web 3.0 มันมาแล้วครับ
Welcome WEb3.0 !
โดย บิสิเนสไทย [11-4-2008]
เร็วเกินไปหรือไม่ ที่จะบอกว่า ไทยเรากำลังจะก้าวไปสู่ยุคของเว็บ 3.0 กันแล้ว ????
แล้วคุณๆ ละเชื่อกันแค่ไหน?
หลายต่อหลายคนที่เห็นคำถามนี้ คงจะทำตาโต แถมขมวดคิ้วใส่บอกให้เห็นเด่นชัดถึงความไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้
นั่นก็เพราะว่า เราเพิ่งจะคุ้นเคยและสัมผัสกับเว็บยุค 2.0 กันไปหมาดๆ ขณะที่บางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
เว็บไซต์ที่คลิกเข้าไปอยู่ทุกวันอย่าง Hi5.com, Facebook.com, Youtube.com, Myspace.com
หรือแม้แต่ Google Earth ก็คือเว็บ 2.0 ดีๆ นี่เอง
แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะผู้คนในแวดวง "ซิลิคอน วัลเลย์" ได้เริ่มออกมาพูดถึง "เว็บ 3.0" กันบ้างแล้ว
และเชื่อว่าอีกไม่เกิน 2 ปีหลังจากนี้จะเข้ามาแทนที่เว็บ 2.0 ที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่ทรงพลังและชาญฉลาดอย่างมาก เพราะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลรวมทุกสิ่งที่ทุกคนคิดและอยากรู้ให้เกิดขึ้นได้จริงบนหน้าเว็บไซต์
เว็บ 3.0 ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน!!!
ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และไกลเกินเอื้อมสำหรับอินเทอร์เน็ตในยุคที่สาม (Third Generation) เพราะหลายคนบอกว่าลำพังแค่เว็บ 2.0 ที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีความสามารถในการแชร์ไฟล์และข้อมูลร่วมกัน รวมถึงการพูดคุยโต้ตอบความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้มากขึ้น ก็ถือได้ว่าสุดยอดแล้ว
ทำไมจะต้องมีเว็บ 3.0 แล้วเจ้าเว็บที่ว่า หน้าตาเป็นอย่างไร และต่างจากเว็บ 2.0 หรือไม่???
เรืองโรจน์ (กระทิง) พูนผล หนุ่มไทยที่ทำงานอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก "กูเกิล อิงค์" ในซิลิคอน วัลเลย์ เมืองไอทีที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ไขปริศนาเรื่องนี้เอาไว้อย่างหมดเปลือก
" แนวคิดเรื่องเว็บ 3.0 ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน และกำลังจะเกิดขึ้นจริง ถึงแม้ปัจจุบันเมืองไทยจะยังอยู่ในช่วงต้นๆ ของเว็บ 2.0
แต่ทว่าวันนี้ที่สหรัฐอเมริกาเว็บ 2.0 ถือว่าอยู่ในช่วงกลาง จนถึงช่วงปลายแล้ว และเชื่อว่าหลังจากนี้อีกไม่นานจะเกิดการทำลายล้าง
ครั้งใหญ่อีกครั้ง และครั้งนี้จะทำให้เกิดการผุดขึ้นมาของเทคโนโลยีตัวต่อไปคือ เว็บ 3.0"เขาวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี
และทำนายอีกว่า เมืองไทยยังมีโอกาสอีกมากกับเว็บ 2.0 แต่ก็มีบางอย่างแก้โจทย์ไม่ถูกจุด อย่างบล็อกปัจจุบันถือเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถจะแปลงเทคโนโลยีพื้นฐานเหล่านี้ให้เป็นธุรกิจขึ้นมาได้ ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของตลาดเมืองไทย รวมทั้งยังอยู่ที่ตัวบทกฎหมายและการสนับสนุนจากทางภาครัฐด้วย อย่างกฎหมายดิจิตอล ไรท์ แมนเนจเม้นท์ ซึ่งตรงนี้เราเองต้องเรียนรู้และพัฒนาต่อไป
นายเรืองโรจน์ ให้ความเห็นถึงการตอบรับของเมืองไทยต่อเว็บ 2.0 และอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับรูปแบบของเว็บ 3.0 ด้วยว่า
จริงๆ ยังเป็นเรื่องที่เดายากมาก เพราะเว็บ 3.0 จะเป็นหลายอย่าง เหมือนกับเว็บ 2.0 แต่เป็นระดับที่ทุกคนเข้าไปเจาะจงมากขึ้น
คล้ายกับเว็บ Second life หรือเกมออนไลน์ โดยเว็บ 3.0 นั้นจะถูกเรียกขานว่า ซีแมนติคเว็บ คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงคอนเทนท์ต่างๆ
ที่มีอยู่อย่างมหาศาลเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมกับการเติมความหมายเข้าไปในเว็บไซต์
สมัยก่อนคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจว่าแต่ละเว็บคืออะไร เวลาไปเสิร์ชก็ไม่รู้ แต่เว็บ 3.0 จะเป็นการเติมและเพิ่มความหมายเข้าไปในเนื้อหาสาระที่คอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจในตอนแรกให้เข้าใจมากขึ้น
จนสามารถจะเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการ
คนไทยคนแรกที่มีโอกาสเข้าไปร่วมงานในตำแหน่งบริหารกับกูเกิ้ลพยายามถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ เขาอธิบาย พร้อมทั้งหยิบยกเทคโนโลยีตัวอย่างของเว็บ 3.0 เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นด้วยว่า
อย่างเช่นการสืบค้นข้อมูลหรือเสิร์ชเอ็นจิ้นจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ภาษาตามธรรมชาติ
ยกตัวอย่าง Image Search สมัยก่อนดาวน์โหลดคลิปสุนัขแล้วตั้งชื่อว่า "เอดิสัน เฉิน" ก็จะเจอภาพขึ้นมาเหมือนกัน
แต่ถ้าเป็นเว็บ 3.0 การสืบค้น Image Search จะเข้าใจความหมายโดยตัวของเองว่าเอดิสัน เฉินที่ว่าคือบุคคล
โดยจะไปเทียบกับภาพในวิดีโอคลิปของเอดิสัน เฉิน
"อันนี้จะเข้าใจเลยว่าเราต้องการคอนเทนท์อะไร หรือเวลาเราดูวิดีคลิปของหนังเรื่องหนึ่ง พอผมดูไปถึงช็อตหนึ่ง
และสงสัยว่าเพลงนี้คืออะไรก็จะมีลิงค์อยู่ข้างใต้ ผมก็คลิกไปที่ลิงค์นั้น มันก็จะโยงไปที่เพลงนั้นทันที จะเห็นว่าคอนเทนท์ที่เป็นตัวเพลงหรืออย่างอื่นต่างโยงใยเข้าหากันและมีการใส่ความหมายเข้าไปในเว็บ
แต่ว่าเพิ่งเริ่มจริงๆ เพราะถ้าเราคิดอันนี้เป็นเหมือนความฝัน ลองหลับตาคิดเหมือนจะเสิร์ชหาแบทพิธ แล้วก็เข้าใจว่ามันคือแบทพิธ"
เขาย้ำถึงความอัจฉริยะของเว็บยุค 3.0 และยอมรับด้วยว่า การจะทำให้เว็บไซต์ "เข้าใจ" ข้อมูลทุกๆ ชิ้นที่อยู่ใน"เวิลด์ ไวด์ เว็บ" และสามารถ เชื่อมโยง ข้อมูลเหล่านั้นซึ่งกันและกันได้ จะต้องมีคลังข้อมูลอย่างมหาศาล หรือมี Pattern Recognition จนสุดท้ายเข้าใจว่าแพทเทรินนั้นคืออะไร แล้วไปเช็คว่ารูปไหนคือสิ่งที่เราต้องการ รวมถึงเทคโนโลยีในการตัดคลิปบอร์ดหรือสแปมต้องก้าวหน้าไปมาก พร้อมทั้งต้องมีแพลตฟอร์มที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันหมด
นอกจากความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ต้องการแล้ว หนุ่มไทยในซิลิคอน วัลเล่ย์คนนี้ ยังบอกด้วยว่า ลักษณะสำคัญอีกอย่างของเว็บ 3.0 คือจะพัฒนาไปในทางเซ็กเมนท์ ออฟ วัน (Segment of One) คือ เซ็กเมนท์ที่มีบุคคลแค่คนเดียว หรือตอบโจทย์ความเป็นส่วนบุคคล (Personalization) เช่น ได้คอนเทนท์ที่เราต้องการ หรือเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
"ยกตัวอย่าง ผมบอกว่าอยากไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ มันก็จะลิงค์ข้อมูลทั้งหมดออกมา ทั้งสายการบิน แพ็กเกจไหนที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันก็จะเช็คเลยว่าคิดตรงกับตารางเวลาของผมไหม ช่วงไหนผมควรจะไปเที่ยว ผมก็มาแป๊ะในตารางช่วงเวลาที่ผมว่าง ขณะเดียวกันมันก็จะเช็คตารางของผมกับตารางของเพื่อนที่ญี่ปุ่นในSocial Networkของผมว่าเพื่อนผมที่ญี่ปุ่นว่างช่วงไหนเพื่อจะนัดมาทานข้าวกันได้" เป็นคำบอกเล่าของนายเรืองโรจน์ และอธิบายเสริมต่ออีกว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการที่ Personalize เชื่อมต่อกับ Personalize ในเว็บ 3.0 จะส่งผลให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันมาเป็นเว็บๆ เดียว ซึ่งต่างจากเว็บไซต์ปัจจุบันที่คอนเทนท์ยังไม่ได้เชื่อมโยงกันอย่าง 100% อย่างวิดีโอ คลิป ก็อยู่ในเว็บไซต์แล้วมีคนอื่นลิงค์เข้ามา แต่เว็บ 3.0 จะเป็นการเชื่อมโยงที่ซับซ้อนขึ้น จึงต้องการคนมาจัดการตัวข้อมูลที่เป็นส่วนตัว
