October Sonata รักที่รอคอย : หนังคุณภาพ คนที่อินย่อมซาบซึ้ง แต่อาจไม่ถึงในบางประเด็น
รีวิวกึ่งวิจารณ์ ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญครับ
น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้ทำรายได้ไปน้อยนิดตอนฉายในโรง รู้สึกจะไม่เกิน 10 ล้าน น่าเสียดายที่คนดูหนังไทยหลายคน อยากให้วงการหนังไทยผลิตหนังดี มีบทที่แข็งแรงออกมา แต่พอถึงเวลานั้นหนังที่ทำรายได้ก็ยังเป็นหนังตลก ที่เน้นมุกหยาบคายอยู่ดี
ผมไม่ได้่ต่อต้านหนังตลกแต่อย่างใด เพียงแต่เสียดายแทนหนังน้ำดีที่ถูกมองข้าม (ตัวผมก็ไม่ได้ไปดูในโรงเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยมีเวลา ช่วงหลัง ๆ มาก็ไม่ได้ไปดูหนังโรงนานแล้วเหมือนกัน อาศัยเก็บแผ่นเอา)
ผมดูหนังเรื่องนี้จบแล้วสัมผัสถึงกลิ่นอายของหนังที่มีส่วนคล้ายกับเรื่อง the Classic หนังรักเกาหลีในดวงใจของใครหลายคน
เปล่า ผมไม่ได้บอกว่าหนังก็อปปี้ แต่หนังอาจได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องนั้น ซึ่งสำหรับผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วถ้าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหนังก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง มีแนวทางเป็นของตัวเอง และมีประเด็นที่หนังหยิบยกมาพูดเป็นของตัวเอง
October Sonata เป็นหนัง Romantic Drama ดำเนินเรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2513 ซึ่งเป็นวันที่พระเอกมิตร ชัยบัญชาเสียชีวิตจากการตกเฮลิคอปเตอร์ (งามศพของมิตร ชัยบัญชา ถือเป็นงานศพของบุคคลธรรมดาที่มีผู้มาร่วมงานมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์) หลังจากนั้นหนังก็ดำเนินเรื่องโดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองไทยในยุคสมัยนั้นเรื่อยมา เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา เป็นต้น
แสงจันทร์ (รับบทโดยคุณก้อย รัชวิน) สาวโรงงานนางเอกของเรื่อง ได้พบกับ รวี (รับบทโดยคุณโป๊บ ธนวรรธน์) ซึ่งแปลว่าดวงอาทิตย์ (พระเอกบอกให้นางเอกทราบ และหนังให้นัยยะแก่เราเมื่อนางเอกบอกว่า ชื่อเขาตรงข้ามกับเธอที่หมายถึงดวงจันทร์) หนุ่มนักศึกษามีอุดมการณ์ที่กำลังจะไปศึกษาต่อเมืองนอกโดยบังเอิญ เขาและเธอได้ร่วมเดินทางและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสั้น ๆ แค่คืนเดียวที่บังกาโลหมายเลข 11 โรงแรมแสนมุก โดยแม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางกายกัน แต่เขาและเธอมีสัมพันธ์ทางใจต่อกันและกัน
แต่เมื่อวิถีชีวิตถูกกำหนดว่าต้องจำจากกัน รวีได้นัดหมายกับแสงจันทร์ว่าในวันที่ 8 ตุลาคมที่นี่เราจะกลับมาพบกันใหม่ แต่บางทีชีวิตคนเราก็เล่นตลก สิ่งที่วาดหวังไว้ บางครั้งก็ไม่สมใจหวัง
ลิ้ม (รับบทโดยคุณบอยพิษณุ) คือชายหนุ่มเชื้อสายจีนที่เข้ามาในชีวิตของแสงจันทร์ เขามอบความรักและความปรารถนาดีให้แสงจันทร์ และหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับแสงจันทร์ แต่นับจากวันที่ 8 ตุลานั้นเป็นต้นมา ที่ว่างในหัวใจของแสงจันทร์ก็ถูกแทนที่ด้วยรวี ชายหนุ่มที่เป็นรักแรกพบ และแรงบันดาลใจในการดำเนินชีิวิตของเธอ เธอไม่อาจตัดใจจากเขาได้ และเฝ้ารอคอยเขาด้วยความหวังว่าซักวันหนึ่ง.....
