Group Blog
 
All Blogs
 

Spanish Language 2

โอเค กลับมาสอนภาษาสเปนต่อดีกว่า รู้สึกมีคนอยากรู้เยอะเหมือนกันเนอะ (ทำไมเมืองไทยหาที่เรียนย้ากก ยากวะ ทั้งๆ ที่มันเป็นภาษาที่พูดกันมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเชียวนะ เยอะกว่าภาษาอังกฤษซะอีก)

เคยบอกไปรึยังว่า ภาษาสเปนที่เค้าใช้กันทั้งทั่วสเปนและแถบละตินอเมริกา เค้าเรียกว่า คัสเตยาโน Castellano (มันก็คือภาษาของแคว้นคัสตีย่านั่นเอง) ส่วนแคว้นอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีภาษาถิ่นเป็นของตัวเอง ที่ใช้กันเยอะๆ ก็มีแคว้นกาตาลัน Gatalan ที่มีภาษากาตาลุนญ่า Gataluña แคว้นที่เราอยู่ แคว้นบาเลนเซีย Valencia ก็มีภาษาบาเลนเซียโน Valenciano แคว้นทางตะวันตกเฉียงเหนือ Galicia ก็มีภาษากาเยโก้ Gallego ส่วนแคว้นอันดาลูเซีย Andalucia ทางใต้นั้น ไม่มีภาษาถิ่น ใช้ภาษาคัสเตยาโน แต่คนละสำเนียงกับแถบอื่นๆ (คงประมาณภาษาอีสานเมืองไทยอ่ะนะ รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้อยู่แคว้นนี้ ไม่งั้นภาษาสเปนที่เรียนไป คงต้องนับหนึ่งใหม่ เพราะสำเนียงต่างกันมากๆ )

สอนต่อดีกว่าเนอะ สอนไรดีล่ะ

¡Buenas suerte! บูเอนาส ซูเอร์เต้ แปลว่า โชคดีนะ แต่ปกติแล้ว ก็ใช้แค่ว่า Suerte ซูเอร์เต้ เฉยๆ (ไม่เคยใช้เต็มๆ เลยอ่ะ เพราะเค้าก็พูดงี้กัน ไว้อวยพรเพื่อนตอนสอบ)

Felicidades เฟลิซิดาเด้ส หรือ Feliz cumpleaños เฟลิซ กุมเปลอันโญส แปลว่า สุขสันต์วันเกิด ที่เห็นใช้กันก็มีแต่อันแรก อันที่สองเห็นแต่ในเพลง แต่ก็มีใช้บ้างเหมือนกัน ไม่ค่อยนิยมใช้เท่าอันแรก ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว สอนร้องแฮปปี้เบิร์ธเดย์ เป็นภาษาสเปนดีกว่า ทำนองเดียวกับภาษาอังกฤษน่ะแหละ

Cumpleaños feliz, กุมเปลอันโญส เฟลิซ
Cumpleaños feliz, กุมเปลอันโญส เฟลิซ
Te deseamos todos, เต เดเซอาโมส โตโดส
Cumpleaños feliz. กุมเปลอันโญส เฟลิซ

Feliz Navidad เฟลิซ นาวิดาด ใช้อวยพรวันคริสต์มาส (Navidad แปลว่า คริสต์มาส ตัว V ออกเสียงกึ่งๆ ระหว่าง บ.ใบไม้ กับ ว.แหวน)

มีเพลงคริสต์มาสด้วย ทำนองเดียวกับ Jingle Bells ภาษาอังกฤษ

Navidad, Navidad, dulce Navidad, นาวิดาด นาวิดาด ดุลเซ่ นาวิดาด
La alegría de este día hay que celebrar, hey. ลา อัลเลเกรีย เด เอสเต้ ดีอา อาย เกะ เซเล้บรา เฮ้
Navidad, Navidad, Dulce Navidad, นาวิดาด นาวิดาด ดุลเซ่ นาวิดาด
La alegría de este día hay que celebrar. ลา อัลเลเกรีย เด เอสเต้ ดีอา อาย เกะ เซเลบรา

Feliz año nuevo เฟลิซ อานโญ่ นูเอ๊โบ้ แปลว่า สวัสดีปีใหม่ ใช้ Bueno año nuevo บูเอโน อานโญ่ นูเอโบ้ ก็ได้เหมือนกัน แต่มันยาวกว่าไง ไม่ค่อยใช้กัน หรือง่ายๆ เลย ถ้าเวลาเขียน ก็ เฟลิซ ตามด้วยปีเลย เช่น Feliz 2005!

คำกล่าวลามั่ง ที่เห็นๆ ก็มี

Adiós อาดิโอส แปลว่า ลาก่อน ใช้ได้ทั่วไป ความหมายไม่เหมือน Adieu ในภาษาฝรั่งเศสนะ อย่าเข้าใจผิด

Hasta luego อัสต้า ลูเอโก้ แปลว่า แล้วเจอกัน เหมือน See you then ในภาษาอังกฤษ

Hasta pronto อัสต้า ปรอนโต้ แปลว่า เจอกันเร็วๆ นี้ (see you soon)

Hasta ahora อัสต้า อาอ๊อร่า แปลว่า เดี๋ยวเจอกัน (แป๊บเดียวแหละ)

Hasta อัสต้า ตามด้วย ชื่อวัน เช่น Hasta en el lunes อัสต้า เอน เอล ลูเนส เจอกันวันจันทร์

สอนคำศัพท์มั่งดีกว่าเนอะ (รู้สึกสอนได้ยุ่งเหยิงมาก นึกไรออกก็พิมพ์ๆ ไป) สอนศัพท์ต้อนรับวาเลนไทน์ดีกว่าเนอะ (แปลว่าจะไม่อัพใหม่จนกว่าจะเลยวาเลนไทน์)

Novio โนบิโอ้ แปลว่า แฟน หรือคู่หมั้นก็ได้ ถ้าแฟน(ผู้หญิง) ก็ Novia โนเบีย

Cariño การินโญ่ แปลว่า ที่รัก รู้สึกสเปนก็ใช้อยู่คำนี้คำเดียวอ่ะแหละ จะมีดัดแปลงคำนิดๆ หน่อยๆ ก็ Carin การิน Cari การี่ ว่าไปตามอารมณ์ สำหรับเราเราชอบคำๆ นี้มากเลยอ่ะ มันดูอบอุ่นดี

เพิ่มเติมนิดนึง เพิ่งถูกเรียกมาว่า Cielo เซียโล่ อ่ะ ภาษาสเปนแปลว่า ท้องฟ้า ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่ความหมายก็ประมาณเดียวกับที่รักล่ะมั้ง

Boda โบด้า แปลว่า งานแต่งงาน
เวลาแต่งงาน ที่บาทหลวงถามว่า จะรับคนๆ นี้เป็นภรรยาหรือสามีมั้ย ภาษาอังกฤษ ใช้ I do. ใช่มะ แต่ภาษาสเปนใช้ Yo quiero โย เกี๊ยโร่ (Quiero เกียโร่ แปลว่า I love หรือ I want)

Marido มารีโด้ แปลว่า สามี

Mujer มูเคร์ แปลว่า ภรรยา (แปลว่า ผู้หญิง ก็ได้)

Corazón โกราซ่อน แปลว่า หัวใจ อ้อ ลืมไป คำว่าที่รักก็ใช้ว่า Mi corazón มี โกราซ่อน ก็ได้ เหมือน My heart ในภาษาอังกฤษ

Te quiero เต เกี๊ยโร่ แปลว่า ฉันรักคุณ มีอีกคำคือ Te amo เต อ๊าโม่ แต่อันนี้ไม่เคยได้ยินเค้าใช้กันเลยอ่ะ

