images by free.in.th
"
Group Blog
 
All blogs
 

PICTO แกะรอยโมเดลธุรกิจ ต่อยอดกำไรไม่รู้จบ

เวลาคุณผู้อ่านเห็นป้ายโปรโมชันหรือป้ายลดราคาแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้ออย่างเช่น “ลด 50%-80%” หรือ “ซื้อ 2 วันนี้แถมอีก 1 ฟรี !” หรือ “ซื้อ A ครบ xxx บาท แลกซื้อ B ได้ในราคาถูกลงกว่าครึ่ง !!” ฯลฯ เคยนึกสงสัยกันไหมคะว่า... ทำไมเจ้าของกิจการช่างใจดีใจเด็ดถึงเพียงนี้ กล้าลดราคาจนบางครั้งเราในฐานะผู้ซื้อเห็นแล้วยังตกใจ ลดแลกแจกแถมขนาดนี้... เขาไม่ขาดทุนเลยหรือ ? ได้กำไรคืนจากตรงไหนกันหนอ ? แล้วมีกลไกการทำกำไรของธุรกิจอย่างไร ?

คำตอบเหล่านั้นมีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ค่ะ



PICTO แกะรอยโมเดลธุรกิจ ต่อยอดกำไรไม่รู้จบ
ผู้เขียน Satoru Itabashi
ผู้แปล ประวัติ เพียรเจริญ
หนา 280 หน้า

หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงธุรกิจมากมายที่มีโมเดลธุรกิจ (กลไกในการทำเงิน) ที่อาจดูซับซ้อนหรือมองดูไม่น่าคุ้มทุน แต่กลับสร้างรายได้หรือทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดย “พระเอก” หรือ “ประเด็นหลัก” อยู่ที่ “แผนภาพ PICTO” ค่ะ


แผนภาพ PICTO คืออะไร ?
แผนภาพ PICTO คือ “เครื่องมือสำหรับใช้วาดโมเดลธุรกิจ” ที่ผู้เขียนคิดค้นขึ้นมาสำหรับถอดรหัสโมเดลธุรกิจโดยเฉพาะ โดยใช้สัญลักษณ์สากลในการสื่อความหมายของการซื้อขายแลกเปลี่ยนร่วมกับหลัก 3W1H (ใคร=Who กับใคร=Whom ขายอะไร=What ในราคาเท่าไร=How much) เช่น รูปคนคือผู้ซื้อ สี่เหลี่ยมผืนผ้าคือผู้ขาย วงกลมคือสินค้าหรือบริการ ฯลฯ

ทำไมต้องแผนภาพ PICTO ?
เพราะแผนภาพ PICTO คือ “ภาพ” ที่เลือกใช้สัญลักษณ์สากลที่วาดง่ายและยึดหลัก 3W1H ที่ง่ายต่อการจดจำ จึงทำให้เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก สะดวกในการนำเสนอและอธิบายให้ผู้อื่นฟัง รวมถึงยังทำให้มองเห็นภาพรวมของกระแสการไหลเวียนของสินค้า/บริการ และรายได้/กำไรในภาพรวม อีกทั้งยังนำมาปรับใช้ให้ละเอียดขึ้นได้ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

อาจเรียกได้ว่า... แผนภาพ PICTO เป็นเหมือนเครื่องมือที่ใช้ถอดรหัส วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และนำเสนอโมเดลธุรกิจออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นภาพถ่าย X-ray ของโมเดลธุรกิจที่ทำให้เรา “มองเห็น” โครงสร้างการทำเงินของธุรกิจได้อย่างทะลุปรุโปร่งนั่นเองค่ะ


มาดูกันค่ะว่า แผนภาพ PICTO อธิบายกลไกในการทำเงินของธุรกิจออกมาได้อย่างไร

ขอเกริ่นนำด้วยการให้คุณผู้อ่านลองเล่นเกมหาพวกจับกลุ่มสินค้าค่ะ

• กล้องดิจิทัล
• แปรงสีฟันไฟฟ้า
• เครื่องเป่าผม
• เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต
• เครื่องชั่งน้ำหนัก
• คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก

คำถามก็คือ... ในสินค้า 6 ประเภทนี้ สินค้าใดบ้างที่จัดอยู่ใน “โมเดลธุรกิจ” แบบเดียวกัน ?
.
.
.
คำใบ้ก็คือ... เป็นสินค้าประเภทที่ “ซื้อแล้วไม่จบในครั้งเดียว”
.
.
.
คำตอบก็คือ... “แปรงสีฟันไฟฟ้า” และ “เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต” ค่ะ


สินค้าทั้ง 2 ประเภทนี้ใช้โมเดลธุรกิจแบบเดียวกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 8 โมเดลธุรกิจมาตรฐาน (กล่าวถึงอย่างละเอียดในบทที่ 2 "แผนภาพ PICTO คืออะไร") นั่นก็คือ โมเดลธุรกิจแบบ “โมเดลวัสดุสิ้นเปลือง” ค่ะ
นั่นเป็นเพราะว่าจุดที่สร้างรายได้ที่แท้จริงของสินค้าประเภทนี้ก็คือ “หัวแปรง” และ “ตลับหมึก”