แต่จันทราซึ่งฉายแสงในเวลากลางคืน ก็ไม่อาจยืนเคียงข้างสุริยันในวันฟ้ากระจ่าง
ผมคิดว่า คำจำกัดความของโปสเตอร์ดารานำทั้งสามแบบให้ความหมายที่ครอบคลุมและลงตัวดีนะครับ
คนหนึ่งเฝ้าฝัน...คนหนึ่งเฝ้ารอ...อีกคนหนึ่งเฝ้ารัก....
หนังสร้างให้แสงจันทร์เป็นตัวละครที่มีภูมิหลัง ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ต้องใช้ชีวิตตกระกำลำบากอยู่กับป้าที่ไม่ได้รักเธอ พระเอกมิตร ชัยบัญชาอาจคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างเดียวของเธอ ผมจินตนาการว่าความสุขของเธอคือการได้ดูหนังของพระเอกที่เธอชื่นชอบแสดง
สุดท้ายสิ่งยึดเหนี่ยวนั้นก็หลุดลอยไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดคิดของมิตร ชัยบัญชา แสงจันทร์เป็นคนช่างคิด ช่างฝัน เธออาจเป็นคนที่มีโลกในจินตนาการในแบบของเธอ เพราะโลกความเป็นจริงของเธอนั้นมันไม่น่ารื่นรมย์
แต่แม้เธอเป็นคนช่างคิดช่างฝัน แต่ความคิดของเธอก็อยู่ในโลกแคบ เพราะความที่เป็นคนขาดการศึกษา ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาของเธอที่มีต่อระวีในช่วงต้นเรื่อง
ต่อเมื่อเธอได้พบกับรวี ชายหนุ่มที่แสนดีและมีอุดมการณ์ เขาได้ทำให้เธอได้มองเห็นโลกใหม่ และได้เติมเต็มชีวิตส่วนที่ขาดหายให้เธอ ด้วยความที่มีจุดร่วมจากพื้นฐานชีวิตคล้าย ๆ กัน
ในค่ำคืนสั้น ๆ คืนนั้น บทประพันธ์ "สงครามแห่งชีวิต" จากปลายปากกาของศรีบูรพา (ซึ่งคุณสมเกียรติ์ วิทุรานิช ผู้กำกับ ได้บอกไว้ว่าเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้) ที่รวีได้อ่านให้แสงจันทร์ฟัง รวมกับความรักที่เธอมอบให้ชายหนุ่ม เป็นแรงผลักดันให้เธอมีชีวิตที่มีเป้าหมายกว่าที่ผ่านมา
คุณก้อยแสดงหนังเรื่องนี้ได้ดีในบทของสาวซื่อ ไร้เดียงสาที่อ่อนแต่โลก และบูชาในรักแท้ แต่ในส่วนของบทสาวโรงงาน เธอยังไม่อาจทำให้คนดูอย่างผมเชื่อได้สนิทใจ อาจเพราะคุณก้อยมีภาพลักษณ์ที่ดูดีเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเธอเป็นสาวโรงงานที่ตกระกำลำบากและอยู่กับผู้ปกครองใจร้าย
ทำให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในตัวละครในแง่มุมนี้ถูกลดทอนลงไป แต่เราจะไปเห็นใจเธอจากการยึดมั่นในความรักที่มีต่อรวีซะมากกว่า
ส่วนพระเอกของเรา คุณโป๊บ สำหรับพระเอกหน้าใหม่ของวงการถือว่าสอบผ่านในบทที่ไม่ต้องแสดงออกทางอารมณ์อะไรมากนัก นอกจากเป็นผู้ชายแสนดี ที่ทำให้ผู้หญิงประทับใจ (แต่หน้าตาก็มีส่วนสำคัญ ถ้าหน้าตาแย่ มาขอจูงมือ หรือทายาใส่เท้า หรือนอนค้างคืนโรงแรมเดียวกัน ผู้หญิงที่ไหนจะมายอม...อนิจจา โลกเราช่างไร้ความยุติธรรมสำหรับผู้ชาย) กับทำหน้าซึม ๆ เศร้า อีกประมาณ 60 เปอร์เซนต์ของเรื่อง (ไม่ได้ประชด)
แต่คนที่ต้องได้รับคำชม และก็ได้มาแล้วจากหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้ คือ คุณบอยพิษณุ ในบทเฮียลิ้ม หนุ่มเชื้อสายจีนที่เทใจให้แสงจันทร์ตั้งแต่ต้นจนจบ
