คนเราเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ แล้วทำยังไง?? ให้รู้..ในสิ่งที่ควรรู้...
 
เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแค่ไหน?

เคยได้ยินเค้าว่ากันว่า เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยาก ความที่ว่ายากนั้นมันยากแค่ไหน อยากจะรู้ไหมครับ??

เรื่องนี้องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่ายากขนาดไหน ลองจินตนาการตามเอาก็แล้วกัน

สมมติว่ามีห่วงยางที่มีขนาดเล็กๆ พอๆ กับที่ให้หัวเต่าสอดไปได้อยู่อันนึง เราเอาห่วงยางอันนั้นไปโยนกลางมหาสมุทร (นึกถึงความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรกับขนาดของห่วงยางนะ)

ห่วงยางก็ลอยไปลอยมาไร้ทิศทาง แล้วสมมติต่อว่ามีเต่าตาบอดอยู่ตัวนึงอาศัยอยู่ในมหาสมุทรนั้น เต่าตัวนี้ ร้อยปีจะโผล่ขึ้นมาข้างบนสักทีนึง

ลองจินตนาการดูนะครับว่า โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนี้จะโผล่ขึ้นมา (ใน 100 ปี) แล้วหัวของมันโผล่ขึ้นมาพอดีกับห่วงยางที่ว่านั้น พอดีเปะๆ เลย มีโอกาสสักเท่าไหร่ครับในความคิดของคุณ!!

แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โอกาสที่เต่าจะโผล่มาเอาหัวสอดเข้าไปในห่วงยางนั้น ยังมีโอกาสมากกว่าการเกิดเป็นมนุษย์เลย

พอเห็นภาพไหมครับว่าเกิดเป็นมนุษย์ยากแค่ไหน เมื่อเกิดมาแล้ว ได้เป็นมนุษย์แล้ว ก็อย่าพลาดโอกาสที่จะศึกษาหาความรู้กันนะครับ ไม่งั้นก็หลงๆ กันไปกับความไม่รู้เช่นเดิม เกิดใหม่ก็ไม่รู้อีกแล้ว ชาตินี้ก็อาจจะเป็นอีกชาตินึงของความไม่รู้

----------------------------------------------
ที่มา: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

ฉิคคฬสูตรที่ ๑ ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ยาก

[๑๗๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนแอก ซึ่งมีช่องเดียวลงไปใน
มหาสมุทร เต่าตาบอดมีอยู่ในมหาสมุทรนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นได้บ้างหรือหนอ?

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ถ้าล่วงกาลนานไปบางครั้งบางคราว เต่าจะสอดคอให้เข้าไปในแอกนั้นได้บ้าง.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ สอด
คอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้น ยังจะเร็วกว่า เราย่อมกล่าวความเป็นมนุษย์เพราะคนพาล ผู้ไปสู่วินิบาตแล้วคราวเดียวก็หามิได้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะว่าในวินิบาตนี้ ไม่มีการประพฤติธรรม การประพฤติชอบ การกระทำกุศล การกระทำบุญ มีแต่การเคี้ยวกินกันและกัน การเคี้ยวกิน ผู้มีกำลังน้อยกว่า ย่อมเป็นไปในวินิบาตนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่เห็น
อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
-------------------------------------------


Create Date : 11 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2550 14:58:32 น. 2 comments
Counter : 764 Pageviews.  
 
 
 
 

เกิดก็ยาก ดำรงอยู่ก็ยาก 55
 
 

โดย: p_tham วันที่: 11 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:46:36 น.  

 
 
 
อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้
....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพัทธภาพ

คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2500 ปี

[1954, from Albert Einstein:The Human Side, edited by Helen Dukas and Banesh Hoffman, Princeton University Press]
//en.wikipedia.org/wiki/Albert_Einstein
//www.mlahanas.de/Privat/quotations.htm //members.shaw.ca/sanuja/buddhismquorts.html


พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า
“ สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(1) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(2) บางชาติเกิดเป็นเทพ(เทวดา+พรหม) บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(3)

......อ้างอิง...ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงการราชิวิทยาลัย (เล่มที่ / หน้าที่ )
1. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๓
2. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๗
3. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๓๕๐-๓๖๕

ดูต่อที่ : //www.tlcthai.com/club/list_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788

//www.o2blog.com/myblog/blog.php?month=&year=&user=montasavi&page=&syear=&smonth=&sdate=&style=1&id=843

 
 

โดย: พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี IP: 202.28.111.17 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:09:25 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Bluefriday
 
Location :
Umea Sweden

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ปี 2522 ผมยังเด็กอยู่เลย ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วหว่า!!
[Add Bluefriday's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com