Group Blog
 
All Blogs
 

PANIC

วันนี้ เอาบทความของ ดร.นิเวศน์มาแปะไว้เผื่อคนที่ยังไม่เคยอ่านนะครับ
เอาไว้เตือนสติ กับ สถานการณ์ PANIC กัน

โลกในมุมมองของ Value Investor          13 ตุลาคม 55

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Panic

   ​นักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานสิ่งหนึ่งที่เขาจะต้องพบก็คือ ตลาดหุ้นเกิด “Panic” ซึ่งถ้าแปลตรงตัวก็คือ ตลาดหุ้นเกิดอาการ “ตกใจกลัว” หรือ “อกสั่นขวัญหาย” มันเป็นอาการที่ราคาหุ้นทั้งตลาดหรือหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งตกลงมาอย่างหนักในระยะเวลาอันสั้น เช่น ภายในวันเดียวดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาถึง 5% หรือถึง 10% และทำให้ตลาดหุ้นต้องพักการซื้อขายเพื่อให้คน “หายตกใจ” และมีเวลาพินิจพิจารณาว่าราคาหุ้นนั้นเหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริงหรือไม่และนักลงทุนควรที่จะขายหรือจะซื้อโดยอิงจากเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ที่เกิดจากจิตวิทยาหมู่

   ​Panic ของตลาดหุ้นทุกครั้งนั้น แม้ว่าในระยะสั้นๆ สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างแรงและรวดเร็ว แต่สาเหตุก็มักจะแตกต่างกันออกไป และที่สำคัญก็คือ การปรับตัวของดัชนีหลังจากนั้นก็อาจจะแตกต่างกันมาก ลองมาดูธรรมชาติของ Panic แต่ละแบบว่าเป็นอย่างไร การเรียนรู้นี้จะช่วยทำให้เราสามารถเอาตัวรอด “หนีตาย” ได้ทัน หรือไม่ก็อาจจะสามารถทำกำไรได้งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น

   ​Panic แบบแรกคือสิ่งที่เรียกว่า “Panic เก๊” นี่คือ Panic ที่เกิดจากสาเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของการดำเนินงานของตลาดหรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน พูดอีกทางหนึ่งก็คือ มันไม่ได้กระทบกับเศรษฐกิจหรือกระทบน้อยมาก แต่อาจจะเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองการปกครองซึ่งอาจจะรวมถึงความวิตกเรื่องของสงครามหรือความรุนแรงทางสังคมที่ทำให้คน “ตกใจ” และอาจจะ “จินตนาการ” ไปไกล และเทขายหุ้นโดยไม่คิดถึงพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการและตลาดหุ้นโดยรวม จริงอยู่ นักลงทุนส่วนหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำที่อาจจะ “ไม่กลัว” แต่พวกเขาก็คิดว่า ถ้าคนอื่นกลัวและขายหุ้นอย่างหนัก หุ้นก็จะต้องลงแรง ดังนั้น  พวกเขาก็จำเป็นต้องรีบขายหุ้นก่อนเหมือนกัน ผลก็คือ ตลาดก็ “ถล่ม” กลายเป็น Panic ที่ “เก๊” เพราะเมื่อหุ้นตกลงไปมากพอ คนที่มีเหตุผลและคนที่หายตกใจแล้วก็จะกลับมาซื้อหุ้นที่มีราคาถูก “คุ้มค่า” ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว บางทีสูงกว่าตอนก่อน Panic ด้วยซ้ำ

   ​ตัวอย่างของ Panic เก๊ นั้นมีมากมาย บางทีมากกว่า Panic จริงด้วยซ้ำ เช่น ในอเมริกานั้น เวลาประธานาธิบดีตายหรืออาจจะป่วยรุนแรงเป็นตายเท่ากันนั้น ราคาหุ้นก็จะดิ่งเป็น Panic แต่ทุกครั้งก็จะปรับตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจน้อย ตัวอย่างเช่น ตอนที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบยิงเสียชีวิตนั้น ดัชนีหุ้นตกลงไปถึง 3% ในวันเดียว แต่พอวันรุ่งขึ้น ดัชนีกลับปรับขึ้น 4.5% และหลังจากนั้นหุ้นก็วิ่งต่อไป ในเมืองไทยเองก็มี Panic เก๊ อยู่เรื่อยๆ เช่นเมื่อปีก่อนที่เกิดเหตุเรื่องน้ำท่วมหรืออะไรบางอย่างที่ผมก็จำไม่ได้แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นตกลงไปเกือบ 10% โดยที่ดูไปแล้วบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะที่มีขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดแทบจะไม่ได้รับผลกระทบเลย ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน ดัชนีหุ้นก็วิ่งกลับขึ้นมาและสูงกว่าก่อนเกิด Panic มาก

   ​Panic แบบที่สองเรียกว่า “Panic ฟองสบู่แตก” นี่คือกรณีที่หุ้นขึ้นไปสูงมากเป็นฟองสบู่ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจหรือธุรกิจบางอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์หรืออย่างในอเมริกาช่วงปีทศวรรษ 1990 ของหุ้นไอที มีความเฟื่องฟูมากส่งผลให้คนเข้ามาเก็งกำไรกันอย่าง “บ้าคลั่ง” ราคาหุ้นขึ้นไปเกินพื้นฐานเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน Panic ฟองสบู่นั้นจะเกิดขึ้นในช่วงปลายของ “ยุค” ซึ่งอาจจะกินเวลาเป็นสิบปีเลยก็ได้ เมื่อฟองสบู่ “แตก” ซึ่งอาจจะเกิดจากเหตุการณ์บางอย่างที่รุนแรงเกี่ยวข้องกับหุ้นในกลุ่มนั้น ราคาก็จะตกลงแรงเป็น Panic ในวันแรกๆ และหลังจากนั้น หุ้นในกลุ่มก็จะตกลงไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ถ้าดูจากผลการดำเนินงานหรือตัวอุตสาหกรรมแล้วก็ยังเติบโตต่อไป เพียงแต่ไม่หวือหวาเหมือนอดีต ราคาหุ้นที่ลดลงนั้นทำให้ค่า PE ของหุ้นลดลงจากที่เคยสูงลิ่ว พื้นฐานของกิจการนั้นอาจจะไม่เปลี่ยน แต่ความคิดและความเชื่อรวมถึง “ความโลภ” ของคนนั้นเปลี่ยนไป  ​ตัวอย่างของฟองสบู่แตกที่ทำให้ตลาดหุ้นเกิด Panic ก็มีมากมาย ไล่ไปตั้งแต่สมัยฟองสบู่ “ดอกทิวลิบ” ในดัทช์หรือเนเธอร์แลนด์เมื่อ 370 ปีก่อน หรือฟองสบู่ “ทะเลใต้” ในอังกฤษเมื่อ 300 ปีที่แล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ในปี 2001 ก็ฟองสบู่ “ดอทคอม” ในอเมริกา เมืองไทยเองก็น่าจะมีฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 3-4 ปีก่อนปีวิกฤติ 2540 เป็นต้น