ลิ้มเป็นตัวละครที่ยืนอยู่บนโลกที่สุดแล้วล่ะครับ เขารักผู้หญิงที่เขาหลงรัก แต่ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป แม้ในท้ายที่สุด เขาเริ่มยอมรับได้ว่าเธอคงไม่รักเขาตอบ เขาก็ยินดีทำให้หญิงที่เขารักมีความสุขได้ ไม่ได้ทำตัวเป็นตัวอิจฉา ทั้งหมดในชีิวิตเขาก็แค่ต้องการสร้างครอบครัว สร้างฐานะและครองรักกับคนที่เขามอบหัวใจให้เท่านั้น แต่ชีวิตคนเราบางทีก็เหมือนนิยาย รักเขามากมาย แต่เขากลับรอคอยคนที่ไร้ตัวตน
เป็นคนนอกสายตามันเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง
ฉากที่เฮียลิ้มเอาซิปมาให้แสงจันทร์ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ในความใสซื่อบริสุทธิ์ของเขา การแสดงออกของคุณบอยเป็นธรรมชาติมาก ๆ แม้บทจะกำหนดให้สำเนียงการพูดเป็นแบบคนไทยเชื้อสายจีน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ดูตลกเหมือนอย่างหนังตลกไทยบางเรื่องเลย
กลับทำให้เป็นคำพูดที่ฟังแล้วใสซื่อ เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
โดยเฉพาะช่วงที่ต้องแสดงอารมณ์ กับประโยคสำคัญของเฮียลิ้มในเรื่องที่พูดว่า "ผู้ชายคนนี้มันมีตัวตน มันมีความรู้สึก มันรักแสงจันทร์ ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี และจะดูแลให้ดีด้วย" สำเนียงจีนของเฮียลิ้มก็ถูกบอยสื่อสารออกมาอย่างมีพลัง คนดูคงไม่อาจจะละเลยความรู้สึกของเขาไปได้ (แต่แสงจันทร์ใจแข็งและละเลย ด้วยประโยคประมาณว่า คุณดีเกินไป) และเห็นใจตัวละครตัวนี้แน่ ๆ
เอาไปเลย 10 กระโหลก สมกับรางวัลที่ได้มา
หนังแบ่งคนดูออกเป็นสองพวกด้วยกัน คือพวกที่รู้สึกว่าเรื่องราวความรักนี้ขาดความสมเหตุสมผล ทำให้ยากจะอินไปกับเรื่องราว แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเค
กับพวกที่มีประสบการณ์ตรง หรือคนที่เฝ้าหาและรอคอยรักแท้ในชีวิตจริง คนกลุ่มนี้จะเชื่ออย่างไม่ตั้งข้อสงสัยใด ๆ และประทับใจกับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่และเต็มใจ และอาจเสียน้ำตาให้กับบทสรุปของเรื่องราวในตอนท้ายได้
ยากที่จะมีพวกที่สามที่บอกว่า หนังห่วย แย่ ไม่ได้เรื่อง หรือถ้ามีก็ถือว่าใจร้ายไม่ใช่น้อย
เพราะแม้ตัวหนังเองจะมีจุดที่ตั้งใจจนเกินไป ขาดความสมเหตุสมผลอยู่บ้างเช่น 1) ง่ายไปไหมที่ตอบรับคำเชิญให้ร่วมเดินทางของคนที่เจอกันครั้งแรก (หรือเพราะเขาหล่อ) 2) ทำไมไม่ใส่รองเท้าก่อนวิ่ง เท้าเจ็บไม่ใช่เหรอ (อ๋อ เพราะถอดรองเท้าวิ่งมันได้ฟีลลิ่งกว่า) 3) บังกาโลวิวสวยขนาดนี้ เช่าเหมาปีเหรอ เห็นว่างตลอด 4) .... นึกอะไรออกอีกบ้างครับ
และมีคำพูดที่ประดิษฐ์ประดอยอยู่บ้าง
แต่หนังก็มีความดีงามในตัวอยู่ไม่ใช่น้อย เช่น
การสร้างเงื่อนไขการพลัดพรากของตัวเอก ก็ถือเป็นการเล่นตลกร้ายกับชีวิตจริง (ในหนังนะครับ) ที่น่าพึงพอใจ การจับเอาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มาสร้างเสริมเป็นประเด็นในหนังได้อย่างลงตัว แม้จะมีสิ่งที่ดูไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เช่น มิตร ชัยบัญชาตายวันที่ 8 ตุลาคม 2513 ตายปุ๊บจัดงานศพปั๊บในวันนั้นเลยเหรอ (อันนี้ผมไม่รู้แฮะ ไม่มีข้อมูลและเกิดไม่ทัน)
