การมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่ยอมแพ้แรงกดดันจากภายนอก
คือเคล็ดลับเพื่อชัยชนะในระยะยาว
ก้าวแรกของชีวิต เราทุกคนต่างก็คลอดจากท้องแม่ ส่งเสียงร้องอุแว้ ๆ เหมือนกัน ไม่ว่าเกิดในสภาพแวดล้อมอย่างไร วินาทีที่เราลืมตาดูโลก พวกเราทุกคนต่างก็ยืนที่จุดเริ่มต้นจุดเดียวกัน
ทว่าเมื่อดำเนินชีวิตผ่านไปหลายสิบปี กลับมีชีวิตที่แตกต่างกันมาก บางคนได้รับการทาบทามจากหลายบริษัท ขณะที่บางคนตกงาน หางานทำไม่ได้ บางคนทำงานอย่างมีความสุขและเพลิดเพลิน ขณะที่บางคนแค่คิดว่าต้องไปทำงานก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่สบายเสียแล้ว
ความแตกต่างที่ว่านี้เกิดจากอะไร ?
วันนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งที่จะช่วยตอบคำถามนี้ได้มาแนะนำให้ลองอ่านกันจ้า
ความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ
เขียนโดย โทโยชิ นางาตะ (Toyoshi Nagata)
แปลโดย ดร.ศิริลักษณ์ ศิริมาจันทร์
จำนวนหน้า 216 หน้า
ก่อนอื่นขอเล่าที่มาของความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ เล่มนี้สักนิด
จุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้มาจากผู้เขียน (ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานด้าน content business, e-marketing, web service และการเพิ่มผลิตภาพ ทางปัญญา) ค้นพบว่าคนระดับท็อป 1% ในสาขาอาชีพต่าง ๆ ประสบความสำเร็จได้เพราะพวกเขาจดจ่อ ทุ่มเททำสิ่งที่รักด้วย พลังแห่งสมาธิ จนบรรลุเป้าหมายระยะยาวของตนเองได้ โดยไม่ยอมแพ้แรงกดดันจากภายนอกหรืออุปสรรคต่าง ๆ
กล่าวได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จของพวกเขาก็คือ พลังแห่งสมาธิ นั่นเอง
ทำไมสมาธิจึงเป็นสิ่งสำคัญ ?
ในชีวิตประจำวันของเราห้อมล้อมด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่บั่นทอนสมาธิ โดยเฉพาะชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองใหญ่ จะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน
ข้อมูลที่อยู่รายล้อมรอบตัวเราเพิ่มปริมาณขึ้น แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่มันเป็นข้อมูลขยะ ทำให้พวกเราต้องลำบากมากถ้าจะเก็บรวบรวมเฉพาะ ข้อมูลที่จำเป็นอย่างแท้จริง ซึ่งมีอยู่เพียงแค่หยิบมือจากกองข้อมูลขยะปริมาณมหาศาล
สิ่งที่บั่นทอนสมาธิไม่ใช่แค่สิ่งยั่วยุในสภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่สิ่งที่ควบคุมจิตใจของเรา แน่นอนว่าคือความคิดของเราเองก็ทำให้สมาธิกระเจิดกระเจิง เมื่อจิตไม่มีสมาธิจดจ่อ จิตใจก็ตกอยู่ในภาวะสับสน ยุ่งเหยิง
เมื่อจิตใจเราสับสน วุ่นวายเพราะเรื่องต่าง ๆ เราก็จะใช้เวลาแบบเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่อาจใช้พลังความคิดได้เต็มร้อย
เพราะเมื่อพะวงถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างเช่นกังวลเรื่องความสำเร็จก็จะกลัวความล้มเหลว ความผิดพลาด เมื่อกลัวความผิดพลาดก็จะตื่นเต้น ไม่มีพละกำลัง สมองจะตัน และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ทำผิดพลาด
แต่ในสภาวะที่มีสมาธิ ทุกสิ่งในชีวิตประจำวันที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นจะถูกปิดกั้น และเราจะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำในขณะนั้นเท่านั้น เป็นสภาวะที่ประสาททั้งหมดจะจดจ่อ มุ่งความสนใจไปที่ สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องในอดีตหรืออนาคต
ขณะที่นักเบสบอลมืออาชีพยืนเตรียมพร้อมเพื่อรอตีลูก เซียนหมากรุกกำลังจะดวลหมากรุก นักปีนเขากำลังปีนเขา นักไวโอลินกำลังจะสีไวโอลินระหว่างการแข่งขัน นักพัฒนาผลิตภัณฑ์กำลังออกแบบตัวอย่างสินค้า
เสียงอึกทึกรอบข้าง ความวิตกกังวลส่วนตัว ทุกสิ่งทุกอย่างจะมลายหายไปหมดสิ้น สมาธิทั้งหมดจะมุ่งไปที่สิ่งที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้นเท่านั้น และทำสิ่งนั้นอย่างเพลิดเพลิน คนเราเมื่อรู้สึกว่าตัวเอง สามารถควบคุมสติของตัวเองทั้งหมดได้ จะมีความสุขอย่างที่สุด
ต่อให้เป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถด้านการคิดเชิงตรรกะก็ยากจะหาวิธีการแก้ปัญหาที่ดีสุดได้ หากไม่มีสมาธิจดจ่อกับปัญหา
