images by free.in.th
"
Group Blog
 
All blogs
 

ไคเซ็นในธุรกิจบริการ : ลดต้นทุน เพิ่มกำไร เหนือคู่แข่งในสงครามราคา

คนทำงานในธุรกิจบริการยุคนี้ต้องเหนื่อยยากแค่ไหนกับการบริการลูกค้า ทั้งลูกค้าประเภทเอาใจยาก ลูกค้าใหม่ที่อาจจะเสียความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรก เพียงเพราะบังเอิญมาเจอบริการที่ผิดพลาดพอดี หรือลูกค้าขาประจำที่อุดหนุนกันมานาน ก็อาจจะเสียความรู้สึกได้เหมือนกันถ้าบริการเกิดมีปัญหาขึ้นมา

และอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ คือ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง จนนอกจากจะขึ้นราคาได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยแล้ว ก็อาจต้องเจอคู่แข่งที่ให้บริการได้เหมือนเราแต่ราคาถูกกว่าเราได้ตลอดเวลา

ความท้าทายของธุรกิจบริการในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่การบริการที่ดีเท่านั้นแต่ต้องทั้งเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพและต้องลดต้นทุนกันอย่างจริงจังชนิดที่ว่า แม้แต่เพียง 1% ก็ต้องทำ เพราะต้นทุนที่ลดได้เท่ากับกำไรที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

แล้วทั้งเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าทั้งลดต้นทุน จะทำได้อย่างไร ?

คำตอบอยู่ใน“ไคเซ็นในธุรกิจบริการ” เล่มนี้แล้ว



ไคเซ็นในธุรกิจบริการ

เขียนโดย : Toyota Seisan Hoshikiwo Kangaeru Kai

แปลโดย : ผศ.ประยูร เชี่ยววัฒนา

หนา 304 หน้า

สำหรับธุรกิจบริการที่ต้องการทิ้งห่างคู่แข่งในสงครามราคาที่ดุเดือด “ไคเซ็นในธุรกิจบริการ” นำเสนอประเด็นการไคเซ็นหรือปรับปรุงงานในธุรกิจบริการประเภทต่าง ๆ และแนวทางสำหรับองค์กรในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริการนำไปสู่วิธีทำงานที่ทำให้บุคลากร “บริการได้ดี” และ “เพิ่มกำไรได้ด้วย” (จากต้นทุนที่ลดลง)

ไคเซ็น คือ การปรับปรุงงานโดยปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน พลิกแพลงทีละเล็กละน้อย โดยไม่ใช้เงินลงทุนเพิ่ม เพื่อกำจัดความสูญเปล่าอย่างจริงจัง นำไปสู่การลดต้นทุนซึ่งช่วยให้อยู่รอดได้ในการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง เพราะต้นทุนที่ลดได้เท่ากับกำไรที่เพิ่มขึ้น แม้รายได้จะเท่าเดิม

นอกจากนี้ไคเซ็นยังช่วยให้งานราบรื่น หยุดทุกความผิดพลาด ป้องกันทุกปัญหาในงานโดยแก้ที่สาเหตุต้นตอ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อลดความผิดพลาดในงานบริการได้ก็เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้ โดยพนักงานไม่ต้องเสียสละตนเองมากจนท้อถอย เพราะเป็นการปรับปรุงวิธีทำงานที่ไม่เพียงแค่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้นแต่ยังช่วยให้พนักงานทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย

ถ้าหลายคนยังสงสัยหรือไม่แน่ใจ เพราะคิดว่าการไคเซ็นทำได้แต่ในอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจบริการจะทำไคเซ็นได้อย่างไร “ไคเซ็นในธุรกิจบริการ” ก็ได้รวบรวมกรณีตัวอย่างจริงจาก 26 ธุรกิจบริการที่ประสบความสำเร็จในการไคเซ็น หรือการปรับปรุงงาน มาให้คุณได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว

ตัวอย่างจริงจาก 26 ธุรกิจบริการที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว

- ภัตตาคาร 

- ซูเปอร์มาร์เก็ต 

- โลจิสติกส์ 

- งานสำนักงาน

- โรงพยาบาล 

- งานสวัสดิการผู้สูงอายุ 

- สหกรณ์ 

- การค้าปลีก

- โรงแรม 

- บริการซักรีด 

- ที่ว่าการเขต 

- การไปรษณีย์ 

ธนาคาร 

- ธุรกิจประกันชีวิต 

- การก่อสร้าง 

- ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์

ตัวอย่างหนึ่งจากในเล่ม

ธุรกิจบริการนั้นแตกต่างจากธุรกิจการผลิต เพราะการปฏิบัติงานที่ทำซ้ำมีน้อย ทำให้โอกาสที่จะปรับปรุงงานด้วยไคเซ็นมีจำกัด แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง จะเห็นว่าธุรกิจบริการยังไม่ค่อยมีการทำไคเซ็น จึงเป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ นั่นคือ ยังมีประเด็นที่จะปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพได้อีกมากมายนั่นเอง

พิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง ลองทำได้ทันที ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ! 