การใช้กิมมิกในการสร้างสีสันให้กับหนัง เช่น รอยสลัก หิ่งห้อย การเปลี่ยนชื่อของนางเอก เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วการสร้างโลเกชั่นย้อนยุคแบบหนังพีเรียดก็ทำออกมาได้ดี จนผมคิดว่างานกำกับศิลป์น่าจะเป็นตัวเต็งของหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
การถ่ายภาพก็ออกมางดงามสมกับเป็นหนังโรแมนติก
และถ้าการแสดงของนักแสดงหลักจะไม่อาจทำให้คุณพอใจได้ ผมว่าเฮียลิ้มน่าจะช่วยคุณได้นะครับ
สำหรับผมแล้วหนังถือว่ามีองค์ประกอบที่ลงตัว ทั้งบทภาพยนตร์ การถ่ายทำ การแสดง การตัดต่อ หรือเสียงประกอบ เพียงแต่เมื่อหนังเลือกจะพาอารมณ์คนดูไปถึงจุดที่ต้องการ หนังกลับดึงอารมณ์คนดูไปได้ไม่สุด ถ้าหนังจะใส่ช่วงเวลาที่ตัวละครได้ทอดอารมณ์สลับกับการดำเนินเรื่องราวไปตามเนื้อหาบ้าง อาจจะทำให้อินได้มากกว่านี้
หลายคนที่ดูอาจจะรู้สึกอึดอัดไปกับนิสัยและการกระทำของนางเอกที่ดูเหมือนโลเล เฝ้ารอคอยรักที่ดูเหมือนไม่มีตัวตน กับคนที่มีตัวตนและแสนดีอย่างเฮียลิ้มกลับไม่รักเขา
ผมอยากบอกว่าถ้าคุณรู้สึกหงุดหงิดกับนางเอก แสดงว่าหนังเรื่องนี้สร้างได้เข้าถึงคุณแล้วล่ะครับ และการแสดงของตัวละครก็ทำให้คุณเชื่อในเรื่องราวที่ผู้กำกับต้องการเสนอจริง ๆ
เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง มีคนแบบนี้อยู่เยอะเลยครับ เพียงแต่เราอาจไม่เข้าใจเขา เพราะเราไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง
ในขณะที่ลิ้มยืนอยู่บนโลก แสงจันทร์เป็นมนุษย์ที่ยืนอยู่บนดวงจันทร์ เฝ้าฝัน เฝ้ารอที่จะได้พบชายคนรัก แต่ดวงจันทร์ไม่เต็มดวงในทุกวัน ชีิวิตเธออยู่ในคืนเดือนมืดและจันทร์แรมซะเป็นส่วนใหญ่
รวี ชายหนุ่มแห่งดวงอาทิตย์ มากด้วยความคิดและอุดมการณ์ เปล่งแสงเจิดจ้า เป็นความหวังของดวงจันทร์ แต่ด้วยวิถีชีวิตที่เขาเลือกเดิน วงโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงประสานกันได้แค่ชั่วคราวในยามอัสดงและรุ่งอรุโณทัย เมื่อฟ้ากระจ่างก็จากลา
ใครคนหนึ่่งบอกว่ารักคนที่เขารักเราดีกว่า แต่ใครอีกคนหนึ่งบอกว่าจงเลือกอยู่กับคนที่เรารัก อย่าทำร้ายตัวเราและคนอื่นเลย
ความรักบางทีก็ง่ายบางทีก็ยาก แถมออกแบบก็ไม่ได้ และหลายครั้งก็โทษใครไม่ได้เลยในเรื่องความรัก
เหมือนที่บางคน (อีกเช่นกัน) บอกว่า ถ้าเลือกจะรักต้องพร้อมรับความทุกข์ เพราะสุขและทุกข์เป็นของคู่กันเหมือนสุริยันและจันทรา
ผมให้คะแนนเรื่องนี้ 7.5/10 ครับ
ขออภัยที่บทความนี้เวิ่นเว้อ และ (เหมือนจะ) ปรัชญาไปหน่อย บรรยากาศหลังดูหนังมันพาไป
Create Date : 28 เมษายน 2553 | | |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 1:13:39 น. |
Counter : 4715 Pageviews. |
| |
|
|
|