Chocolate โชโกล้าเต้ แปลว่า ช็อคโกแลต (อยากกินจัง)

Rosa โร้ซ่า แปลว่า ดอกกุหลาบ

วันวาเลนไทน์ ที่นี่ก็เรียกว่า Día de San Valentin ดิอา เด ซาน บาเลนติน ก็คือ วันของนักบุญบาเลนติน นั่นเอง ส่วนวัฒนธรรมเรื่องวาเลนไทน์ของที่นี่ ยังไม่รู้ ตอบไม่ถูก เพราะยังไม่ถึง ไว้ถึงแล้วถ้ามีอะไรก็จะมาเล่าแล้วกัน (ถ้ามีอะไรนี่หมายถึงมีคนมาให้ดอกไม้ ให้ของขวัญ ไรเงี้ย สงสัยทุกคนคงจะไม่ได้ฟังกันล่ะมั้ง เหอะๆๆๆ )

ปล. เติมอีกนิด จะฉลองวาเลนไทน์ทั้งที ลืมคำนี้ไปได้หว่า

Amor อามอร์ แปลว่า ความรัก

Mi amor มี อามอร์ แปลว่า ที่รัก (เหมือน My love ในภาษาอังกฤษ) ก็ใช้เหมือนกันนะ แต่ส่วนใหญ่ได้ยินแต่ในทีวีอ่ะ ใช้เวลาจะง้อแฟน

Vale, hasta luego.




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 6 เมษายน 2548 21:04:09 น.
Counter : 18266 Pageviews.  

Spanish Language

ในที่นี้ก็จะสอนภาษาสเปนง่ายๆ ละกัน แน่นอนว่าต้องเป็นคัสเตยาโน (ภาษาสเปนมีหลายแบบ แต่ที่พูดกันทั่วไป ทั้งในสเปนและละตินอเมริกา คือ คัสเตยาโน)

ง่ายๆ เริ่มจากทักทายก่อนละกัน

Hola โอ๊หล่ะ แปลว่า สวัสดี (ต้องออกเสียงแบบนั้นด้วยนะ ตามเสียงวรรณยุกต์เลย)

Buenos días บูเอโนส ดิ๊อัส แปลว่า สวัสดีตอนเช้า (เช้าของคนสเปนนั้น เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งกินข้าวกลางวันตอนบ่าย ฉะนั้น ตอนเที่ยงก็ยังใช้ สวัสดีตอนเช้าอยู่)

Buenas tardes บูเอนาส ต๊าร์เดส แปลว่า สวัสดีตอนบ่าย ซึ่งจริงๆแล้วก็ใช้ตั้งแต่บ่าย ไปจนถึงหัวค่ำเลย ถ้าไม่อยากสับสน จะใช้แค่ว่า Buenas บูเอนาส เฉยๆ ก็โอเคแล้ว ได้ตลอดทั้งวัน

Buenas noches บูเอนาส โน้เชส แปลว่า ราตรีสวัสดิ์ อันนี้ใช้ก่อนเข้านอนอย่างเดียว

สำหรับการถามทุกข์สุข ก็ไม่ยาก ปกติก็ใช้รูปแบบเดิมๆ ไม่ค่อยได้เปลี่ยนเท่าไหร่

¿Como estas? โกโม เอสต๊าส แปลว่า เธอสบายดีมั้ย

¿Qué tal? เก๊ะ ตาล แปลว่า สบายดีมั้ย

¿Y tú? อี่ ตู๊ แปลว่า แล้วเธอล่ะ

Bien เบียน แปลว่า สบายดี

De categoria. เด กาเตกอเรีย แปลว่า ก็งั้นๆ เรื่อยๆ

No estoy bien. โน เอสตอย เบียน แปลว่า แย่

คำง่ายๆ นอกจากนี้ ก็มี:

Gracias กราเซียส แปลว่า ขอบคุณ

ถ้าอยากขอบคุณมาก ก็ใช้ Muchas gracias มุชชาส กราเซียส

หรือถ้ามากยังไม่พอ อยากขอบคุณมากกกกกกกกกกกก ก็ต้องใช้ Muchíssimas gracias มุชชิ้สสิมาส กราเซียส

Perdón แปร์ด้อน หรือ Perdonme แปร์ด้อนเม แปลว่า ขอโทษ

Disculpeme ดิสกูลเป้เม แปลว่า ขอโทษ อีกเหมือนกัน แต่กรณีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เวลาขอทาง หรืออยากจะขัดจังหวะถามอะไรซักอย่าง แต่ใช้ Perdonme แปร์ด้อนเม ก็ได้เหมือนกัน

คำอุทาน ของคนสเปน ส่วนใหญ่ก็อุทานถึงพระเจ้าน่ะแหละ แต่มีหลายรูปแบบนะ

¡Diós mío! ดิโอ๊ส มีโอ แปลว่า Oh My God!!!

¡Oh Señor! โอ้ ซินญอร์ แปลว่า Oh Lord!!

¡Madre mía! ม้าเดร้ มีอา แปลว่า โอ้แม่เจ้า

¡Mama mía! มาม่า มีอา แปลว่า โอ้แม่เจ้า อีกเหมือนกัน (คือก็รู้อ่ะนะ ว่าในที่นี่ แม่ ก็หมายถึง พระแม่มารีน่ะแหละ)

ไว้จะมาต่ออีกละกัน ไปละ Adiós อาดิโอส




 

Create Date : 27 มกราคม 2548    
Last Update : 27 มกราคม 2548 1:02:20 น.
Counter : 5768 Pageviews.  

Differences between cultures

ความแตกต่างระหว่างสเปนกะไทย

มีเยอะมากกกกกกกก เอาไปอ่านดูเล่นๆ ละกัน (ความจริงไม่รู้จะเล่าอะไรให้ฟังตังหาก)

อย่างแรกเลย คนสเปนกะคนไทยต่างกันมากๆ ถึงแม้จะมีที่เหมือนกันบ้างนิดหน่อย แต่อยู่กับคนสเปนแล้วก็สบายใจดีนะ เพราะเค้าเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไม่ซีเรียส ถึงแม้เราจะทำอะไรผิด เค้าก็ให้อภัยได้ง่ายๆ ไม่ใช่เพราะว่าเค้าลืมง่ายหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเค้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ตังหาก ก็ดี เพื่อนเราที่่อยู่ใกล้ๆ กันเค้าเล่าให้ฟังว่า ที่ร.ร.เค้า มีดาวโรงเรียนคนนึง ประมาณว่าสวยมาก เดินลงบันไดมาอย่างมาดมั่น แต่จู่ๆ ก็เกิดลื่นหล่นลงมาก้นกระแทกพื้น คนแถวนั้นก็เหลือบมองนิดนึง ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครมองแบบ อีนี่ทำอะไรอ่ะ ทุกคนแค่เหลือบมองว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นไม่มีอะไรก็หันกลับไป ไม่สนใจ ส่วนคุณดาวคนนั้นก็ยิ้มนิดๆ แล้วก็เดินอย่างมาดมั่นต่อไป ก็ดีเนอะว่ามะ ถ้าอยู่เมืองไทย ทำอะไรผิดนิดผิดหน่อย คนก็จ้องจะจับผิด แต่ที่นี่ไม่ ใครจะทำอะไรก็ทำไป อย่าให้เดือดร้อนคนอื่นละกัน ส่วนพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ให้อิสระลูกนะ คืออยากทำอะไรก็ทำ จะไปเที่ยวไหนก็ได้ อย่าทำอะไรให้เดือดร้อนละกัน แล้ววัยรุ่นส่วนใหญ่ที่นี่ หลังจากเลิกเรียนถ้าไม่มีอะไรทำ ก็ออกไปเดินเล่นกันเป็นกลุ่มๆ ซึ่งเราก็ยังไม่มีใครชวนไปเดินเล่นซะที เฮ้อออออออ เศร้า

