ทุกเรื่องราวมีแง่คิด ทุกชีวิตมีแรงบันดาลใจ
Group Blog
 
All Blogs
 
ความสุขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

*** หนังสือที่ผมชอบที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา สำหรับทุกคนที่วนเวียนอยู่กับโลกออนไลน์ ออฟไลน์ ผมว่าทุกคนต้องลองอ่าน สำหรับเนื้อหาเนื้องเรื่องขอให้ผู้เขียนได้อธิบายหนังสือของเขาเองดีกว่า***



0. ในโลกที่เปลี่ยนแปลง ความสุขของชีวิตก็เปลี่ยนไป - ในยุคสมัยที่เราเปลี่ยนมือถือทุกปี ทั้งๆที่ยังใช้งานได้ , ยุคที่คนยอมเสี่ยงตายเพื่อผิวขาว , ยุคที่เรามีอะไรต้องรีบบอกต่อผ่านทวิตเตอร์, ฟอร์เวิดเมลล์ หรือบีบี โดยไม่ทันจะตรวจสอบ , ยุคที่เรานิยมความหมายของ คนดี แต่ก็สับสนว่าจริงๆแล้วคนดีควรเป็นอย่างไร , ยุคที่ facebook หรือ twitter กำลังกลืนกินชีวิตแล้วกำลังเปลี่ยนแปลงบางอย่างในจิตใจคน , ยุคที่เราเกาะติดข่าวสารมากเกินไป จนบางครั้ง ทำให้ทุกข์เกินจริง เพราะวนเวียนกับข่าวสารเดิมๆแต่เปลี่ยนเวอร์ชั่นจนเครียดซ้ำไปซ้ำมา , ยุคที่เราทุกข์กับข่าวสารที่ดราม่าคล้ายๆกับละคร จนอินแล้วมองข้ามความเป็นจริง , ยุคที่การคิดต่าง สร้างความรุนแรงถึงตัดเพื่อนหรือฆ่าฟัน , ยุคที่ น้ำเปล่า อาจจะมีมูลค่าสูงเพราะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นยาวิเศษ แต่เราก็ยอมเสียตังค์ , ยุคที่ไม่ต้องให้ใครถามว่าอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ทำอะไรอยู่ เพราะเราเป็นคนบอกเอง
1. สิ่งที่ทำให้เราขุ่นเคืองใจที่สุดในหน้า facebook หรือในวงสนทนา คือ การเห็นเพื่อน , คนรู้จัก ฯลฯ แสดงความ สะใจ ดีใจ กับการสูญเสีย หรือใช้คำที่กด เหยียด ดูถูก

หลายคนตัดเพื่อน เพราะเหตุการณ์นั้น คิดว่าเพื่อนตัวเองเลวร้าย ไร้เมตตา ไม่มีความเป็นมนุษย์ และที่น่าหดหู่ที่สุดคือคนสนิทหรือคนในครอบครัวต้องมาทำร้ายหรือฆ่ากันตาย

ความคิดที่ถูกถ่ายทอดผ่าน ตัวหนังสือไม่กี่ตัว กับ คำพูดไม่กี่ประโยค นำไปสู่เรื่องเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น

*****
ทุกวันนี้ เราชินชากับความรุนแรงและเก็บสะสมความรุนแรงในใจมากขึ้น จากการอาศัยอยู่ในสังคมที่ข่าวสารโดยเฉพาะการเมือง เคลือบด้วย 'ความรุนแรง ความโกรธ ความเกลียดชัง'

เวลาฟังปราศรัยหรือดูข่าว ก็จะเห็นรูปแบบการนำเสนอแบบหวือหวาดราม่า เนื้อหาที่พูดอาจจะเป็นความจริงหรือประเด็นที่ถูกต้องชอบธรรม แต่แทนที่จะพูดถึงเฉพาะประเด็นนั้น ก็สอดไส้ความเกลียด ดูถูก เหยียดหยาม

หรือแทนที่จะโจมตีเน้นประเด็น ก็ไปโจมตีบุคคลที่ฝั่งตรงข้ามให้ความนับถือ ด้วยคำพูดในเชิงส่อเสียดหรือตั้งฉายาให้กลายเป็นตัวตลก พยายามสร้างอารมณ์ร่วมให้กับมวลชนพวกเดียวกัน พอๆกับ เพิ่มความเกลียดชังให้กับมวลชนที่คิดต่าง