"เราจะเริ่มเห็นเว็บ 3.0 หลังจากจบซับไพร์มซึ่งมีคนบอกกันว่าประมาณ 2 ปี ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ซับไพร์มมีผลพอสมควร เพราะว่าสุดท้ายทำให้ผู้บริโภครัดเข็มขัด การบริโภคน้อยลง หลายธุรกิจล้มลงมา คนตกงาน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
ขณะเดียวกันบริษัทที่ไม่มีความเข้มแข็งทางรูปแบบการดำเนินธุรกิจก็จะไม่สามารถอยู่รอด สุดท้ายบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน และโมเดลทางธุรกิจที่แข็งแกร่งถึงจะอยู่รอดได้และจะเกิดการผุดขึ้นมาของเว็บ 3.0 ซึ่งเราจะเห็นเมื่อเห็นในช่วงปลายๆ ของเว็บ 2.0 แต่จะมีการซ้อนเหลื่อมกัน เหมือนเว็บ 1.0 กับเว็บ 2.0 หลายๆ บริษัทที่เป็นผู้นำของเว็บ 1.0 ปัจจุบันก็ยังอยู่แต่ก็ไม่เก่งเมื่อยุคเว็บ 1.0 แล้ว" นายเรืองโรจน์ กล่าว
ปี2552 เห็นแน่เว็บ3.0
เช่นเดียวกับนายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอทคอม (Kapook.com) และเป็นบุคคลแรกในการเข้าสู่เว็บยุค 2.0 ในเมืองไทย ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันเว็บ 3.0 ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แม้กระทั่งในต่างประเทศ แต่ก็มีการคาดเดาไปต่างๆ นานาถึงรูปแบบและลักษณะของเว็บ 3.0 เช่น มองว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้อย่างยิ่งใหญ่ และหน้าตาของเว็บจะสวยงามและเสมือนจริงยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นการเกิดของเว็บ 3.0 อาจจะไม่ได้เห็นเร็วๆ นี้ โดยคาดว่าราวปี2552 จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น
"แต่โดยรวมคิดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีสำหรับตลาดในต่างประเทศ ขณะที่ประเทศไทยแน่นอนคงต้องเดินไปตามเทรนด์นี้เช่นกัน"เขาวิเคราะห์
แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในแง่รูปแบบของเว็บ 3.0 แต่ในเบื้องต้นปรเมศวร์บอกว่า ผู้ให้กำเนิดเวิลด์ ไวด์ เว็บ อย่าง "นายทิม เบอร์เนอร์ส ลี" ได้เรียกเจ้าเว็บ 3.0 นี้ว่า "ซีแมนติค เว็บ" คือไม่ใช่เว็บที่ผู้คนเข้ามาเห็นและเข้าใจเท่านั้น แต่อินเทอร์เน็ตจะมีความสามารถเป็นของตัวเองเพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูล เว็บไซต์ต่างๆ หรือไฟล์ข้อมูลในพีซี เข้ากับวิถีชีวิตแบบดิจิตอลอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งหมด
หรือพูดอย่างง่ายๆ ก็คือ เว็บในยุค 3.0 เป็นเรื่องของคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการอ่านและมองเห็นกันมากขึ้น และการมองเห็นนั้นไม่ใช่ผู้คนที่เป็นผู้ใช้ทั่วไป แต่เป็นผู้ชมที่เป็นเว็บเข้ามาศึกษาและหาข้อมูลแทนผู้ใช้อย่างเราๆ เพื่อนำไปพรีเซ็นต์กับยูสเซอร์ต่อไป
เพราะฉะนั้น เว็บในยุค 3.0 อย่างเช่นการสืบค้นจะมีความฉลาดมากขึ้น และความฉลาดสุดๆ นี่เองทำให้เขาเชื่อว่า เมื่อถึงวันนั้นจะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของวงการเว็บทีเดียว
ธุรกิจบริการ-สินค้าแพง แพ้ภัยเว็บ 3.0แน่นอน
นายปรเมศวร์ ทำนายสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปหลังเว็บได้เข้าสู่ยุค3.0ว่า ความฉลาดที่มากขึ้นกว่าเดิมของเว็บ 3.0 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากขึ้นคือผู้บริโภค
แต่เจ้าของสินค้าและนักการตลาดจะเหนื่อยและต้องคิดมากขึ้น!!!