นิสัยคนที่นี่ก็ friendly พอสมควรนะ ขึ้นอยู่กับว่ารู้จักกันรึเปล่าด้วย ถ้ารู้จักกันถึงแม้จะแค่ไม่กี่ครั้ง เค้าก็จะเป็นมิตรมากๆ แล้วคนที่นี่ก็ยิ้มเก่งด้วย อาจจะไม่เท่าคนไทย แต่ตอนนี้คนไทยที่อยู่ที่นี่เริ่มยิ้มไม่ค่อยออกแล้ว (จากตอนแรกที่เดินไปไหนมาไหนก็ยิ้มเป็นนางสาวไทย) เนื่องจากเหตุผลสองอย่าง คือ ยังหาเพื่อนที่จะมาสนิทด้วยไม่ได้ (เศร้านิดหน่อย แต่ปลงตกแล้ว) อย่างที่สองคือ อากาศมันหนาว แล้วก็แห้ง ยิ้มมากๆ ปากแห้ง เผลอๆ ยิ้มไปยิ้มมาก็ปากแตก ก็เลยไม่ค่อยยิ้มแล้วเดี๋ยวนี้
อีกอย่างที่แตกต่างคือ คนที่นี่ไม่ชอบอยู่ในบ้าน เค้าชอบออกไปนอกบ้าน ไม่รู้นะ ถ้าเป็นที่บ้านเรา จะไม่ค่อยชอบให้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่ ชอบให้อยู่ในบ้านมากกว่า พอมาที่นี่ ตอนหลังเลิกเรียนตอนบ่าย เราไม่มีไรทำก็นั่งเล่นเน็ตอยู่บ้าน โฮสต์ก็จะแบบ คะยั้นคะยอให้ออกไปนู่นออกไปนี่ ถามอยู่นั่นแหละว่าไม่ออกไปเดินเล่นกับเพื่อนเหรอ ถ้าเพื่อนชวนเมื่อไหร่ก็ออกไปกับเพื่อนนะ อะไรประมาณนี้ พูดอย่างนี้มาจะสิบรอบแล้ว ตั้งแต่เรามาอยู่นี่

เรื่องคนพอก่อน มาต่ออีกเรื่อง คืออาหาร อาหารที่นี่ก็เป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งถ้าฟังดูตอนแรกๆ มันก็คงเป็นอาหารสุขภาพใช่มะ มีน้ำมันมะกอก เป็นไขมันไม่อิ่มตัว (ใช่ป่ะ ไขมันที่มันดีต่อร่างกายอ่ะ อันนั้นล่ะ เรียนแล้วลืมแล้ว _ _ ll) แต่ไขมันก็คือไขมันวันยังค่ำ ไม่ว่ามันจะดีขนาดไหน มันก็ทำให้อ้วน อ้วน และอ้วน แล้วเค้าใส่น้ำมันมะกอกแบบว่าเยอะมาก คืออาหารส่วนใหญ่ ต้องใส่น้ำมันมะกอก เรียกว่าราดเลยดีกว่า บางอย่างก็เหมือนแช่มาเลย น้ำมันท่วม แต่ตอนนี้เริ่มชินและ (เริ่มอ้วนแล้วไง) นอกจากน้ำมันท่วมแล้ว ก็ยังกินเค็มด้วย อาหารพวกออเดิร์ฟทั้งหลายแหล่ เน้นเค็ม ยิ่งเค็มยิ่งอร่อย โฮสต์มัมเราก็ชอบกินเค็มด้วย พวกแฮม ชีส เนี่ย ชอบ นอกจากมัน เค็ม แล้ว ก็กินเยอะด้วย ปกติเค้าไม่ค่อยกินผักกันเท่าไหร่ ถ้าจะกินผักก็คือต้องมีสลัด ซึ่งสลัดเค้าก็เป็นอะไรที่ทำง่ายมาก หั่นผักใส่ชามใบใหญ่ๆ ราดน้ำมันมะกอกเยอะๆ โรยเกลือ (เยอะๆ อีกเช่นกัน ถ้าเป็นโฮสต์มัมเราทำ) แค่เนี้ย ตอนแรกๆ คิดถึงสลัดเมืองไทยมากๆ แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินอีกเช่นกัน

พูดถึงอาหารแล้วก็นึกถึงเรื่องมีด ใช่ มีด เกี่ยวอะไรกะอาหารใช่มะ เกี่ยวมากๆ เพราะเวลากินอาหารส่วนใหญ่เค้าก็จะใช้มีดกับส้อม บางทีก็มีช้อนเวลากินซุป หรือกินข้าว (ที่นี่มีข้าวด้วย กินบ่อยมากๆ ) เวลาใช้มีดกับส้อมหั่นอาหารก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะอยู่เมืองไทยก็ใช้บ้าง แต่หลังอาหาร เค้าก็จะมีของหวาน ก็ไม่เชิงอ่ะ ก็กินผลไม้กัน บางทีก็กินโยเกิร์ต (โยเกิร์ตที่นี่อร่อยมาก เดี๋ยวค่อยเล่า) มื้อแรกที่เรากินข้าวกับเค้า เค้าถามว่าจะเอาผลไม้อะไร เราก็เลือกแอปเปิ้ล เค้าก็เอาแอปเปิ้ลลูกนึงมาวางตรงหน้า เราก็ลงมาจะปอกเปลือก ถึงแม้จะไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แต่ก็เคยทำบ้าง (ปกติแม่ปอกให้กิน ไม่ค่อยได้ทำเอง) พอเราปอกไปได้สองที โฮสต์มัมก็ทำเสียงตกใจว่าทำไมปอกแบบนั้น แล้วเค้าก็คว้าแอปเปิ้ลไปปอกให้ดู เค้าปอกผลไม้ไม่เหมือนเราอ่ะ อยู่เมืองไทยเวลาปอกก็หันมีดด้านคมออกจากตัวใช่มะ แต่ที่นี่เค้าหันด้านคมเข้าหาตัว (มันก็ไม่ค่อยคมเท่าไหร่หรอก เพราะมันไม่ใช่มีดแบบที่คมๆ) แล้ววิธีจับมีดก็ไม่เหมือนกัน พอเค้าปอกให้เราดูเสร็จ เราก็ลองเอามาปอกเอง แต่มันไม่ถนัดอ่ะ ก็ปอกอย่างงี้ของชั้นมาเป็นสิบปีแล้ว จะให้มาปอกอีกแบบนึงอีก ในที่สุด เค้าคงไม่อยากให้เราโดนมีดที่ไม่คมตัดนิ้วไม่ขาดบาดเอา เค้าก็เลยปอกให้เรากินในที่สุด ตั้งแต่นั้นมา กล้วยก็เป็นผลไม้แค่อย่างเดียวที่เรากิน เพราะว่ามันไม่ต้องใช้มีด แล้วเค้าก็ไม่ค่อยยอมให้เราใช้มีดปอกผลไม้ด้วย ถ้าเราจะกินอะไรเค้าก็จะปอกให้ ซึ่งเราคิดว่ามันเหมือนเด็กปัญญาอ่อน ไม่ก็เด็กเล็กๆ สามสี่ขวบ ก็เลยไม่กินละ กินกล้วยเนี่ยแหละ ง่ายดี ตอนช่วงหลังๆ มา ก็มีกีวี่ ตอนแรกก็กะจะกินเหมือนกัน เพราะแค่ผ่าครึ่งแล้วใช้ช้อนตัก ไม่ยากๆ แต่พอเห็นโฮสต์มัมกิน เค้าปอกเปลือกอ่ะ ฝันสลาย จะกินแบบเรามันก็คงดูแปลกๆ แล้วก็ไม่ได้ใช้ช้อนทุกมื้อด้วย ก็เลยช่างมันอีก กล้วยก็ยังคงเป็นผลไม้สุดโปรดต่อไป

อย่างที่บอกแหละ ว่าที่นี่มีข้าวด้วย แต่ข้าวเค้าก็ไม่เหมือนข้าวเมืองไทย เม็ดจะกลมๆ อ้วนๆ กว่า แล้วก็ไม่ได้กินเป็นข้าว กับ กับข้าวด้วย เค้าจะเอาไปทำคล้ายๆ ข้าวผัด แต่จะมีหลายอย่าง หลายวิธี ซึ่งตั้งแต่มาอยู่นี่ ก็อร่อยทุกอย่าง (แล้วจะไม่อ้วนได้ยังไง) เค้าบอกว่าข้าวไม่ได้มีทุกปีด้วย ปกติจะทำนาได้แค่ปีเว้นปี ปีนี้มีข้าว ปีหน้าก็ไม่มี

ความจริงพูดถึงอาหารแล้ว ก็อร่อยเกือบทุกอย่างเลยนะ ถึงแม้บางอย่างจะไม่สามารถรับได้ก็ตามที อย่างเช่น ปลาแอนโชวี่สีน้ำตาลกะสีขาว ที่แช่เกลือหรืออะไรซักอย่าง กะแช่น้ำส้มสายชู อันนี้เป็นอาหารที่รับไม่ได้จริงๆ ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติ แรงมากๆ อีกอย่างก็คือชีสที่กลิ่นแรงๆ อันนี้ทนไม่ไหวมากๆ ดีนะที่โฮสต์ไม่ได้ชอบกินชีสแบบนี้ จะว่าไปแล้วชีสเนี่ย ก็คงเทียบได้กับ ปลาร้า เมืองไทยนะ มีหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน แค่ทำจากวัตถุดิบต่างกันเท่านั้นเอง 5555

อาหารคาวไปแล้ว ต่อมาก็ต้องอาหารหวานขอบอกว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่และตั้งแต่ได้กินมา มันอร่อยทุกอย่างเลยอ่ะ อร่อยมากๆ จริงๆ ส่วนโยเกิร์ต ซึ่งมาอยู่นี่เราก็กินทุกวัน มันไม่เหมือนโยเกิร์ตเมืองไทย คือโยเกิร์ตเมืองไทยมันจะเป็นครีมๆ เหลวๆ ใช่มะ แต่ที่นี่ไม่ใช่ มันเป็นคล้ายๆ วุ้นสีขาว อร่อยมากกกกก เกือบทุกรสเลย ที่เราชอบมากๆ ก็คือรสธรรมชาติ รสโกโก้ (มะพร้าวนะ ไม่ใช่ช็อคโกแลต) รสกล้วย (อันนี้อร่อยมากกกกก) รสผลไม้รวม นอกจากโยเกิร์ตแล้ว บางทีก็กินพุดดิ้งช็อคโกแลต ก็อร่อยอีกแหละ แต่ไม่ค่อยได้กินบ่อย เนื่องจากรู้ว่ามันเต็มไปด้วยไขมัน
ตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้ว ที่นี่เค้าก็มีอาหารเช้าแบบพิเศษ ที่เป็นอาหารเช้าของฤดูหนาว จะกินกันเฉพาะเช้าวันอาทิตย์เท่านั้น เป็นแป้งทอด คล้ายๆ ปาท่องโก๋เมืองไทยเหมือนกันนะ แต่อร่อยกว่า จิ้มกับช็อกโกแลตร้อน เป็นช็อกโกแลตแท่งที่เอาไปละลาย อร่อยมากกกกกกกกกกกก อยากให้มีวันอาทิตย์ซักสองสามครั้งต่อสัปดาห์

โอเค อาหารก็พอก่อน ทีนี้มาเรื่องบุหรี่ดีกว่า อย่างที่เราเคยเล่าให้ฟังแหละ ว่าที่นี่เค้าสูบบุหรี่กันจัดมากๆ โฮสต์มัมเราก็สูบ แต่โฮสต์แดดไม่สูบ ตอนแรกๆ ที่แพ้ควันบุหรี่จนเจ็บคอ ตอนนี้ก็เริ่มชินแล้ว คาดว่าปอดคงมีสภาพไม่ต่างจากคนสูบบุหรี่เท่าไหร่ ที่โรงเรียนก็สูบกันนะ คือไม่รู้ว่ากฎโรงเรียนเค้าห้ามรึเปล่า (ไว้ค่อยพูดถึงเรื่องโรงเรียนอีกที) แต่นักเรียนประมาณ 90 % สูบบุหรี่ ครูก็พอกัน สูบเกือบทุกคน แล้วผู้หญิงก็สูบเยอะกว่าผู้ชายด้วย ก้นบุหรี่ในโรงเรียน แทบจะเยอะกว่าทรายที่อยู่บนพื้นแล้วมั้งนั่น ถ้าให้หาก้นบุหรี่ให้ครบร้อยอัน คงหาได้ครบภายในสิบนาทีโดยที่ไม่ต้องเดินไปเกินกว่าห้าเมตร นอกจากบุหรี่แล้ว ก็มีซิการ์ ซึ่งเป็นอะไรที่กลิ่นเลวร้ายกว่าบุหรี่มากๆ เราทนกลิ่นซิการ์ไม่ได้ มันเหม็นมากๆ แล้วโฮสต์แดดเราที่ไม่สูบบุหรี่ ก็สูบซิการ์ แต่จะสูบเฉพาะวันอาทิตย์ เวลาไปกินข้าวกะเพื่อนเท่านั้น ปกติก็จะไม่สูบ ก็ดีไป

นอกจากบุหรี่และซิการ์แล้ว ก็มีกัญชา ซึ่งเป็นอะไรที่ธรรมดามากๆ ที่นี่ ถึงแม้จะผิดกฎหมายก็เหอะ แต่ก็หาคนสูบกัญชาได้ไม่ยาก แล้วไม่ใช่เฉพาะเด็กเลวๆ เท่านั้นที่สูบกัญชา เด็กเรียนเยอะแยะก็สูบกัญชาเป็นครั้งคราว เราว่ากลิ่นกัญชาก็หอมดีนะ ดีกว่ากลิ่นบุหรี่และกลิ่นซิการ์เยอะ




 

Create Date : 26 มกราคม 2548    
Last Update : 26 มกราคม 2548 0:28:16 น.
Counter : 398 Pageviews.  

Food

อาหารในสเปน ก็ไม่ใช่อาหารสเปนทั้งหมดหรอกก็นั่นแหละ ผสมๆ กันไป เราเองก็ยังกินอาหารสเปนไม่ครบทุกอย่างเลย (ใครจะไปกินครบหมดวะ) เริ่มไม่ถูกอ่ะ เนื่องจากตั้งแต่มาอยู่ก็กินนู่นกินนี่เยอะไปหมด จริงๆ ก็คือกินทุกอย่างที่เค้าให้กินน่ะแหละ (เหมือนหมายังไงก็ไม่รู้อ่ะ)

เริ่มจากอธิบายมื้ออาหารก่อนละกันนะ ปกติแล้ว คนสเปนถ้ากินเต็มๆ จริงๆ ก็จะกิน 5 มื้อต่อวัน

- มื้อแรก แน่นอนว่าต้องเป็นอาหารเช้า ภาษาสเปนเรียกว่า เดซายูนาร์ (Desayunar) มื้อนี้เป็นมื้อที่ไม่สำคัญที่สุดในห้ามื้อ ใช่ ไม่สำคัญ ไม่ได้พิมพ์ผิดนะ บางคนก็ไม่กินมื้อนี้กัน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ากินกันส่วนใหญ่ก็เป็นกาแฟแก้วนึง ไม่ก็โกโก้แก้วนึง อาจจะมีขนมอะไรนิดหน่อย ไว้กินกับกาแฟหรือโกโก้ ส่วนเรา ไม่ได้กินสมองก็ไม่แล่นใช่มะ ก่อนไปโรงเรียนก็เลยกินนมใส่โกโก้ผง ที่นี่ชั้นกินเป็นชามอ่ะ บางทีก็ใส่ซีเรียลด้วย แล้วแต่ว่าตื่นเช้าหรือตื่นสาย

- มื้อที่สอง คือมื้อสาย ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คงเรียกว่า Brunch มั้ง ถ้าเป็นภาษาสเปนก็เรียกว่า มอร์ซาร์ (Morzar) หรือคำอะไรคล้ายๆ อย่างเงี้ยอ่ะ (คือเปิดดิกแล้วหาไม่เจอ) มื้อนี้ส่วนใหญ่ (99.99%) จะกินแซนด์วิช ที่เรียกว่า Bocadillo (โบกาดิโย่) ถ้าจำไม่ผิด เคยอธิบายไปแล้ว แต่จะอธิบายอีกรอบก็ได้ โบกาดิโย่เป็นขนมปังยาวๆ อ่ะ ไม่รู้เรียกว่าอะไร รูปทรงคล้ายๆ ขนมปังฝรั่งเศสยาวๆ เคยเห็นป่ะ นั่นแหละ แต่นี่ไม่ยาวขนาดนั้น สั้นกว่า ก้อน (หรือเรียกว่าแท่งดี) นึงก็ยาวประมาณ 4/5 ของคีย์บอร์ด (เอาของใกล้ตัวเนี่ยแหละ) ประมาณนั้น ผ่าครึ่ง ใส่ไส้ข้างใน ซึ่งก็มีหลากหลาย ทั้งชีส แฮม (ภาษาสเปนเรียกว่า คาม่อน) ตอร์ตีย่า (ไข่เจียว ซึ่งก็เคยเล่าไปแล้ว ไว้จะเล่าอีกที) ฯลฯ แล้วแต่จะชอบ

ปกติเวลาไปโรงเรียน ก็จะมีช่วงพักตอนประมาณ 10.30 ให้กินมื้อนี้กัน (พักครึ่งชม.) โฮสต์มัมเราก็ทำแซนด์วิช แบบเป็นแซนด์วิชจริงๆ ไม่ใช่โบกาดีโย่ เพราะเรากินไม่หมด แต่ไส้ก็เหมือนๆ กัน แล้วก็ให้น้ำผลไม้ ไม่ก็นมช็อคโกแลต กล่องนึง ไปกินที่โรงเรียน

- มื้อที่สาม มื้อกลางวัน ภาษาสเปนเรียกว่า โกเมร์ (Comer) มื้อนี้ถ้าเป็นวันหยุดจะเป็นมื้อที่กินเยอะที่สุดของวัน บางทีอิ่มจนไม่ต้องกินมื้อเย็นเลยล่ะ แต่ถ้าเป็นวันธรรมดา ส่วนใหญ่ก็จะกินเป็นอาหารจานเดียว (เพราะสะดวกกับโฮสต์มัม ที่มีเวลาพักกลางวันแค่ชม.เดียว) มื้อนี้วันธรรมดา พอโรงเรียนเลิกก็จะกลับมากินที่บ้าน (คือที่นี่เค้ากินมื้อนี้กันตอนบ่ายๆ อ่ะ ไม่ได้กินตอนเที่ยงเหมือนประเทศอื่นเค้า ปกติก็กินกันประมาณบ่ายสองบ่ายสาม)

- มื้อที่สี่ อาหารว่างตอนเย็น ก็ไม่ค่อยสำคัญอีกน่ะแหละ ปกติเราอยู่บ้านก็ไม่ได้กินหรอก เพราะมันไม่หิว (แต่คาดว่าอยู่ๆ ไปอาจจะพัฒนา กินครบทั้งห้ามื้อ) อาหารที่กินมื้อนี้ก็เป็นพวกของว่างเล็กๆ น้อยๆ น่ะแหละ แต่บางคนก็กินเหมือนมื้อที่สอง (ย้อนกลับไปดูเอง ขี้เกียจพิมพ์ใหม่) ถ้าเราหิวมากๆ ก็กินน้ำผลไม้ ไม่ก็นมแก้วนึงก็โอเคแล้ว ก็บอกแล้วว่ามันเป็นอาหารว่าง ภาษาสเปนเรียกว่า เมเรนดาร์ (Merendar)

- มื้อที่ห้า มื้อเย็น (เรียกว่ามื้อค่ำดีกว่ามั้ง) ภาษาสเปนเรียกว่า เซนาร์ (Cenar) เป็นมื้อสุดท้าย สำหรับคนส่วนใหญ่ (คนปกติธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าไม่ปกติก็อาจจะมีมื้อดึกอีก) กินกันประมาณสามทุ่ม เป็นอย่างเร็ว แต่ถ้าเป็นงานเลี้ยง หรืออะไรแบบนั้น ก็อาจจะได้กินกันตอนสี่ห้าทุ่ม แล้วแต่ มื้อนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นมื้อใหญ่มากนะ บางทีกินน้อยกว่ามื้อกลางวันซะอีก ส่วนคนที่ไดเอต ก็จะมาไดเอตกันมื้อนี้แหละ อาหารก็ธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป เน้นทำง่าย

โอเค กว่าจะจบเรื่องมื้ออาหารก็คงอ่านกันจนเหนื่อยแล้วใช่มะ แต่คราวนี้ขอพิมพ์เมล์ให้ยาวสะใจไปเลย (ที่ผ่านๆ มายังยาวไม่สะใจ)

เริ่มจากอาหารพวกออเดิร์ฟก่อน ออเดิร์ฟนี้ จะกินกันเฉพาะมื้อกลางวันเท่านั้น มื้อค่ำก็มีบ้าง เวลาเป็นงานเลี้ยง วันสำคัญ แต่ปกติจะไม่ค่อยได้กิน สรุป คือ ออเดิร์ฟก็จะกินกันเฉพาะมื้อที่กินกันเยอะๆ เท่านั้น

อาหารที่เป็นออเดิร์ฟก็มีหลากหลาย เริ่มจาก แฮม หรือคาม่อน (Jamón) ซึ่งทุกคนก็คงรู้จักแฮมกันอยู่แล้วใช่มะ จริงๆ แล้ว แฮมก็คือเนื้อส่วนขาของหมู หมักกับเกลือ (หรืออาจจะมีอย่างอื่นเราก็ไม่รู้) แฮมที่กินกันในเมืองไทย ก็จะเป็นแฮมที่ต้มแล้ว ที่นี่เค้าเรียกว่า คาม่อน ยอร์ก แต่คาม่อนส่วนใหญ่ที่เค้ากินกันที่นี่ ไม่ใช่คาม่อนยอร์ก