ดูรายละเอียดของหนังสือและข้อมูลหนังสือใหม่เล่มอื่น ๆ ของสำนักพิมพ์ได้ ที่นี่




 

Create Date : 27 กันยายน 2555    
Last Update : 28 กันยายน 2555 9:20:08 น.
Counter : 17399 Pageviews.  

อัศจรรย์... วันที่สมองประทับใจ วิธีคิดและวิธีดำเนินชีวิตให้ถูกจริตกับสมอง!!

ไทยแลนด์ สู้ ๆ ปิ๊ด ปิ๊ด! ไทยแลนด์ สู้ ๆ ปิ๊ด ปิ๊ด!!

แหม่ เพิ่งจะปิดฉากไปสด ๆ ร้อน ๆ กับงานโอลิมปิกที่ลอนดอน
เพื่อน ๆ ได้ตามดูกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย?
คนแถวนี้เกาะติดจอโทรทัศน์และจอคอมพิวเตอร์ ชนิดที่ต้องช่วยกันแงะมือออกกันเลยทีเดียว
เพราะเกร็งจัด ลุ้นเกิ๊นนน!!

ยิ่งเวลาได้เห็นนักกีฬาที่เราถ่างตารอเชียร์กัน เย้ว เย้ว เย้ว ตีสอง ตีสาม ได้ขึ้นแท่นรับเหรียญด้วยแล้ว
โอ้โฮ หัวใจพองฟู แทบจะลอยออกมาได้ “ประทับใจสุด ๆ ” และเริ่มรู้สึกว่า เราต้องพยายามแบบเขาบ้าง
ต้อง “ฮึด” เหมือนฮีโร่เหรียญโอลิมปิกของเราบ้าง!!

“ความรู้สึกประทับใจ” ที่เป็น “แรงกระตุ้น” ช่วยให้เกิด “ความฮึด” เหล่านี้ เรา ๆ เข้าใจไปว่าเป็น
“ความรู้สึก” ที่เกิดขึ้นที่ “ใจ” ใช่ไหมล่ะคะ แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ได้ค้นพบแล้วว่า นี่คือ “การทำงานอย่างหนึ่ง” ของ “สมอง”

อะแน่ งงใช่ไหมล่ะคะ ไม่ต้องงงไป เรามีคำอธิบายอย่างละเอียดให้คุณ ในเล่มนี้แล้ว

แต่น แต๊นนนนน

อัศจรรย์... วันที่สมองประทับใจ



โดย Kenichiro Mogi
แปลโดย ดร.บัณฑิต โรจน์อารยานนท์
จำนวนหน้า 216 หน้า

หลายคน อาจจะคุ้น ๆ ชื่อผู้เขียนใช่ไหมล่ะคะ ใช่แล้วค่ะ! เขาคนนี้คือเจ้าของผลงาน “ความลับของสมอง... เรียนอย่างไรให้สมองมีความสุข” กับ “ความลับของสมอง... ทำงานอย่างไรให้สมองมีความสุข” ที่เคยสร้างความประทับใจมาแล้ว และเนื้อหาเล่มนี้ ก็ยังคงน่าติดตามไม่แพ้สองเล่มก่อนเช่นกัน

แม้เล่มนี้ จะกล่าวถึงการทำงานของสมอง คล้ายเล่มก่อน ๆ แต่ก็แตกต่างตรงที่ เป็นอีกมุมมอง ที่หยิบยกความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึก โดยเฉพาะ “ความรู้สึกประทับใจ” กับ "การทำงานของสมอง" มากล่าวถึงได้อย่างน่าสนใจ

แต่เดิม เรามักจะไม่ให้ความสนใจกับ “ความรู้สึก” เท่าใดนัก และมองว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับ “สมอง”
เพราะเราเข้าใจกันไปว่า “สมอง” จะทำหน้าที่ในการ “คิดคำนวณ” และ อื่น ๆ ที่ออกในแนว “เป็นเหตุเป็นผล”
ทว่า จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกเอง ก็ถูกควบคุมด้วย “สมอง”
ซึ่งสมองส่วนดังกล่าว เรียกว่า “ซีรีบรัลคอร์เทกซ์ (cerebral cortex)” โดยเฉพาะตรงที่เป็น “ฟรอนทัลโลบ (frontal lobe)”
สมองส่วนนี้ เป็นส่วนที่สร้างความสามารถในการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล และความสามารถนี้เอง ที่ทำให้คนเราควบคุมอารมณ์ได้!