เพราะว่า อำนาจกลับไปอยู่ในมือผู้บริโภคจากเดิมทีที่อยู่ในมือผู้ผลิต เพราะฉะนั้น นักการตลาดและผู้ผลิตจะมีตัวสินค้าที่ตรงความต้องการลูกค้ามากขึ้น มีเซ็กเม้นท์ใหม่ๆ แตกย่อย รวมถึงช่องทางการสื่อสารใหม่กับลูกค้า โดยผู้ผลิตอาจจะต้องจับมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างสินค้าและโปรโมชันให้มากขึ้นเพื่อที่จะเอาใจผู้บริโภคให้ได้มากสุด
ในส่วนของธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบจากการเกิดของเว็บ 3.0 นั้น เขาบอกว่า ธุรกิจบริการเป็นธุรกิจแรกที่จะได้รับผลกระทบเร็วสุด เนื่องจากเว็บ 3.0 มีแอพพลิเคชันที่รู้ใจเราและเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น ต้องการไปเที่ยวกระบี่ เจ้าเว็บ 3.0 ก็จะค้นหาข้อมูลทั้งหมดมาให้ และแถมยังแนะนำได้ว่าเพื่อนของเราเคยไปเที่ยวมา จากนั้นถ้าสนใจก็จะมีเวอร์ชวล 3D สถานที่นั้นให้ดูอีกด้วย
เพราะฉะนั้น ธุรกิจส่วนบริการอย่างเช่นธุรกิจด้านโรงแรมต้องเริ่มคิดและปรับตัวเองมาสู่เว็บ 3.0 หากเป็นกลุ่มสินค้า เขาบอกว่า กลุ่มสินค้าที่มีตัวเลือกมาก และราคาสูง เช่น บ้าน และรถยนต์ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากสุด
จาก One to Many สู่ Many to Many
อีกบุคคลที่อยู่ในวงการเว็บมานาน และยังคงครองความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเว็บไซต์ติดต่อกันมาหลายปี และยากที่เบอร์รองๆ จะชิงตำแหน่งไปได้ สำหรับ Sanook.com.
นายต่อบุญ พ่วงมหา ประธานบริหาร บริษัทสนุก ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการเว็บท่ารายใหญ่สนุกดอทคอม (Sanook.com) มองว่า เว็บ 3.0 เป็นคอนเซ็ปท์ใหม่ เพราะปัจจุบันหลายเว็บยังเข้าสู่ยุคเว็บ 2.0 กันไม่เต็มรูปแบบ
เพราะฉะนั้น ตนมองว่ายังเร็วเกินไปสำหรับเมืองไทย!!!