แล้วมันคืออะไรล่ะ ไม่รู้อ่ะ จำชื่อภาษาสเปนไม่ได้ แต่ที่นี่ถ้าเรียกคาม่อน ก็จะหมายความถึงไอ้นี่แหละ ไอ้นี่ที่ว่า ก็คือขาหมูหมักเกลือน่ะแหละ มีวางขายแบบเป็นทั้งขาเลย (หนักมากนะ เคยลองยกดูแล้ว) แล้วก็แบบที่่เป็นเนื้อชิ้นบางๆ คาม่อนแบบนี้ จะไม่ต้มก่อนกิน แล่มายังไง ก็กินอย่างนั้นเลย เพราะเค้าถือว่า เกลือช่วยทำให้สะอาดแล้ว (ข้อมูลนี้ได้มาจากหนังสือ บ้านเล็กในป่าใหญ่) รสชาติก็โอเคนะ มันก็คล้ายๆ เนื้อตากแห้ง (เรียกว่าเนื้อแดดเดียวป่ะ) คล้ายๆ อย่างนั้นอ่ะ เป็นอาหารประจำชาติสเปนอีกอย่างนึงมั้งเนี่ย คาดว่่าแต่ละที่ก็คงมีวิธีทำแตกต่างกันไป ก็กินได้น่ะแหละ แต่เราก็ไม่ถึงกับชอบมาก เพราะชอบอะไรที่มันสุกแล้วจริงๆ ด้วยความร้อนอ่ะนะ (เรื่องมาก)

ต่อจากคาม่อน ก็มาที่อาหารยอดฮิตอย่าง ชีส ชีสก็มีหลายแบบ เราไม่รู้จักซักอย่าง รู้แค่ว่า นี่เป็นชีสสเปนนะ นี่เป็นชีสฝรั่งเศสนะ จากการบอกเล่าของโฮสต์มัม จะว่าไปแล้ว เราก็ไม่ค่อยชอบชีสซักเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมัน แล้วเราก็ไม่ชอบอะไรที่เค็มๆ มากๆ ชีสบางอย่างก็มีขมๆ นิดๆ ด้วย แต่ถ้าชีสแบบอบแล้ว ก็โอเคนะ เวลากินเป็นออเดิร์ฟ ก็มีทั้งกินกับขนมปัง แล้วก็กินแบบเป็นชีสเปล่าๆ (ซึ่งเรากินไม่ได้อ่ะ ฝืนใจเกิน)

นอกจากชีสกับแฮมแล้ว ออเดิร์ฟบางทีก็เป็นมันฝรั่งทอดกรอบ (แบบเลย์น่ะแหละ แต่ที่นี่ไม่เห็นจะเคยมียี่ห้อ) หรือขนมกรอบๆ ทั้งหลาย ก็เป็นออเดิร์ฟได้ แล้วก็มีพวกอาหารทะเล แบบกุ้งต้ม ไม่ก็เป็นหอยแมลงภู่ในน้ำมันอะไรซักอย่าง (มันมีขายเป็นแบบสำเร็จรูป) แล้วแต่จะกินกัน บางทีเค้ากินกันจนเราอิ่มแทน (กินเยอะจริงๆ ) ถ้าใครได้เมล์ที่เราเล่าเรื่องตอนงานแต่งงาน เราก็เ่ล่าเรื่องออเดิร์ฟที่ได้กินไปแล้วด้วย

พอๆ มาถึงอาหารบ้าง อาหารก็มีเยอะแยะมากมาย (เฉพาะอาหารคาวนะ ไม่นับอาหารหวาน) จะเล่าถึงอาหารของแคว้นบาเลนเซียก่อนละกัน

อย่างแรกเลย ที่ขึ้นชื่อที่สุด ก็คงไม่พ้น ปาเอย่า (Paella) ปาเอย่าคืออะไร (อ่านว่า ปา-เอ-ย่า นะ) ปาเอย่าก็คือข้าว ส่วนใหญ่จะมีสีเหลืองๆ คล้ายๆ ข้าวหมกไก่ แต่รสชาติไม่เหมือน

วิธีทำก็คือ ตั้งกระทะ เป็นกระทะแบนๆ ใหญ่ๆ ใส่น้ำมันบนกระทะ ให้น้ำมันเคลือบทั่วผิวกระทะ (เค้ามีเคล็ดลับตอนใส่น้ำมันด้วยนะ แต่จำไม่ได้แล้วอ่ะ) พอน้ำมันร้อน ก็ใส่เนื้อไก่ (หรือเนื้อสัตว์อย่างอื่นก็ได้ แต่ถ้าเป็นอาหารทะเล จะทำอีกแบบนึง) ผัดๆ ให้ไก่สุก แล้วก็ใส่ผัก (ระหว่างนี้เค้าก็ใส่เครื่องเทศอะไรของเค้าไปด้วยนะ) ผักส่วนใหญ่ก็เป็นพวกถั่ว ถั่วลันเตา ถั่วอะไรอีกมากมาย พอพวกนี้สุกดีแล้ว ก็ใส่น้ำ ใช่ ใส่น้ำเปล่า แต่ต้องเป็นน้ำแร่ของที่นี่เท่านั้นนะ ข้าวถึงจะออกมาสวย พอน้ำเริ่มร้อนหน่อย ก็ใส่ข้าว แล้วก็ทิ้งไว้ รอจนกว่าาน้ำจะระเหยออกไปหมด (ก่อนหน้านั้นใส่พริกป่นมั้ง คล้ายๆ อย่างนั้นอ่ะ แต่ไม่เผ็ดเลยซักกะนิด) ก็เหมือนเวลาหุงข้าวล่ะนะ พอน้ำระเหยออกไปหมด ข้าวก็สุกพอดี กินได้ อร่อยมากกกกกกกกกก จริงๆ ขอย้ำว่าอร่อยมากกกกกกกกก

แล้วก็มีอะไรอีกน้าาา นึกไม่ออกอ่ะ ตายละ อาหารประจำแคว้นมีอยู่อย่างเดียวเองเหรอเนี่ย ความจริงก็มีพวกสารพัดข้าวอ่ะนะ เพราะแคว้นนี้เป็นแคว้นเดียวในประเทศสเปนที่ปลูกข้าวได้ เพราะแคว้นอื่นไม่อุดมสมบูรณ์เท่า ลักษณะทางกายภาพของแคว้นนี้มันคล้ายๆ กับภาคกลางของประเทศไทยด้วยแหละ ก็เลยปลูกข้าวได้ แต่ใช่ว่าจะปลูกได้ทุกปีนะ ข้าวที่นี่ปลูกได้แค่ปีเว้นปีเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็นำเข้าข้าวจากแถบละตินอเมริกา

มาถึงอาหารอีกอย่างดีกว่า เรียกว่า ตอร์ตีย่า (Tortilla) มันก็คือไข่เจียวนั่นเอง แต่ไข่เจียวที่นี่ไม่เหมือนไข่เจียวที่เมืองไทยนะ เพราะไข่เจียวที่เมืองไทยจะทำเป็นแผ่นบางๆ ใช่มะ แต่ที่นี่หนาประมาณนิ้วนึงได้ วิธีทำก็คล้ายๆ ไข่เจียวเมืองไทยน่ะแหละ ตอกไข่ แล้วก็ตีๆๆๆๆ ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วก็ลงกระทะ พยายามทบๆ ให้มันหนาๆ เข้าไว้ อันนี้คือไข่เจียวธรรมดา ที่ไม่ได้ใส่อะไร โฮสต์มัมเราเรียกว่า ตอร์ตีย่าแบบฝรั่งเศส ก็คือไข่เจียวเปล่าๆ

