วิธีจัดสรรสัดส่วนทางการเงิน
จัดสรรสัดส่วนทางการเงินอย่างไร?
เป็นที่ทราบกันดีว่า เงิน มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิต เพราะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เป็นเครื่องวัดค่าสิ่งของต่างๆ อีกทั้งมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดหาซื้อของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันอีกด้วย คนส่วนใหญ่คิดว่าการหาเงินได้มากขึ้น จะสร้างความสุขสบายในชีวิตได้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเงินที่หาเพิ่มขึ้นมาได้ กลับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกวันๆ เลย เหตุนี้อาจเป็นเพราะคนเราคุ้นเคยกับการใช้เงิน ก่อนที่จะหาเงินมาได้นั่นเอง
จะเริ่มต้นวางแผนการเงินอย่างไรดี?
1.รวบรวมข้อมูลทางการเงิน เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมสถานะภาพทางการเงินของตนเองได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง โดยเริ่มจากรวบรวมข้อมุลและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินของตนเองทั้งหมด แล้วแบ่งข้อมูลเป็น 4 ประเภท คือ - รายได้ (Income) คือ ผลตอบแทนที่กิจการได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการตามปกติของกิจการรวมทั้งผลตอบแทนอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานตามปกติ
- สินทรัพย์ (Asset) คือ สิ่งที่มีตัวตนหรือไม่มีตัวตนอันมีมูลค่า ซึ่งบุคคลหรือกิจการอันเป็นเจ้าของหรือสามารถถือเอกประโยชน์ได้จากกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ สิทธิ์เรียกร้อง มูลค่าที่ได้มา รายจ่ายที่ก่อให้เกิดสิทธิ์ และรายจ่ายของงวดบัญชีถัดไป
- ค่าใช้จ่าย (Expense) คือ ต้นทุนส่วนที่หักออกจากรายได้ในรอบระยะเวลาที่ดำเนินการงานหนึ่ง
- หนี้สิน (Liabillity) คือ พันธะผูกพันกิจการอันเกิดจากรายการค้า การกู้ยืม หรือจากคนอื่นซึ่งจะต้องชำระคืนในภายหน้าให้แก่บุคคลภายนอกตามสิทธิเรียกร้องที่บุคคลภายนอกมีต่อกิจการด้วยสินทรัพย์หรือบริการ
2.กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการเงิน
เป้าหมายทางการเงินที่ดี จะต้องกำหนดให้สอดคล้องกับ เป้าหมายชีวิต (Personal Goal) ซึ่งแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป โดยคำนึงถึงจุดที่เราคิดว่าตนเองประสบความสำเร็จสูงสุด ซึ่งอาจวัดที่ความพึงพอใจ ความสุขสบายใจของแต่ละคน โดยส่วนใหญ่แล้วความมั่นคงทางการเงินมักจะมีส่วนในการสนับสนุนให้เราประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายชิวิต เป้าหมายทางการเงินที่ดี (Financial Goal) จะต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ข้อ คือ - ต้องมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้สำเร็จ (Achievable)
- ต้องวัดค่าเป็นจำนวนเงินได้ชัดเจน (Measurable)
- ต้องมีกรอบเวลาที่แน่นอน (Timeframe)
3.วางแผนปฎิบัติการ
การทำแผนปฎิบัติการทางการเงิน (Financial Action Plan) ควรแสดงรายละเอียดเพียงพอที่จะทำให้สามารถนำไปปฎิบัติได้จริง เช่น กำหนดเป้าหมาย (Financial Goal) การเพิ่มเงินออมปีละ 30,000 บาท โดยมีแผน (Action Plan) คือ การลดค่าใช้จ่าย ลดการทานอาหารนอกบ้าน ลดการซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับลงให้ได้เดือนละ 2,500 บาท เป็นต้น
4.ปฎิบัติตามแผนการที่วางไว้
แผนทางการเงินที่จัดทำไว้คงจะไม่มีประโยชน์ หากไม่ได้ลงมือปฎิบัติ หรือมีความล่าช้าในทางปฎิบัติ ยิ่งปล่อยเวลาผ่านไปนานเท่าไร การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ก็จะยิ่งล่าช้าออกไป และอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายหรือแผนการอื่นๆ ด้วยกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จทางการเงิน คือ จะต้องมีความตั้งใจจริงและมีวินัยในตนเองเมื่อลงมือปฎิบัติ 5.ทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ
คนที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ตามที่ต้องการ มักเกิดจากการไม่มีวินัยในตนเองหรือไม่ สามารถปฎิบัติตามแผนการเงินที่วางไว้ได้ ในขณะเดียวกัน การปฎิบัติตามแผนการที่วางแผนไว้อย่างเคร่งครัด ไม่มีความยืดหยุ่นก็อาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน เพราะแผนการเงินที่จัดทำไว้มักถูกกระทบโดยปัจจัยหลายด้าน เช่น ความมั่นคงในอาชีพ ภาวะเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม อัตราผลตอบแทน นโยบายของรัฐบาล ความมั่นคงทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีความไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
การวางแผนการเงินที่ดี จึงควรมีการทบทวน (Review) และปรับปรุง (Revise) แผนให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเดินทางไปยังเป้าหมาย เป็นการเดินทางที่อยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นจริง
ที่มา //www.tsi-thailand.org
Create Date : 04 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 19 มิถุนายน 2555 14:43:31 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1328 Pageviews. |
|
|
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาฝากนะครับ