ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงฝัน

รู้ใจก็ไร้ทุกข์

แม้ว่าคนในยุคปัจจุบันจะมีชีวิตที่สะดวกสบายกว่าสมัยก่อน แต่เราก็ยังมีทุกข์ ซึ่งพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้กล่าวไว้ในกิจกรรมชมรมคนรู้ใจเมื่อวันก่อนว่า

ทุกข์ของคนสมัยนี้เป็นทุกข์ทางใจมากกว่า ที่ทุกข์ก็เพราะวางจิตไม่เป็น จนเกิดอาการ "จิตตก" เป็นทุกข์ขึ้นมา
แท้ที่จริง ความสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ใจของคนเราไม่ได้โอนอ่อนตามกายเสมอไป แม้จะกินอาหารรสเลิศ ฟังเพลงที่ไพเราะ แต่ถ้าใจเป็นอกุศล หรือมีความกังวล หมองเศร้า กลัว เครียด โกรธเคือง ฯลฯ ไม่ว่าจะเสพอะไรเข้าไปก็ไม่เกิดสุข ความสุขเกิดจากใจที่เป็นกุศลหรือคิดแง่บวก ใจที่เป็นบวกยังมีอานุภาพเอาชนะทุกข์ทางกายได้ด้วย ในทางกลับกัน หากใจเป็นอกุศล คิดแง่ร้าย หรือหวาดกลัววิตกกังวลมากๆ ก็อาจทำให้เกิดอาการไม่สบายทางกายได้

ในเมื่อความสุขทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ เราจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลใจของเรา และที่สำคัญมากคือการ "รู้ใจ" ของเราอยู่เสมอ เพราะถ้าไม่รู้ใจ หรือไม่รู้ทันอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด เราก็จะถูกครอบงำชีวิตให้ทุกข์ให้เจ็บปวด แม้ว่าสัตว์หลายชนิดจะมีความรู้ตัว (Self-awareness) คือรู้ว่ามีตนเองที่ต่างจากผู้อื่น แต่ก็ไม่รู้ใจ มนุษย์มีความสามารถที่จะรู้ใจตน แต่ทุกวันนี้เรามัวแต่สนใจเรื่องราวภายนอกจนลืมดูใจตัวเอง ปล่อยให้ใจชักพาให้ทุกข์จากการคิดปรุงแต่งให้โกรธ เศร้า ฟุ้งซ่าน ปล่อยให้ความคิดครอบงำจิตจนหยุดคิดไม่ได้ เหมือนรถไม่มีเบรก เราจึงจำเป็นต้องรู้ใจของเราให้มากขึ้น จะได้ไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดของเราเอง

การรู้ใจ มี 3 ระดับ ระดับแรก คือ รู้ทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดนึกต่างๆ ทั้งนี้ คนเราไม่ได้เพลิดเพลินกับอารมณ์ที่น่ายินดีเท่านั้น แต่สามารถจมอยู่กับความทุกข์และอารมณ์ที่เป็นอกุศล เช่น ความโกรธ ความเศร้า ได้ด้วย ซึ่งก็เป็นเพราะเราเผลอ ไม่รู้ตัว จนอาจถูกความคิดความรู้สึกนั้นครอบงำ หรือชักนำให้ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนเองและผู้อื่น ความรู้ตัวจะช่วยปลดเปลื้องใจจากอารมณ์ ไม่ปรุงแต่งให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ผลที่ตามมาคือเราสามารถละวางได้ ทำให้ความคิดความรู้สึกนั้นบรรเทาเบาบางลงไป

สิ่งที่จะช่วยให้เรารู้ทันใจก็คือ สติหรือความระลึกได้ คนเรามักเป็นทุกข์เพราะอดีต (เรื่องที่ผ่านมาแล้ว) กับอนาคต (เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเกรงว่าจะเกิดขึ้น) เมื่อมีสติรู้ก็จะสามารถปล่อยวาง เป็นทุกข์กับอดีตและอนาคตน้อยลง หาความสุขได้ไม่ยาก ส่วนความทุกข์จากปัญหาที่ประสบในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นเพราะใจต่อต้าน ขัดขืน ผลักไส คิดปรุงแต่งจนเป็นทุกข์ ความกังวลหรือกลัวยิ่งทำให้ทุกข์มากขึ้น หากเรามีสติก็จะสามารถทำให้ใจสงบลง วางใจให้เป็นกลาง ยอมรับได้ ทนได้ แล้วคิดหาทางจัดการแก้ไข แทนที่จะเอาแต่พร่ำบ่นตีโพยตีพาย

การรู้ใจระดับที่สองคือ รู้วิธีคิดของเรา คนส่วนใหญ่มักคิดเชิงลบเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ปรารถนา อีกทั้งคอยมองหาข้อบกพร่องในสิ่งต่างๆ มองข้ามข้อดีของสิ่งที่มีและสิ่งต่างๆ ที่พบเจอ แต่กลับจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่มี หรือสิ่งที่เคยมีแล้วสูญหายไป แม้จะได้มาเท่าไหร่ก็ยังทุกข์ เพราะคิดว่ามีคนได้มากกว่า ตนเองได้น้อยกว่าคนอื่น ถ้ารู้ทันใจในเรื่องนี้ก็จะเห็นว่าชีวิตแม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีส่วนที่ดี เมื่อพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ทุกข์ก็น้อยลง การพอใจไม่ได้หมายความว่าไม่ยอมพัฒนา แต่การพัฒนาต้องเกิดจากแรงจูงใจเชิงบวกหรือเป็นกุศล ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกเชิงลบกับสิ่งที่มี การมองเชิงบวกจะช่วยให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้มากขึ้น และจะทำให้เรากระตือรือร้น ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

สำหรับการรู้ใจระดับสูงสุดคือ การรู้จนเกิดปัญญาเห็นธรรมชาติของใจว่าไม่ใช่ของเรา ความรู้สึกทั้งหลายคืออาการของใจที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านอกเหนืออำนาจความควบคุมของเรา รู้ว่าทุกข์ไม่ใช่เรา แต่เป็นเรื่องของกายใจ สติจะช่วยให้แยกได้ว่าเป็นทุกข์ของกายหรือของใจ แต่เราไม่มีสติ จึงไปยึดว่าเป็น "ตัวฉัน" เมื่อระลึกได้ ตัวตนที่จะไปเป็นเจ้าของความทุกข์จะหดหายไป ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา-ของเราลดน้อยลง ก็จะไกลจากความทุกข์มากขึ้น สามารถปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้ทั้งภายในและภายนอก

การรู้ใจในระดับนี้ทำให้ไกลจากความทุกข์ วางใจเป็นกลางได้ละเอียดขึ้น โดยเริ่มจากการวางใจเป็นกลางต่อสิ่งไม่ดีที่เกิดกับเรา วางใจเป็นกลางต่ออารมณ์อกุศลในใจ ไม่ผลักไส แต่ก็ไม่หลงตาม คือไม่ยินดียินร้าย สุดท้ายคือวางใจเป็นกลางต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เมื่อเห็นว่าทั้งรูปทั้งนามไม่ใช่ตัวเราของเรา สละความยึดมั่นถือมั่นในกายและจิต ก็คือเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงจากทุกข์ คือนิพพาน ทั้งหมดนี้เกิดจากการรู้ใจ เราจึงควรฝึกฝนให้รู้ใจตนเอง จะได้ไกลจากทุกข์และไร้ทุกข์ในที่สุด




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2551 10:19:19 น.   
Counter : 471 Pageviews.  

แนวคิดดี ๆ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ

เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมครับ

เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่นตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ

1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย

เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัว เอง ผมประทับใจบทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน "เสาร์สวัสดี" ของ"กรุงเทพธุรกิจ "
เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย

ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น "ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา" เขาบอก

เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆว่ายน้ำไปด้วย คาดว่าคงไปเรียนเรื่อง

"คลื่น" ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ
คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากันระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน
แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้

แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก

"จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย" โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง

คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด

ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม

เหตุผลที่ ดร.วรภัทร ออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก

"ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้ว อาจารย์จะปรับให้"

เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ ไม่รู้จักคิดเอง

""ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่าเพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่นป้อน ให้"

โหย...เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่าชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัย ที่ต้องตั้งโจทย์เองและตอบเอง
ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์

และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง
ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย" ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และ

เสนอทางเลือก 1-2-3-4
คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ "กรอบ"ที่คนอื่นสร้างให้ ไม่เหมือน

กับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง
เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่าเพราะมี "คำถาม"จึงมี "คำตอบ"
เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม

ผมนึกถึง โสเครติส

" เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้ จาก "คำถาม"

กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอน คือ
ไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของ นักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้ "โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเอง เขาจะเริ่มต้น

แสวงหา "ความรู้ " แต่ถ้า เด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้ "

การตั้งคำถามของโสเครติส จึงมีเป้าหมายโจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน
เป็นกลยุทธ์เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำ แล้วจึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง

"น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก "คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง
"คำตอบ" จาก "คำถาม" ของ "โสเครติส"

"โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า "คนฉลาด" และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ

"คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้นไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง

แต่ "คนฉลาด" คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้


ส่วน "คนโง่" นั้น คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้


ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ผมยังมีความภาคภูมิใจใน "ความรู้" ของตนเอง
แต่พออ่านถึงบรรทัดนี้ ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย .....




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2551   
Last Update : 31 ตุลาคม 2551 17:22:09 น.   
Counter : 440 Pageviews.  

ผลไม้ไทย แก้มะเร็ง

นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการที่กรมอนามัยทำการศึกษาผลไม้ ที่มีบริโภคในประเทศไทย 83 ชนิด

ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม พบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

- มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 873 ไมโครกรัม
- รองลงมา ได้แก่ มะเขือเทศราชินี 639 ไมโครกรัม
- มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
- แคนตาลูปเหลือง 217 ไมโครกรัม
- มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
- มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
- สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
- แตงโม 122 ไมโครกรัม
- ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม
- และลูกพลับ 93 ไมโครกรัม


สำหรับผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่

- ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
- มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
- มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
- มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
- มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
- มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
- มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
- กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
- แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
- สตรอเบอร์รี่มี 0.54 มิลลิกรัม


ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

- ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
- ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
- มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
- มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
- เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
- ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
- สตรอเบอร์รี่ 66 มิลลิกรัม
- มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
- พุทราแอปเปิ้ล 47 มิลลิกรัม
- ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม


และจากการศึกษากล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ พบว่า

- กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด 528 ไมโครกรัม
- รองลงมาคือ กล้วยงาช้าง 520 ไมโครกรัม
- กล้วยไข่โนนสูง 397 ไมโครกรัม
- กล้วยนางพญา 393 ไมโครกรัม
- กล้วยไข่ 271 ไมโครกรัม
- กล้วยหักมุกนวล 270 ไมโครกรัม

อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า ปกติเราจะได้รับสารอาหารทั้ง 3 ชนิดจากการรับประทานอาหารโดยทั่วไปน้อย
เพราะถูกทำลายได้ง่ายจากความร้อน จึงต้องเพิ่มการรับประทานผลไม้และผักสดด้วย
โดยแนะนำให้รับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดและให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ
โดยใน 1 วันคนเราควรบริโภคผลไม้ ให้ได้วันละ 4 ส่วน โดย 1 ส่วนของผลไม้ หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก
เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ 6-8 ผล, ผลไม้ขนาดกลาง เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วย น้อยหน่า เท่ากับ 1-2 ผล
ส่วนผลไม้ขนาดใหญ่เช่น แตงโม สับปะรด มะละกอ จะเท่ากับ 6-8 ชิ้นพอคำ อย่างไรก็ดี ในกลุ่มที่ต้องคุมปริมาณน้ำตาล
โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน ในอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ชายบริโภคแคโรทีนอยด์วันละ 6 มิลลิกรัม
ในคนไทยแนะนำให้บริโภควิตามินอีวันละ 6-15 มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ 40-90 มิลลิกรัม
ที่มา ไทยรัฐ




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2551   
Last Update : 31 ตุลาคม 2551 17:13:27 น.   
Counter : 555 Pageviews.  

สมัครงานอย่างไรให้ได้งาน (สำหรับคนกำลังหางาน)

การสัมภาษณ์งาน

1. คำถามทั่วไปที่ผู้สัมภาษณ์นิยมใช้

- ทำไมคุณคิดว่าคุณจะรู้สึกพอใจ เมื่อได้ทำงานในตำแหน่งนี้

ควรตอบว่าเป็นงานที่มีความก้าวหน้า เป็นงานที่ทำได้ทำในสิ่งที่เรียนมา เป็นงานที่ชอบมานาน กิจการดีมีความมั่นคง ได้ยินว่ากิจการมีชื่อเสียงที่สุดด้านนี้หรืออยากทำงานในกิจการเล็ก ๆ ที่อบอุ่น มีโอกาสเรียนรู้งานได้มาก

- เคยมีประสบการณ์งานด้านนี้หรือไม่ มีหรือไม่มีประสบการณ์ก็

ให้ตอบตามความเป็นจริง หากผู้สมัครงานเคยมีประสบการณ์มาก่อนก็จะเป็นประโยชน์กับตัวผู้สมัครงานเอง หากไม่มีก็ควรบอกว่ามีประสบการณ์อื่นที่ใกล้เคียงหรือเคยฝึกงานมา หรือเคยทำงานแบบนี้กรณีไม่มีประสบการณ์ใด ๆ เลยก็ควรบอกไปตรง ๆ และพร้อมที่จะเรียนรู้เพราะมีใจชอบงานลักษณะนี้

- ใช้คอมพิวเตอร์ หรือพูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้หรือไม่

ทำได้หรือไม่ควรตอบไปตามความจริง หากไม่ได้ควรตอบว่ากำลังจะไปเรียนรู้เพิ่มเติม เพราะรู้ว่าจำเป็นและมีประโยชน์ในการทำงานมาก

- ทำไมจึงออกจากงานเดิมที่ทำอยู่ หรือทำไมจึงคิดเปลี่ยนงาน

ไม่ควรตำหนิที่ทำงานเดิม แม้จะทราบว่าที่ทำงานเดิมเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่ทำงานใหม่ที่กำลังสมัครงาน เพราะจะถูกมองในแง่ลบ ควรตอบว่าไม่ชอบบรรยากาศหรือวิธีการทำงานแบบธุรกิจ หรืออะไรที่กว้าง ๆ และเน้นว่า คิดว่าที่ทำงานใหม่จะให้โอกาสและประสบการณ์ที่ดีกว่า หรือต้องทำงานที่ท้าทายกว่า

- สิ่งที่เรียนมาไม่ตรงกับงานที่ทำ และจะทำงานได้อย่างไร

ควรยอมรับความจริงว่าใช่ ไม่ตรงจริง ๆ แต่ผู้สมัครงานมีความสนใจในงานลักษณ์นี้มากกว่างานที่ตรงกับความรู้ที่เรียนมาจริง ๆ

- อยากจะถามอะไรเกี่ยวกับบริษัทบ้างไหม ไม่ควรตอบว่าไม่มี

แต่ควรถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบในงานที่ผู้สมัครงานต้องทำ หรือถามเกี่ยวกับบริษัท ให้เห็นว่าผู้สมัครงานมีความสนใจในกิจการของบริษัท หรือถามเกี่ยวกับสวัสดิการ โครงการฝึกอบรมของบริษัท เพื่อให้เห็นว่าผู้สมัครงานมีความต้องการ มีจุดประสงค์ใดบ้างในอนาคต

- ต้องการเงินเดือนเท่าไร ไม่ควรตอบว่าไม่รู้ แต่ควรตอบว่าไม่

ต่ำกว่าเท่าไร โดยสอบถามอัตราเงินเดือนของพนักงานระดับนี้ จากคนรู้จักหรือกิจการใกล้เคียงหรือเพื่อนฝูง ผู้สมัครงานควรต้องรู้ว่าตัวเองต้องได้เงินเดือนเท่าไรจึงจะสามารถดำรงชีพได้และมีเงินเหลือเก็บบ้าง หากไม่รู้จริง ๆ ว่าตนเองต้องการเงินเดือนเท่าไรจึงจะเหมาะสม ควรตอบว่าแล้วบริษัทจะเห็นสมควรขอให้ดูความสามารถก่อน จะพยายามทำงานอย่างเต็มความสามารถ

กรณีไม่เข้าใจคำถาม ควรบอกผู้สัมภาษณ์ไปตรง ๆ ให้ถามคำถามใหม่อีกครั้ง และหลังจาการสัมภาษณ์แล้ว ควรมีการติดตามข่าวว่าได้งานหรือไม่แม่บริษัทจะบอกว่าจะติดต่อกลับมาเอง เพื่อแสดงความสนใจจริงที่ต้องการจะทำงานบริษัทนั้น ๆ


2. ข้อที่ควรปฏิบัติในการเข้ารับการสัมภาษณ์

- ศึกษารายละเอียดของบริษัทก่อนเข้ารับการสัมภาษณ์เพื่อจะได้มีเรื่องสนทนาขณะสัมภาษณ์และเป็นการแสดงความสนใจที่มีต่อบริษัท

- ไปรับการสัมภาษณ์ตรงตามเวลา โดยไปก่อนเวลาอย่างน้อย 10 นาที หากไปช้าหรือไปไม่ได้ต้องรีบโทรศัพท์เพื่อขอเลื่อนนัดการสัมภาษณ์ออกไป

- นั่งรออย่างเรียบร้อย ไม่ควรเดินไปเดินมาหรือส่งเสียงดัง

- ควรยิ้มให้ผู้สัมภาษณ์ ขณะเริ่มทักทายและกล่าวคำว่า “ สวัสดี ”

- ควรถามผู้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับงานที่จะให้ทำว่าจะให้ทำอะไร ทำที่ไหน ถ้าไม่มีคำถามเลยผู้สัมภาษณ์อาจคิดว่าผู้สัมภาษณ์ไม่มีความสนใจในงานที่จะสมัคร แต่ไม่ควรถามมากจนผู้สัมภาษณ์รำคาญ