แต่ตอร์ตีย่าของสเปน มีหลากหลาย เพราะอยากใส่อะไรก็ใส่ ที่นิยมที่สุดก็คือมันฝรั่ง เวลาทอดไข่ ก็ใส่มันฝรั่งที่หั่นเป็นก้อนๆ สี่เหลี่ยมลงไปด้วย แล้วก็มีตอร์ตีย่าเห็ด ซึ่งก่อนจะทอดไข่ ต้องทอดเห็ดให้สุกก่อน แล้วเวลาทอดไข่ถึงจะใส่เห็ดที่สุกแล้วลงไป แต่ที่เราชอบที่สุดก็คือตอร์ตีย่าผักขม ผักขมเนี่ย ภาษาสเปนเรียกว่า แอสปินากัส (Aspinacas) ตอนแรกที่เค้าพูดชื่อนี้ขึ้นมา ก็นึกไปถึงแอสพารากัส Asparagas (หน่อไม้ฝรั่ง) ก็งงๆ ว่า แอสพารากัสที่นี่มีใบเขียวๆ ด้วยเหรอ แต่ซักพักก็หายโง่ เมื่อเทียบคำนี้กับ สปิแนช Spinach (คนสเปนออกเสียงตัว s นำหน้าคำไม่ได้ อย่างสคูล ก็ออกเป็น เอสคูล) ตอร์ตีย่าผักขมเป็นอะไรที่อร่อยมากสำหรับเรา ชอบมากๆๆๆๆๆ

แล้วก็มีอาหารอีกอย่าง ที่กินเป็นประจำทุกมื้อกลางวันของวันเสาร์ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แ่ต่โฮสต์มัมทำไอ้อาหารนี้ทุกสุดสัปดาห์เลย (ไม่อยากจะบอกว่าขนาดนี้แล้ว ยังจำชื่อมันไม่ได้) เป็นอาหารที่ทำโดย ต้มเนื้อสัตว์ (เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ อะไรก็ใส่ลงไป) กับผัก (มีมันฝรั่ง มัน แครอท ถั่วหลากหลายชนิด แล้วก็ต้นอะไรก็ไม่รู้ ที่ลักษณะคล้ายๆ ขิง แต่ไม่มีกลิ่นของขิงเลย) พอทุกอย่างสุกดีแล้ว ก็จะแยกเนื้อกับน้ำออกจากกัน แยกเป็นน้ำซุปเปล่าๆ (ซึ่งจะได้สีเหลืองๆ จากไอ้อะไรที่คล้ายๆ ขิง กับเครื่องเทศ) แล้วก็เนื้อสัตว์ก็แยกจากผัก (ถ้าไปกินตามร้านอาหาร หรือที่ๆ เค้าทำปราณีตกว่านี้ จะแยกทุกอย่างออกจากกันหมดเลย)

น้ำซุปที่ได้เอามาทำอะไร? เอามาต้มเส้นฟิเดโอ (Fideo) ซึ่งเป็นเส้นกลมๆ เล็กๆ ลักษณะคล้ายๆ เส้นหมี่ แต่ทำจากแป้งชนิดเดียวกับพวกพาสต้า เป็นเส้นเล็กๆ สั้นๆ ยาวไม่เกินสองสามเซนต์ เค้าเรียกว่าซุปฟิเดโอ ซึ่งมันอร่อยมากๆๆๆๆๆ เราชอบไอ้ซุปนี้มากๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

พอกินซุปเสร็จ ก็จะเอาเนื้อทั้งหลายแหล่ที่แยกไว้มากินต่อ เริ่มจากกินพวกผักก่อน เสร็จแล้วถึงกินเนื้อสัตว์ (บ้านอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ครอบครัวเราเป็นแบบนี้อ่ะ) อ้อ เคยไปกินอะไรคล้ายๆ อย่างนี้ที่บ้านเพื่อนด้วย เค้ากินพวกเนื้อสัตว์และผัก พร้อมกับซุปฟิเดโอเลย ก็คงแล้วแต่ครอบครัวล่ะ ว่าจะกินยังไง (แต่เท่าที่กินมา โฮสต์มัมเราทำไอ้ซุปเนี้ย อร่อยที่สุดเลย)

ที่เราชอบอีกอย่างนึงก็คือพวกพาสต้า (ย้ายไปอยู่อิตาลี่ดีกว่า) โฮสต์มัมเราก็ทำพาสต้าอร่อยอีกแล้ว อร่อยมากๆๆๆๆ ส่วนสปาเกตตี้ก็แล้วแต่ซอส ว่าจะทำสปาเกตตี้อะไร ที่ทำบ่อยก็คือ ซอสจากมะเขือเทศกับทูน่า อร่อยมากกกกกกก แล้วก็มีซอสมายองเนส ใส่เห็ด อร่อยอีกเหมือนกัน แล้วก็เคยทำซอสจากมะเขือเทศ ใส่มีทบอล โคดดดดดดด อร่อยเลย สรุปว่า โฮสต์มัมเรา ทำอาหารประเภทนี้อร่อยมากๆ

หมายเหตุนิดนึง อาหารสเปนทุกอย่าง ย้ำว่า ทุกอย่าง เค้าจะใส่น้ำมันมะกอกลงไปด้วย ไม่ว่าจะทอดหรือไม่ทอด ก็จะใส่ เวลาต้มอะไรยังใส่น้ำมันเลย วิธีทำอาหาร ก็เน้นทำง่ายๆ เป็นหลัก อาหารที่ออกมาก็จะง่ายๆ แต่อร่อยอ่ะ

อ้อ ที่เคยกินก็มีซุปผัก เรียกว่าอะไรก็จำไม่ได้อีกแล้ว (กินอย่างเดียว) ตอนแรกก็จะต้มผัก มีแครอท แล้วก็ผักอะไรที่อยากใส่ ก็ใส่มันลงไปต้มๆ ให้หมด เสร็จแล้ว ก็ปั่น ให้กลายเป็นผักเหลวๆ สีจะออกส้มๆ จากแครอท เก็บใส่ตู้เย็น พอจะกินก็เอามาโรยชีส แล้วก็อุ่นให้ร้อนๆ ขอบอกว่าอร่อยมากกกกกกกกกกกกกก จริงๆ นะ ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยน่ากิน แต่มันก็อร่อยดี

พูดถึงซุป ก็ลืมเล่าถึงซุปฟิเดโอแบบง่ายๆ ที่โฮสต์มัมทำแป๊บเดียว (คือแบบที่เล่าไปแ้ล้วมันต้องรอนาน กว่าจะได้น้ำซุปน่ะ) ทำจากกระเทียม เจียวนิดหน่อยในน้ำมัน แล้วก็ใส่น้ำ ใส่เครื่องเทศอะไรของเค้าทั้งหลายแหล่ จะได้น้ำซุปออกเป็นสีแดงๆ ส้มๆ นิดหน่อยจากเครื่องเทศ แล้วก็ใส่เส้นฟิเดโอ สุดท้ายก็ตอกไข่ใส่ลงไป ไข่ที่ออกมาจะคล้ายๆ ไข่ดาว แต่ไม่ได้ทอดอ่ะ เข้าใจใช่มะ เวลากิน รสชาติมันจะคล้ายๆ เวลากินข้าวต้มมากๆ อร่อยมากๆๆ ด้วย