   ​Panic แบบที่สามคือ “Panic ติดเชื้อ” นี่คือ Panic ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการลุกลามมาจากที่อื่นโดยเฉพาะจากประเทศหรือตลาดขนาดใหญ่เช่นตลาดหุ้นสหรัฐ หรือตลาดหุ้นที่อยู่ในย่านหรือประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกันใกล้ชิดเช่นเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเซีย เป็นต้น Panic ติดเชื้อนี้ ถ้าไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ “ติดเชื้อ” ไปด้วย นั่นก็คือ ประเทศที่เกิดPanic มีปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหานั้นลุกลามไปยังประเทศอื่นซึ่งทำให้ประเทศนั้นมีปัญหาไปด้วย ในกรณีแบบนี้ Panic ติดเชื้อก็น่าจะ “หาย” เร็ว และตลาดหุ้นก็น่าจะกลับมาได้เร็ว เพราะปัญหามันไม่ได้เกิดจากพื้นฐาน แต่เกิดจากการที่คนกลัวและเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นที่มักขึ้นหรือลงตามกันอันเป็นผลสำคัญจากการไหลของเม็ดเงินที่เป็นโลกานุวัตร

   ​ตัวอย่างของ Panic ติดเชื้อที่เห็นชัดเจนก็คือกรณีของตลาดหุ้นวิกฤติครั้งใหญ่ในสหรัฐในปี 1929 กรณีแบล็กมันเดย์ในเดือนตุลาคม ปี 1987 และ ปี 2008 กรณีซับไพร์ม ในเอเชียที่ติดเชื้อก็คือ ในปี 2540 ที่ตลาดหุ้นไทยเกิดวิกฤติและลามไปในตลาดหุ้นเกิดใหม่เกือบทุกประเทศในเอเชีย

   ​สุดท้ายก็คือ “Panic ที่แท้จริง” นี่คือ Panic ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์จริงที่มีผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและหรือตลาดหุ้น มันทำให้เกิดการถดถอยหรือตกต่ำทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการและฐานะของบริษัทจดทะเบียนอย่างรุนแรง บางครั้งทำให้เกิดการล้มละลายอย่างเป็นระบบ และนี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนจะต้องตระหนักและเข้าใจว่ามูลค่าของกิจการจะต้องลดลงมาก ในกรณีอย่างนี้ การตกลงมาอย่างแรงของหุ้นเป็นเรื่องที่มีเหตุผล และอาจจะต้องใช้เวลายาวมากกว่าที่ดัชนีหุ้นจะปรับตัวกลับขึ้นมาอีก ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งเราไม่รู้ว่าหุ้นจะตกลงไปถึงไหน บ่อยครั้งมันใช้เวลาหลายปีกว่าที่หุ้นจะตกถึงพื้น   และหุ้นอาจจะนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานจนกว่าเศรษฐกิจจะมีทางออก ตัวอย่างก็คือ กรณีของวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ๆ ของโลกทั้งหลายรวมถึงตลาดหุ้นในยูโรโซนหลายๆ ประเทศในช่วงนี้

   ​ผมแบ่งแบบของ Panic ออกเป็น 4 แบบ แต่ความเป็นจริงก็คือ หลายๆ ครั้งมันก็มีลักษณะผสมผสานคาบเกี่ยวกัน อย่างเช่น Panic ส่วนใหญ่ก็มีลักษณะติดเชื้อด้วย หรือ Panic หลายๆ แบบก็มีองค์ประกอบของเรื่องความถดถอยของเศรษฐกิจอยู่ด้วย ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะต้องบอกได้ชัดเจนว่า Panic นั้นเป็นแบบไหนตายตัว แต่อยู่ที่ว่าเรารู้ว่า Panic ที่กำลังเกิดขึ้นนั้น มันจะยือเยื้อยาวนานไปแค่ไหน และเราควรจะทำอย่างไรกับการลงทุนของเรา หลักสำคัญก็คือ เราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าผลประกอบการและฐานะทางการเงินของกิจการหรือตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร และนั่นจะทำให้เรารู้ว่า Panic นั้น เป็นภัยคุกคาม หรือ เป็นโอกาส




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2555    
Last Update : 18 ตุลาคม 2555 23:46:12 น.
Counter : 1332 Pageviews.  

พอร์ตเล็กโตไว

บทความการลงทุนดีๆจาก TVI ครับ คราวนี้ ท่าน ดร.นิเวศน์ ได้ให้มุมมองเปรียบเทียบการลงทุนของคนพอร์ตเล็กกับพอร์ตใหญ่ได้ดีทีเดียวเลยครับ สำหรับนักลงทุนพอร์ตเล็กๆแบบผม ก็ต้องเก็บมาคิดเป็นข้อเตือนใจ จะได้เป็นพอร์ตใหญ่ๆกับเค้าบ้าง Smiley


เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าหุ้นตัวเล็กนั้นมักจะโตเร็วกว่าหุ้นตัวใหญ่  นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งหรือชีวิตทั้งหลายในโลก  เด็กต้องโตเร็วกว่าผู้ใหญ่  บริษัทเล็กมักโตเร็วกว่าบริษัทใหญ่  อย่างไรก็ตาม  ความเสี่ยงของสิ่งที่เล็กหรือชีวิตที่เล็กก็มักจะสูงกว่าสิ่งที่ใหญ่หรือชีวิตที่เติบโตขึ้นมาแล้ว  ความเสี่ยงที่ว่าก็คือ  หุ้นตัวเล็กหรือชีวิตที่เล็กนั้น  อาจจะง่อยเปลี้ยหรือล้มหายตายจากไปได้ง่ายกว่าหุ้นตัวใหญ่หรือชีวิตที่โตขึ้นมามากแล้ว   ในเรื่องของการลงทุนนั้น  คนที่มีพอร์ตหรือมีเงินลงทุนจำนวนน้อยนั้น  มีทางเลือกหรือมีโอกาสที่จะโตเร็วกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่  แต่ก็จะต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น   ความเสี่ยงที่ว่าก็คือ  แทนที่พอร์ตจะโตเร็วก็กลายเป็นพอร์ตขาดทุนเสียหายไปมากมาย   อย่างไรก็ตาม  คนที่มีพอร์ตเล็กหลายคนอาจจะบอกว่าเขารับได้   เหนือสิ่งอื่นใด  เขายังมีรายได้จากแหล่งอื่นที่จะเข้ามาลงทุนต่อหรือสามารถ  “แก้ตัว”  ได้    มาดูกันว่าทำไมพอร์ตเล็กจึงสามารถที่จะโตได้ไวกว่าพอร์ตใหญ่

ข้อแรกก็คือ  คนที่มีพอร์ตเล็ก  ซึ่งผมคิดว่าเงินลงทุนไม่ควรเกิน 10 ล้านบาท  นั้น  สามารถที่จะซื้อหุ้นได้เกือบทุกตัวในตลาดหุ้นโดยที่จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายนัก  นั่นย่อมหมายความว่าคนที่มีพอร์ตเล็กมีหุ้นให้เลือกลงทุนได้มากกว่าคนพอร์ตใหญ่   ทำให้สามารถหาหุ้นที่อาจจะตัวเล็กแต่มีโอกาสในการเติบโตสูงกว่าปกติ  แน่นอน  คนที่พอร์ตใหญ่ก็สามารถซื้อหุ้นตัวเล็กได้  แต่เขาอาจจะซื้อได้เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต  ดังนั้น  ถึงแม้ว่าหุ้นตัวนั้นจะทำกำไรให้เขาได้เป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว  แต่เม็ดเงินที่ได้นั้นก็จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตโตขึ้นเท่าไรนัก  ตัวอย่างเช่น  นายเล็กมีพอร์ต 1 ล้านบาท  เขาซื้อหุ้น  A  ซึ่งเป็นหุ้นตัวเล็ก  2  แสนบาท  หุ้นขึ้นไป 2 เท่าภายในเวลาเพียง 1 ปี  ดังนั้น  เฉพาะหุ้นนี้เพียงตัวเดียวก็ทำกำไรให้คุณเล็กแล้ว 4 แสนบาทหรือเท่ากับ 40%  ของพอร์ตแล้ว   ในเวลาเดียวกัน  ถ้านายใหญ่ซื้อหุ้น A  เช่นเดียวกันด้วยเงินจำนวน  1  ล้านบาท  กำไรของคุณใหญ่จะเท่ากับ 2  ล้านบาทภายในเวลาหนึ่งปี   อย่างไรก็ตาม  พอร์ตของคุณใหญ่เท่ากับ 100 ล้านบาท  ดังนั้น   ผลตอบแทนที่คุณใหญ่ได้จากการลงทุนในหุ้น A  ก็คือ  2%  ของพอร์ต  ซึ่งถือว่ามีผลน้อยมากต่อผลตอบแทนรวมของเขา

ข้อสอง  คนที่มีพอร์ตเล็กนั้น  สามารถที่จะ  Focus หรือลงทุนในหุ้นน้อยตัวได้มากกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่  หลายคนลงทุนในหุ้นตัวเดียวหรือสองตัวในช่วงเวลาหนึ่ง  ดังนั้น  ถ้าหุ้นตัวนั้นขึ้นไปสูงมาก  เช่น  3-4 เท่าในเวลาหนึ่งปี  ผลตอบแทนของเขาในปีนั้นก็จะเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์   ในทางตรงกันข้าม  คนพอร์ตใหญ่มักจะมีหุ้นจำนวนมากตัวกว่ามาก  หุ้นแต่ละตัวอาจจะมีมูลค่าเพียง  5-10%  ของพอร์ต  ดังนั้น  แม้ว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะขึ้นไป 3-4 เท่า แต่หุ้นตัวอื่น ๆ  ก็อาจจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นนัก  บางตัวก็ลดลง   ด้วยเหตุนั้น  ผลตอบแทนรวมของพอร์ตก็อาจจะเป็นแค่ 30-40%  ซึ่งก็ถือว่ามาก  แต่ก็ยังห่างไกลจากคนที่มีพอร์ตเล็ก

ข้อสาม  คนพอร์ตเล็กหลายคนที่อยากจะรวยเร็วจากหุ้นนั้น  สามารถที่จะใช้มาร์จินหรือกู้เงินเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อซื้อหุ้น  ดังนั้น  ในยามที่เขาซื้อหุ้นได้  “ถูกตัว”  คือหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง  ผลตอบแทนก็จะ  “ทวีคูณ”  จากร้อยก็อาจจะกลายเป็นสองร้อย  จากสองร้อยก็อาจจะกลายเป็นสี่ร้อยเปอร์เซ็นต์  ในเวลาหนึ่งปี   ในขณะเดียวกัน  คนที่มีพอร์ตใหญ่นั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็จะคิดว่าชีวิตตนเองก็อยู่ในสภาพที่ดีมากอยู่แล้ว  เขาไม่อยากเสียมันไป  แม้ว่าการใช้มาร์จินอาจจะทำกำไรให้เขามากขึ้น   แต่ถ้าพลาด  เงินของเขาจะสูญไปมาก  และนั่นจะเป็นสิ่งที่  “เจ็บปวด”  มากกว่า  “ความสุข” ที่จะได้จากผลตอบแทนที่จะได้มากขึ้น   ชั่งน้ำหนักแล้ว  เขาจึงมักจะใช้มาร์จินน้อยกว่าหรือไม่ใช้มาร์จินเลย

ข้อสี่  คนพอร์ตเล็กที่อยากรวยเร็ว  มักจะเทรดหรือซื้อขายหุ้นมากกว่าคนพอร์ตใหญ่   เขาสามารถเข้าหรือออกจากหุ้นได้ง่ายเนื่องจากปริมาณหุ้นที่เขาซื้อขายนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นในแต่ละวัน   แนวทางของเขาก็อาจจะเป็นว่า  เขาจะซื้อหุ้นในช่วงต้น ๆ  ก่อนที่หุ้นจะมี  “Story” หรือเรื่องราวดี ๆ  แล้วขายเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วและสูงเนื่องจากการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นของนักเล่นหุ้นเมื่อหุ้นนั้นเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุน  เขามักจะไม่รอให้ผลประกอบการออกมาเพื่อยืนยันว่าบริษัทนั้นมีพื้นฐานที่ดีจริง ๆ  หรือไม่  ด้วยวิธีนี้  การทำกำไรจากหุ้นของเขาจะทำได้หลายรอบกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ที่ไม่สามารถ  “หมุนหุ้น”  ได้หลาย ๆ  รอบในหนึ่งปี    จริงอยู่  คนที่มีพอร์ตใหญ่ก็สามารถซื้อ ๆ  ขาย ๆ  เข้าออกหุ้นได้หลาย ๆ  รอบ   แต่นั่นก็ทำได้เฉพาะกับหุ้นขนาดใหญ่มากเช่นหุ้นในกลุ่มการเงิน  พลังงาน  สื่อสาร  ซึ่งหุ้นเหล่านี้มักจะใหญ่เกินกว่าที่จะมี  Story  ดี ๆ  ที่จะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้มากนัก

นักลงทุนที่พอร์ตยังเล็กบางคนนั้น  ค่าที่ต้องการจะโตอย่างรวดเร็วที่สุดที่จะทำได้  เขาจึงใช้เทคนิคหรือแนวทางทุกอย่างที่กล่าวถึงข้างต้นนั่นคือ  ซื้อหุ้นตัวเล็กที่อาจจะมีสภาพคล่องต่ำแต่ก็ไม่น้อยเกินไปสำหรับเขา    เขาลงทุนถือหุ้นเพียงตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมดที่มี  เขาเล่นหุ้นที่จะมีสตอรี่หรือเรื่องราวดี ๆ  เช่น  อาจจะเป็นหุ้นที่กำลัง  “ฟื้นตัว”  หรือบริษัทกำลังมีรูปแบบหรือ  “โมเดลการทำธุรกิจใหม่”  หรือ  วัฏจักรธุรกิจกำลังเป็น  “ขาขึ้น”   อย่างแรง  ต่าง ๆ  เหล่านี้   เมื่อซื้อแล้วและหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้น  อาจจะด้วยเหตุผลที่คาดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขาเชื่อว่าหุ้นกำลังจะ “วิ่ง”  เขาก็จะใช้มาร์จินเต็มวงเงินเพื่อซื้อหุ้นเพิ่ม  และถ้าหากว่าหุ้นขึ้นไปอีก  จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  รวมถึงผลจากการที่มีเม็ดเงินจากเขาเองเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่ม   เขาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีกโดยใช้มาร์จินที่จะเพิ่มขึ้นตามราคาหุ้นที่เพิ่ม  กระบวนการ  “อัดมาร์จิน”  แบบนี้  บางครั้งก็ทำให้ราคาหุ้น  โดยเฉพาะของหุ้นขนาดเล็ก  วิ่งขึ้นไปแรงมาก  เป็นหลาย ๆ  เท่าตัวในเวลาอันสั้น   เนื่องจากบางครั้ง  การ  “อัดมาร์จิน”  ที่ว่านั้น  ไม่ได้ทำคนเดียว  แต่มีนักลงทุนรายอื่นเข้ามาเล่นด้วย

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น  ก็เป็นการมองหรือวิเคราะห์ในด้านหนึ่งที่เป็นด้านที่สดใส  เป็นด้านที่ทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น   และมักจะเป็นในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุด ๆ    และนั่นทำให้นักลงทุนพอร์ตเล็กจำนวนไม่น้อยทำผลตอบแทนมหาศาลจนกลายเป็นนักลงทุนพอร์ตกลางและพอร์ตใหญ่ภายในเวลาไม่กี่ปี   อย่างไรก็ตาม  ถ้าหันมามองอีกด้านหนึ่ง  นักลงทุนพอร์ตเล็กจำนวนที่มากกว่ามาก  ที่ทำการลงทุนแบบเดียวกัน  นั่นคือ  ลงทุนในหุ้นตัวเล็ก  ถือหุ้นเพียงตัวเดียวหรือสองตัวในพอร์ต   ใช้มาร์จินซื้อหุ้นเต็มอัตรา  และเล่นหุ้นที่มี  “สตอรี่”  แบบเดียวกัน  เพียงแต่ว่าในกรณีหลังนี้  เขาเข้ามาซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นได้ขึ้นไปสูงสุดกู่แล้ว  และก็ต้องขายในช่วงที่หุ้นตกต่ำลงมา   ผลลัพธ์ก็คือ  เขาขาดทุนย่อยยับ  กลายเป็นนักลงทุนที่  “พอร์ตเล็กเหมือนเดิม”  ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปี  เหตุผลที่เขาก็ยังมีพอร์ตลงทุนอยู่ได้ก็คือ  เขายังมีแหล่งเงินจากที่อื่นที่จะมาลงทุนได้เสมอตราบที่ยังมีความหวังว่าจะรวยจากตลาดหุ้นได้

คนพอร์ตเล็กนั้น  ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางในแนวที่ผมพูดถึงและผมเองก็ไม่แนะนำให้เดินทางสาย  “รวยเร็ว”  แต่มีความเสี่ยงสูงมากอย่างที่กล่าว   แน่นอน  คนที่สำเร็จและเป็น  Role Model ของนักลงทุนพอร์ตเล็กที่รวยเร็วมากนั้น  ทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่อยากทำตาม  หลายคนคิดว่า  “ไม่มีอะไรจะเสีย”  แต่ผมคิดว่าโอกาสชนะก็น้อยมาก  ยังมีแนวทางการลงทุนแบบอื่นที่อาจจะให้ผลไม่ต่างกันนักในระยะยาวแต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า







 

Create Date : 27 ธันวาคม 2554    
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 21:48:06 น.
Counter : 432 Pageviews.  

หวยนายกปู

นำบทความจาก TVI มาฝากกันครับ :D

หวยนายกปู



กิจกรรม “ทางการเงิน” ที่คึกคักที่สุด “ตลอดกาล” ของคนไทยที่เรียกกันว่า “รากหญ้า” ก็คือ การเล่นหวยและลอตเตอรี่ สมัยที่ผมเรียนจบปริญญาตรีใหม่ ๆ และไปทำงานเป็นวิศวกรโรงงานในต่างจังหวัดกว่า 30 ปีมาแล้วนั้น ทุกครั้งที่มีการออกหวย โรงงานทั้งโรงที่ปกติจะมีเสียงดังอึกทึกจากการทำงานจะเงียบลงเพราะคนงานต่างก็ใจจดใจจ่อกับการฟังเลขที่ออก หลังจากการออกรางวัล คนบางคนที่ถูกรางวัลก็จะดีใจจนไม่เป็นอันทำงาน ส่วนคนจำนวนมากที่ “ถูกกิน” ก็จะเสียใจจนไม่เป็นอันทำงานเหมือนกัน สรุปแล้วในวันหวยออกนั้น ประสิทธิภาพการทำงานของคนงานจะตกลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผมเองไม่ได้เล่นหวย แต่เพื่อนวิศวกรบางคนนั้นซื้อลอตเตอรี่เป็นประจำ เหตุผลของเขาก็คือ การซื้อลอตเตอรี่นั้น อย่างน้อยก็ทำให้มีความหวังว่าจะรวยได้แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิด ถ้าไม่ซื้อแล้วจะรวยได้อย่างไร? คิดดูแล้วก็จริง ในสมัยก่อนนั้น การเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนไม่มีทางรวย ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เรามีตลาดหุ้นที่เป็น “หนทางรวย” อีกทางหนึ่งของคนกินเงินเดือน นอกเหนือไปจากลอตเตอรี่

ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้โรงงานมีสภาพอย่างไรในวันหวยออก แต่ผมยังเชื่อว่าหวยก็ยังเป็นสิ่งที่คนไทยเล่นกันมากทั่วประเทศและก็ยังมากกว่าตลาดหุ้น ดังนั้น การ “วิเคราะห์” และ “หาเลขเด็ด” จึงเป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ ในอดีตนั้น ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเกจิอาจารย์สำคัญทางศาสนา ก็จะมีการเก็งเลขเด็ดเพื่อไป “แทงหวย” กัน หลายครั้งหวยก็ออก “ตรง” จนน่าทึ่ง บางครั้งเลขที่ออกก็อาจจะ “สลับ” ตัวกันบ้าง คนจำนวนมากเชื่อว่า “พระอาจารย์ให้หวย” บางครั้งก็ให้ตรง ๆ บางครั้งเราก็ต้อง “ตีความ” แต่ประเด็นสำคัญก็คือท่านคงรู้หรือมีอิทธิพลต่อเลขที่จะออกในงวดหน้าจริง ๆ และถ้าเราอ่านใจท่านได้ถูกต้อง โอกาสถูกรางวัลก็มีสูง

ในช่วงนี้หวยนั้นรู้สึกว่าจะมาลงที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย เหตุการณ์ก็คือ เริ่มมีคนสังเกตเห็นว่าหมายเลขที่ออกนั้น “ตรง” กับตัวเลขหลายอย่างเกี่ยวกับนายกปูอย่างไม่น่าเชื่อ เริ่มตั้งแต่หมายเลขทะเบียนรถของนายก ลำดับของการเป็นนายกของไทย อาจจะมีเรื่องของบ้านเลขที่ของบ้านนายก วันเกิดนายก และล่าสุดหลังจากที่เลขออกมา “ถูก” หลายงวด อะไรที่เกี่ยวกับนายกปูและมีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลที่นายกป่วยและต้องเข้าใช้บริการก็กลายเป็นตัวเลขที่คนเอาไปแทงกันมากจนราคาของสลากที่มีเลขท้ายตรงกันปรับตัวสูงขึ้นเป็นสองร้อยบาทต่อใบเป็นต้น

ผมคงไม่ต้องพูดย้ำว่าหมายเลขที่ออกกับตัวเลขที่ติดอยู่หรือเกี่ยวข้องกับนายกปูนั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน หมายเลขที่ออกจากกองสลากนั้น เป็นหมายเลขที่เรียกว่า Random หรือออกโดยไม่มีรูปแบบอิงกับอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นไม่มีใครสามารถกำหนดหรือคาดเดาได้ การที่ตัวเลขไปตรงกับหมายเลขบางตัวที่เกี่ยวกับนายกปูนั้นเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น หรือบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเป็นเรื่องที่เราไปหาตัวเลขที่เกี่ยวกับนายกปูที่มันตรงกับรางวัลเลขท้ายหลังจากที่เลขมัน “ออกมาแล้ว” ตัวอย่างเช่น เลขที่ออกคือ 28 คนก็พยายามไปหาว่ามีตัวเลขไหนที่เกี่ยวข้องก็พบว่านายกปูเป็นนายกคนที่ 28 แล้วก็ไปสรุปว่าเลขออกมาตรงทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่มีใครพูดถึง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นายกปูนั้น มีตัวเลขที่เกี่ยวข้องจำนวนมากเผลอ ๆ ถ้านับจริง ๆ อาจจะเป็น 100 หมายเลข เอาเฉพาะรถยนต์ก็มีน่าจะเกือบ 10 คัน ที่มีหมายเลขทะเบียนรถติดอยู่ วันที่เกี่ยวข้องเช่นวันเกิดตัวเองและคนในครอบครัว วันรับตำแหน่ง ต่าง ๆ ก็น่าจะมีเป็น 10 วัน เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งทำให้รางวัลเลขท้ายสองตัวที่ออกอย่างไรเสียก็ต้องตรงกับหมายเลขใดหมายเลขหนึ่ง ดังนั้น เรื่อง “นายกปูให้หวย” จึงไม่ใช่เรื่องจริงและไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์แต่เป็นเรื่องของความบังเอิญและเป็นเรื่องของการเล่นข่าวเท่านั้น

เทคนิคในการทำเรื่องบังเอิญหรือเรื่องที่ไม่ได้มีเหตุมีผลที่สัมพันธ์กันให้เป็นเรื่อง “มหัศจรรย์” หรือน่าทึ่งแบบเรื่องหวยที่กล่าวถึงยังมีอีกมาก หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของ เทคนิคหรือวิธีในการ “สร้างความสำเร็จ” ซึ่งผมเคยอ่านมามากมายแต่หลายเรื่องผมคิดว่ามันไม่น่าจะจริงแต่เป็นเรื่องของ “ความลำเอียง” ที่เรามักจะนับเฉพาะคนที่สำเร็จแต่ไม่นับคนที่ล้มเหลวจากเท็คนิค ตัวอย่างเรื่องที่ผมเคยอ่านพบนั้นบอกว่าถ้าคุณอยากได้อะไรหรืออยากรวยแค่ไหนนั้น คุณแค่คิดว่าอยากได้ ไม่ต้องใช้ความพยายามหรือหาวิธี หลังจากนั้นสิ่งที่คุณต้องการก็จะมาภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เสร็จแล้วก็จะมีคนมาบอกว่าเขาทำได้จริง ๆ โดยวิธีนี้ ประเด็นไม่ใช่ว่าเขาโกหก แต่อาจจะเป็นว่าคนที่คิดมีเป็นหมื่นเป็นแสนคน คนที่ทำได้อาจจะมีเพียง 1 หรือ 2 คน ที่มาบอกว่าเทคนิคใช้ได้ ส่วนคนเป็นหมื่นที่ทำไม่ได้นั้นไม่ได้มาบอก ดังนั้น ถ้าวิเคราะห์จริง ๆ ก็น่าจะเป็นว่าคนที่คิดแล้วได้เงินจริง ๆ นั้น เขาได้มาโดยบังเอิญไม่เกี่ยวกับเทคนิค ส่วนเทคนิคนั้นใช้ไม่ได้เลย

เรื่องของ “ยา” หรือเทคนิครักษาโรค “มหัศจรรย์” ก็เป็นเรื่องที่มีข่าวออกมาเสมอ นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ กัน คือเป็นเรื่องของการที่คนใช้แล้วได้ผลนำมาพูดเพียงไม่กี่คน คนเหล่านี้อาจจะหายหรือทุเลาลงมากโดยบังเอิญ ว่าที่จริงร่างกายคนเราก็มีกลไกในการรักษาตนเองอยู่แล้ว คนไม่ได้กินยาหรือใช้เทคนิคก็มีโอกาสหายได้อยู่แล้วแม้ว่าจะมีโอกาสน้อย แต่คนที่กินยาและใช้เทคนิคจำนวนอาจจะเป็นพันเป็นหมื่นอาจจะไม่ได้ผลอะไรเลยและบางคนก็ตายไปโดยไม่ได้มาพูดว่ายาใช้ไม่ได้ผล คนที่รอดมักจะดีใจมากและพูด “เสียงดัง” ทำให้เกิดความรู้สึกว่านี่คือ “ยา” หรือเทคนิคมหัศจรรย์ คนที่ได้ฟัง โดยเฉพาะเป็นคนป่วยที่ “สิ้นหวัง” แล้วนั้น ก็มักจะเชื่ออย่างศรัทธา แต่ความเป็นจริงก็คือ ยานี้ใช้ไม่ได้ผล

กลับมาที่เรื่องของการลงทุนในหุ้น เทคนิคการลงทุนนั้นมีผู้คิดและนำเสนอมากมายนับไม่ถ้วน จำนวนมากอ้างว่าเป็นเทคนิค “มหัศจรรย์” สามารถทำเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านบาทได้ คนที่ใช้นั้นอาจจะมีจำนวนมากหรือน้อยเท่าใดก็ยากที่จะนับ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คนที่ใช้แล้วไม่ได้ผลหรือขาดทุนจะไม่ออกมาพูดอธิบายอะไรเลย บางทีเขาอาจจะคิดว่าเทคนิคนั้นถูกต้องแต่การใช้ของเขานั้นผิดหรือความรู้ความสามารถของเขาไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาไม่ประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จและอยากพูดนั้น มักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ทำผลตอบแทนได้สูงมากในระยะเวลาอันสั้น ภาพที่เขาฉายออกไปอาจทำให้ดูเหมือนกับว่าเทคนิคที่ใช้นั้นมหัศจรรย์ แต่ความเป็นจริงอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเหตุผลอื่น หรืออาจจะเป็นเรื่องของเทคนิคที่บังเอิญเหมาะกับสถานการณ์ในขณะนั้น การนำเทคนิคไปใช้สำหรับคนอื่นและเวลาอื่น อาจจะไม่ได้ผล ว่าที่จริงเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ว่ามีเทคนิคอะไรที่สามารถจะทำแล้วได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ในเรื่องของการลงทุนในหุ้น

ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ โลกเรานี้มีสิ่งที่ไม่มีคุณค่าหรือเป็น “อวิชา” ที่ถูกนำมา “ขาย” ให้เป็นสิ่ง “มหัศจรรย์” ทั้งโดยคนที่หลอกลวงและคนที่เชื่ออย่างบริสุทธิใจว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษ หลายสิ่งนั้นไม่ได้มีต้นทุนอะไรและก็ไม่ได้ทำให้ “คนซื้อ” เดือดร้อนหรือเสียหายนี่ก็คงไม่เป็นปัญหานัก แต่หลายอย่างมี “ต้นทุน” ที่สูงมาก เช่น เราซื้อหุ้นด้วยเทคนิคที่เราคิดว่าดีแต่จริง ๆ ใช้ไม่ได้ซึ่งทำให้เราขาดทุนหนัก เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราได้ยินว่ามี “สิ่งมหัศจรรย์ใหม่” เราควรที่จะพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจริงไหม? จากประสบการณ์ของผมพบว่า เกือบทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง

ที่มา : ThaiVI.org




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2554    
Last Update : 10 ธันวาคม 2554 21:00:06 น.
Counter : 536 Pageviews.  

คนแจวเรือ

กับอีกบทความของ ดร.นิเวศน์ ครับ เป็นมุมมองที่ท่านมองเศรษฐกิจของประเทศทางฝั้งยุโรป จากการที่ท่านได้ไปเที่ยวที่อิตาลีและอังกฤษมา


น่าจะให้ความรู้และแนวคิดกับนักลงทุนได้ ไม่มากก็น้อยละครับ ขอบคุณมากๆครับ ...


ปล.ผมคัดลอกบทความนี้มาจาก Thaivi นะครับ เอามาแชร์ๆกัน


 ---------------------------------------------------------------------------------------


ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวที่อิตาลีและอังกฤษ  และก็เช่นเคย  ผมมีข้อสังเกตจากสิ่งที่พบเห็น 

เรื่องแรกก็คือ  ผมเพิ่งตระหนักว่าพนักงานบริการ เช่น  พนักงานเสิร์พอาหารตามภัตตาคารโดยเฉพาะในอิตาลีนั้น  ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30-40 ปี   ที่เป็นผู้หญิงมีจำนวนน้อยมาก  นี่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ  เพราะในบ้านเราหรือในประเทศแถบเอเชียผมมักจะเห็นผู้หญิงมากกว่ามาก  นั่นทำให้ผมคิดไปว่า  งานในประเทศอิตาลีหรืออาจจะเป็นในหลาย ๆ ประเทศในยุโรปคงจะหายากมายาวนาน  งานเสิร์พอาหารคงเป็นงานที่มีรายได้ดีมีคนแย่งกันทำและทำให้ผู้ชายเข้ามาทำกันมาก  และไม่ใช่เป็นการทำงานชั่วคราวของเด็กวัยรุ่นเพื่อรองานอื่น   แต่เป็นอาชีพที่   “พ่อบ้าน”  ทำกันเป็นงานประจำ  เรื่องนี้ทำให้ผมนึกต่อไปถึงประเทศญี่ปุ่นซึ่งเคยขาดแคลนแรงงานมายาวนาน  ที่นั่น  ผมเคยเห็นผู้ชายอายุมากทำงานเป็นคนนั่งเฝ้าดูแลสถานที่อาบน้ำร้อนของผู้หญิง

อุทาหรณ์เรื่องนี้  นั่นคือ  กำลังแรงงานที่สำคัญถูกใช้ไปทำงานที่ไม่ได้มีการเพิ่มคุณค่ามากนักทางเศรษฐกิจ  น่าจะเป็นการบ่งบอกว่า  ในระยะยาวแล้ว  สังคมหรือประเทศก็อาจจะไปไม่ได้ไกลมากนักจากจุดที่เป็นอยู่  อย่างไรก็ตาม  ผมต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า  ผมเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงอิตาลีหรือยุโรปนั้น  ทำงานอะไรเป็นหลัก  หรืออยู่มากในภาคไหนของเศรษฐกิจ

เรื่องที่สองที่ผมรู้สึกทึ่งเล็กน้อยก็คือ  เรื่องของคนแจวเรือกอนโดลาที่เมืองเวนิสซึ่งเป็นเมืองที่จมลงในทะเล  ถนนทุกแห่งกลายเป็นคลอง  ทั้งเมืองไม่มีรถยนต์หรือมอเตอร์ไซต์หรือแม้แต่จักรยาน  ทุกคนต้องเดินหรือใช้เรือเป็นพาหนะ  เรือกอนโดลานั้นเป็นเรือโบราณที่นักท่องเที่ยวที่ไปเมืองเวนิสใช้นั่งชมเมือง  เป็นเรือที่ใช้คนพาย  และถ้าจะให้ครบสูตรจะต้องมีคนนั่งร้องเพลงโอเปร่าประกอบด้วย  และนี่คือความ  “โรแมนติก” สุดยอดของการท่องเที่ยวเมืองเวนิสที่นักท่องเที่ยวมักไม่ยอมพลาดและผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น  แต่สิ่งที่ผมทึ่งก็คือ  ค่าจ้างของคนพายเรือ  ในเวลาครึ่งชั่วโมงของการให้บริการนั้น  คนพายเรือคิดค่าบริการตกเป็นเงินไทยประมาณ 4,000-5,000 บาท  คร่าว ๆ  ถ้าทำวันละ 4-5 เที่ยว  โดยเฉลี่ยเขาก็จะได้เงินวันละ 20,000 บาท เดือนหนึ่งถ้าทำซัก 20 วัน ก็จะมีรายได้ถึงเดือนละ 4 แสนบาท  ซึ่งถ้าเป็นคนไทยจะได้รายได้ขนาดนี้คงต้องเป็นคนระดับซีอีโอของบริษัททีเดียว  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีคนหน้าตาแบบคนต่างชาติเช่นคนเชื้อสายเอเซียเป็นคนแจวเรือกอนโดลาเลย  ดังนั้น  ผมเชื่อว่าอาชีพนี้คงมีการสงวนไว้เฉพาะแต่คนท้องถิ่นเท่านั้นที่ทำได้

ความเชื่อของผมในเรื่องนี้ก็คือ  รายได้ของคนแจวเรือกอนโดลาที่เมืองเวนิส  ซึ่งผมดูแล้ว  ไม่ได้มีความสามารถหรือทักษะพิเศษอะไร  แต่ได้ผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับคนที่ทำงานหนักเท่า ๆ  กันในเมืองไทยหรือในประเทศแถบเอเซียส่วนใหญ่  ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้หรือในอิตาลีคงได้เงินเดือนที่สูงมากเมื่อเทียบกับงานที่ทำ  แต่ถ้าถามว่าทำไมนักท่องเที่ยวจึงยอมจ่าย  คำตอบก็คือ  เมืองเวนิสนั้น  เป็นเมืองที่น่าจะเป็นสุดยอดของเมืองที่น่าเที่ยวเมืองหนึ่งของโลก   ผมหรือคนจำนวนมากจึงยอมจ่ายเพื่อโอกาสอันพิเศษสุดนี้  ถ้าจะเปรียบไป  คนเอเชียหรือคนเมืองอื่นที่มาเที่ยวเวนิส  หรืออีกหลาย ๆ  เมืองในอิตาลีหรือในยุโรปยอมทำงานหนักและงานที่ใช้ความสามารถสูงเพื่อที่จะผลิตสินค้ามาให้คนเวนิสใช้อย่างเต็มที่  โดยที่คนเวนิสอาจจะตอบแทนด้วยการให้คนเหล่านั้นมาพักและนั่งเรือกอนโดลาที่พายโดยคนเวนิสปีละครั้ง  ดูไปแล้วไม่ใคร่ยุติธรรม  แต่ผมก็ไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนแบบนี้จะดำรงอยู่ไปได้นานเท่าไร

เรื่องที่สามที่น่าแปลกใจก็คือ  ในห้างสินค้าแบรนด์เนมหรูหลุยส์วิตตองในกรุงลอนดอน  ผมพบว่าลูกค้าต้องเข้าคิวรอเข้าชมสินค้าในร้าน  เพราะเขาจำกัดจำนวนลูกค้าให้เข้าชมและซื้อสินค้าเพื่อไม่ให้ร้านแน่นเกินไป  นั่นไม่ใช่ประเด็น  แต่สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ  ประมาณ 80-90% ของคนที่อยู่ในร้านและรอคิวอยู่นั้น  เป็นคนหน้าตาแบบเอเซียซึ่งผมเชื่อว่าเป็นนักท่องเที่ยว  สินค้าของหลุยส์วิตตองนั้น  เราทราบดีว่าราคาสูงกว่าต้นทุนมาก  เรียกว่าทำกำไรให้กับเจ้าของมหาศาล  สินค้าเหล่านั้น  ผมเชื่อว่าผลิตในประเทศแถบเอเซียด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก   และก็ขายให้คนเอเชียในราคาที่สูงมาก  เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับว่า  คนเอเซียคงต้องทำงานหนักมากเพื่อผลิตสินค้าให้คนยุโรปใช้  แล้วก็กลับไปขอแบ่งสินค้าบางส่วนกลับมาพร้อมกับความยินดีที่ได้สินค้ามีชื่อที่สามารถเอามาอวดเพื่อนที่บ้าน

พูดถึงเรื่องสินค้าแบรนด์เนม       ในระหว่างที่อยู่อังกฤษผมได้ข่าวว่าบริษัทผู้ผลิตและขายสินค้าแบรนด์ดังอย่างปราดาซึ่งเป็นเจ้าของยี่ห้อมิวมิวด้วยนั้น  กำลังขายสินค้าดีระเบิดในเอเชีย  หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าคนเอเชียนั้น  เห่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมดัง ๆ  แบบเดียวกับที่คนอังกฤษเข้าห้างไพร์มมาร์คซึ่งเป็นห้างขายสินค้าแฟชั่นราคาถูกคุณภาพดีกลางกรุงลอนดอน   ผมฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า  บางทีโลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไป  คนอังกฤษและอาจจะรวมถึงคนยุโรปกำลังหันมาซื้อสินค้าราคาถูกคุณภาพใช้ได้แต่ไม่มีแบรนด์จากเอเซีย  ส่วนคนเอเชียนั้น     ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นมากให้กับคนยุโรปเพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพื่อ  “หน้าตา” ของตน  ผมเองก็ไม่รู้ว่าแนวทางธุรกิจแบบนี้จะดำเนินไปได้นานแค่ไหน  แต่ถ้าให้เดาจากคิวของลูกค้าร้านหลุยส์วิตตองแล้ว  ผมก็คิดว่าคงไม่เร็วนักที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้

จากเหตุการณ์ 3 เรื่องที่กล่าวมา  ผมเองสรุปว่า  ยุโรปในวันนี้  น่าจะเป็นยุโรปที่กำลัง  “ตกดิน”  มาตรฐานความเป็นอยู่ที่ยังสูงมากในวันนี้   ดูเหมือนว่ากำลังหยุดนิ่งและค่อย ๆ ลดต่ำลง  คนทำงานน้อยลง  คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้ทำงานนั่นคือ  ตกงาน  และไม่ได้ทำงานที่ใช้ทักษะสูงมากมายอะไรนัก  จำนวนมากทำงานบริการพื้น ๆ  ที่คนเอเชียทำได้ดีไม่แพ้กัน    สิ่งที่ทำให้ยุโรปยังดำรงความโดดเด่นอยู่ได้ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ  ยุโรปนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานและยิ่งใหญ่น่าทึ่งน่าสนใจและมีโบราณสถานที่ทำให้คนมาท่องเที่ยวและยอมจ่ายเงินในราคาที่แพงมาก  นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว  ยุโรปยัง  “ผูกขาด”  ในเรื่องของ  “การเป็นผู้มีรสนิยมสูง”  ผ่านสินค้าที่เป็นแบรนด์หรูหราระดับโลก  สองสิ่งนี้ผมเชื่อว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยรักษาสถานะการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงของยุโรปไว้ไม่น้อย   อย่างไรก็ตาม  การที่ยุโรปจะก้าวหน้าหรือโตต่อไปนั้น   ดูแล้วน่าจะยากเหลือเกิน  เหนือสิ่งอื่นใด  พื้นฐานที่สำคัญจริง ๆ  ของการที่จะมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่สูงได้จริง ๆ  ในโลกที่เป็นโลกาภิวัฒน์นั้นก็คือ  คุณต้องทำงานหนักและเป็นงานที่มีคุณค่าสูง

พูดมาเสียยาว  ถ้าจะถามว่านี่จะมีอะไรที่เกี่ยวกับการลงทุนหรือเปล่า?  คำตอบของผมก็คือ  คงจะเกี่ยวอยู่บ้างในแง่ที่เราจะวิเคราะห์สถานการณ์ของยุโรปที่กำลังประสบกับปัญหาทางการเงินและเศรษฐกิจรุนแรงในช่วงนี้  ในความคิดของผม  คนยุโรปเองน่าจะใช้ชีวิตที่สูงกว่าความสามารถของตนมานานพอสมควรโดยผ่านการกู้หนี้หรือก็คือ  “ยืมอนาคตมาใช้”  แต่อนาคตที่ว่านั้น  ดูเหมือนว่าจะไม่มีอยู่จริง  ดังนั้น  ยุโรปจำเป็นที่จะต้องลดมาตรฐานความเป็นอยู่ลงและนี่คือสิ่งที่น่าจะต้องเกิดขึ้น    อาจจะผ่านสิ่งที่เรียกว่า  “วิกฤติเศรษฐกิจ”  ผมพูดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมกำลังทำนายว่ากรีซจะ “ไปไม่รอด” หรืออิตาลีจะต้องประสบภาวะวิกฤติเร็ว ๆ  นี้   บางทียุโรปอาจจะสามารถลดมาตรฐานการดำรงชีวิตลงอย่างช้า ๆ  เทียบกับคนเอเชียได้โดยไม่ต้องผ่านวิกฤติเศรษฐกิจ    ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ผมเชื่อว่ายุโรปนั้น  กำลังตกดินและจะไม่กลับมายิ่งใหญ่อีกในชั่วอายุของเรา





 

Create Date : 23 ตุลาคม 2554    
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 15:40:53 น.
Counter : 363 Pageviews.  

รายชื่อหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วม


เอามาฝากกัน กับรายชื่อหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ ....








 

Create Date : 18 ตุลาคม 2554    
Last Update : 18 ตุลาคม 2554 17:06:56 น.
Counter : 529 Pageviews.  

1  2  

nucfc
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add nucfc's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.