- พูดให้ชัดเจนมีความเป็นธรรมชาติ และด้วยความมั่นใจ

- ใช้กริยา วาจาสุภาพขณะตอบคำถาม ผู้สัมภาษณ์อาจใช้วิธีแหย่ให้โกรธ หรือใช้คำพูดดูถูก เพื่อดูอารมณ์ของผู้สมัครงานขณะที่โมโห หรือไม่พอใจ ดังนั้นผู้สมัครงานต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า

- แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ไม่พับแขนเสื้อทั้งแขนยาวและแขนสั้น

- ควรตัดผมสั้นไม่ปล่อยไว้จนยาว และโกนหนวดให้เรียบร้อย (สำหรับผู้ชาย)

- ควรใส่รองเท้าให้เรียบร้อย และไม่ควรใส่รองเท้ากีฬา รองเท้าสานหรือรองเท้าแตะ ไม่ควรใส่ถุงเท้าสีสด ๆ หรือสีที่เป็นจุดเด่น

- ควรมองหน้าผู้สัมภาษณ์ ไม่ควรหลบตาและนั่งตาลอย มองนอกหน้าต่าง มองโต๊ะหรือแสดงอาการขวยเขิน

- ถ้าจะไอควรใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก และกล่าวคำขอโทษ ขณะสัมภาษณ์ ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง

- ถ้าประตูห้องปิดควรเคาะประตูก่อนเข้าห้อง และกล่าวขออนุญาตนอกจากนั้นต้องระวังอย่าลากเก้าอี้ให้มีเสียงดัง

- คำถามที่ควรถามผู้สัมภาษณ์คือ ถามว่าในสายตาของผู้สัมภาษณ์เราเป็นอย่างไรมีจุดอ่อนที่จะต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง เพราะการทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สมัครงานในครั้งต่อไป

หลังจาการสัมภาษณ์แลัว สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์จะใช้พิจารณาผู้สมัครงานจะพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้ คือ ความประทับใจครั้งแรก ความฉลาด มีไหวพริบ ความคิดริเริ่ม ความกระตือรือร้น ความขยันหมั่นเพียร ความสามารถในการสื่อข้อความ และมีจุดมุ่งหมายของชีวิต

หวังว่าหลังจากที่ได้ทราบถึงวิธีการเลือกงานให้เหมาะสมกับตนเองแล้ว การเตรียมตัวสมัครงาน วิธีการสมัครงาน การสัมภาษณ์งาน คำถามและข้อปฏิบัติในการเข้ารับการสัมภาษณ์งานแล้ว จะสามารถช่วยทำให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการสมัครงานและสัมภาษณ์งานทุกท่านน่ะค่ะ

ที่มา : สำนักงานจัดหางาน




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2551   
Last Update : 31 ตุลาคม 2551 17:10:48 น.   
Counter : 1078 Pageviews.  

ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิทยา นาควัชระ

วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เปิดตู้
เสื้อผ้าดูเห็น มีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด
เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้ว
ไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่
ได้ทำสักที เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้นได้เสื้อกางเกง
เสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น
เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้ เสื้อผ้าโล่งขึ้นตัวเอง
ก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผม
ทำไปแล้วนั้น คือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง
วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้น
โล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น
เช่น...

1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อน
เช่น เสื้อผ้ารองเท้าเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย

2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้าง
เช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่แข่งขันและหวังผลสูงถ้าเลือกได้
ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้บรรยากาศ
ของการประชุมมักจะเครียดเสมอสารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?

3.เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้น่เราจะไม่
มีเวลาเป็นของตัวเองเลย

4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าว
อาชญากรรมหรือข่าว
เครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน

5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ ซ้ำๆ กันทุกวันเช่น
รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คน
ดูไปฟังไฟแทนที่จะ สบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ

6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ
ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้ เป็น

7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย ทำได้ยากมากจะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิด
หวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่น
และยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้า
รักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วยเมื่อเวลาผ่านไป
เราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็น
จริงได้มากขึ้น

8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอน
และความยุ่งยากใจเวลาจะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น

9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ
บ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้างจะทำให้คุณไม่
เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคน
รอบข้างตลอดเวลาจนลืม
สร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร

10. ถ้าจะรักใครสักคน
อย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิต
เขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้วการรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ

11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด
ลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น
เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆ ใจสบายๆ
ความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง

ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2551   
Last Update : 31 ตุลาคม 2551 16:55:53 น.   
Counter : 280 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

*BoM*
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add *BoM*'s blog to your web]