เห็นไหมคะ สมอง กับ อารมณ์ เป็นสิ่งที่ตัดกันไม่ขาดเลยทีเดียว เป็นเงาตามตัว เป็นยิ่งกว่าปาท่องโก๋
(เริ่มหิว เริ่มเข้าเรื่องอาหารละ ฮ่า ๆ ๆ)

เพราะฉะนั้น อารมณ์จึงมีอิทธิพลต่อสมองเป็นอย่างมาก ถึงขั้นว่า ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลก กล่าวไว้ว่า

“คนที่อยู่โดยไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นประทับใจในเรื่องอะไรเลย ก็เหมือนกับการไม่มีชีวิตอยู่”

เว่อร์แล้ว! แค่มีความรู้สึกประทับใจ กับไม่มี มันจะต่างอะไรกันมากมายเชียว!?
อย่าทำเป็นเล่นไปนะคะ คุณ ๆ ! มีผลเยอะทีเดียวเชียวค่ะ

ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่า ความประทับใจ ทำให้เรามองโลกในมุมบวก ซึ่งการมองโลกในแง่ดีนี่เอง ที่จะทำให้สมองทำงานได้ดี ช่วยพัฒนาสมอง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเอาแต่คิดว่า เราแย่ เราแย่ เราไม่ดี เราไร้ความสามารถ สมองก็จะกลายเป็นสมองที่ไร้ความสามารถไปจริง ๆ !!

นั่นแสดงว่า หากเรารู้จักนำเคล็ดลับของสมองและอารมณ์ที่ว่านี้ มาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดกับการคิด การเรียน และการทำงาน
เราก็จะเป็นคนเรียนและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ!!

ต๊ายยยย!! ความรู้สึกประทับใจ มีอิทธิฤทธิ์ขนาดนี้เลยรึ!? กรี๊ด!

ว่าแต่ แล้ว... เราจะหา “ความประทับใจ” ได้จากที่ไหนบ้างล่ะ!?

เออเนอะ น่าคิด อืมมมมมม...

อะฮ้า ไม่ต้องคิดมากไปค่ะ เพราะ คำตอบ มีให้คุณ ๆ ค้นหากันแล้ว ในเล่ม
แล้วคุณจะพบว่า ความสุข ความสำเร็จนั้น อยู่ใกล้ ๆ แค่ปลายขนตานี้เอง

จะปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปอย่างเรื่อยเปื่อยทำไม
ในเมื่อมีวิธีง่าย ๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเราได้ในชั่วพริบตา


เพื่อนๆ สามารถแวะไปดูสารบัญและเนื้อหาบางส่วน เป็นน้ำจิ้มก่อนได้ ที่ลิงค์นี้นะคะ อ้อ มีหนังสือน่าสนใจแนะนำกันอีกเพียบด้วยค่า//www.tpa.or.th/publisher/page_detail.php?bno=112




 

Create Date : 16 สิงหาคม 2555    
Last Update : 16 สิงหาคม 2555 13:44:29 น.
Counter : 4592 Pageviews.  

พูดแล้วยอม 77 ไม้เด็ดโน้มน้าวใจ : โอเคตามนั้น จัดไป!!!


Smiley เคยสงสัยกันมั้ยคะ ว่าทำไมไลฟ์สไตล์ของคนทำงานสมัยนี้ถึงเปลี่ยนไป... 

จากที่เคยคุยงานกันในห้องหรือออฟฟิศแคบ ๆ 
เปลี่ยนมาเป็นนัดคุยงานกันตามร้านกาแฟ หรือร้านอาหารบรรยากาศดี ๆ 

นักการเมืองเองก็เป็นนะขอบอก ชอบนัดทานข้าวตีกอล์ฟเพื่อเจรจาธุรกิจกันน่ะ 
เคยสังเกตกันรึป่าว!!! แล้วจะวกเข้าเรื่องการเมืองทำไมเนี่ยช้าน Smiley

จะบอกว่า...ก็เป็นเพราะเพลงบอสซ่าเบา ๆ ชวนเคลิ้ม กลิ่นกาแฟห๊อมหอม 
ขนมอร่อย ๆ สุดชิค หรืออาหารหน้าตาไฮโซน่ากิ๊นน่ากิน 
แล้วก็บรรยากาศร้านที่อบอุ่น เป็นกันเอง จนไม่อยากจะลุก 

ประเด็นคือ ร้านพวกนี้ก็มักจะมีหนุ่มสาวหน้าตาดีแวะเวียนกันเข้ามาเสริมฮวงจุ้ยของร้านให้ดีขึ้นไปอีก <<ตาใสวิ๊งกันเลยทีเดียว Smiley>>

