Movie & Fiction บล็อกนี้คนรักหนังและอ่านนิยาย
Group Blog
 
All Blogs
 

the Day the Earth stood still วันพิฆาตสะกดโลก : ปกป้องโลกจากตัวเรา


รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ

มีหนังหลายประเภทที่เราเก็บลิสต์ไว้ในใจ คือ
1) หนังประเภทที่ต้องหามาดูให้ได้ พยายามเสาะหา เจอร้านขายหนัง เช่าหนังที่ไหนก็จะมองหา เช่น ทุกวันนี้ผมยังหา China town มาดูไม่ได้ซักที
2) หนังดี ประเภทที่เจอต้องหยิบมาดู แต่ถ้าไำม่เจอก็ไม่ได้เสาะหา เอาเป็นอย่าง Iron Man ที่ผมไม่ได้ดูในโรง
3) หนังกลาง ๆ ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ เบื่อ ๆ ไม่มีอะไรดูก็อาจจะหยิบมาดู
4) หนังประเภทที่ต้องจ้างให้ดู ถึงจะยอมดู

หนังเรื่องนี้อยู่ในประเภทที่ 2.5 คือ พอจะรู้ว่าหนังไม่ได้ถูกเรียกว่าดี หรือห่วย แต่อยู่กลาง ๆ
แต่มีเหตุผลที่ผมหยิบหนังเรื่องนี้มาดู นั่นเพราะ Jennifer Connelly เล่น ทำให้หนังเรื่องนี้เลยถูกแปะป้ายไว้ว่าต้องดู แต่เมื่อไหร่ก็ได้

อันนี้คือคำสารภาพเบื้องต้นครับ

หนังเล่าเรื่องราวของดร.เฮเลน เบนสัน (Jennifer Connelly) นักวิทยาศาสตร์สาวแม่ม่ายที่มีลูกติด คือเจค็อบ (Jaden Smith ลูกชายของ Will Smith นั่นแหละ) ที่ต้องเผชิญหนัากับมนุษย์ต่างดาวนามว่าคลาทู (Klaatu รับบทโดย Keanu Reeves) ที่มาเยือนโลกเพื่อมาเตือนว่าโลกกำลังอยู่ในอันตราย แต่เหมือนคำเตือนนั้นจะมีความนัยอยู่

คลาทูต้องการพบกับผู้นำของโลก แตู่ถูกรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ (Kathy Bates) ยับยั้งไว้ โดยบอกว่าเธอเป็นตัวแทนของประธานาธิบดี และพวกเขา (อเมริกัน) เนี่ยแหละคือผู้นำโลก

คลาทูจึงต้องหาหนทางเอง โดยมีนางเอกคอยตามช่วยเหลือ และโน้มน้าวใจคลาทูให้เห็นด้วยกับเธอ เพื่อปกป้องโลกของเธอไว้ โดยมีเจค็อบเป็นตัวแปรหนึ่งที่คอยติดสอยห้อยตามไปด้วย พร้อมกับความไม่ลงรอยกันกับแม่ (เลี้ยง) ของเธอ และมุมมองที่มีต่อมนุษย์ต่างดาวอย่างคลาทู


the Day the Earth stood still เป็นผลงานรีเมกจากต้นฉบับในชื่อเดียวกัน เวอร์ชั่นเดิมออกฉายในช่วงปี 1951 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามเย็นระหว่างอเมริกากับรัสเซียนั้นเริ่มก่อตัวขึ้น ชาวอเมริกันอยู่ในภาวะที่มีความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงต่อสงครามนิวเคลียร์ที่อาจเกิดขึ้นได้จากความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย
และมนุษย์ต่างดาวบุกโลกก็เป็นประเด็นที่คนอเมริกันให้ความสนใจอยู่แล้ว

หนังต้นฉบับจึงจับสองประเด็นนี้มาเล่น

แต่มาในเวอร์ชั่นนี้นั้น หนังได้รับการตีความใหม่ ความกลัวที่มีต่อสงครามนิวเคลียร์ในช่วงสงครามเย็นนั้นหมดไปแล้ว แต่เทรนด์ใหม่ที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนทั้งโลกตอนนี้ก็คือ .... ใช่ครับ โลกร้อน (Global warming) หนังจึงจับตรงนี้มาเล่นแทน

ซึ่งถ้าผมเปรียบเทียบแล้วประเ็ด็นในเวอร์ชั่นต้นฉบับน่าจะกระแทกใจคนได้มากกว่าเวอร์ชั่นนี้

นอกจากนี้แล้วยังมีความแตกต่างของเวอร์ชั่นต้นฉบับและเวอร์ชั่นใหม่นี้อยู่อีก 2-3 อย่าง เช่น ต้นฉบับนั้นพระเอกหนีออกไปปลอมตัวเป็นมนุษย์และไปเจอกับนางเอกโดยบังเอิญ และนางเอก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด

ความสัมพันธ์ของนางเอกกับลูกในต้นฉบับนั้นก็ต่างจากเวอร์ชั่นนี้ ในเวอร์ชั่นเดิมนางเอกและลูกไม่มีปัญหาต่อกัน และพระเอกก็สนิทกับลูกนางเอกเป็นอย่างดี ถึงขนาดออกไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ด้วยกันด้วยซ้ำ

แต่นอกนั้นแล้วส่วนใหญ่ก็เหมือนเดิม โดยเฉพาะหุ่นกอร์ธนั้น ผู้สร้างแสดงความเคารพต่อต้นฉบับด้วยการทำให้ออกมารูปร่างหน้าตาคล้ายเดิม เพียงแต่ดูทันสมัยกว่า

สำหรับหนังเรื่องนี้นั้นมีอารมณ์ทั้งไซไฟ ดราม่า แอคชั่น ประเด็นเสียดสี และประเด็นรักษ์โลก ผสมกันอยู่ในตัว แต่เมื่อคุณดูจบทั้งเรื่องแล้ว คุณจะพบว่ามันเป็นหนังที่ส่วนผสมต่าง ๆ ไม่ลงตัว ทำออกมาได้ไม่เต็มที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ค้าง ๆ ไม่สุด เหตุผลง่าย ๆ ที่บอกว่าหนังไม่ลงตัวคือ ดูแล้วไม่สนุกนั่นเอง

ซึ่งตรงนี้ถือว่าผู้กำกับเป็นผู้รับผิดชอบสำคัญ ถ้าเปลี่ยนตัวจาก Scott Derrickson เป็น Steven Spielberg น่าจะทำให้หนังสนุกและมีอะไรได้มากกว่านี้

พิจารณาว่า สเปเชียลเอฟเฟกต์เรื่องนี้ก็ไม่ขี้เหร่แต่อย่างใด ฉากทำลายล้างช่วงท้าย ๆ ก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจดี (แม้อาจจะน้อยไปหน่อย สำหรับคนที่โดนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของหนังหลอกเอา)

ส่วนการแสดงของตัวละครหลักในเรื่องนั้น Keanu Reeves รับบทมนุษย์ต่างดาวหน้าตาย ไร้อารมณ์ได้เป็นอย่างดี ให้มนุษย์ต่างดาวแสดงเป็นมนุษย์ต่างดาว จะมีใครเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกเล่า (อันนี้แซว)

Jennifer Connelly ให้การแสดงออกของตัวละครที่พะว้าพะวงได้สมกับบทบาท ด้านหนึ่งก็ต้องปกป้องโลก อีกด้านหนึ่งก็ต้องพยายามแก้ไขและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอและลูกชายไปด้วยกัน

แต่เนื่องจากบทหนังไม่ได้ปูพื้น ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความผูกพันของตัวละครสองตัวนี้ ทำให้ความรู้สึกร่วมที่เรามีต่อประเด็นดราม่านี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เต็มที่

แต่อย่างที่บอกตอนต้นนั้น ช่วงเวลาที่ Connelly ขึ้นจอ ซึ่งขึ้นกล้องสุด ๆ ก็เป็นช่วงเวลาที่ช่วยชดเชยส่วนด้อยของหนังไปได้ (ผู้ชมผู้หญิงก็อาจจะรอดู Keanu Reeves ทำหน้าตายเช่นกัน ก็ไม่ว่ากัน แบ่งกันไป)

Jayden Smith เคยฝากผลงานการแสดงที่เป็นธรรมชาติและน่ารักไว้ให้เราดูจากเรื่อง Pursuit of Happyness แต่มาเรื่องนี้ที่ต้องมารับบทบาทตัวละครที่ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา ออกจะน่ารำคาญซะด้วยซ้ำ กับความพยายามที่จะทำอะไรที่ตรงข้ามกับสิ่งที่แม่ของเขาต้องการตลอด

อันนี้ต้องโทษไปที่บทหนัง ที่ไม่สามารถทำให้เรารู้สึกเข้าใจและเห็นใจตัวละครตัวนี้ได้มากเท่าที่ควร แม้หนังจะใส่ประเด็นเรื่องการจากไปของพ่อของเขาไว้ เพื่อให้เราเข้าใจถึงการแสดงออกต่าง ๆ เหล่านั้นก็ตาม แต่ก็ไม่มากและหนักแน่นพอ จนเมื่อถึงตอนท้ายเรื่องเมื่อหนังพาเราไปถึงส่วนหนึ่งของไคลแมกซ์ ก็เลยทำให้เราไม่รู้สึกอินตามไปกับหนังซักเท่าไหร่

