมีเครื่องหมาย การค้าว่าWAHL ซึ่งได้จดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกาและ ประเทศไทยส่วนจำเลยนั้นได้ซื้อสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้า ดังกล่าวโดยถูกต้องจากตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วนำมาจำหน่ายในประเทศไทยโดยศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า การมีผู้ซื้อ สินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไปเป็นเรื่อง ปกติธรรมดาในการประกอบการค้าซึ่งเมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของ เครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้จำหน่ายสินค้าของตนในครั้งแรกโดยได้รับ ประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่าย ไปเสร็จสิ้นแล้วจึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าปกติ นำสินค้านั้นออกจำหน่ายอีกต่อไป (๓) ลิขสิทธิ์ ในกรณีของลิขสิทธิ์พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเป็น กฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่ใช้บังคับในปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติรองรับการ สิ้นสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ไว้นอกจากนั้น ก็ยังไม่เคยมีแนวคำวินิจฉัย ของศาลยอมรับหลักการสิ้นสิทธิระหว่างประเทศในกรณีของลิขสิทธิ์ไว้ แต่อย่างใดอย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีความเห็นว่า สามารถพิจารณานำ บทบัญญัติอื่นๆในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาปรับใช้กับกรณี การสิ้นสิทธิระหว่างประเทศได้ดังนี้ - สิทธิในการนำเข้า พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้บัญญัติรองรับสิทธิ แต่เพียงเดียวไว้หลายประการตามมาตรา๑๕ แต่ไม่มีการบัญญัติเกี่ยวกับ การรับรองสิทธิในการนำเข้าไว้ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายคุ้มครอง ทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่นเช่น สิทธิบัตรที่บัญญัติรองรับสิทธิใน การนำเข้าไว้อย่างชัดเจนจึงอาจกล่าวได้ว่า การที่กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่ได้ บัญญัติรองรับสิทธิในการนำเข้าไว้เจ้าของลิขสิทธิ์จึงไม่มีสิทธิในการควบคุม หรือห้ามการนำเข้ามาในประเทศไทยซึ่งสินค้าที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก ต่างประเทศ -ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ หลักการสิ้นสิทธิอาจนำมาอ้างได้ภายใต้ข้อยกเว้นการละเมิด ลิขสิทธิ์โดยอาศัยมาตรา๓๒ วรรคหนึ่งโดยลำพัง หากการนำเข้ามาจำหน่าย ในประเทศนั้นไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์และไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควรก็จะไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ในกรณีที่นำมาตรา๓๒ วรรคหนึ่งมาใช้โดยลำพังนั้น วิเคราะห์ได้ว่า การที่บุคคลใดได้ซื้อสินค้าที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องจากต่างประเทศแล้วนำมาจำหน่ายในประเทศไทยก็ควรที่จะเข้าข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาตรา ๓๒ วรรคหนึ่งนี้เนื่องจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนจากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวไปแล้วจึงไม่เป็นการขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์และไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควรนอกจากนั้น หากจะให้เจ้าของลิขสิทธิ์เข้าไปควบคุมการจำหน่ายดังกล่าวต่อไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าและเป็นการเปิดช่องทางให้เจ้าของลิขสิทธิ์ใช้สิทธิโดยมิชอบ บทสรุป หลักการสิ้นสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกลไกสำคัญในกฎหมายทรัพย์สิน ทางปัญญาที่จะคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและเพื่อป้องกันการใช้สิทธิ ในทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่เหมาะสมเนื่องจากเจ้าของสิทธิได้รับผลตอบแทนจากการจำหน่ายสินค้าดังกล่าวไปแล้วในครั้งแรกซึ่งหากเปิดโอกาสให้เจ้าของสิทธิสามารถหาผลประโยชน์ได้อีกจากสินค้าที่มีการจำหน่ายไปแล้วนั้นอีกต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อได้โดยวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญานี้มิใช่เป็นการคำนึงเพียงแต่ผลประโยชน์ของเจ้าของสิทธิเท่านั้นแต่ก็จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของสาธารณะด้วยดังที่บัญญัติไว้ในข้อ ๘ ของความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้าว่าประเทศสมาชิกสามารถที่จะกำหนดหรือบังคับใช้มาตรการต่างๆที่จำเป็นตามกฎหมายเพื่อปกป้องประโยชน์ทางสาธารณสุขและการโภชนาการและเพื่อส่งเสริมประโยชน์สาธารณะ(public interest) ในส่วนที่มีความจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมและการพัฒนาทางเทคโนโลยีรวมตลอดจนมาตรการต่างๆที่เหมาะสมที่ประเทศสมาชิกอาจกำหนดขึ้นเพื่อป้องกันการบังคับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่เหมาะสมหรือการบังคับสิทธิที่เกินขอบเขต ที่มา ข่าวสารพัฒนากฎหมาย ลำ ดับที่ 80 1 กุมภาพันธ์ 2556 จัดทำโดย ฝ่ายพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 2 394/14 ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 //www.lawreform.go.th
Create Date : 06 เมษายน 2556 |
Last Update : 6 เมษายน 2556 19:07:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4249 Pageviews. |
|
|