เมื่อ “บรรยากาศเป็นใจ” และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเราถูกเติมเต็มแล้ว 
คนเราก็จะเผลอตัวปล่อยใจไปกับสิ่งเร้ารอบตัวได้ง่าย 

ทีนี้ก็เป็นเวลาของเรา... 
ที่จะลงมือเจรจาต้าอ่วยเพื่อโน้มน้าวให้เค้าตกลงปลงใจกับเรา (หรือธุรกิจของเรา) แล้วล่ะ เสร็จช้านนนล่ะที่นี้!! Smiley

เชื่อซิคะว่าทริคง่าย ๆ แค่นี้ ก็ช่วยโน้มน้าวใจให้สำเร็จไปได้กว่าครึ่งโดยที่เค้าไม่รู้ตัวเลยน้าาาา ไม่เชื่อลองนำไปใช้กันดูค่ะ 


...อีก 70 กว่าทริคที่เหลือ ไปตามเก็บตกกันได้ในหนังสือนะจ๊ะ SmileySmiley



พูดแล้วยอม 77 ไม้เด็ดโน้มน้าวใจ
พิมพ์ครั้งที่ 1 หนา 224 หน้า 
(pocket book)

แวะเวียนเข้าไปดูตัวอย่างกันก่อนจ้า Smiley

ได้ความว่ายังไง ทริคไหนเด็ด ทริคไหนโดน 
อย่าลืมกลับมาเม้าท์มอยกันเบา ๆ ด้วยนะคะ 
แหมๆๆ ก็อยากรู้บ้างไรบ้าง!!! 
เผื่อจะเอาไปใช้กะเค้ามั่งอ่ะค่า Smiley







 

Create Date : 01 สิงหาคม 2555    
Last Update : 1 สิงหาคม 2555 11:46:19 น.
Counter : 5523 Pageviews.  

สอนลูกน้องให้เก่งและเป็นงาน



สอนลูกน้องให้เก่งและเป็นงาน
โดย : Matsuo Akihito
แปลโดย ดร.สุลภัส เครือกาญจนา
ขนาด : 145 x 210 mm.
จำนวนหน้า 168 หน้า


เคยคิดไหมว่า “ถ้ามีตัวเราอีก 1 คนล่ะก็...งานคงเสร็จเร็วขึ้นอีก 2 เท่า”
มาสร้าง “ทายาทที่จะสืบทอด DNA งาน” ของคุณขึ้นมาอีกหลาย ๆ คน เพื่อปลดปล่อยคุณออกจากชีวิตการทำงานอันยุ่งเหยิงกันเถอะ...

เพราะ “บทบาทของหัวหน้า” ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งองค์กรสมัยนี้ต้องการ คือ การ “เสริม” “สร้าง” และ “ขับเคลื่อน” ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ ”เก่ง” และกลายเป็น “กลไกหลัก” ที่จะทำให้องค์กรเติบโตและก้าวหน้าต่อไปได้ แต่จะมีหัวหน้าสักกี่คนที่ใช้เครื่องมือ ที่เรียกว่า “การสอน” ได้อย่างครบถ้วนและเกิดผลจริง

เนื้อหาในเล่มบอกถึง

• การสร้าง “ห่วงโซ่แห่งการสอน” อย่างต่อเนื่อง จากหัวหน้า -> ผู้ใต้บังคับบัญชา และจาก รุ่นพี่ -> รุ่นน้อง
• เทคนิคการสอนที่เหมาะกับผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละแบบ
• หลักการสอนแบบ “Give Give Give”
• การสอนแบบตัวต่อตัว (Man to Man) ที่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา “ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง”
• วิธีสอนผู้ใต้บังคับบัญชาพร้อม ๆ กันจำนวนมาก

ให้ระลึกเสมอว่า “เมื่อยืนอยู่เหนือคนอื่น = มีหน้าที่สอนผู้อยู่ข้างล่าง”
เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ใช่สมบัติของหัวหน้า แต่เป็นบุคลากรที่สำคัญของบริษัท
--------------------------------------------------------------------------------------


"สอนลูกน้องให้เก่งและเป็นงาน" เล่มนี้ เหมาะสำหรับหัวหน้าทั้งมือใหม่และเก่าที่กังวลใจว่าตัวเอง “สอนไม่เก่ง” หรือไม่ถนัดในเรื่อง “การสอน และสร้างคน”

ลองมาดูตัวอย่างในหนังสือที่กล่าวถึง "ประเภทของคนที่เราจะสอน" กันค่ะ

คงไม่มีใครที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคย “สอน” อะไรให้กับใคร ไม่ว่าจะสอนเพื่อนใช้คอมพิวเตอร์ สอนพ่อแม่ใช้โทรศัพท์มือถือ สอนลูกจับตะเกียบหรือขี่จักรยาน หรือสอนงานให้ลูกน้อง แต่ไม่ว่าจะสอนแบบใด เรื่องไหน ฐานะอะไร ก่อนจะสอนเราลองมาสังเกตกันดีกว่า ว่า “คนที่เราจะสอนน่ะ เป็นแบบไหนกันบ้าง ?”

แบบแรก คือ พวก “มือใหม่” พวกนี้สอนง่ายมาก เพราะเขาจะตั้งใจเรียนรู้เพื่อซึมซับสิ่งที่เราสอนให้ได้มากที่สุด แล้วยังทำตามอย่างว่าง่ายด้วยนะ เพราะเขาไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนเลย และที่สำคัญ “ไม่มีอคติ” ในใจ อย่างเช่น พวกนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ไงล่ะ

แบบที่ 2 เป็นพวกที่ “เคยรู้หรือเคยทำ” มาบ้าง พวกนี้มักจะเอาสิ่งที่เราสอนไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เคยได้ทำได้รู้มาแล้ว แล้วก็คิดว่า “ทำไมไม่สอนแบบนั้นแบบนี้ล่ะ” ถ้าเจอแบบนี้ ก็ต้องใช้ความอดทนในการสอนค่อนข้างมากเชียวล่ะ

แบบที่ 3 เป็นพวกที่ “มีความมั่นใจแบบไม่มีเหตุผล” รู้แต่ว่าฉันต้องทำได้ เพราะฉันเคยทำงานคล้าย ๆ แบบนี้แล้วประสบความสำเร็จมาก่อน อย่างเช่น พวกนักศึกษาที่เคยทำกิจกรรมหรืองานอีเว้นต์มาบ้าง จะไม่คอยฟังสิ่งที่เราสอน อย่างงี้เราต้องหยุดสอน แล้วให้เขาลองทำเลย เมื่อได้ผลงานออกมา ค่อยมาสอนกันอีกทีว่า เพราะไม่ฟังสิ่งที่สอนไง ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้

แบบที่ 4 เป็นพวกที่ “ไม่มั่นใจ” และคิดไปก่อนว่าจะไม่สำเร็จ ก็เลยไม่กล้าลงมือทำ แบบนี้เราก็ต้องคอยประกบและช่วยสนับสนุนเขาอยู่ห่าง ๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับเขา

แบบที่ 5 เป็นพวกที่ “อายุมากกว่า” เราก็ต้องสอนเขาอย่างนอบน้อม แล้วบอกว่าต้องรบกวนให้ช่วยเหลือด้วยนะคะ/ครับ ที่สำคัญ “ห้ามดุ” เขาอย่างเด็ดขาด เพราะเขาอาวุโสกว่าเรา

แบบที่ 6 เป็นพวกที่ “อายุน้อยกว่า” ต้องสอนเขาพร้อมกับดึงความสามารถที่เขามีอยู่ออกมา พร้อมกับยอมรับและชื่นชมเขาว่า เก่งมาก ๆ จริง ๆ นะแล้วใช้สิ่งที่เขามีอยู่นั้นให้เป็นประโยชน์

แบบที่ 7 เป็นพวกที่ ไม่อยากเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ เพราะคิดไปว่าป่านนี้แล้ว หรือทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก อย่างงี้เราก็ต้องสร้างแรงจูงใจ หรือเปลี่ยนทัศนคติของเขาให้เป็นบวกก่อนที่จะสอน

แบบที่ 8 เป็นพวกที่ “ตั้งใจมากเกินไป” ต้องระวังไม่ให้เขาคาดหวังหรือตั้งใจกับสิ่งที่ทำมากเกินไป เพราะจะกลายเป็นความกดดันและทำให้เครียด ผลงานที่ออกมาก็อาจจะไม่ดีไป

ลองสังเกตดูนะว่าคนที่เราจะสอนเป็นคนแบบไหน จะได้สอนได้ถูกต้องและเหมาะกับเขา เมื่อสอนไปบ่อย ๆ เข้าเราก็จะกลายเป็น คนที่ “ถนัดสอน” ไปเอง !

=============================================================

เชิญแวะชมรายละเอียดหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ได้ที่

//www.tpa.or.th/publisher/new_arrive.php

หนังสือเล่มอื่น ๆ ที่เนื้อหาใกล้เคียงกับ "สอนลูกน้องให้เก่งและเป็นงาน"

เปลี่ยนลูกน้องให้เปี่ยมแรงบันดาลใจ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=book4u&date=27-03-2012&group=1&gblog=97

คนเก่งสร้างได้ //www.tpabookcentre.com/catalog/product_info.php?products_id=2092

สอนเก่งสอนเป็น

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=book4u&date=08-04-2011&group=1&gblog=81

 




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2555    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2555 8:58:43 น.
Counter : 5073 Pageviews.  

เปลี่ยนลูกน้องให้เปี่ยมแรงบันดาลใจ : ปลุกไฟการทำงานของทีมให้ลุกโชน

เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมลูกน้องหรือทีมงานจึงดูเซื่องซึม ไม่กระตือรือร้น หรือไม่มีใจอยากจะทำงานเอาเสียเลย

เคยคิดไหมคะว่า สิ่งที่คุณที่เป็น “หัวหน้า” กำลังทำอยู่มีผลต่อการกระทำและจิตใจของลูกน้องมากแค่ไหนและส่งผลกระทบต่อการทำงานของลูกน้องอย่างไร

หรือเคยรู้สึกไหมคะว่า สิ่งที่คุณเชื่อหรือทำอยู่เพราะคิดว่าดีและเหมาะสมแล้ว อาจเป็นสิ่งที่ผิดและไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งในฐานะหัวหน้าก็ได้

หากคำตอบของคุณคือ “เคย” แล้ว 3 สิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณเคยคิดจะทำ อยากทำได้ หรือกำลังพยายามทำอยู่ใช่หรือไม่

คุณต้องการ “รู้และเข้าใจ” ว่าทำไมลูกน้องหรือทีมงานจึงไม่มีไฟในการทำงาน
คุณต้องการ “สร้างและปลุก” พลังและแรงบันดาลใจให้ทุกคนในทีม
คุณต้องการ “แก้ไขและหลีกเลี่ยง” ความเชื่อ ความคิด หรือพฤติกรรมผิด ๆ ที่บั่นทอนกำลังใจของพวกเขา

หากคุณตอบว่า “ใช่” และเห็นด้วยกับข้อความทั้งสาม บ.ก. เชื่อว่าหนังสือเล่มที่นำมาแนะนำในวันนี้จะมีประโยชน์กับคุณอย่างแน่นอนค่ะ




เปลี่ยนลูกน้องให้เปี่ยมแรงบันดาลใจ
โดย Shogo SASAKI
แปลโดย สินี แสงเดือนฉาย
จำนวนหน้า 192 หน้า

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารและจัดการแรงบันดาลใจของลูกน้องหรือทีมงานของคุณอย่างถูกวิธีซึ่งจะทำให้คุณกลายเป็นหัวหน้าที่ครองทั้ง “ใจของทีม” และ “ผลสำเร็จของงาน”

ทำไม “แรงบันดาลใจ” จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ลักษณะอย่างหนึ่งของแรงบันดาลใจคือสิ่งที่ไม่สามารถบังคับให้เกิดขึ้นได้ แม้คุณจะพูดกับลูกน้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและปรารถนาดีว่า “ตั้งใจทำงานกันหน่อยนะ สร้างแรงบันดาลใจในการทำงานกันหน่อย” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกน้องจำต้องทำงานอย่างเสียมิได้ เพราะลูกน้องจะตีความประโยคดังกล่าวว่า “หากพวกเขาไม่สร้างแรงบันดาลใจแล้ว จะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

ซึ่งในกรณีที่เป็นพนักงานในองค์กร “เรื่องร้าย” ที่ว่าก็คงหนีไม่พ้น ถูกว่ากล่าวตักเตือน ถูกทำโทษ หรือร้ายแรงที่สุดคือถูกไล่ออก ซึ่งแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นในที่นี้ก็คือ “แรงบันดาลใจเชิงลบ” ค่ะ

เราลองมาดูตัวอย่างง่าย ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นกันค่ะ
สมมติมีสิงโต กระต่ายน้อย 2 ตัว และแครอท กระต่ายน้อยต่างกำลังวิ่งไปยังโพรงต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป แต่สิ่งที่ต่างกันคือ

กระต่ายน้อยตัวที่ 1 กำลังวิ่งไปที่โพรงต้นไม้เพื่อหลบหนีสิงโตที่กำลังหิวโหย
กระต่ายน้อยตัวที่ 2 กำลังวิ่งไปยังแครอทที่อยู่ไกลออกไป

คุณผู้อ่านน่าจะเดาคำตอบได้ไม่ยากใช่ไหมคะว่า กระต่ายตัวไหนเกิดแรงบันดาลใจเชิงลบและกระต่ายตัวไหนเกิดแรงบันดาลใจเชิงบวก แน่นอนค่ะ คำตอบคือ ตัวที่ 1 และตัวที่ 2 ตามลำดับ

เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีดังกล่าว ถ้าเราจำต้องทำงานเพราะกลัวว่าจะถูกดุหรือถูกไล่ออก เราก็ไม่ต่างอะไรกับกระต่ายตัวที่ 1 เลย ซึ่งมีแรงบันดาลใจทำงานเพื่อหลบหนีจากเหตุการณ์เชิงลบ เพราะเราไม่อยากให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นกับตนเอง จึงจำต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นอย่างเสียมิได้

แล้วแรงบันดาลใจเชิงบวกล่ะ ?
แม้กระต่ายน้อยตัวที่ 2 จะวิ่งไกลออกไปเพราะเจอสิ่งที่ชอบ (แครอท) แต่เราไม่สามารถรู้หรือไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยนะคะว่ากระต่ายน้อยตัวนี้มีความสุขในการวิ่ง เรารู้เพียงแต่ว่า แครอท เป็น แรงจูงใจภายนอก (การถูกจูงใจด้วยสิ่งตอบแทนเท่านั้น) เพราะเป็นแรงผลักที่ทำให้กระต่ายตัวนี้ “วิ่ง” ถ้าเปรียบการ “วิ่ง” เป็นการ “ทำงาน” คุณผู้อ่านเดาออกไหมคะว่า “แครอท” จะเปรียบกับอะไร

ใช่แล้วค่ะ สิ่งที่ว่านี้ก็คือเงินเดือนค่ะ และการทำงานด้วยความรู้สึกมุ่งหวังเพียงแต่เงินเดือนนั้นก็ไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ลองนึกภาพกระต่ายตัวที่ 2 ที่ไม่เห็น “แครอท” แล้วไม่ออก “วิ่ง” ดูสิคะ เมื่อไม่มี “แครอท” เขาก็จะหยุด “วิ่ง”

ประเด็นที่หนังสือเล่มนี้ต้องการบอกหัวหน้าทุกคนก็คือ การทำให้กระต่ายน้อย “วิ่ง” เพราะอยาก “วิ่ง” ไม่ใช่วิ่งเพราะ “หนีสิงโต” หรือวิ่งเพราะ “ต้องการแครอท” ค่ะ

พูดง่าย ๆ ก็คือ การทำให้ลูกน้อง “ทำงาน” เพราะ “รู้สึกอยากทำงาน” ซึ่ง “แรงบันดาลใจเชิงบวก” ก็คือสิ่งนั้นค่ะ

ทำไม “แรงบันดาลใจเชิงบวก” จึงไม่เกิดขึ้น ?
แม้คุณจะพูดด้วยความปรารถนาดีอย่างแท้จริงว่า “ตั้งใจทำงานนะ สร้างแรงบันดาลใจโดยไม่ต้องให้บอก” โดยคิดว่าการตั้งใจทำงานจะมีผลดีกับตัวลูกน้อง แต่พวกเขาอาจไม่ได้ตีความลึกขนาดนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าเป็นการพูดที่แฝงนัยข่มขู่ ผลที่ได้ก็มีแต่จะเกิดแรงบันดาลใจเชิงลบดังเช่นกระต่ายน้อยที่วิ่งหนีสิงโตก็เท่านั้น

คุณลักษณะอย่างหนึ่งของจิตใจและสมองคือ “คนเรามักหลีกหนีจากความลำบากก่อน แล้วค่อยมองหาความยินดี” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ไวต่อความเจ็บปวดมากกว่าความสุข และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้สร้างแรงบันดาลใจเชิงลบได้ง่ายกว่าการสร้างแรงบันดาลเชิงบวก เพราะแม้ไม่สร้างแรงบันดาลใจเชิงบวกก็ไม่ส่งผลร้ายอะไร แต่หากไม่สร้างแรงบันดาลใจเชิงลบก็อาจเกี่ยวพันถึงชีวิตเราได้นั่นเองค่ะ

ลองนึกถึงเวลาทานอาหารเพราะหิวกับทานเพราะเจออาหารที่ชอบก็ได้ค่ะ เรายังมีชีวิตอยู่ได้หากไม่ได้ทานอาหารที่ชอบ แต่เราไม่อาจอดทนต่อความหิวโหยได้ และแม้ทนหิวต่อไปก็มีแต่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายค่ะ

ดังนั้นหากคุณเป็นหัวหน้าที่พูดแต่สิ่งที่สามารถตีความได้ทั้งนัยเชิงบวกและเชิงลบ ก็คงไม่แปลกอะไรถ้าคนฟังอย่างลูกน้องของคุณจะตีความไปในทางลบเสียก่อน นี่คือคำตอบว่าทำไมแรงบันดาลใจเชิงบวกจึงไม่เกิดขึ้น

ทำอย่างไรให้เกิดแรงบันดาลใจ ?
หนังสือเล่มนี้แนะนำเทคนิคเพิ่มพลังใจและไฟทำงานให้ลูกน้องไว้อยู่หลายข้อค่ะ สิ่งสำคัญคือแรงบันดาลใจเชิงบวกจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมี “แรงจูงใจภายใน (การถูกจูงใจจากการกระทำนั้น ๆ)” ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเจ้าตัวเอง

