เรื่อยฯ เฉื่อยฯ เอื่อยฯ เยนเยนใจ
Group Blog
 
All Blogs
 

"เมื่อฉันแก่ตัวลง..

พบใน forword mail
ชอบมาก ขอเก็บไว้อ่านนานฯ
เผื่อลูกฯจะมาดูบ้าง

"เมื่อฉันแก่ตัวลง..
ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน
มีความอดทนต่อฉัน..เพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
ขอให้คิดถึง..ตอนแรกๆ ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง
ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื ่องเดิมๆ..ที่เธอรู้สึกเบื่อ
ขอให้อดทนสักนิด..อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆ ซากๆ
....จนเธอหลับเลย
ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้
อย่าตำหนิฉันเลยนะ ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ
ฉันต้องทั้งออด ทั้งปลอบ ..เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม
ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ.. อย่าหัวเราะเยาะฉัน
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม "ทำไม ทำไม"
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม
ตอนฉันเหนื่อยล้า..จนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอ..ออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน..ในตอนที่เธอยังเล็กๆ
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อ..ที่กำลังสนทนากันอยู่
ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว
...กำลังพูดเรื่องอะไร ....ไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน.. ฉันก็พอใจแล้ว
ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง..ไม่ต้องเสียใจ
ขอให้เข้าใจฉัน..สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่..ฉันสนับสนุนเธอ
ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ
ตอนนั้น ..ฉันนำพาเธอ..เข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้..ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉัน ....เดินไปให้สุดเส้นทาง
ให้ความรัก..และอดทนต่อฉัน
ฉันจะยิ้ม..ด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉัน
มีแต่ความรัก..อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ"




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 13:51:47 น.
Counter : 329 Pageviews.  

หลักการการเรียน ให้ได้เกรด 4 ตลอดชีวิต

ได้รับ อนุญาติแล้ว
จากคุณ มีใครไทยแลนด์

หลักการการเรียน ให้ได้เกรด 4 ตลอดชีวิต
หลักการที่สำคัญที่สุด คุมตัวของคุณเองให้ได้อย่างที่ต้องการจะเป็น แพ้ชนะอยู่ที่การสู้กับตัวเอง มิใช่สู้กับคนอื่น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ ความขยันอันไม่มีอะไรจะหยุดได้ ทฤษฎีบท ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สำเร็จมิได้ด้วยความเพียร สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นหลักการควบคุมตัวเองทั้งสิ้น ลองด้วยตัวคุณเองแล้วจะรู้ว่า ผมไม่ได้โกหกคุณเลย ( ถ้าคุณทำตามที่ผมว่ามาได้นะ ....ต้องได้ซิถ้าคุณจะทำจริง ๆ เพราะผมก็ทำมาแล้ว ) มาดูขั้นตอนทั้งหมดสรุปย่อโดยรวม
1. ควบคุมภาวะการหลับและการตื่นได้ดั่งใจ
2. ออกกำลังสม่ำเสมอ เพื่อพลังกายที่สมบูรณ์แบบ
3. อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2 ชม.(หรือตามที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณ
4. ทำโน๊ตสรุปสั้น ทุกครั้งที่อ่านหนังสือเสร็จ
5. นั่งสมาธิและทบทวนก่อนนอน และ ตื่นนอนทุกวัน
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชา
7. หลักวิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ และวิชาที่ใช้ความจำ
8. ต้องมีความรู้ติดสมอง
9. สุดท้ายเป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเอง

คำอธิบายในแต่ละขั้นตอน และรายละเอียด
1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ. ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.

2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ครับ. เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม. ก็เกินพอครับ. แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ.

3. อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2 ชม.(หรือตามที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณ) ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับ ได้ครั้งละเท่าไรครับ. อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที

4. อ่านจบวันหนึ่งๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ. สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร

5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.

6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ. เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ. เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า Where do you go? อะไรเป็นต้น แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที ดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ. ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ. แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ. จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . สำคัญคือความตั้งใจนะครับ. ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ. ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ. จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ

8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ.
ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง โดยทำดังต่อไปนี้ครับ.
- ให้นึก! โน๊ตย่อที่เราสรุปเองสัปดาห์ละหนติดต่อกันซัก 1 เดือน หรือ 4 สัปดาห์ นึกนะครับ. ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออกแสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็นนึก 1 เดือนต่อครั้ง จนเริ่มรู้สึกเบื่อเพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 สัปดาห์ จนเลิกนึกนี่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 3 เดือนนะครับ. ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ. ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่างๆ เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โครงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่ พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก

อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ. ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะ

จากคุณ : mama - [ 10 พ.ย. 45 07:07:18 A:137.104.161.236 X: ]

หมายเหตุ ที่มาจาก/ //www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X1874141/X1874141.html คัดลอกจาก ข้อความของผู้ตั้งกระทู้ในห้องหว้ากอ เวบบอร์ดพันทิพ ดอทคอม ด้วยเห็นความสำคัญแก่ผู้สนใจทั่วไปโดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา อนึ่งผู้เผยแพร่ได้ พิมพ์กล่าวอนุญาตเจ้าของข้อความในกระทู้ดังกล่าว ก่อนทำการคัดลอกและเผยแพร่แล้ว

จากคุณ : มีใครไทยแลนด์ - [ 9 ม.ค. 49 18:22:49 ]




 

Create Date : 17 มกราคม 2549    
Last Update : 20 มกราคม 2549 18:05:50 น.
Counter : 1881 Pageviews.  


เยนเยน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add เยนเยน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.