มาถึงสลัด สลัดปกติแล้ว ตอนแรกที่เรากินก็ไม่ค่อยชอบ เพราะก็แค่ ราดน้ำมันมะกอกลงบนผัก โรยเกลือ แค่นั้นก็เป็นสลัดแล้ว เราก็คิดถึงสลัดน้ำใสที่เมืองไทยมากๆ แต่ตอนนี้กินๆ ไปก็เริ่มชิน เริ่มอร่อยขึ้น เพราะถ้าไม่กินสลัด วันๆ ก็แทบไม่ค่อยได้กินผักซักเท่าไหร่ (แบบว่าเราโรคจิตเล็กน้อย กินเนื้อเท่าไหร่ ต้องกินผักเท่านั้น ไม่งั้นจะรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ) จะว่าไปแล้ว สลัดก็มีหลายแบบ ที่กินบ่อยๆ ก็แบบที่บอกไปน่ะแหละ ผักที่ใส่ก็มีผักสลัดอ่ะ เรียกว่าอะไร แต่ไม่เคยกินในเมืองไทย ใบคล้ายๆ ผักกาด แต่ไม่ใช่ แล้วก็ใส่ข้าวโพด มะเขือเทศ บางทีก็ใส่ทูน่าด้วย ก็อร่อยดี บางทีโฮสต์มัมก็ทำสลัดมะเขือเทศเปล่าๆ ให้กิน ซึ่งมันเป็นของชอบเราอยู่แล้วอ่ะนะ ทำโคดดดด ง่าย ไว้กลับไปทำที่เมืองไทยมั่ง อ้อ ไม่ได้ ลืมไป มะเขือเทศที่นี่กับที่เมืองไทยมันไม่เหมือนกันอ่ะ ที่นี่มะเขือเทศลูกใหญ่กว่าแอปเปิ้ลอีก แล้วมันก็จะเปรี้ยวๆ อร่อยดี

สลัดแบบง่าย ก็มีสลัดแบบน้ำข้น ซึ่งทำโดยหั่นแครอทกับมันฝรั่งเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มให้สุก แล้วก็เอามาใส่ทูน่า ใส่มายองเนส วางไข่ขาวโปะข้างบน เสร็จเรียบร้อย แช่ให้เย็นก่อนกิน ก็อร่อยดี แต่ความรู้สึกเรามันเหมือนไม่ได้กินผักยังไงก็ไม่รู้

เพื่อนเอเอฟเอสที่เคยอยู่มาดริดมาก่อน (ไม่ได้ครอบครัว เลยต้องค้างอยู่ที่นั่น) บอกว่า สลัดที่มาดริดจะเพิ่มน้ำส้มสายชูมาอีก แต่สำหรับเรา ไม่ชอบกลิ่นน้ำส้มสายชูอ่ะ ก็เลยไม่ชอบสลัดแบบนั้นเท่าไหร่

แล้วตอนปีใหม่ก็ได้กินอาหารอีกอย่างนึง ซึ่งโฮสต์มัมทำเป็นครั้งแรก และเป็นอะไรที่่อร่อยมากกกกกกก

เริ่มจากเอาเนื้อขาหมู (เรียกว่าแฮมนั่นแหละ แต่อันนี้เป็นเนื้อสดๆ เป็นก้อนใหญ่มากๆ โฮสต์มัมบอกก้อนนี้สองกิโลแน่ะ) มาโรยเกลือ ใช้มีดทำให้เป็นร่องนิดหน่อยตรงกลางๆ จะได้สุกทั่วถึง พอโรยเกลือเสร็จก็ทาด้วยเนย ทาให้ทั่วเลยนะ แล้วก็เอาใส่ชามใหญ่ๆ (เป็นชามสแตนเลส) ราดด้วยเหล้าแอปเปิ้ล (เบ็ดเสร็จใช้เหล้าแอปเปิ้ลไปเกือบสองขวด) แล้วก็โรยด้วยผลไม้แห้ง เช่น ลูกพรุน ลูกเกด อินทผลัม ฯลฯ แล้วเอาใส่เตาอบ

ง่ายเนอะ แต่มันออกมาอร่อยมากๆๆๆๆๆๆ อร่อยจนกินไปยิ้มไป เป็นอาหารปีใหม่ที่อร่อยมากๆ เลย

โอเค จบจากอาหารคาวซะทีดีกว่า มาถึงอาหารหวาน

ของหวานที่นี่ก็มีเยอะแยะมากมาย แล้วแต่จะกินอะไรกัน แต่ที่เป็นของหวานประจำคริสต์มาสและเป็นของประจำถิ่นของแถบบาเลนเซียคือ ตูรอน (Turrón)

ตูรอนก็คือถั่วชนิดหนึ่ง คงคล้ายๆ กับอัลมอนด์ละมั้ง เอามาทำเป็นขนมมีหลายแบบ แบบแรก เป็นตูรอนเคี่ยวกับน้ำผึ้งและน้ำตาล ตัดเป็นแท่งๆ จะออกมาเหนียวๆ แข็งๆ กรอบๆ แล้วก็จะมีเหมือนเวเฟอร์บางๆ บางยิ่งกว่ากระดาษอีก กินแล้วละลายในปาก ปิดทับแท่งนี้อีกที เป็นตูรอนที่ไม่หวานมาก กินแล้วมันๆ ดี

แบบที่สอง เป็นตูรอนที่ผสมกับอะไรซักอย่าง แต่ออกมาแล้วจะเป็นแท่งๆ รสชาติคล้ายๆ เนยถั่ว อันนี้จะหวานค่อนข้างมาก ก็อร่อยดี แต่กินเยอะๆ ก็ไม่ไหว

แบบสุดท้าย (ที่เรารู้จัก) เป็นตูรอนช็อกโกแลต อันนี้จะเป็นคล้ายๆ ช็อคโกแลตมีข้าวพองกรอบๆ อยู่ กินแล้วอร่อยมากๆๆๆๆๆ อร่อยกว่าช็อกโกแลตนมธรรมดา

นอกจากตูรอนแล้ว ช่วงคริสต์มาส ของหวานที่มีเยอะอีกอย่างก็คือช็อกโกแลต ซึ่งมีหลายแบบ ทั้งช็อกโกแลตแบบก้อนๆ มาในกล่องที่คละๆ กันหลายๆ แบบ แล้วก็มีแบบแท่ง ที่โฮสต์ซิสเตอร์เราเค้าซื้อมาจากอะลิกันเต้ (เป็นเมืองในแคว้นบาเลนเซียเหมือนกัน)

ช็อกโกแลตแท่งมีอยู่ 3 แบบ คือ Black Chocolate, Milk Chocolate, White Chocolate

แบบแรก แบล็คช็อคฯ ก็จะเป็นช็อคโกแลตที่ไม่ใส่น้ำตาล หรือถ้าใส่ก็ใส่น้อยมากๆ มีความเข้มข้นของโกโก้สูง แบบนี้จะขมนิดๆ (สำหรับเรานะ แต่บางคนอาจจะขมมาก) เป็นช็อคฯแบบที่เราชอบมากที่สุด เพราะมันกินได้เรื่อยๆ ไม่เลี่ยน ไม่หวานเกิน

แบบที่สอง มิลค์ช็อค ก็คือช็อคโกแลตสีน้ำตาลที่กินกันทั่วๆ ไปน่ะแหละ อันนี้จะใส่น้ำตาลมากกว่าแบบแรก จะหวานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กะใส่น้ำตาลไปเท่าไหร่

แบบสุดท้าย ไวท์ช็อคฯ เราไม่ค่อยชอบแบบนี้เท่าไหร่ เพราะกินแล้วไม่รู้สึกว่ามันเป็นช็อคโกแลต

สรุป คริสต์มาสก็ได้อ้วนกะของหวานพวกนี้ อาจจะขึ้นอีกหลายกิโล แต่ไม่รู้ว่าขึ้นไปแค่ไหนแล้ว เพราะว่าที่บ้านไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนัก

ส่วนของหวานอื่นก็มีอีกเยอะแยะมากมาย ขึ้เกียจพิมพ์แล้วอ่ะ




 

Create Date : 26 มกราคม 2548    
Last Update : 26 มกราคม 2548 0:26:13 น.
Counter : 696 Pageviews.  


Arms of Venus
Location :
Picassent, Valencia Spain

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Arms of Venus's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.