แม้แต่ศิลปินที่มีความคิดสร้างสรรค์จนเป็นที่อิจฉาของใครต่อใคร หากไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำ และแสดงความสามารถที่มีทั้งหมด ก็คงจะไม่สามารถผลิตผลงานที่ดีได้
พื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราแสดงพลังความสามารถที่มีได้ คือ พลังแห่งสมาธิ
ในหนังสือเรื่อง ความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ ผู้เขียนจึงแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อฝึกฝนและพัฒนา สมาธิ เพื่อให้ใช้พลังความคิดได้ 100% เล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของผู้ประสบความสำเร็จระดับโลก เช่น แลร์รี เพจและเซอร์เกย์ บริน ผู้ก่อตั้ง Google , เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon, สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้ง Apple, ปีเตอร์ ดรักเกอร์ กูรูด้านการบริหารแห่งศตวรรษที่ 20, ชินยะ ยามานากะ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยา และกรณีตัวอย่างขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในการสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมสมาธิของคนทำงาน เช่น Google, 3M, P&G Japan
ขอยกตัวอย่างเคล็ดลับง่าย ๆ จากหนังสือเล่มนี้ เช่น
- ละทิ้งสิ่งที่เกินความจำเป็น พยายามไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ยึดติด และมุ่งสมาธิไปยังสิ่งที่เหลืออยู่ตรงหน้า
สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิจะไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ ถ้ายังคงมีสิ่งอื่น ๆ หลงเหลืออยู่ หรือถ้าไม่รู้จักเลือกสิ่งที่ตัวเองควรทำ ให้ลองสำรวจตัวเองดูว่าการทำสิ่งนั้นอย่างจริงจัง ส่งผลต่อความก้าวหน้า การพัฒนาของตัวเองในระยะยาวหรือไม่ รายได้จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ความฝันของตัวเองเข้าใกล้ความเป็นจริงหรือไม่ เหมาะกับค่านิยมของตัวเองหรือไม่ แล้วตัดสิ่งที่ไม่ได้ต้องการจริง ๆ ทิ้งไป
- ควรทำทีละเรื่อง ถ้าเราทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะไม่สามารถจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ และไม่เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ การทำหลายอย่างพร้อมกัน ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่มีอะไรสมบูรณ์สักอย่าง จึงจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสมาธิให้จดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยพยายามเก็บสิ่งของที่ไม่จำเป็นให้พ้นจากสายตา ไม่วางสิ่งของต่าง ๆ เหล่านั้นไว้บนโต๊ะทำงานหรือรอบตัว
- แบ่งเวลาเป็นหน่วยย่อย ๆ ที่ตัวเองจะมีสมาธิจดจ่อได้ง่าย ไม่ต้องพยายามเพ่งสมาธิจดจ่อตลอดเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงใน 1 วัน และเมื่อรู้แล้วว่าระยะเวลาที่เรามีสมาธิยาวแค่ไหน จึงแบ่งเวลางานเป็นช่วง ๆ จากนั้นปรับสมดุลระหว่างช่วงเวลาที่มีสมาธิกับช่วงเวลาพัก โดยทั่วไป คนเรามีสมาธิจดจ่ออย่างแน่วแน่ที่สุดได้ประมาณ15 นาที และมีสมาธิจดจ่อต่อเนื่องได้นานที่สุดประมาณ 90 นาที
และที่สำคัญ ระยะเวลาที่มีสมาธิต่อเนื่องนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องของเราคนเดียวเท่านั้น ในการทำงาน อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ฟังการนำเสนอหรือรายงานของเราก็มีขีดจำกัดของสมาธิประมาณ 15 นาทีเช่นกัน ฉะนั้นควรคิดเนื้อหารายงานให้เหมาะสมโดยไม่ลืมคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย
- รักษาสุขภาพให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เรื่องสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามคือเรื่องสุขภาพร่างกาย ในการแข่งขันเพื่อเอาชนะคู่แข่งหรือการทำงานให้สำเร็จลุล่วง ถ้าเราเป็นหวัดหรือสภาพร่างกายย่ำแย่ ก็จะไม่สามารถแสดงฝีมือโชว์ผลงานที่ดีที่สุดได้
ตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ในหนังสือ ความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ ยังมีคำแนะนำอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งเหมาะสำหรับคนทำงานและผู้นำในองค์กร เพื่อพัฒนาสู่ความสำเร็จในการงานและชีวิตส่วนตัว รวมถึงพ่อแม่ใช้ปลูกฝังสมาธิให้ลูกตั้งแต่ปฐมวัย
ดูตัวอย่างเนื้อหาหนังสือได้ที่
//www.flipsnack.com/5D66FBD9E8C/ft9yh00sh.html