“หัวแปรง” คือสิ่งที่เราต้องคอยซื้อเปลี่ยนอยู่เสมอ หลังจากซื้อสินค้าหลักอย่างแปรงสีฟันไฟฟ้าไปแล้ว เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตที่เราต้องคอยซื้อ “ตลับหมึก” ใหม่ทุกครั้งที่ใช้หมึกในตลับเก่าหมด

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทั้งแปรงสีฟันไฟฟ้าและเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตต่างอยู่ในธุรกิจที่จงใจลดราคาสินค้าหลักให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าหลักนั้น ๆ ไปใช้เสียก่อน (ซึ่งสินค้าหลักในกรณีนี้คือแปรงสีฟันและเครื่องพิมพ์) จากนั้น ลูกค้าก็จะต้องคอยซื้อสินค้าอะไหล่อย่างหัวแปรงหรือตลับหมึกอย่างต่อเนื่องไปโดยตลอด ซึ่งสินค้าอะไหล่ดังกล่าวนั้นมีสัดส่วนกำไรค่อนข้างสูง และนี่คือจุดเด่นของกลไกการสร้างรายได้แบบ “โมเดลวัสดุสิ้นเปลือง” ค่ะ


ฟังดูซับซ้อน แต่เชื่อไหมคะว่า เราสามารถวาดออกมาเป็นแผนภาพที่ไม่ยุ่งยากเลย



แผนภาพ PICTO ด้านบนแสดงให้เห็นกลไกการทำเงินแบบ “โมเดลวัสดุสิ้นเปลือง”
• “สี่เหลี่ยมผืนผ้า” แทนบริษัทผู้ผลิตสินค้าหลักและสินค้าอะไหล่
• “รูปคน” แทนผู้ซื้อสินค้า
• “ตัวอักษร A” แทนสินค้าหลัก ซึ่งในที่นี้ก็คือ “แปรงสีฟันไฟฟ้า” หรือ “เครื่องพิมพ์”
• “ตัวอักษร B” แทนสินค้าอะไหล่ ซึ่งในที่นี้ก็คือ “หัวแปรง” หรือ “ตลับหมึก”
• “ลูกศรหัวสีดำที่ปลายระบายจนเต็ม” แทนทิศทางการไหลเวียนของสินค้า จากบริษัทผู้ผลิตไปยังผู้ซื้อ
• “ลูกศรหัวสีดำธรรมดา” แทนกระแสเงินรับ จากผู้ซื้อไปยังบริษัทผู้ผลิต
• “สัญลักษณ์เงินเยน” แทนราคาของสินค้า
• “ลูกศร T แนวตั้ง” แทนระยะเวลาที่เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ซึ่งก็คือนับตั้งแต่ซื้อสินค้าหลักไปใช้และกลับมาซื้อสินค้าอะไหล่ต่อไปเรื่อย ๆ


นี่เป็นเพียงแผนภาพ PICTO ในมุมมองแบบกว้าง ๆ ค่ะ เพราะในความเป็นจริง อาจมีร้านค้าขายปลีกเป็นตัวกลางระหว่างบริษัทผู้ผลิตและผู้ซื้อด้วย ซึ่งรายละเอียดดังกล่าว รวมทั้งวิธีวาดและกฎการใช้งานแผนภาพ PICTO แบบเต็มรูปแบบนั้น คงต้องให้คุณผู้อ่านลองหาคำตอบจากในเล่มดูแล้วล่ะค่ะ


นอกจากการใช้แผนภาพ PICTO อธิบายและทำให้มองเห็นโมเดลธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ยังสามารถประยุกต์ใช้แผนภาพ PICTO เพื่อคิดหาไอเดียใหม่ ๆ เชิงธุรกิจได้อีกด้วยนะคะ

วิธีคิดเชิงอุปมาคือ 1 ในวิธีคิดหาและต่อยอดไอเดียค่ะ
วิธีคิดเชิงอุปมาคือ การนำโมเดลธุรกิจมาตรฐานแต่ละแบบมาเป็นแม่แบบให้กับโมเดลธุรกิจเดิมที่เรามีอยู่ เพื่อหาหนทางเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจหรือกิจการ

สมมติว่า คุณผู้อ่านทำธุรกิจผลิตเครื่องดื่มชาเขียว และกำลังคิดเพิ่มรายได้โดยการนำ 1 ในโมเดลธุรกิจมาตรฐานอย่าง “โมเดลวัสดุสิ้นเปลือง” มาลองปรับใช้ตามวิธีคิดเชิงอุปมา คุณผู้อ่านคิดว่า... โมเดลธุรกิจที่ปรับแล้ว จะออกมาเป็นอย่างไร
.
.
.
หนังสือเล่มนี้แนะนำไว้อย่างนี้ค่ะ

ถ้าจะลองใช้ “โมเดลวัสดุสิ้นเปลือง” ก็อาจจะมีวิธีนำเอาเครื่องชงชาขนาดใหญ่ไปติดตั้งตามออฟฟิศ แล้วคอยเติมชาลงไปในลักษณะวัสดุสิ้นเปลือง ปัจจุบัน มีหลายบริษัทที่ใช้โมเดลธุรกิจนี้กับสินค้าอื่นเป็นจำนวนมาก เชื่อว่ายังคงมีช่องทางทำเงินจากโมเดลธุรกิจนี้สำหรับสินค้าเครื่องดื่มอยู่ไม่น้อย หากสามารถเพิ่มกระแสเงินรับช่องทางใหม่จากลูกค้าองค์กรได้ ย่อมจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับฐานรายได้ของธุรกิจเป็นอย่างดี แค่ลูกค้ายอมให้เข้าไปติดตั้งเครื่องชงชาภายในออฟฟิศ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าของสินค้าแล้ว ก้าวต่อไป อาจจะพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องวิธีการเก็บเงิน เช่น เสนอแพ็กเกจให้ดื่มได้ไม่จำกัดโดยคิดราคาค่าน้ำชาแบบเหมาจ่าย ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น

หน้า 197 บทที่ 5 วิธีคิดเชิงอุปมา (Analogy Approach)




เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับการคิดหาหนทางทำกำไรโดยวิธีคิดเชิงอุปมา นอกจากการใช้ “โมเดลวัสดุสิ้นเปลือง” เป็นแม่แบบแล้ว ยังมีตัวอย่างการปรับใช้จากโมเดลธุรกิจมาตรฐานแบบอื่น ๆ อีกค่ะ ลองคิดหาคำตอบกันดูเล่น ๆ ก็ได้ค่ะว่า จะปรับเปลี่ยนหรือต่อยอดโมเดลธุรกิจเดิมอย่างไรได้อีกบ้างเพื่อสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น... และถ้าอยากได้เครื่องมือช่วยคิดหรืออยากเปิดมุมมองเชิงธุรกิจล่ะก็ ลองใช้ “แผนภาพ PICTO” ดูสิคะ


อย่าลืมว่า... สิ่งสำคัญในการต่อยอดความคิดเชิงธุรกิจนั้นคือ ห้ามยึดติดกับข้อจำกัดทางธุรกิจมากจนเกินไป อย่าเพิ่งด่วนสรุปตั้งแต่แรกเริ่มว่า “เป็นไปไม่ได้” หรือ “ไม่มีทางทำได้” มิเช่นนั้น จะเป็นการตัดโอกาสไอเดียใหม่ ๆ เชิงธุรกิจออกไปเสียตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ

เกิดมาทั้งทีต้องลองสักตั้ง จริงไหมคะ ? การลองคิด...ที่ผลลัพธ์อาจได้มาซึ่งสิ่งที่ดีกว่านั้น ไม่เสียหายอะไรเลยสักนิด นอกจากได้ฝึกสมองคิดแล้ว ยังอาจได้ไอเดียปิ๊ง ๆ ที่แปลงโฉมโมเดลธุรกิจเดิมให้กลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่สร้างกำไรต่อเนื่องไปอย่างไม่รู้จบก็ได้นะคะ

------------------------------
แวะชมและเลือกซื้อหนังสือได้ที่เว็บไซต์ ส.ส.ท. ค่ะ




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2554    
Last Update : 5 ตุลาคม 2554 16:22:30 น.
Counter : 3226 Pageviews.  

ฉายเดี่ยว 22 วิธีเติมพลังชีวิต สนิทกับตัวเอง : ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระและเข้มแข็งให้ถูกทาง



ฉายเดี่ยว 22 วิธีเติมพลังชีวิต สนิทกับตัวเอง
ผู้เขียน : Yoshihiko Morotomi
ผู้แปล : ธนัญ พลแสน
หนา 176 หน้า

ท่ามกลางสังคมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คุณก็ต้องใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับคนอื่น
ที่ทำงานก็ต้องทำงานร่วมกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
ที่โรงเรียนก็ต้องเจอเพื่อนร่วมชั้นเรียน รุ่นพี่ และรุ่นน้อง

บ.ก. คิดว่าคุณเองก็น่าจะเคยรู้สึกเหนื่อยหน่ายหรืออึดอัดใจกับการคบหากับคนรอบข้าง
- ต้องไปดูหนังกับเพื่อน ทั้งที่อยากพักผ่อนอยู่บ้าน
- ต้องคุยกับคนอื่นในเรื่องที่เราไม่อยากคุย
- อยากใช้ชีวิตคนเดียวบ้าง แต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่
- มีงานอื่นต้องทำ แต่ไม่กล้าบอกหัวหน้า
- ต้องดูแลลูกและสามีจนไม่มีเวลาส่วนตัว
ฯลฯ

ในความเป็นจริง คนเราทุกคนต้องการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ และอยากเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่เพราะอยากเป็น "คนดี" ของครอบครัวและคนรอบข้าง และไม่อยากถูกคนอื่นมองว่า "ยายนี่ไม่สนใจใคร" หรือ "หมอนี่ไม่แคร์คนอื่น" จึงจำยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากับคนรอบข้าง แต่สะสมความอัดอั้นตันใจเอาไว้เรื่อย ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นการใช้ชีวิตไปตามกระแสของคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว ลืมความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวหากต้องอยู่คนเดียว

"ฉายเดี่ยว 22 วิธีเติมพลังชีวิต สนิทกับตัวเอง" เล่มนี้ แนะนำ 22 วิธีใช้ชีวิตอย่างมีอิสระและเข้มแข็งให้ถูกทาง โดยจิตแพทย์ชื่อดังในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น เพื่อให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ได้สนิทกับตัวเอง กล้าที่จะเป็นตัวเองโดยไม่ต้องเลียนแบบใคร และจัดการความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้อย่างลงตัวโดยไม่ต้องฝืนใจอีกต่อไป

เนื้อหาช่วงเริ่มต้นแนะนำเคล็ดลับการครอบครอง "หัวใจอิสระ" ที่จะให้คุณเลิกใช้ชีวิตที่ต้องคอยแคร์คนอื่นและคิดเสียใหม่ว่า "คนอื่นจะมองอย่างไรก็ช่าง" แล้วจัดระเบียบความสัมพันธ์ให้เป็น โดยแยกให้ออกว่า ตัวเราก็ตัวเรา คนอื่นก็คนอื่น และชวนให้คุณมากำกับ "บทละครชีวิตของคุณ" ให้เป็นงานชิ้นเอก โดยตระหนักอยู่เสมอว่าจะใช้ชีวิตที่มีโอกาสแค่ครั้งเดียวอย่างไร และจะสร้างชีวิตของตัวเองอันเป็น "ผลงานที่ไม่ซ้ำแบบใคร" ได้อย่างไร

ต่อมา มาเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งให้ถูกทาง อย่างเช่น ลองถามตัวเองว่า “การที่เราติดต่อกับเพื่อนหรือแฟนวันละหลาย ๆ ครั้ง ทำให้ชีวิตของเราไปผูกติดกับเขาหรือเปล่า” ถ้าคำตอบคือ “ใช่” ก็ควรเลิกติดต่อกับเขาบ้าง อาจจะใช้วิธีกำหนดวันห้ามใช้โทรศัพท์หรือตอบอีเมล เฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้น การได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวบ้างและลิ้มรสประสบการณ์อันเจ็บปวดด้วยตัวเอง จะทำให้คุณแกร่งขึ้น

หลังจากนั้น มาตีสนิทกับตัวเองด้วยการฟังเสียงหัวใจของตัวเองว่าจริง ๆ แล้ว เราต้องการอะไร ในเวลาที่คุณมีปัญหาหรือสับสนกับชีวิต ให้ลองขอคำปรึกษาจากตัวเองดู เพราะคุณคือที่ปรึกษาชั้นเยี่ยมของตัวคุณเอง โดยไม่ปิดกั้น "เสียงกระซิบภายในใจ" ไม่ว่าในหัวของคุณจะมีความคิดอะไร “ทั้งแง่บวกและแง่ลบ” ก็ขอแค่ยอมรับและเฝ้ามองมันก็พอ

เพราะการฝืนคิดแง่บวกในเวลาที่เรามีความรู้สึกแง่ลบอยู่ บางทีจะให้ผลตรงกันข้าม เช่น การบอกตัวเองว่า “เอาล่ะ ฉันจะเลิกหดหู่” อาจจะยิ่งทำให้จิตใจหดหู่มากขึ้นกว่าเดิม ลองหันมาใช้วิธีสร้างสวิตช์ปรับเปลี่ยนความรู้สึกในเวลาที่ชีวิตคุณผิดหวังหรืออกหัก เช่น ระงับอาการหงุดหงิดใจด้วยอโรมาจำพวกมินต์ หรือรู้สึกโล่งขึ้นด้วยการอัดตุ๊กตาหมี เป็นต้น

สุดท้าย ลองมาค้นหาพื้นที่ส่วนตัวที่ทำให้คุณมีสมาธิ เพื่อพูดคุยกับตัวเองอย่างลึกซึ้ง โดยในหนังสือได้ยกตัวอย่างพื้นที่ส่วนตัว 5-6 แห่ง และได้แนะนำหลากหลายวิธีเติมพลังให้วันใหม่ด้วย "ธรรมชาติ" เอาไว้ด้วยค่ะ

พูดถึงเนื้อหาโดยรวมของหนังสือไปแล้ว ต่อไป บ.ก. จะขอยกตัวอย่างเทคนิคสัก 2 เทคนิค

เทคนิคที่ 8 เข้มแข็งให้ถูกทางดีกว่า

คนสมัยนี้ เวลาที่ไม่มีเพื่อนกินข้าวเที่ยงหรือไม่มีใครมาชวนไปกินข้าวด้วย จะรู้สึกหดหู่และโดดเดี่ยว ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคซึมเศร้าหรือไม่อยากไปทำงานได้ และนับวันคนประเภทนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาการแบบนี้เรียกว่า “กลุ่มอาการติดเพื่อนกินข้าว”

หากจะเอาชนะอาการแบบนี้ได้ ผู้เขียนแนะนำให้คุณต้องลองสำรวจร้านเจ๋ง ๆ ไว้ในเวลาที่ออกไปกินข้าวคนเดียว โดยลองสำรวจร้านที่อาหารอร่อยและราคาไม่แพงมากนัก เมื่อถึงคราวถัดไป คุณก็ลองเอ่ยปากชวนคนอื่นดู เพราะการที่คุณเป็นทุกข์เกิดมาจากเอาแต่รอคนอื่นชวน หรือแม้ว่าคุณชวนคนอื่นแล้ว คนอื่นไม่ไปด้วย ก็ให้ไปกินข้าวที่ร้านนั้นเพียงคนเดียว ด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่คุณมีร้านดี ๆ นั่งทานข้าวกลางวันอร่อย ๆ ก็พอ


เทคนิคที่ 9 ประสบการณ์ "การใช้ชีวิตอยู่คนเดียว" จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น

...เวลาที่เห็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ผมจะรู้สึกว่า นักศึกษาที่อยู่กับพ่อแม่ดูเป็นเด็กกว่านักศึกษาที่มาจากต่างถิ่นและใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง...

บ.ก. เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เขียนเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะ บ.ก. เองก็เคยใช้ชีวิตอยู่หอพักคนเดียวตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย และคิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นมากและได้รับประสบการณ์ชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องเรียน หรือเรื่องเพื่อน

แม้ว่าการอยู่กับพ่อแม่จะมีข้อดีอย่างเรื่องช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและรู้สึกอบอุ่น แต่คุณก็อาจจะพลาดโอกาสที่จะได้เผชิญปัญหาและผ่านพ้นอุปสรรคได้ด้วยตนเองอย่างภาคภูมิใจและได้ค้นพบเพื่อนแท้ที่จะอยู่เคียงข้างคุณ

นอกจาก 2 ใน 22 เทคนิคที่ บ.ก. ยกมาเล่าเป็นตัวอย่างแล้ว ยังมีเคล็ดลับและแนวคิดที่น่าสนใจอีกมายมาย แม้ชีวิตของคุณจะรายล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง สังคม ข่าวสาร หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่คุณก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง แล้วคุณจะไม่ลอง “ฉายเดี่ยว” ดูบ้างเหรอคะ


---------------------------------------------------------
แวะชม โปรโมชั่นเร้าใจ สุด สุด ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 16






 

Create Date : 19 กันยายน 2554    
Last Update : 19 กันยายน 2554 12:11:01 น.
Counter : 5410 Pageviews.  

แนะนำหนังสือเรื่อง "สอนเก่ง สอนเป็น" ในรายการ Read Around


แนะนำหนังสือเรื่อง "สอนเก่ง สอนเป็น"
ในรายการ Read Around ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง Money Channel ช่อง 178
เมื่อวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม และอังคารที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา

สอนเก่ง สอนเป็น ตอนที่ 1


สอนเก่ง สอนเป็น ตอนที่ 2


แวะชมบล็อกแนะนำหนังสือ "สอนเก่ง สอนเป็น" ได้ที่นี่


==========================================

แวะชมโปรโมชันของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 16 5-6 ต.ค. 2554




 

Create Date : 14 กันยายน 2554    
Last Update : 14 กันยายน 2554 15:37:59 น.
Counter : 1621 Pageviews.  

จัดการฝึกอบรมให้มีประสิทธิผลอย่าง Training Officer มืออาชีพ

สวัสดีค่ะ

วันนี้เรามีหนังสือใหม่มาแนะนำกันอีกเช่นเคย
เชื่อว่าคุณผู้อ่านที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานในการจัดฝึกอบรมขององค์กรหรือที่เรียกว่า “Training Officer (T/O)” หรือ “เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม” ต้องสนใจกันอย่างแน่นอนค่ะ




จัดการฝึกอบรมให้มีประสิทธิผลอย่าง Training Officer มืออาชีพ
โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์
หนา 224 หน้า


หากคุณผู้อ่าน...
ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีในการทำหน้าที่ในฐานะ T/O
ไม่มั่นใจว่าต้องทำอะไรบ้าง
ไม่แน่ใจว่าที่ทำอยู่ครบถ้วน ถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่
ต้องการทำหน้าที่ให้ดีกว่าที่เคยจนถึงทำให้สมบูรณ์พร้อม
และที่สำคัญต้องการจัดฝึกอบรมให้มีประสิทธิผลและคุ้มค่ากับงบประมาณขององค์กร

คู่มือเล่มนี้พร้อมตอบคำถามค้างคาใจอย่างครบถ้วนในทุกขั้นตอนของกระบวนการฝึกอบรมเลยค่ะ


เมื่อพูดถึงกระบวนการฝึกอบรมแล้ว ในหนังสือเล่มนี้แบ่งหน้าที่ของ T/O ออกเป็น 3 ส่วนกว้าง ๆ คือ ก่อนวันจัดฝึกอบรม วันจัดฝึกอบรม และหลังวันจัดฝึกอบรม

แน่นอนว่า การจัดฝึกอบรมจะเกิดขึ้นได้ ย่อมต้องมีการจัดเตรียมเสียก่อน และดั่งคำกล่าวที่ว่า “เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” สิ่งที่ T/O ต้องทำก่อนฝึกอบรมก็คือ เตรียมการจัดฝึกอบรมให้พร้อมเพื่อให้การฝึกอบรมนั้นเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กรค่ะ ขั้นตอนแรกคือ การหาและวิเคราะห์ความจำเป็นในการฝึกอบรม ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญ เพราะการเฟ้นหาหลักสูตรที่เหมาะสม สอดคล้อง และเป็นที่ต้องการสำหรับพนักงานในองค์กร ย่อมทำให้งบประมาณไม่สูญเปล่าและองค์กรได้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการประสานงานในส่วนอื่น ๆ ไว้ด้วย เช่น การติดต่อกับวิทยากร การจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ เป็นต้น

ต่อมา สิ่งที่ T/O ต้องทำในวันฝึกอบรม ก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ
ตัวอย่างเช่น การทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเวลา คอยดูแลให้พนักงานที่เข้ารับการฝึกอบรมเข้าห้องอบรมให้ตรงเวลา เพื่อให้ได้รับเนื้อหาจากวิทยากรครบถ้วน และไม่เสียประโยชน์ด้วยเหตุที่เข้าห้องล่าช้าไปจากเวลาที่กำหนด รวมถึงอย่าลืมตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่วิทยากรต้องใช้ในห้องฝึกอบรมเพื่อให้การฝึกอบรมเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่หยุดชะงักกลางคันจนทำให้เสียเวลาทั้งที่เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันไว้ก่อนได้ เพราะแม้เตรียมการมาอย่างดี แต่ถ้ามีเหตุให้วันจริงล่มไม่เป็นท่า ก็ไม่เป็นผลดีกับองค์กรอย่างแน่นอน และที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ตัว T/O เองก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้น จริงไหมคะ

สุดท้าย สิ่งที่ T/O ต้องทำหลังวันฝึกอบรม
อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจไปว่าหน้าที่ของ T/O จะเสร็จสิ้นไปพร้อมกับการฝึกอบรม เพราะการติดตามผลการฝึกอบรมพนักงานที่เข้ารับการฝึกอบรมก็สำคัญเช่นกันค่ะ ยกตัวอย่างเช่น การประมวลผลการจัดฝึกอบรมจากแบบสอบถาม ถ้าหากละเลยโดยเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ ก็เท่ากับพลาดโอกาสที่จะทราบจุดที่ควรพัฒนาหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นในการจัดฝึกอบรมครั้งต่อไปอย่างน่าเสียดาย อาจเรียกได้ว่า อุตส่าห์ตั้งใจทำข้อสอบมาตั้งนาน ถ้าไม่รอฟังคะแนนรวมและเฉลยข้อสอบหลังการสอบเสร็จสิ้น เราก็จะไม่รู้ว่าตนเองทำได้ดีแค่ไหน มีส่วนใดที่ผิดพลาดหรือยังไม่ดีพอ ซึ่งถ้าหากได้รู้ในส่วนนั้น จะได้ทบทวนและแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต


ต่อไป เรามาดูตัวอย่างเรื่องที่จะต้องทำในการประสานงานกับวิทยากรก่อนวันฝึกอบรมกันสักหนึ่งเรื่องค่ะ...

(ส่วนหนึ่งจากบทที่ 7 เจ้าหน้าฝึกอบรมกับการการประสานงานฝึกอบรม : การประสานงานกับวิทยากร)



การโทรยืนยันกับวิทยากรล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน
ข้อนี้เป็นตัวเน้นว่า “จะต้อง” เลย เพราะผม เคยเจอปัญหาการสื่อสารนัดหมายที่ผิดพลาดมาแล้ว คือผมรับนัดไปบรรยาย public training ให้กับบริษัทจัดฝึกอบรมแห่งหนึ่ง ก็นัดวัน เวลา สถานที่กันเรียบร้อยแล้ว สถานที่คือโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ
แปลกแต่จริง... เกิดปัญหาว่าบริษัทที่จัดฝึกอบรมลงวันไว้เป็นวันหนึ่ง ในขณะที่ผมลงวันที่จะไปบรรยายไว้เป็นอีกวันหนึ่ง แต่โชคยังดีที่ในวันนั้น ผมไม่มีคิวบรรยายเพราะเป็นวันพักของผม
ขณะกำลังนั่งเขียนบทความอยู่เพลิน ๆ T/O ก็โทรมาหาผมตอนเกือบ ๆ จะเก้าโมงเช้า
“อาจารย์อยู่ที่ไหนแล้วคะ ?”
“ก็อยู่บ้านน่ะสิครับ” เริ่มจะงง ๆ แต่ก็ตอบไปตามความเป็นจริง
ส่วนปลายสายก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อ้าว... วันนี้อาจารย์มีบรรยายให้หนูนี่คะที่โรงแรม................... ตอนนี้ผู้เข้าอบรมมากันเกือบครบแล้วค่ะ”
น้ำเสียง T/O น่ะตกใจ แต่ใจผมสิครับตกไปที่ตาตุ่มเลยแหละ
“เฮ้ย! ก็นัดบรรยายเป็นวันที่...... ไม่ใช่หรือครับ”
“นัดเป็นวันนี้ค่ะ”
ผมก็เลยต้องรีบบึ่งรถไปที่โรงแรมที่จัดฝึกอบรมอย่างแทบจะเหาะมา แต่เหาะไม่ได้นี่ครับเพราะที่นี่กรุงเทพฯ เจอรถติดอีกเหมือนเดิม กว่าจะมาถึงสถานที่อบรมก็เกือบ ๆ สิบโมงเช้า สารภาพตามตรงว่าวันนั้นไม่ได้อาบน้ำตอนเช้าด้วยแหละ เพราะรีบแต่งตัวแล้วออกจากบ้านทันที
เรื่องจริงที่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการลงวันนัดหมายผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นตัววิทยากรหรือบริษัทก็ตามแต่ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ครับ แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่มาโทษกันว่าใครลงวันผิดหรือถูกหรอกนะครับ แต่เราควรจะหาทางป้องกันปัญหากันไว้ก่อนด้วยการที่ T/O ควรจะต้องโทรยืนยัน (confirm) วันบรรยายล่วงหน้ากับวิทยากร อย่างน้อยที่สุด 1 วันก่อนการบรรยาย ไม่ดีกว่าหรือครับ ?


เหตุการณ์ผิดพลาดหรือปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ บางทีเราก็อาจเผลอมองข้ามหรือนึกไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้ในการทำงานจริง ซึ่งการโทรศัพท์ยืนยันกับวิทยากรก็ไม่ใช่ว่าจะโทรแค่ตอนใกล้เวลาฝึกอบรม เพราะถ้ารอถึงเวลานั้น หากเกิดปัญหาขึ้นจริง ก็คงไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งหลักการนี้ใช้ได้ทั้งในกรณีของ Public Training และ In House Training เลยค่ะ ส่วนคำตอบที่ว่าควรจะโทรยืนยันในช่วงเวลากี่โมงนั้น คงต้องให้คุณผู้อ่านที่สนใจลองไปหาคำตอบจากหนังสือเล่มนี้ดูค่ะ
รับรองว่านอกจากจะได้ความรู้และอ่านสนุกแล้ว เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากตัวอย่างและเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่ทำงานในด้านบริหารงานบุคคลมากว่า 25 ปี จะให้ข้อคิด ข้อปฏิบัติ และเทคนิคที่พร้อมนำไปใช้งานจริงอย่างได้ผลแน่นอนค่ะ


=========================


อย่าลืมแวะไปชมหนังสือใหม่ของ ส.ส.ท. ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ นะคะ




 

Create Date : 01 กันยายน 2554    
Last Update : 1 กันยายน 2554 17:02:15 น.
Counter : 4332 Pageviews.  

แผนธุรกิจหน้าเดียว สุดยอดเทคนิคการนำเสนอแผนอย่างเหนือชั้น



แผนธุรกิจหน้าเดียว สุดยอดเทคนิคการนำเสนอแผนอย่างเหนือชั้น
By Shinji tomita
แปลโดย ประวัติ เพียรเจริญ
จำนวนหน้า 340 หน้า
เนื้อในพิมพ์ 2 สี / เข้าเล่มด้วยการเย็บกี่


ทำไมจึงควรเขียนแผนธุรกิจแค่แผ่นเดียว ?

ถ้าการนำเสนอแผนธุรกิจประจำปีในการประชุมคณะกรรมการของบริษัทแห่งหนึ่งเป็นดังต่อไปนี้...

- ผู้จัดการคนที่ 1 อธิบายแผนธุรกิจของตนแบบปากเปล่าโดยไม่เตรียมเอกสารใด ๆ มาเลย
- ผู้จัดการคนที่ 2 เตรียมเอกสารสำหรับนำเสนอคณะกรรมการมาปึกใหญ่ มีรายละเอียดอย่างเต็มพิกัด
- ผู้จัดการคนที่ 3 นำเสนอเนื้อหาที่มีสีสันสวยงามซึ่งจัดทำด้วยโปรแกรม PowerPoint กว่า 50 สไลด์
- ผู้จัดการคนที่ 4 เตรียมแผนธุรกิจมาบนกระดาษ A4 เพียงแผ่นเดียว

ในที่ประชุม ผู้จัดการคนที่ 4 ได้แจ้งว่า เหตุผลที่นำเสนอแผนธุรกิจบนกระดาษ A4 เพียงแผ่นเดียว เนื่องจากทราบว่ากรรมการทุกท่านค่อนข้างมีภารกิจรัดตัวและอาจไม่มีเวลาอ่านรายละเอียดของแผนธุรกิจทั้งหมด จึงได้สรุปเฉพาะส่วนที่เป็นสาระสำคัญจริง ๆ มาเรียนให้ทราบ ซึ่งหากท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หน่วยธุรกิจของตนก็มีความยินดีที่จะจัดส่งรายละเอียดไปให้ในภายหลัง

คุณคิดว่าประธานและกรรมการของบริษัทน่าจะประทับใจกับวิธีการนำเสนอแผนธุรกิจของผู้จัดการคนไหนมากที่สุด ?

จากตัวอย่างข้างต้น คงจะพอทำให้หลายคนมองเห็นประโยชน์ที่เด่นชัดของการทำแผนธุรกิจแผ่นเดียวแล้ว นั่นคือ ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งมีเวลาน้อยและดูเหมือนจะยุ่งอยู่ตลอดเวลา ให้มองเพียงแวบเดียวก็สามารถเข้าใจสาระสำคัญของแผนได้ทันที

นอกจากนี้ ข้อดีอื่น ๆ ของการสรุปแผนธุรกิจให้อยู่ในกระดาษ A4 เพียงแผ่นเดียว คือ

- ถ่ายทอดสาระสำคัญได้อย่างชัดเจนและตรงประเด็น สั้นกระชับ เข้าใจง่าย เนื่องจากต้องย่อเนื้อหาให้เหลือเพียงแผ่นเดียว จึงจำเป็นต้องตัดส่วนที่สำคัญน้อยหรือไม่ค่อยเกี่ยวข้องออกไป
- ประหยัดเวลา ทั้งเวลาในการจัดทำแผนงานและเวลาในการอธิบายเนื้อหาต่าง ๆ
- ใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บน้อยกว่าแผนธุรกิจที่เป็นเล่มหนา และยังประหยัดกระดาษอีกด้วย

“แผนธุรกิจหน้าเดียว สุดยอดเทคนิคการนำเสนอแผนอย่างเหนือชั้น” เล่มนี้ แนะนำวิธีเขียนแผนธุรกิจในกระดาษ A4 แผ่นเดียวที่ทำได้จริง จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการเป็นที่ปรึกษา นักวางแผน (ทั้งแผนกลยุทธ์/แผนธุรกิจ) วิทยากร ฯลฯ ซึ่งคลุกคลีอยู่ในแวดวงธุรกิจและการตลาดมาทั้งชีวิต

เนื้อหาในเล่มเริ่มต้นด้วยการแนะนำแนวคิดของการจัดทำแผนธุรกิจบนกระดาษ A4 แผ่นเดียว โดยผู้เขียนได้แบ่งแผนธุรกิจออกเป็น 5 ประเภทตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน คือ 1. รายงานสรุป 2. รายงานข้อเสนอ 3. ข้อเสนอกลยุทธ์ 4. ข้อเสนอยุทธวิธี และ 5. แผนธุรกิจรวม

จากนั้นนำเสนอ 60 ตัวอย่างแผนธุรกิจซึ่งมาจากแผนธุรกิจจริง แยกเป็นแต่ละประเภทของแผนธุรกิจ 5 ประเภทดังกล่าว โดยในแต่ละตัวอย่างมีการอธิบายสรุปสาระสำคัญของแผนและเคล็ดลับในการนำเสนอควบคู่กัน และในบทสุดท้ายของหนังสือ ยังได้เปรียบเทียบตัวอย่างแผนธุรกิจที่ดีกับแผนธุรกิจที่ไม่ดี เพื่อให้ผู้อ่านได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขแผนธุรกิจบนกระดาษ A4 แผ่นเดียวของตนเองในอนาคตอีกด้วย

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือ การสอดแทรกเกร็ดความรู้ด้านการขาย การตลาด การมองแนวโน้มของสภาพสังคมและเศรษฐกิจ การวางแผน ฯลฯ มุมมองและแนวคิดด้านการตลาดจากหลากหลายสาขาธุรกิจของญี่ปุ่น รวมทั้งเทคนิคการใช้งานโปรแกรม PowerPoint เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีประโยชน์ไปตลอดทั้งเล่ม

นอกจากจะเหมาะสำหรับบุคลากรหรือผู้ประกอบการที่อยู่ในแวดวงธุรกิจหรือกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แล้ว บุคลากรในหน่วยงานราชการก็สามารถนำไปใช้ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากโนว์ฮาวของ “แผนธุรกิจหน้าเดียว” นี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายวงการ เช่น หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา องค์กรสาธารณะต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากบางตัวอย่างในหนังสือเล่มนี้ที่พูดถึงกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการ หรือมาตรการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานราชการที่จัดทำขึ้นเพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น

ทั้งเข้มข้นด้วยเทคนิคการจัดทำแผนงานให้น่าสนใจและมีโอกาสได้รับการอนุมัติสูง
และคุ้มค่าด้วยแนวคิดด้านการตลาดชั้นเลิศจากแผนธุรกิจจริง
เพื่อช่วยให้คุณนำเสนอแผนธุรกิจได้อย่างเหนือชั้น จุดประกายไอเดีย และค้นพบโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่ซ่อนอยู่มากมายด้วยตัวคุณเอง

=========================================

เชิญชมหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ได้ที่เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท.




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2554    
Last Update : 30 มิถุนายน 2554 15:34:15 น.
Counter : 6312 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

textbook
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




สำนักพิมพ์ ส.ส.ท. สรรค์สร้างสาระสู่สังคม
มุ่งมั่นผลิตตำราวิชาการและหนังสือเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ การบริหารจัดการ ด้านส่งเสริมการศึกษา เพื่อการพัฒนาตนเองและองค์กร สำหรับภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม
Friends' blogs
[Add textbook's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.