คุณผู้อ่านบางท่านอาจเกิดคำถามขึ้นในใจแล้วสินะคะว่า “อ้าว ในเมื่อเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเขาก็เท่ากับเป็นปัญหาส่วนตัวของเขา แล้วหัวหน้าอย่างฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ” (ฮั่นแน่ คุณกำลังคิดในสิ่งที่เป็น 1 ในความเข้าใจผิด 5 ประการที่หนังสือเล่มนี้อ้างถึงค่ะ อยากรู้รายละเอียดหาอ่านได้ใน “บทที่ 3 ความเข้าใจผิด 5 ประการเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ” นะคะ )

แม้ “แรงบันดาลใจเชิงบวก” ที่เกิดจาก “แรงจูงใจภายใน” เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นได้ยาก แต่ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้เลยนะคะ บ.ก. ขอเรียกเทคนิคเพิ่มแรงบันดาลใจให้ทีมงานว่า “ปฏิบัติการซุ่มเติมเชื้อไฟแบบไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว” ล่ะกันนะคะ เพราะอย่างที่ทราบว่าเรากำลังปฏิบัติการทำให้ทีมของคุณเกิดแรงบันดาลใจในแบบที่ต้องทำให้เขารู้สึกได้ขึ้นมาด้วยตัวเองเท่านั้น !

หนึ่งในเทคนิคที่หนังสือเล่มนี้แนะนำไว้คือ “การยอมรับในตัวลูกน้อง” ค่ะ หลายคนอาจสงสัยว่าการยอมรับที่ว่าทำได้อย่างไรบ้าง บ.ก. ขอยกเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ทำได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน นั่นคือ “การทักทาย” ค่ะ

การทักทายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปทำกันเป็นปกติ จึงไม่จำเป็นต้องคิดถึงหน้าที่ของการกระทำดังกล่าวให้ยุ่งยากแต่อย่างใด แต่ในสถานการณ์ที่ตามปกติแล้วควรทักทายกัน แต่ถ้ากลับละเลยมองข้ามไป จะเป็นอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนั้น ฝ่ายที่ไม่ถูกทักทายก็คงรู้สึกว่า “ตัวตนของตนถูกมองข้าม” กล่าวคือ เสียความรู้สึกในเรื่องความต้องการการยอมรับนั่นเอง(ส่วนหนึ่งจากเทคนิคที่ 1 จากบทที่ 2 เทคนิค 9 ประการในการ “ทำให้ลูกน้องเกิดความท้าทายในจิตใจ”)

สรุปสั้น ๆ ก็คือ หัวหน้าไม่ควรมองข้ามตัวตนของลูกน้องนั่นเองค่ะ ซึ่งเมื่อพูดถึงตัวตนแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ก็คือ การทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกว่าการกระทำหรือการทำงานของเขาเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นค่ะ เมื่อหัวหน้ายอมรับการทำงานของเขาก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าลูกน้องมีประโยชน์ต่อหัวหน้า และนั่นทำให้เกิดพลังและไฟในการทำงานอย่างต่อเนื่องค่ะ

แม้จะบอกว่ามี 9 เทคนิค แต่ในแต่ละเทคนิคยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่คุณอาจไม่เคยรู้ ไม่เคยทำ หรืออาจทำอยู่แต่คิดไม่ถึงว่ามีประโยชน์และส่งผลดีถึงเพียงนั้น ที่สำคัญคืออย่าเผลอทำในสิ่งที่จะบั่นทอนแรงบันดาลใจของลูกน้องนะคะ

(แน่นอนว่า หนังสือเล่มนี้พูดถึงความเข้าใจผิด 5 ประการที่คุณผู้เป็นหัวหน้าอาจเผลอทำอยู่ ลองเปิดหาอ่านได้จากในเล่มค่ะ) อ่านจบแล้วก็มาเริ่มปฏิบัติการเติมไฟทำงานและแรงบันดาลใจให้ลูกน้องและทีมงานกัน บ.ก.เชื่อว่าคนเป็นหัวหน้าน่าจะรู้ดีที่สุดว่าพลังของทีมเป็นพลังสุดแกร่งที่ทำให้ก้าวผ่านอุปสรรคและเดินหน้าคว้าความสำเร็จค่ะ

--------------------------------------------------------------------------------
เติมเต็มความรู้และแรงบันดาลใจกับงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 40






 

Create Date : 27 มีนาคม 2555    
Last Update : 29 มีนาคม 2555 9:25:55 น.
Counter : 5097 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

textbook
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. สรรค์สร้างสาระสู่สังคม
มุ่งมั่นผลิตตำราวิชาการและหนังสือเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ การบริหารจัดการ ด้านส่งเสริมการศึกษา เพื่อการพัฒนาตนเองและองค์กร สำหรับภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม
Friends' blogs
[Add textbook's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.