แต่ก็เชื่อเช่นกันว่า เว็บ 3.0 เป็นการต่อยอดจากเว็บ 2.0 และรูปแบบของเว็บค่อนข้างจะก้าวหน้าอย่างมาก โดยเป็นการนำเอาฐานข้อมูลมาประมวลผล และนำเสนอออกไป ดังนั้นโครงสร้างทุกอย่างโดยเฉพาะฐานข้อมูลต้องมีความพร้อม
"เมืองนอกอาจจะมีความชัดเจน แต่เมืองไทยต้องอีกระยะ ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี เพราะตอนนี้เว็บไทยเพิ่มเข้าสู่ยุค 2.0 แต่ก็มีหลายคนพยายามจะเข้าไปสู่ยุค 3.0 แต่ก็ยังไม่เห็นโมเดลที่ชัด"นายต่อบุญเล่า
และอธิบายเสริมด้วยว่า ลักษณะของเว็บในยุค 1.0 จะเป็น One to Many คือ ยิงคอนเทนท์เพื่อให้คนเข้ามาดู จากนั้นพอเข้าสู่ยุค 2.0 จะเป็นลักษณะ One to One เป็นการเก็บโปรไฟล์ของแต่ละบุคคลหรือแชร์ข้อมูลติดต่อกับเพื่อน แต่ยุคต่อไปจะเป็น Many to Many ซึ่งหมายความว่าคนไม่ได้เชื่อมต่อกับคนเท่านั้น แต่เป็นการเชื่อมต่อกับเน็กเวิร์ก และเป็นการแนวคิดที่เปิดมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลให้รูปแบบการทำเว็บเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งในส่วนสนุกนั้นมีการปรับโครงสร้างรองรับแพลงฟอร์มนี้ ด้วยการปรับให้สามารถแชร์ลิ่งไฟล์ข้อมูลได้มากขึ้น
ดังนั้น เมื่อฟังคำบอกเล่าจากผู้รู้ในวงการเว็บทั้ง 3 คนข้างต้น จึงเชื่อว่าอีก 2-3ปี เมืองไทยเรามีโอกาสสัมผัสแน่กับเว็บ 3.0 แม้ว่าเว็บ 2.0 จะเพิ่งเริ่มต้น แต่พลวัตของเทคโนโลยีที่หมุนเวียนเปลี่ยนเร็วกว่าในอดีต สิ่ง
ที่เราเคยเชื่อว่า เมื่อเพิ่งเกิดขึ้นในเมืองนอก อีกนานกว่าจะมาถึงไทย
วันนี้ ต้องเปลี่ยนแนวคิดแล้ว และเตรียมพบกับเว็บต์ยุค 3.0 อีกไม่เกิน 3ปี!!!
ย้อนรอย"ยุคแห่งเว็บ"
เมื่อพูดถึงอินเทอร์เน็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตได้จำแนกยุคแห่งพัฒนาการของเวิลด์ ไวด์ เว็บ ไว้เป็นช่วงๆ โดยใช้คำแทนห้วงเวลาของพัฒนาการแต่ละยุคของอินเทอร์เน็ตไว้เป็นเวอร์ชัน
สำหรับเวอร์ชันแรกของเวิลด์ ไวด์ เว็บคือ ยุคของ เว็บ 1.0 ซึ่งต้องย้อนกลับไปราวๆ ปี 1992-1999 หลังจากอินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย หน้าตาเว็บไซต์ในยุคเว็บ 1.0 นำเสนอเพียงข้อมูลที่ผู้สร้างต้องการจะนำเสนอ ใครอยากรู้อะไรก็คลิกเข้าไปดู การค้นหาเว็บไซต์ใหม่ๆ ของผู้ใช้อาศัยการกดลิงก์ไปยังเว็บอื่นๆ ตามที่มีคนสร้างมีการแลกลิงก์กันระหว่างเว็บ ไม่มีการแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์มากนัก
กระทั่งปี 1999-2004 ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นยุคเว็บ 1.5 ก็ว่าได้ รูปแบบของเว็บไซต์ได้พัฒนาขึ้นมาก มีการสร้างระบบกระทู้ให้ผู้เข้าใช้บริการได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองขึ้นมา และเว็บไซต์สามารถนำข้อมูลภาพเคลื่อนไหวและเสียงสดๆ ขึ้นบนหน้าเว็บได้
จนกระทั่งหลังปี 2004 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงจากเว็บ 1.0 เข้าสู่เว็บ 2.0 อย่างแท้จริง โดยเว็บ 2.0 จะมีลักษณะเรียกว่าเป็นชุมชน มีความสามารถในการแชร์ไฟล์และข้อมูลร่วมกันรวมถึงพูดคุยโต้ตอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันมากขึ้น ตลอดจนคนเผยแพร่ข้อมูลไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของเว็บ อย่าง วิกิพีเดีย ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้เขียนบทความเข้าไปอย่างอิสระและมีการตรวจสอบกันเอง รวมทั้งการเกิดเว็บบล็อกด้วย
ส่วนเวอร์ชันต่อไป ก็คือ ยุคของเว็บ 3.0 ที่มีความฉลาดล้ำหน้าไปอย่างมาก และความฉลาดของมันนี่เองจะนำซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และท้าทายเหล่าคนทำเว็บและผู้ใช้อย่างเราๆ ในเร็ววันนี้
Create Date : 20 เมษายน 2551 |
| |
|
Last Update : 20 เมษายน 2551 13:02:18 น. |
| |
Counter : 791 Pageviews. |
| |
|
|