พออยากให้ฝั่งตรงข้ามเปิดใจรับความจริงอีกด้าน แทนที่จะใจเย็นๆพูดถึงเนื้อหา ก็เลือกจะนำเสนอแบบตัวเองเหนือกว่า ใช้คำหมิ่นหยามอีกฝั่ง ที่อาจหมายรวมถึงพ่อแม่พี่น้องของเขาที่มีความเชื่อแบบนี้มานาน ชวนให้โกรธจนไม่อยากรับฟัง ( เช่น “ปล่อยพวกโง่ๆแบบนี้ตาบอดกันต่อไปเถอะ” ฯลฯ)

***
การใช้สื่ออินเตอร์เน็ตโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ สัญชาติญาณดิบของมนุษย์ขาดการกลั่นกรอง เป็นการส่ง id ออกมาโดยที่ superego ยังไม่ทันจะทำงาน

ข้อเขียนหรือความเห็นที่ออกมาท่ามกลางบรรยากาศร้อนระอุ ไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดว่า ใครเลวกว่าใคร หรือ ใครไร้มนุษยธรรมกว่ากัน เพราะอย่าลืมคิดถึงตอนที่เราอารมณ์ร้อน เราก็ทำในสิ่งที่เราไม่คาดฝันได้เสมอ

แล้วเมื่อใจเย็นลง เริ่มมีสติ มองย้อนกลับไป เราก็รู้สึกเสียใจในการกระทำนั้นๆ

***
เมื่อไม่พอใจเพื่อนหรือคนสนิทที่คิดต่าง ถอยห่างออกมาชั่วคราวย่อมเป็นการดีกว่า อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอีกฝ่ายว่าชั่วหรือเลวร้ายแล้วไปตัดความสัมพันธ์

ให้โอกาสอีกฝ่ายได้เรียกสติกลับคืนมา ให้โอกาสเราได้ใจเย็นลง

อย่าให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคม มีอิทธิพลมากเสียจนมาทำลาย ความสัมพันธ์ดีๆที่เราเคยมีกับเพื่อนหรือคนใกล้ตัวมายาวนานเลย

เพื่อนที่เรามองว่ามันเลวร้าย ไม่มีความเป็นคน แท้จริงแล้ว เขาก็ยังเป็นคนเหมือนกับเรา แต่ถูก ความเกลียดชังและความโกรธแค้นเข้าครอบงำ

ยิ่งความรู้สึกเหล่านั้นถูกปลูกฝังมามาก มันก็ยิ่งฝังรากลึกอยู่ในใจ แม้แต่เราเอง ก็อาจไม่รู้ตัวว่า เพื่อนของเรา ก็มองเห็นเราเป็นแบบนั้นเหมือนๆกัน

และ ถ้าวันหนึ่งที่เรื่องราวเหล่านี้สงบ เมื่อถอดหัวโขนของสีที่สวมใส่ เราก็จะเห็นเพื่อนคนเดิม เหมือนที่ เพื่อนเห็นเราคนเดิม โดยที่ไม่ต้องเสียใจในสิ่งที่เคยทำร้ายกันเพียงเพราะ ความเชื่อที่แตกต่าง


... บางส่วนของบทความ'จะอยู่อย่างไร ถ้าไม่รักกัน' ในหนังสือ 'ความสุขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้' มีให้ทุกท่านติดต่อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป หาไม่เจอสั่งผ่านที่เคาเตอร์ของร้านนั้นๆได้เลยเน้อ

เขียนไว้จากประสบการณ์ตรงที่เห็นคนเป็นเพื่อนกัน คนรักกัน ต้องมาตัดเพื่อน มาทำร้าย มาเข่นฆ่ากัน เพียงเพราะความคิดต่างที่อ่านผ่านตัวหนังสือ เขียนไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง และเชื่อว่า น่าจะใช้ต่อเนื่องไปได้อีกหลายปี

2. เราอาจจะคิดว่าเรารู้จัก friend ของเราดีจากสิ่งที่เขาเปิดเผย แต่ ความจริงคือ ต่อให้เจ้าของ facebook เปิดเผยตัวเองมากแค่ไหน แต่ถึงที่สุดแล้ว มันก็คือ ตัวตนในส่วนที่เขาอยากนำเสนอให้ friend รู้จัก

เจ้าของ facebook คนที่เลือกรูปแก้มป่องตาโต หรือ คนที่ใช้รูปกระเซอะกระเซิงลงรูปโปรไฟล์ ไม่ได้แปลว่า ใครจริงใจใสซื่อกว่า แต่แปลว่า นั่นคือ ภาพที่เจ้าตัวอยากให้คนที่เข้ามาได้เห็น

ไม่ว่าจะเป็น info , status หรือ comment ล้วนแล้วแต่เป็น การสร้างตัวตนในแง่มุมหนึ่งจากแง่มุมชีวิตนับสิบ ซึ่งมีทั้งส่วนตัวตนจริงและส่วนแต่งแต้ม

ความประมาท หลวมตัวเชื่อทุกอย่างในโลกของ social media เพราะคิดว่า นาย ก. ที่ดูเป็นคนดีมีน้ำใจคอยมาเม้นท์หรือส่งข่าวมากมายในโลก social media จะเป็นคนดีในโลกจริงด้วย นำไปสู่ คดีล่อลวงต่างๆ เช่น ลวงไปมอมทรัพย์ปล้นสวาทผ่าน hi5 หรือ facebook , หลอกเงิน follower ใน twitter จากเจ้าของแอคเค้าต์ชื่อดังที่มีคนติดตามจำนวนมาก ฯลฯ

Halo effect มักจะทำหน้าที่หลอกคนได้ดีเสมอในโลก social media เพราะใน facebook ,blog , twitter ฯลฯ เปิดโอกาสให้เลือกได้ว่าจะนำเสนอตัวเองอย่างไรให้โลกเห็น และแน่นอนว่า ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่ย่อมนำเสนอ ภาพดี มากกว่า ภาพที่ขี้เหร่ไม่น่ามอง

... บางส่วนจากบทความในบท 'Facebook + twitter = What’s (happening) on your mind ?' ในหนังสือ 'ความสุขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้'

หยิบมาโฆษณาบ้างอะไรบ้างพอเป็นน้ำจิ้ม แต่ถ้ายังขายไม่ออก มีแผนต่อไปว่า จะทำการโฆษณาฮาร์ดเซลล์ด้วยการให้ คนเขียนไปทำ planking บนกองหนังสือ



Create Date : 26 ตุลาคม 2554
Last Update : 26 ตุลาคม 2554 15:08:13 น. 3 comments
Counter : 1013 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ เล่มนี้อ่านแล้วเช่นกันค่ะแต่ยังไม่ได้รีวิวว่างๆจะเอามารีวิวบ้าง

เราก็เป็นหนึ่งคนในโลกออนไลน์ พออ่านแล้วก็ได้อะไรมาคิดเยอะพอสมควร มีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับชีวิตประจำวันมากๆค่ะ


โดย: หนึ่งตะวันพันไมล์ วันที่: 26 ตุลาคม 2554 เวลา:23:15:10 น.  

 
เห็นมานานแล้วว่าจะอ่านดีหรือไม่อ่านดี จริงๆแอบตามบล็อคเค้าอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวจะไปหาอ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: TaMaChaN (narumol_tama ) วันที่: 29 ตุลาคม 2554 เวลา:21:06:30 น.  

 
อ่านเลยจ้า เล่มนี้แนะนำ อ่านแล้วอาจติดใจหาซื้อเล่มอื่นๆของคุณหมอมาอ่านต่อ รับประกันได้ความคิดมุมมองแน่นอน ไม่ดีโพสบอก ผมอยู่ข้างหลังคุณ ที่ Facebook ได้เลยครับ


โดย: makopoto (bossump-dd ) วันที่: 10 พฤศจิกายน 2554 เวลา:1:33:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

makopoto
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนหนึ่งคนที่รอความตาย อาจารย์ยงยุทธ อาจารย์เคยพูดไว้ว่า คนบนโลกนี้มี 2 ประเภท 1.คนที่ตายแล้ว 2.คนที่รอความตาย ผมยังอยู่ประเภท 2 กำลังรอความตาย แต่จะรอความตายอย่างไร? ติดตามผมมาเถอะครับ
Friends' blogs
[Add makopoto's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.