แต่โดยรวม ฝีมือการแสดงของเด็กคนนี้ก็ถือว่าสอบผ่าน ต้องรอดูต่อไปว่าโตขึ้นมาจะทาบรุ่นพ่อได้หรือเปล่า


ตัวละครที่ผมรู้สึกผิดหวังมากที่สุดกลับเป็น Kathy Bates นักแสดงรุ่นใหญ่มากด้วยฝีมือ เจ้าของรางวัลออสการ์ 1 ตัว

คือผมคิดว่าเธอน่าจะให้การแสดงที่เปี่ยมพลังได้มากกว่านี้ แต่กลายเป็นว่าตัวละครตัวนี้มีการแสดงออกมามิติเดียวตื้น ๆ คือ แสดงได้น่าหมั่นไส้แค่นั้น

น่าเสียดายที่บทไม่สามารถดึงศักยภาพของตัวละครนี้ออกมาได้มากพอ พิจารณาว่าหนังต้องการจะกัดนิสัยของมนุษย์โลก โดยเฉพาะอเมริกา และตัวละครตัวนี้ก็เป็นตัวแทนชั้นดีของอเมริกา ซึ่งน่าจะเล่นได้มากกว่านี้และลึกกว่านี้


สิ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ ประเด็นเสียดสีสังคม สะท้อนและตอกย้ำความเห็นแก่ตัวของมนุษย์โลก เช่น

ในหนังทั่วไป เรามักจะเห็นภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่มาเพื่อรุกรานโลก แต่เรื่องนี้กลับตรงข้ามกัน ซึ่งทำให้เราได้เห็นนิสัยของมนุษย์ที่มักปกป้องและเข้าข้างตัวเอง และกำจัดหรือโต้ตอบผู้อื่นที่ทำให้ตัวเองรู้สึกถูกคุกคามกลับไป อย่างในฉากเปิดตัวมนุษย์ต่างดาว หรือผ่านตัวละครที่เป็นลูกของนางเอกเป็นต้น

นอกจากนี้หนังยังเสียดสีสังคมที่ผู้มีอำนาจมักใช้อำนาจของตัวเองกำหนด หรือจัดการปัญหา เพราะคิดว่าอำนาจคือคำตอบ และคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ต่อเมื่ออับจนหนทางแล้วจึงค่อยหันกลับมายอมรับความจริง แก้ไขปัญหาด้วยวิธีเจรจา หรือสันติวิธี

ถ้อยคำที่เป็นสารที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะนำเสนอนั้นส่วนใหญ่แล้วออกมาจากปากของคลาทูทั้งนั้น

"ถ้าโลกตาย มนุึษย์ก็ตาย แต่ถ้ามนุษย์ตาย โลกก็อยู่รอด"
"โลกของคุณ?"

ตัวคลาทูในเรื่องจึงถูกนำเสนอเปรียบเหมือนพระเจ้าที่ส่งคำเตือนมายังมนุษย์โลกให้พึงสังวรณ์และได้คิด

หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังที่ถ้าจะดูให้ได้ข้อคิดนั้น ก็มีแน่ เพราะหนังจ้องที่จะนำเสนอประเด็นอยู่แล้ว แต่ถ้าจะดูให้สนุกนั้น ก็ต้องบอกว่ายังไปไม่ถึงจุดนั้น

ผมให้ซัก 5.5 แล้วกัน

กร็ดเล็กน้อย
คำว่า Earth มีความหมายถึงโลกในเชิงพื้นพิภพโลก แต่คำว่า World นั้นมีความหมายในเชิงทั้งโลก รวมมนุษย์ด้วย (อธิบายเข้าใจไหมเนี่ย) คล้าย ๆ คำว่า House กับ Home ประมาณนั้น

นี่อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ชื่อเรื่องใช่คำว่า Earth คนที่ดูแล้วคงเข้าใจดี




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 1:41:02 น.
Counter : 3775 Pageviews.  


born 1993
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




คะแนนที่ให้กับหนังหรือหนังสือในบล็อกนี้มาจากความพึงพอใจของจขบ.นะครับ ผมให้โดยใช้เกณฑ์ว่าหนังหรือหนังสือเล่มนั้นทำหรือเขียนได้ดีตามแนวทางของตัวเองหรือเปล่า
ดังนั้นอย่าแปลกใจที่บางเรื่องอาจได้มากกว่าบางเรื่อง เพราะมันอาจจะเป็นคนละแนวกันก็ได้
ยินดีต้อนรับ และขอขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามานะครับ
Friends' blogs
[Add born 1993's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.